จวนมหาเสนาบดี!ตั้งแต่จื่ออานเข้าวังไป มหาเสนาบดีเซี่ยก็ได้สั่งคนให้ไปสืบดูความเคลื่อนไหวภายในวังมาโดยตลอดหลานสาวของเหล่าฟูเหริน คือพระสนมเหมย เหล่าฟูเหรินได้สั่งคนให้ไปพบพระสนม เพื่อให้นางหาคนไปช่วยสืบคนที่ไปสืบได้ออกจากวังมารายงานต่อเหล่าฟูเหริน และมหาเสนาบดีเซี่ย"พระสนมเหมยกล่าวว่า องค์จักรพรรดิเหลียงล้มป่วยอยู่ในวัง หมอหลวงทุกคนก็ไปกันหมด หลังจากที่คุณหนูใหญ่ถูกเรียกตัวเข้าวัง ก็อยู่ที่ตำหนักบูรพามาโดยตลอด จากนั้นก็ไม่รู้ว่าทำไมจู่ ๆ ถึงไปโผล่ที่พระตำหนักฉางเชิงได้ หวงไท่โฮ่วและกุ้ยไท่เฟยก็ไปด้วย หวงไท่โฮ่วโมโหคุณหนูใหญ่มาก บอกว่าให้โบยนางแล้วขังไว้ในห้องลงทัณฑ์ สุดท้ายก็ไม่ได้โบย ได้ยินมาว่าผู้สำเร็จราชการแทนองค์จักรพรรดิช่วยขอร้องให้"เหล่าฟูเหรินที่ได้ฟังรายงาน อดไม่ได้ที่จะถามด้วยความประหลาดใจ "องค์จักรพรรดิเหลียงป่วยหนักเหรอ? พระอาการเป็นเช่นไรบ้าง?" "พระสนมเหมยได้ยินหมอหลวงหลิวพูดว่า พระอาการไม่สู้ดีนัก เกรงว่าองค์จักรพรรดิจะไม่รอดแล้ว"เหล่าฟูเหรินขมวดคิ้วอย่างไม่รู้ตัว ไตร่ตรองอยู่ครู่นึง มองไปที่มหาเสนาบดีเซี่ยแล้วกล่าว "ทำไมองค์จักรพรรดิเหลียงถึงได้ป่วยหนักในเว
มหาเสนาบดีเซี่ยถามอย่างสงสัย "แม่นมหยางผู้นี้มาทำอะไรที่นี่อีกล่ะ?"เหล่าฟูเหรินกล่าว "ไม่รู้เหมือนกัน ต้อนรับขับสู้อย่างใจเย็นไว้ก็พอ"หลิงหลงฟูเหรินกล่าวถาม “คงจะไม่ได้มาประกาศพระราชโองการใช่ไหม? เป็นไปได้ไหมที่ฮองเฮามีความประสงค์จะลงโทษจวนมหาเสนาบดีของพวกเรา?”"หุบปากของเจ้าไปซะ!" เหล่าฟูเหรินมองนางตาไม่กะพริบ "รู้จักแต่พูดจาไร้สาระ"หลิงหลงฟูเหรินที่เห็นนางโกรธ ก็ทำได้เพียงสงบปากสงบคำ ยืนข้าง ๆ อย่างระมัดระวังคนเฝ้าประตูได้ให้แม่นมหยางเข้ามา เหล่าฟูเหรินยิ้มต้อนรับ "แม่นม วันนี้ท่านกับจวนมหาเสนาบดีช่างมีวาสนาต่อกันเสียจริง ภายในหนึ่งวันมาถึงสองรอบ ครั้งนี้ยังไงก็จะให้ท่านอยู่รับประทานอาหารเย็นก่อนถึงจะให้กลับไปได้”แม่นมหยางยิ้มตอบ “ขอบคุณน้ำใจของเหล่าฟูเหริน เรื่องรับประทานอาหารไม่จำเป็นแล้ว ครั้งนี้ข้าน้อยได้รับคำสั่งให้มาที่นี่ และจะต้องรีบกลับวัง”"รับคำสั่ง? ฮองเฮาสั่งให้ท่านมาใช่หรือไม่?" ดวงตาของเหล่าฟูเหรินเปล่งประกาย รอยยิ้มยังคงปรากฏบนใบหน้าอยู่เช่นเดิม “เชิญท่านนั่งจิบชาก่อนสักครู่แล้วค่อยพูดคุยกัน” แม่นมหยางก้าวไปด้านหน้าของมหาเสนาบดีเซี่ย “ข้าน้อยเคยพบนายท่าน
หลิงหลงฟูเหรินสีหน้าซีดเผือด แต่คนรับใช้ก็ออกไปแล้ว นางก็ไม่สามารถพูดอะไรต่อหน้าแม่นมหยางได้ ทำได้เพียงแต่ยืนข้าง ๆ รออย่างกระสับกระส่ายเสี่ยวซุนถูกคนรับใช้สองคนช่วยพยุงตัวมา นางแทบจะยืนไม่ไหว ทั่วทั้งใบหน้าและศีรษะของนางเต็มไปด้วยคราบเลือด เสื้อผ้านางฉีกขาดหลายจุดเผยให้เห็นรอยแผล รู้ได้เลยว่าหญิงรับใช้ผู้อ่อนแอนางนี้ ประสบเคราะห์ร้ายอันใดมาแม่นมหยางแม้ว่าจะพบเจอกับความโหดร้ายของคนจนเคยชิน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าเย็นชาออกมา "ไม่ทราบว่าหญิงรับใช้ผู้นี้ทำผิดอะไรกันแน่ ถึงได้ถูกโบยหนักเช่นนี้"เหล่าฟูเหรินนึกไม่ถึงว่าเสี่ยวซุนจะมีสภาพแบบนี้ นางมองไปที่หลิงหลงฟูเหรินด้วยสายตาตำหนิ แล้วกล่าวเสียงดัง "เกิดเรื่องอะไรขึ้น? ข้าบอกกับเจ้ามากี่ครั้งแล้ว เมื่อคนรับใช้ทำผิด ก็ไม่อาจโบยจนอาการสาหัสขนาดนี้"หลิงหลงฟูเหรินพูดอย่างอึกอัก: "ท่านแม่โปรดระงับโทสะ หญิงรับใช้ได้ขโมยของไป ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่ยอมรับผิด ดังนั้นลูกจึงสั่งให้ เซี่ยฉวนเป็นคนสอบปากคำ ใครจะไปรู้ว่าเซี่ยฉวนจะลงมือหนักเช่นนี้"แม่นมหยางจะไม่รู้ได้อย่างไรว่านี่คือ ข้ออ้างของหลิงหลงฟูเหริน? แต่ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของคนภา
หลิงหลงฟูเหรินในใจคิดโกรธแค้น ตอนนี้ยังจัดการอะไรนางไม่ได้ ได้แต่แอบสาปแช่งนางในใจ นังเฒ่านี่ทำไมไม่รีบตาย ๆ ไปซะ? ตายไปแล้วหน้าที่การปกครองจวนนี้ก็ต้องตกเป็นของนาง“ท่านแม่ระงับโทสะด้วย เป็นลูกเองที่โง่เขลา” หลิงหลงฟูเหรินกัดฟันกล่าวขอโทษออกไปเหล่าฟูเหรินพ่นลมหายใจ มองนางอย่างเยือกเย็น "อย่ามาทำตัวหน้าไหว้หลังหลอก ข้ารู้ว่าเจ้าสาปแช่งข้าในใจ แต่ก็ไม่เป็นไร วุ่นวายกับเจ้าที่ด้อยความรู้เช่นนี้ก็ดูเหมือนข้าจะตื้นเขินเกินไป”มหาเสนาบดีบดีเซี่ยเห็นเหล่าฟูเหรินโกรธขึ้นเรื่อย ๆ ก็รีบเปลี่ยนเรื่องคุย "ท่านแม่ ท่านคิดว่าฮองเฮาจะเอายังไงกันแน่?"เหล่าฟูเหรินยับยั้งความรู้สึกไว้ก่อน แล้วคิดใคร่ครวญ "จากข้อมูลที่พระสนมเหมยให้มา เรื่องการถูกฝังทั้งเป็นนั้นมีความเป็นไปได้ แต่ว่าฮองเฮาสั่งคนให้มาพาตัวเสี่ยวซุนเข้าวัง ทั้งยังนำเสื้อผ้าไปด้วยอีก มันก็ดูแปลก ๆ นะ""เป็นไปได้ไหมที่ฮองเฮาจะโปรดปรานนางจริง ๆ ต้องการให้นางพักอยู่ในวังสักสองสามวัน?" หลิงหลงฟูเหรินคาดเดาด้วยความตื่นตระหนกเหล่าฟูเหรินกล่าวอย่างเย็นชา "มีเพียงคนสมองหมูโง่เง่าอย่างเจ้าถึงจะคิดเช่นนี้ได้ หากวันนี้องค์จักรพรรดิเหลียงทรงป
ที่ด้านนอกสวนหลวงกุ้ยไท่เฟยยังไม่ออกจากวังกลับจวนไป อยู่ที่ศาลาในสวนหลวงตระเตรียมขนมไว้มากมาย และให้คนเชิญมู่หรงเจี๋ยมาที่นี่เดิมทีมู่หรงเจี๋ยก็ไม่เต็มใจที่จะไป แต่ว่ากุ้ยไท่เฟยสั่งคนให้ไปเชิญสามครั้งแล้ว เขาจึงจำต้องไปแสงสลัวในยามค่ำอันงดงาม กับสายลมพี่พัดแผ่วเบา โคมไฟที่ประดับเป็นจุด ๆ ส่องสว่างอยู่ที่มุมหนึ่งของสวนหลวง กุ้ยไท่เฟยนั่งตัวตรงอยู่ที่ม้านั่งหิน ในมือถือถ้วยชาเอาไว้ สีหน้าแลดูหดหู่ พอเห็นมู่หรงเจี๋ยมาถึง นางก็เงยหน้าขึ้น นัยน์ตาดูดุดัน"เสด็จแม่!" มู่หรงเจี๋ยนั่งลง "ดึกดื่นขนาดนี้ใยท่านถึงไม่กลับจวนเล่า? คืนนี้จะพักในวังหรือ?”กุ้ยไท่เฟยวางถ้วยชาที่ถืออยู่ลงไปบนโต๊ะอย่างแรง โบกมือสั่งข้ารับใช้ให้ถอยออกไป และกล่าวเสียงดัง "เจ้ายังรู้ด้วยเหรอว่าข้าคือแม่ของเจ้า ข้าถามเจ้าหน่อยเถิด ในสายตาเจ้ายังเห็นข้าเป็นแม่อยู่หรือไม่?"มู่หรงเจี๋ยขมวดคิ้ว "เสด็จแม่จำเป็นต้องโกรธถึงเพียงนี้ด้วยหรือ?"”ไม่โกรธได้เช่นไร?" กุ้ยไท่เฟยโกรธจนสมองเบลอ มือไม้สั่น "องค์จักรพรรดิเหลียงจะเป็นหรือตาย นั้นเกี่ยวอะไรกับเจ้า? ข้าได้บอกกับเจ้านานแล้ว ฮองเฮาหวาดกลัวเจ้า ให้เจ้ากับองค์จักรพรรดิ
กุ้ยไท่เฟยโกรธมากถึงกับกำหมัดแน่น ไม่ได้ ให้เขาอภิเษกสมรสกับเซี่ยจื่ออานไม่ได้ดวงตาของกุ้ยไท่เฟยฉายแววของความชั่วร้ายออกมา เซี่ยจื่ออานนางจะต้องตาย และจะต้องตายต่อหน้าพระพักตร์ขององค์จักรพรรดิเหลียงด้วย หนี่หรงติดตามเขาไป เขามีความกังวลเล็กน้อยจึงถามมู่หรงเจี๋ย "ท่านอ๋อง ท่านเชื่อใจในตัวเซี่ยจื่ออานจริง ๆ หรือ?สีหน้าของมู่หรงเจี๋ยก่อนหน้านี้ที่แลดูอารมณ์ดีแปรเปลี่ยนเป็นมืดหม่น "ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เจ้าต้องคอยจับตาดูเซี่ยจื่ออานอย่างใกล้ชิด อย่าให้ใครแตะต้องนางได้"หนี่หรงตกตะลึง แต่ก็เข้าใจได้ในทันที "ท่านอ๋องโปรดวางใจ บ่าวเข้าใจแล้ว"มู่หรงเจี๋ยกระวนกระวายใจเป็นอย่างมาก วันนี้เขาปฏิเสธการคัดค้านของทุกคน ให้เซี่ยจื่ออานรักษา ไม่ใช่ว่าเขามั่นใจในตัวนางมากนัก แต่เขารู้ว่าหมอหลวงหมดหนทางรักษาอาซินแล้ว เขาไม่สามารถมองดูอาซิน จากไปโดยที่ไม่ช่วยเหลืออะไรเลย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ความหวังจะริบหรี่เพียงใด เขาจะไม่หมดความหวังเซี่ยจื่ออาน เจ้าจะต้องรักษาอาซินให้ดีที่สุด มิเช่นนั้น ข้าจะไม่ละเว้นเจ้าแน่มู่หรงเจี๋ยไม่ได้นอนหลับที่พระตำหนักฉางเชิง แต่เขาคอยสังเกตพระอาการขององค์จักรพรรดิ
จื่ออานรู้สึกละอายใจเล็กน้อย “อันที่จริงแล้วข้าไม่รู้จักเวินอี้เลย และก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่านางเป็นคนสำคัญยังไง เดิมทีแค่คิดว่าไม่มีใครรู้จักนาง ข้าก็เลยอ้างชื่อขึ้นมาหลอกเฉย ๆ มันคือความผิดพลาดของข้าเอง”“สิ้นคิด!” มู่หรงเจี๋ยถอนหายใจเสียงดัง แต่เขาก็รู้สึกสงสัยในทันที “เจ้าไม่รู้จักเวินอี้เลยสักนิดหรือ?”“ข้ารู้ว่านางเป็นฮองเฮาของรัฐเหลียง และมีตำราที่มีชื่อเสียงชื่อว่า ตำราฝังเข็มทอง ซึ่งตำราเล่มนี้ตอนนี้อยู่ที่จวน”มู่หรงเจี๋ยลุกขึ้นยืนในทันที “เจ้าว่าอย่างไรนะ? ตำราฝังเข็มทองอยู่ในจวนมหาเสนาบดีเหรอ?”“ถูกต้อง มันอยู่กับท่านแม่ข้า” จื้ออานที่เห็นเขาตกใจแบบนั้นก็รู้สึกชั่งใจเล็กน้อย นางถามเพื่อหยั่งเชิงออกไป “ทักษะการฝังเข็มทองนี่มันเยี่ยมยอดมากเลยเหรอ?”"เจ้าเรียนรู้ทักษะการฝังเข็มจากตำราเล่มนี้หรือไม่" มู่หรงเจี๋ยสบตานางแล้วถาม“จะว่าอย่างนั้นก็ได้” จื่ออานตอบอย่างคลุมเครือมู่หรงเจี๋ยนั่งลง สีหน้าของเขาค่อย ๆ สดใสขึ้น "อืม!"มู่หรงเจี๋ยไม่อาจควบคุมความตื่นเต้นจากก้นบึ้งของหัวใจได้ หากว่าทักษะทางการแพทย์ของนางในได้มาจากตำราฝังเข็มทองแล้วล่ะก็ เช่นนั้นแล้ว นางจะต้องสามารถรักษาอ
กุ้ยไท่เฟยอยู่เป็นเพื่อนพระนางทั้งคืน และไม่ได้นอนเช่นกัน นางส่งคนหลายกลุ่มออกไป แต่มู่หรงเจี๋ยอยู่ข้างกายเซี่ยจื่ออานตลอดเวลา หมดหนทางต้องยอมแพ้ไปโดยปริยาย ดังนั้นคืนนี้ หวงไท่โฮ่วจึงรู้สึกโศกเศร้า และเป็นกังวลมากโดยเฉพาะตอนนี้ที่ฟ้าใกล้จะสว่างแล้ว ตามที่หมอหลวงกล่าว องค์จักรพรรดิเหลียงไม่อาจอยู่รอดจนถึงเช้าได้ แม้ว่ายังไม่มีรายงานการสิ้นพระชนม์ของเขาออกมา แต่ก็คงจะอีกไม่นาน“ท่านพี่อย่าเศร้าไปเลย อาซินมีที่ของเขาที่จะต้องไป” กุ้ยไท่เฟยกล่าวปลอบประโลมอย่างไม่จริงใจหวงไท่โฮ่วถอนหายใจ “ข้าอยู่ในวังหลังนี้มาทั้งชีวิต จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าความเป็นตายขึ้นอยู่กับสวรรค์ลิขิตหาใช่คนไม่? กำหนดอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น เพียงแต่ถ้าข่าวแพร่ออกไปมันก็จะไม่เป็นผลดีต่อชื่อเสียงของอาซิน เขาเรียกตัวผู้หญิงคนหนึ่งมาเพื่อส่งเขาจากไป มีหมอหลวงแต่กลับไม่ใช้ คนนอกจะพูดเช่นไร?"กุ้ยไท่เฟยเหมือนนั่งอยู่บนเตียงตะปู เมื่อองค์จักรพรรดิเหลียงสิ้นพระชนม์ หัวหอกจะพุ่งตรงไปที่อาเจี๋ยหวงไท่โฮ่วรู้ว่าใจนางคิดอะไรอยู่ และกล่าวเบา ๆ “น้องพี่ พี่สาวคนนี้ไม่โทษอาเจี๋ย ที่จริงเขารักอาซินมาก ถ้าต้องโทษใครสักคนก็คงต้องโทษเ
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว