เมื่อพระสนมเหมยได้ยินหลิงหลงฟูเหรินพูดเช่นนั้น นางก็อดไม่ได้ที่ด่าในใจ ที่แท้ก็เป็นคนที่ตื้นเขินถึงได้ไม่รู้ว่าสิ่งใดควรพูดไม่ควรพูด กล่าวแบบนี้ต่อหน้าพระพักตร์หวงไท่โฮ่ว รนหาที่ตายชัด ๆ? เป็นอย่างที่คาดไว้ เมื่อเห็นหลิงหลงฟูเหรินกล่าวอย่างไม่แยแส สีหน้าของหวงไท่โฮ่วก็แย่ลง "ทำผิดเรื่องอะไร? เหตุใดถึงได้โบยจนนางมีสภาพเช่นนี้"มหาเสนาบดีเซี่ยสะกิดหลิงหลงฟูเหรินด้วยข้อศอก นางเองก็รู้ว่าได้พูดผิดไปแล้ว จึงรีบอธิบายทันที "กราบทูลหวงไท่โฮ่ว หม่อมฉันไม่ได้เป็นคนออกคำสั่งให้โบย แต่เป็นพ่อบ้านที่เห็นว่านางดื้อรั้นไม่ยอมรับผิด ก็เลยลงมือโบยนางอย่างหนักไปชั่วขณะหนึ่ง หม่อมฉัน ได้ลงโทษพ่อบ้านไปแล้วเพคะ”หวงไท่โฮ่วเหลือบมองไปที่เสี่ยวซุนและเห็นน้ำตาในดวงตาของนาง ใบหน้าของนางเศร้าโศกน่าสงสารยิ่งนัก เป็นไปได้ว่าที่นางถูกโบยครั้งนั้น เป็นเพราะนางถูกปรักปรำเสี่ยวซุนถูกนางข้าหลวงช่วยพยุงพามาคุกเข่าลงที่พื้น หวงไท่โฮ่วเห็นบาดแผลบนร่างกายของนาง จะทนได้เช่นไร? ขมวดคิ้วแล้วรีบกล่าว “พยุงตัวนางไว้ ไม่ต้องคุกเข่าแล้ว”เสี่ยวซุนมองดูหวงไท่โฮ่วอย่างอ่อนแรงและรู้สึกหวั่นเกรง ต่อความสูงศักดิ์ของหวงไท่โฮ่ว
พระสนมเหมยที่เห็นว่ามหาเสนาบดีเซี่ยโกรธจัดต่อหน้าพระพักตร์ฮวงไทเฮา ก็รู้ดีว่าท่าไม่ดีเสียแล้ว รีบกล่าว "หญิงรับใช้ผู้นี้จะรู้อะไร? นางอยู่ข้างกายหยวนซื่อ ก็ย่อมจะพูดว่าหยวนซื่อดี ต้องช่วยพูดให้หยวนซื่ออยู่แล้ว เรื่องการถอนหมั้นตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ มันช่างไร้สาระจริง ๆ"ฮองเฮาถามอย่างแผ่วเบา "ไร้สาระยังไงหรือ?"จริง ๆ แล้วเดิมทีฮองเฮาไม่คิดจะทนเสียเวลากับคนพวกนี้ที่นี่ โมโหก็เลยมาเพื่อจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยจากนั้นก็คุยกับจื่ออานถึงการดำเนินการในขั้นต่อไป แต่ว่า เมื่อเห็นพระสนมเหมยยังคงแก้ต่างให้มหาเสนาบดีเซี่ยอย่างต่อเนื่องแล้ว นางก็ต้องระแวดระวังไว้เรื่องนี้ ไม่ได้ง่ายดายเช่นนั้นฮองเฮารู้จักสนมเหมยผู้นี้ดี นางเป็นคนที่ไม่ใส่ใจเรื่องของคนอื่น ปกติแล้วใครขอให้นางช่วยพูดอะไร ด้วยพื้นฐานนิสัยของนาง นางจะไม่ช่วยทั้งนั้นถ้าเพราะไมตรีจิตที่มีต่อญาติพี่น้อง ก็เข้าใจได้ว่าทำไมวันนี้นางถึงมาช่วยมหาเสนาบดีเซี่ย แต่ด้วยการปฏิบัติตัวของนางแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะทุ่มเทอย่างสุดกำลังเหมือนวันนี้ นอกเสียจากว่า นางจะได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า ถูกต้องแล้ว พระสนมเหมยเป็นคนโลภมากนางใช้เงินจำนว
ความคิดที่ว่านางจะบังเอิญโชคดีมุ่งไปที่หวงไท่โฮ่ว เพราะนางรู้ว่าหวงไท่โฮ่วจะไม่ลงโทษข้ารับใช้อย่างง่ายดายเช่นนี้ ถ้าได้ยินว่าหยวนซื่อต้องการโบยนางฆ่าหลวงให้ตาย เพียงเพราะเรื่องชาที่หก จะต้องไม่พอใจหยวนซื่อมากแน่ ๆและก็เป็นอย่างที่คาดไว้ หวงไท่โฮ่วได้ยินที่พระสนมเหมยเล่า ก็โกรธเคืองทันที "มีคนเลวทรามเช่นนี้ด้วยหรือ? ไม่ใช่ว่านางเป็นผู้ที่มีความสามารถด้านวรรณกรรมที่โดดเด่น? จะโหดร้ายอย่างไร้เหตุผลได้อย่างไร?"ฮองเฮาก็เงียบไปชั่วขณะหนึ่ง เพราะว่า เรื่องที่สนมเหมยเล่ามาก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ อุปนิสัยใจคอและพฤติกรรมของหยวนซื่อ นางเองก็ไม่ได้รู้ดีนัก หากว่าเป็นจริง นางพูดหักล้างว่าไม่จริง ก็จะกลายเป็นนางที่แพ้พ่ายให้แก่สนมเหมย ต่อไปก็จะถูกสนมเหมยยึดครองตำแหน่งที่สูงกว่า แล้วจะถูกจูงจมูกความเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นในนัยน์ตาของหลิงหลงฟูเหริน ก่อนหน้านี้สนมเหมยพูดว่าเป็นเพียงข่าวลือ แต่บัดนี้บอกว่ามันเกิดขึ้นที่ตำหนักของพระนาง อยากได้รับความไว้วางใจจากหวงไท่โฮ่วล่ะสิ?มาดูกันว่าฮองเฮาจะพูดว่าอย่างไร!ในที่สุดจื่ออานก็ทนไม่ได้อีกต่อไป เดินเข้ามาด้านในอย่างไวมหาเสนาบดีเซี่ยกับหลิงหลงฟูเหริน
พระสนมเหมยกล่าวอย่างไม่พอใจ “ผ่านมาหลายปีขนาดนั้น ข้าเองก็ลืมไปแล้วว่านางข้าหลวงผู้นั้นชื่อว่าอะไร และก็ไม่รู้ว่าถูกย้ายไปอยู่ตำหนักไหนเสียแล้ว บางทีอาจถูกปล่อยให้ออกจากวังไปแล้วก็เป็นได้”เมื่อเห็นว่าเซี่ยจื่ออานทำให้พระสนมเหมยรู้สึกยุ่งยากลำบากใจ ในที่สุดก็กล่าวตำหนิขัดจังหวะขึ้นมา แสร้งแสดงท่าทางความเป็นแม่ออกมากล่าวน "จื่ออานข้าบอกกับเจ้ากี่ครั้งกี่หนแล้วว่าเจ้าจะต้องพูดและทำสิ่งต่าง ๆ อย่างเหมาะสมต่อหน้าคนอื่น อุปนิสัยของพระสนมเหมยนั้น ก็อย่างที่ทุกคนรู้ พระนางเป็นคนเปิดเผยและจริงใจ เจ้าพูดเช่นนี้ คงไม่ได้จะเปรยว่าพระนางแต่งเรื่องขึ้นมาใช่ไหม? นี่เป็นการหมิ่นพระเกียรติอย่างร้ายแรง ถึงแม้ว่าแม่ของเจ้าจะไม่เคยสอน แต่ข้าก็ตักเตือนเจ้าอยู่บ่อยครั้ง ทำไมเจ้าถึงไม่จำ กระทำอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนเกิดเรื่องยุ่งเหยิงเช่นนี้?”จื่ออานกล่าวอย่างไม่เกรงกลัว "เปล่า ข้าไม่ได้จะเปรยว่าพระสนมเหมยแต่งเรื่องขึ้นมา แต่ข้าพูดอย่างชัดเจนว่าพระนางแต่งเรื่องขึ้นมาจริง ๆ เรื่องแบบนี้ ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน"พระสนมเหมยโกรธจัด "เซี่ยจื่ออาน เจ้าช่างบังอาจนัก กล้าดีอย่างไรมาใส่ร้ายข้า หาว่าข้าแต่งเรื่องขึ้นมา
ฮองเฮากล่าว "ฟังดูมีเหตุผล เช่นนั้นข้าจะสั่งคนให้ไปตรวจสอบดูสักหน่อย"นางสั่งซุนกงกง “เจ้าไปหาดูบันทึกการเข้าวังของหยวนซื่อ ตรวจสอบหน่อยว่าหยวนซื่อตอนที่อยู่กับพระสนมเหมย หรือว่าตอนที่สนมเหมยเป็นสนมชั้นผินเป็นเวลาไหน จากนั้นก็ตรวจหาผู้ที่รับใช้พระสนมเหมยอย่างใกล้ชิดในเวลานั้น”ใบหน้าของพระสนมเหมยซีดมาก แต่นางไม่อาจหยุดซุนกงกงไม่ให้ไปตรวจสอบได้เพียงแค่ไปตรวจสอบ ก็จะรู้ว่าตอนที่นางเป็นสนมชั้นผิน หยวนซื่อไม่ได้เข้าวังมาเลยในปีแรกที่หยวนซื่อเพิ่งจะแต่งงานกับมหาเสนาบดีเซี่ย ได้เข้าวังมาเข้าเฝ้านาง แต่ในตอนนั้น นางยังไม่ถูกแต่งตั้งให้เป็นกุ้ยผิน ตอนที่มหาเสนาบดีเซี่ยพาหลิงหลงกลับไปที่จวน นางก็อยู่ที่จวนมาตลอดไม่เคยเข้าวังมาอีกเลยครอบครัวของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่เข้าวังมาจะต้องมีการจดบันทึกไว้ แค่เพียงตรวจสอบก็จะรู่ว่านางเพิ่งจะพูดโกหกไปฮองเฮาไม่รู้เรื่องนี้ แต่ว่าจื่ออานรู้ ในสมองของจื่ออานยังคงมีความทรงจำของเจ้าของร่างคนเดิมอยู่ จำได้อย่างชัดเจนว่า ตั้งแต่เจ้าของร่างเดิมจำความได้ หยวนซื่อไม่เคยออกจากจวนมหาเสนาบดีเลยสักครึ่งก้าวนางกำลังโทษตัวเอง โทษที่นางดูคนผิด ใช้วิธีการของตนเอง
เป็นความโชคดีที่มู่หรงเจี๋ยพูดถึงเรื่อง “ข่าวลือนอกวัง” ขึ้นมาในเวลานี้พอดี “เสด็จแม่ วันนี้ตอนที่ลูกออกไปนอกวัง ลูกได้ยินผู้คนนอกวังพูดกันว่าจื่ออานโดนฮองเฮาโยนเข้าไปในห้องลงทัณฑ์”ฮองเฮาตกใจเล็กน้อย แล้วมองไปยังมหาเสนาบดีเซี่ยและหลิงหลงฟูเหริน ก็เห็นว่าทั้งคู่มีท่าทีที่เปลี่ยนไป และดูท่าทาร้อนรน ในใจหวงไท่โฮ่วนั้นก็เข้าใจความหมายทันทีใบหน้านางฉายแววโกรธเล็กน้อย พยายามลำดับเรื่องของวันนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ นางก็สามารถเดาคร่าว ๆ ได้เลยว่าเป้าหมายที่มหาเสนาบดีเซี่ยเขาวังมานี้คืออะไร การเข้าวังมาครั้งนี้ก็เพื่อที่จะขอประทานอภัยโทษ เมื่อเดินเข้าประตูมาก็โค้งตัวคำนับหน้าผากจรดแตะพื้นและร้องไห้คร่ำครวญ คงคิดว่าการที่วังหลวงเรียกตัวเซี่ยจื่ออานมาก็เพื่อสอบสวนเรื่องการล้มงานอภิเษก เขาจึงพาหลิงหลงฟูเหรินมาด้วยเพื่อปฏิเสธว่าตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆหากจะบอกว่า หยวนซื่อไม่ได้เป็นแบบที่พวกเขาพูดมาทั้งหมดจริง ๆ ถ้าอย่างนั้น ความคิดของนางสนมเหมยก็ควรค่าที่จะไตร่ตรองดู กุเรื่องราวใหญ่โตเพื่อที่จะมายืนยันว่านางเป็นหญิงชั้นต่ำผิดศีลธรรม หากหนึ่งในนั้นไม่มีผลประโยชน์ นางก็จะไม่เชื่อสิ่งที่หวงไท
เขาพอจะเดาออกแล้วว่าใครเป็นผู้ปล่อยข่าวออกไป เพราะเมื่อครั้งที่เซี่ยฉวนออกไปถาม ได้เรื่องมาว่าผู้ที่อยู่ข้างท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นผู้ที่แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปหรืออีกแง่หนึ่งคือ มู่หรงเจี๋ยจงใจปล่อยข่าวออกไปเอง เป็นเหตุให้เขาเข้าวังมาแล้วต้องตบปากตัวเอง เพื่อที่ว่าจะได้กู้ชื่อเสียงของนางแพศยาเซี่ยจื่ออานและล้างความคาวบนตัวของนาง จากนั้นจึงค่อยแต่งเข้าตำหนักองค์ชายผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์อีกครั้ง ครั้งนี้เขาขอความช่วยเหลือจากนาสนมเหมย แต่นางได้ติดกับไปแล้ว หากเขาไม่ยืนอยู่ข้างนางสนมเหมย คราหน้านางจะต้องสงสัยเขาเป็นแน่หลังจากที่มู่หรงเจี๋ยได้ฟังคำของมหาเสนาบดีเซี่ย ก็กล่าวอย่างเรียบ ๆ ว่า “ถ้าเยี่ยงนั้น ก็รบกวนซุนกงกงช่วยตรวจสอบมาว่าปีนั้นนางข้าหลวงที่รับใช้นางสนมเหมย เป็นผู้ใดแล้วเอามาเทียบเคียงกัน”หวงไท่โฮ่วตะโกนด้วยความกราดเกรี้ยว “สนมเหมย คุกเข่าลง!”สีหน้านางสนมเหมยซีดเผือด จากนั้นก็คุกเข่าลงอย่างแรง ก้มหน้าแตะพื้นอย่างกลัวตาย “ไทเฮาใจเย็น ๆ ก่อนนะเพคะ” หลิงหลงฟูเหรินยังไม่เข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าอย่างแน่ชัด ด้วยความตกใจนางจึงกล่าวออกไปว่า “หวงไท่โฮ่วเพคะ ท
ซุนกงกงตะโกนเสียงเข้ม “ช่างอวดดีนัก ต่อหน้าหวงไท่โฮ่วในวังโซ่วอัน ก็บังอาจยโสโอหังได้เยี่ยงนี้รึ?”หลิงหลงฟูเหรินเห็นว่าขันทีผู้นี้ก็กล้าตำหนินาง จึงกล่าวด้วยความโกรธ “เจ้าอยู่ในฐานะอะไร? ถึงกล้ามาตะโกนใส่ข้าเยี่ยงนี้”นางสนมเหมยคิดไม่ถึงว่าหลิงหลงฟูเหรินจะไม่รู้จักกาลเทศะได้ถึงขนาดนี้ ช่างน่ารำคาญเสียจริง วันนี้การได้ไล่ตามน้ำโคลน ช่างเป็นเรื่องที่ผิดพลาดอย่างมหันต์หวงไท่โฮ่วมีท่าทีที่โกรธมาก ขณะที่กำลังจะบันดาลโทสะออกมา ก็เหลียวไปมองนางสนมเหมยแวบหนึ่ง จึงอดกลั้นไว้ได้ ทำได้เพียงแต่กล่าวเสียงเข้ม “เอาสิ เชิญเซียงแหยและฟูเหรินนางนี้ที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงออกไป คราหน้าหากไม่ได้รับอนุญาตจากข้า ก็ห้ามเหยียบเข้ามาในประตูวังแม้แต่ก้าวเดียว”หลิงหลงฟูเหรินตื่นตกใจกลัว จึงรีบคุกเข่าหมอบลงกับพื้นทันที “หวงไท่โฮ่วอภัยให้หม่อมฉันด้วย หม่อมฉันเพียงแค่พลั้งปากไปชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น…”“จะพลั้งปากหรือสันดานของเจ้าเป็นเยี่ยงนี้อยู่แล้ว ข้าไม่อยากรู้ ข้าเองก็ไม่อยากลงไปเกลือกกลั้วเสวนากับคนประเภทเจ้า ส่วนเรื่องที่ล้มงานอภิเษก ด้วยคุณความดีในส่วนที่จื่ออานได้สร้างไว้ ข้าไม่ต้องการสอบสวนอีก พวกเจ
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว