ฮองเฮาจ้องมองยังเบื้องหลังของนาง ในใจเกิดความตื่นตกใจขึ้นมาทันที คำพูดของเซี่ยจื่ออันก็มิใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล ทว่าจะใช่หรือ? นั่นเป็นบิดาของนาง คนที่นางเชื่อใจมากที่สุด หลังจากที่จื่ออันจากไปแล้ว ด้านหลังม่านนั้นก็มีคนผู้หนึ่งปรากฏออกมา จื่ออันไม่ได้คาดเดาผิดไป เขาก็คือราชครูเหลียง “ท่านพ่อ!” ฮองเอาเงยหน้าขึ้นมองยังเขา “ที่นางเอ่ยออกมานั้นถูกต้อง บางทีอาซินอาจจะไม่ได้มีใจทะเยอทะยาน หากเป็นเพราะว่าพวกเราหวาดกลัวแล้วปล่อยให้เขาพลาดโอกาสที่จะฟื้นตัวไป ก็ดูจะไม่ยุติธรรมสำหรับเขา” ราชครูเหลียงมองมายังนางด้วยความผิดหวัง “เจ้าที่เป็นถึงฮองเฮา กลับถูกผู้อื่นชักจูงได้โดยง่าย ช่างทำให้พ่อผิดหวังจริง ๆ แต่ก็ไม่น่าแปลกใจ เซี่ยจื่ออันเก่งกาจในเรื่องที่ทำให้คนหลงใหล เพียงแค่ไม่กี่คำเท่านั้น นางก็ทำให้เจ้าเปลี่ยนความตั้งใจ มู่หรงเจี๋ยได้รับความช่วยเหลือจากนาง จะต้องเป็นเหมือนกับเสือติดปีก” ฮองเฮาลังเลเล็กน้อย ในส่วนลึกของนางนั้น นางยากที่จะแยกแยะได้ว่าใครถูกใครผิด ราชครูเหลียงเอ่ยออกมาต่อ “อาซินกับมู่หรงเจี๋ยมีความสนิทชิดเชื้อ หากว่าอาซินถูกแต่งตั้งให้เป็นองค์รัชทายาท สุดท้ายแล้วใครจะเป็นผ
จื่ออันเอ่ยออกมา “ป้าชุ่ยยู่ ช้าก่อน” ป้าชุ่ยยู่หันกลับมามีท่าทีดูตื่นตระหนก ทว่าจากนั้นก็คุกเข่าลงไป “บ่าวขอบคุณคุณหนูใหญ่มากเจ้าค่ะ” “ขอบคุณอะไรข้า?” จื่ออันตะลึงไปครู่หนึ่ง นางไม่รู้ว่าคนในครอบครัวของป้าชุ่ยยู่ได้ติดโรคผีดิบเข้า “หากว่าไม่ใช่เพราะว่าคุณหนูใหญ่ที่พัฒนาใบสั่งยาขึ้น คนในครอบครัวของบ่าวคงจะไม่อาจที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้” ป้าชุ่ยยู่เอ่ยออกมา “ที่แท้เพราะว่าเรื่องนี้ ข้าไม่ได้ทำเพื่อเจ้า ลุกขึ้นเถิด” จื่ออันเอ่ยออกมาอย่างเรียบเฉย ป้าชุ่ยยู่ลุกขึ้นยืน ราวกับกลัวว่าจื่ออันจะเข้าใจผิดว่านางมาพร้อมกับความเป็นศัตรู ก็รีบร้อนเอ่ยออกมา “บ่าวต้องการจะมาโขกศีรษะ ขอรับโทษจากเสี้ยนจู่ หลังจากที่ขอรับโทษแล้ว บ่าวก็จะไปยังพื้นที่อื่น” “เจ้าจะจากเมืองหลวงไป? ไปที่ใดกัน?” เสี่ยวซุนเอ่ยถาม “ไปหางานทำพื้นที่อื่น บ่าวหักหลังฮูหยินผู้เฒ่า ชื่อเสียงในเมืองหลวงคงจะเหม็นเน่าไปเสียแล้ว คงจะไม่อาจหางานทำได้แล้ว” ป้าชุ่ยยู่เอ่ยพึมพำออกมา จื่ออันถึงได้นึกถึงเรื่องที่ซูชิงเคยเอ่ยออกมาว่า ชุ่ยยู่เองก็เคยไปให้การที่กรมอาญา ที่เรียกว่าทรยศหักหลังนั้น อันที่จริงแล้วคือถูกบีบบังคับเสียจน
ชุ่ยยู่ค่อนข้างที่จะสับสน “บ่าวเองก็ไม่รู้ คงลองไปดูใกล้ ๆ กับเมืองหลวงนี้กระมังเจ้าค่ะ” รับใช้ฮูหยินผู้เฒ่ามาครึ่งค่อนชีวิต นางไม่รู้จริง ๆ ว่าจะไปที่ใดกัน “เจ้าจะต้องไปที่อื่นทำไมกัน? อยู่ที่เรือนตนเองก็ดีแล้วมิใช่หรือ? หลายปีมานี้เจ้าคงจะสะสมเอาไว้ไม่น้อยแล้ว” หยวนฉุ่ยยวี่เอ่ยออกมา ป้าชุ่ยยู่ยิ้มออกมาอย่างเศร้าใจ “หลานชายของบ่าวแต่งงานไปแล้ว แล้วใครจะยินดีรับบ่าวเอาไว้? อีกอย่าง หลายปีมานี้ ก็ไม่ได้เก็บสะสมอะไร ล้วนให้พวกเขาไปสร้างเรื่องแต่งภรรยามีลูกกันทั้งสิ้น” “เงินทองของเจ้าล้วนแต่มอบให้พวกเขาหมดแล้ว พวกเขายังไม่ยินดีที่จะเลี้ยงเจ้าอีก?” หยวนฉุ่ยยวี่เอ่ยถามออกมาอย่างไม่เข้าใจ “ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ยินดี เพียงแต่ว่าบ่าวยังมีมือมีเท้า เงินทองที่มอบให้เขาไปนั้น ก็ไม่ได้คิดที่จะให้พวกเขาตอบแทน ตอนนี้ตกอยู่ในความยากลำบาก แล้วจะกลับไปให้พวกเขาเลี้ยงดูได้อย่างไร? ชีวิตของพวกเขาเองก็ไม่ได้ดีมากนัก” หยวนฉุ่ยยวี่คิดอยู่ครู่หนึ่ง “เอาเช่นนี้เถิด ข้าเองก็ขาดคนที่มีความรู้อยู่ หากว่าเจ้ายินดีแล้วล่ะก็ ก็อยู่เสียที่นี่เถิด” จื่ออันตกตะลึงไป จากนั้นก็ดึงมือของหยวนฉุ่ยยวี่แล้วเอ่ยออกมา
หลังจากที่จื่ออันออกจากเรือนฟังเสียงฝนไปแล้ว ก็ไปยังจวนอ๋องเหลียง กลับถูกแจ้งมาว่าอ๋องเหลียงถูกเรียกตัวเข้าวังโดยด่วน เข้าไปตั้งแต่เช้า จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่กลับมา หัวใจของจื่ออันเต้นแรงขึ้นมา หรือว่าฮองเฮาต้องการจะให้อ๋องเหลียงถอดใจจากการรักษา? เมื่อคิดมาจนถึงตรงนี้ นางจึงเอ่ยออกมากับคนรับใช้ภายในจวน “ข้าจะอยู่ที่นี้เพื่อรอเขากลับมา” และบังเอิญว่าซูชิงเองก็มาหาอ๋องเหลียงด้วยเช่นกัน เมื่อได้ยินว่าอ๋องเหลียงเข้าวังไป เขาก็ยิ้มออกมา “หรือว่าฮองเฮาเมื่อเห็นว่าเขาไล่หญิงสาวภายในจวนไปหมดแล้ว ก็เลยจะหาคนชุดใหม่ให้กับเขา?” ซูชิง เซียวท่า และคนอื่น ๆ ล้วนแต่ไม่รู้เรื่องโรคที่หลบซ่อนอยู่ของอ๋องเหลียง แน่นอนว่าย่อมไม่รู้ว่าที่ฮองเฮาหาหญิงสาวกลุ่มใหญ่มาไว้ในจวน เพื่อปิดบังหลองลวงผู้อื่นจื่ออันนึกถึงเรื่องของอี๋เอ๋อร์ที่พวกเขาเคยเอ่ยออกมาก่อนหน้านั้น จึงได้ถามออกมา “อ๋องเหลียงมีคนที่อยู่ในใจแล้วใช่หรือไม่? ใช่หญิงสาวที่ชื่ออี๋เอ๋อร์อะไรนั่นใช่หรือไม่?” “ใช่อี๋เอ๋อร์ ทว่าชื่นชอบไปก็ไม่มีประโยชน์ เขาไม่เคยเอ่ยออกมา อี๋เอ๋อร์เองก็ไม่รู้ว่าจะแต่งงานให้กับคนอื่นไปแล้วหรือไม่!” ซูชิงเอ่ย
เมื่อจื่ออันคิดขึ้นมาว่าอ๋องเหลียงคงจะไม่กลับมาในเร็ว ๆ นี้ จึงได้เอ่ยออกไปกับซูชิง “ไม่สู้ เจ้าไปเยี่ยมหลิวหลิ่วกับข้า!” ซูชิงเอ่ย “ข้าไปมาแล้ว ถูกเหล่าไท่จวินไล่ออกมา เจ้าเองก็ไม่มีทางพบนาง เหล่าไม่จวินเองก็ไม่สนใจอะไรมากนัก สนเพียงแต่ว่าจะมัดตัวนางขึ้นเกี้ยวไป” จื่ออันไม่คิดเลยว่าเรื่องราวจะร้ายแรงจนถึงเพียงนี้ นางไม่อาจจะทำอะไรได้เลย “แล้วจะทำอย่างไรดี? หรือว่าจะต้องให้หลิวหลิ่วแต่งงานไปกับคนที่นางไม่ชื่นชอบอย่างนั้นหรือ?” ซูชิงเอ่ย “แล้วเจ้าจะมีวิธีการอื่นใดอีก? เจ้าบ้าเสี่ยวท่านี่ก็มีแต่ขนจมูกที่ยาวแต่ไม่มีสมอง” ขณะที่ทั้งสองคนกำลังเป็นกังวลกันอยู่นั้น ก็พบว่าอ๋องเหลียงเดินกะโผลกกะเผลกเข้ามา เมื่อเขามองเห็นจื่ออันและซูชิงเองล้วนแต่อยู่ที่นี่ ก็เผยรอยยิ้มออกมา “มากันแล้ว?” จื่ออันเอ่ยออกมา “ใช่แล้ว รอท่านมาครึ่งค่อนวันแล้ว” อ๋องเหลียงนั่งลง ยังคงมีรอยยิ้มดังเก่า “ข้าเข้าวังมา” “อืม ข้ารู้แล้ว เมื่อครู่คนใจจวนของท่านบอกกับข้าแล้ว” จื่ออันมองยังเขา รู้สึกได้ว่ารอยยิ้มของเขาดูแปลกประหลาดไป ดูฝืนยิ่งนัก “ใช่แล้ว” อ๋องเหลียงถอนหายใจออกมา จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองยังจื่อ
อี๋เอ๋อร์เล่า? อี๋เอ๋อร์จะทำอย่างไร? ท่านจะถอดใจจริง ๆ อย่างนั้นหรือ?” จื่ออันบีบบังคับถามออกมา อ๋องเหลียงมองยังนางด้วยความประหลาดใจ “เจ้ารู้จักอี๋เอ๋อร์? อี๋เอ๋อร์เป็นหญิงสาวที่ดี บางทีนางอาจจะแต่งงานไปแล้วก็เป็นได้ อีกทั้ง ถึงแม้ว่าข้าจะเคยชื่นชอบนาง แต่ก็ไม่เคยคิดที่จะแต่งงานกับนาง อย่างไรแล้ว นางก็เป็นหญิงสาวจากซีหนาน สถานะภูมิหลังต่ำต้อย ไม่คู่ควรกับข้า” เขาเอื้อมมือออกมารินชาจอกหนึ่ง จื่ออันมองยังปลายนิ้วมือที่จับจอกนั้นของเขาที่สั่นเทาเล็กน้อย เขาเสียใจและรู้สึกโกรธ แต่กลับเสแสร้งทำเป็นปลอบโยนคนที่ห่วงใยเขาจริง ๆ ซูชิงเองก็มองออกว่ามีบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง “อ๋องเหลียง ท่านสามารถปฏิเสธออกไปได้ ท่านชื่นชอบอี๋เอ๋อร์เป็นอย่างมาก อีกทั้งอี๋เอ๋อร์ก็อาจจะยังไม่ได้แต่งงาน แล้วทำไมถึงไม่ไปตามหานางกัน?” “ไม่ตามหาแล้ว มีอะไรให้ต้องหากัน? หญิงสาวสามัญชนเช่นนั้น มีไว้เพียงเพื่อความรื่นเริงเท่านั้น หลังจากที่รื่นเริงไปแล้ว ก็เป็นเหมือนกับขยะที่ต้องโยนทิ้ง” เขาดื่มชาไปคำโต “เอาล่ะ พวกเจ้ากลับไปได้แล้ว ข้ายังมีเรื่องที่ต้องจัดการอีก” เมื่อเอ่ยออกมาจบ ก็เดินมุ่งออกไปด้านนอก จื่ออั
หลังจากที่จื่ออันจากไปแล้ว เขาก็เหมือนจะทำอะไรไม่ถูกขึ้นมา ซูชิงถึงได้ล่วงรู้ได้ถึงว่าปัญหาอยู่ที่ใด “หากว่าเขาต้องการจะแต่งกับคุณหนูตระกูลหลินก็ประหลาดแล้ว” ซูชิงเอ่ยออกมาอย่างเย็นชา “เป็นฮองเฮาที่บีบบังคับเขา แต่อ๋องเหลียงที่ข้ารู้จัก คงจะไม่ยินยอมง่ายดายเช่นนี้” ทันใดนั้นจื่ออันก็นึกถึงปัญหาหนึ่งขึ้นมาได้ “ฮองเฮารู้จักอี๋เอ๋อร์?” “ข้าไม่รู้ว่าฮองเฮาจะรู้หรือไม่” ซูชิงเอ่ยออกมา รู้สึกว่าคำพูดของตนค่อนข้างที่จะลำบาก “ฮองเฮาคงจะไม่รู้หรอก?” จื่ออันรู้สึกว่าเรื่องนี้ดูจะแปลกประหลาด อ๋องเหลียงเข้าวังไปเพียงแค่ครั้งเดียว กลับออกมาก็ยอมล้มเลิกการรักษา อีกทั้งยังบอกว่าจะแต่งกับคุณหนูตระกูลหลิน ทันใดนั้นก็นึกถึงตอนครั้งแรกที่เข้าวังไป ในตอนนั้นอ๋องเจ็ดเองก็อยู่ด้วย ฟังจากการสนทนาของพวกเขาแล้ว เหมือนว่าอ๋องเจ็ดจะมีอำนาจในการตัดสินใจการแต่งงานของอ๋องเหลียงได้ เมื่อคิดมาจนถึงจุดนี้แล้ว นางก็ลืมเรื่องของหลิวหลิ่วเสีย รีบสั่งให้ตาวเหล่าต้ากลับไปยังจวน เมื่อกลับมาถึงจวน ก็พบว่ามู่หรงเจี๋ยอยู่พอดี นางให้ซูชิงเข้าไปแล้วปิดประตูลง แล้วเอ่ยถามมู่หรงเจี๋ย “เรื่องงานอภิเษกของอ๋องเหลีย
มู่หรงเจี๋ยเหลือบมอง เอ่ยออกมาอย่างรังเกียจ “ข้าไม่ได้ชอบกินของหวาน ฮองเฮาคงจะจำผิดแล้ว” “โอ๋ว!” ฮองเฮาดูเหมือนว่าจะนึกขึ้นได้ “ข้าจำผิดไป ที่ชอบกินของหวานคืออ๋องหลี่” อ๋องหลี่ไม่ได้ชอบกินของหวาน! นางเงยหน้าขึ้นมา มองไปยังมู่หรงเจี๋ยด้วยท่าทีที่สบาย ๆ “ท่านอ๋องเข้าวังมาครั้งนี้ เกรงว่าคงจะมิใช่เพียงแค่ถวายพระพรข้าหรอกสินะ?” มู่หรงเจี๋ยเข้าตรงประเด็น “ข้าได้ยินมาว่าท่านจัดการงานอภิเษกให้กับอาซิน เป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลหลินใช่หรือไม่?” “ข่าวของท่านอ๋องช่างรวดเร็วดีแท้ วันนี้เพิ่งจะตัดสินใจเรื่องงานอภิเษก ยังไม่ทันได้ประกาศออกไปภายนอก ท่านอ๋องก็รู้เสียแล้ว” ฮองเฮาเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม “ที่แท้เรื่องงานมงคลนั้นแพร่กระจายออกไปโดนเร็วแท้!” มู่หรงเจี๋ยเอ่ยออกมาอย่างเฉยเมย “ข้ามีข้อกังขาเกี่ยวกับคุณสมบัติของคุณหนูใหญ่ตระกูลหลิน งานอภิเษกครั้งนี้ ข้าไม่เห็นด้วย” ฮองเฮาส่งเสียงหัวเราะออกมา รินน้ำชาให้กับมู่หรงเจี๋ยด้วยพระองค์เอง “ท่านอ๋อง เรื่องนี้เกรงว่าท่านคงจะตัดสินใจอะไรไม่ได้ งานอภิเษกในครั้งนี้ เป็นอาซินที่เสนอแนะขึ้นมาเอง” “เป็นเขาที่เสนอออกมา?” มู่หรงเจี๋ยเลิกคิ้วออกมา แล้วเอ่
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว