อีกทั้งคำสั่งนี้ก็ไม่อาจผิดพลาดได้ ต้องไปตามเส้นเลือดหลัก“ได้ ข้าจะเริ่มแล้วนะ” จื่ออันเอ่ยออกมาทั้งยังหยิบเข็มเอาไว้ในมืออย่างมั่นคง เริ่มเข็มตั้งแต่จุดเสินถิ้งทะยานไปอย่างรวดเร็วเพื่อไปยังจุดป๋ายฮุ่ย จุดเฉียงเจียน แต่ว่าเมื่อมาถึงจุดหยางป๋ายนั้น จู่ ๆ ศีรษะของหวางหยูก็หมุนไปเล็กน้อย เข็มของนางตกอยู่ที่จุดหยู่ยาว จึงทำให้เกิดการผิดพลาดของลำดับจุดฝังเข็ม เพราะว่าจะต้องมายังจุดหยางป๋ายเสียก่อนถึงจะเป็นจุดหยู่ยาวเมื่อผ่านเข้ามาทางเส้นชีพจรแล้วจึงมิอาจที่จะถอยกลับหลังได้ นี่ก็เท่ากลับว่านางจะต้องเริ่มต้นใหม่อีกครั้งนางเอ่ยกลับซูชิงว่า “เจ้าจะต้องทำให้เขาไม่อาจเคลื่อนไหวได้ ไม่งั้นข้าก็จะต้นเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ข้ามีโอกาสเพียงแค่สามครั้งเท่านั้น ครั้งนี้เป็นครั้งที่หนึ่งแล้ว”ซูชิงเอ่ย “ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาทำไมจู่ ๆ ถึงได้เคลื่อนไหวขึ้นมาได้ ข้าคิดว่าเขาจะฟื้นขึ้นมาเสียอีก ทำเอาข้าตกใจเสียแล้ว”จื่ออันเอ่ย “อืม ครั้งนี้เจ้าต้องระมัดระวังไว้ให้ดี”ซูชิงประคองส่วนศีรษะของหวางหยูเอาไว้อย่างแน่นหนา ประคองเอาไว้แน่นกว่าเดิม เพื่อที่จะให้จื่ออันได้ฝังเข็มได้โดยง่ายครั้งที่สอง
ซูชิงยินดีเป็นอย่างมาก “ได้ เพียงแค่สามารถช่วยหวางหยูเอาไว้ได้ ข้ายินยอม”ซูชิงนั่งลง จื่ออันจึงได้เริ่มฝังเข็ม เรียงลำดับเหมือนกันกับหวางหยู เริ่มตั้งแต่จุดเสินถิ้งไปยังจุดเฟิงซือ จนถึงจุดหยางป๋ายนั้นซูชิงจึงได้ลุกขึ้นยืนเขาเขย่าศีรษะอยู่ครู่หนึ่ง สีหน้ามีความรู้สึกสงสัยมึนงง“เป็นอะไรไป?” จื่ออันเอ่ยถามซูชิงค่อย ๆ นั่งลง สีหน้ายังคงดูมึนงง “มีความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่าง”“ความรู้สึกอย่างไร?” จื่ออันรีบร้อนถามต่อซูชิงเงยหน้าขึ้นมามองยังนาง “เหมือนกับในหัวนั้นมีบางอย่างกระตุกไปมาอยู่เพียงครู่ จากนั้นข้าก็มีความรู้สึกที่เอ่ยออกมาไม่ได้อย่างหนึ่ง”“ความรู้สึกที่เอ่ยออกมาไม่ได้?” จื่ออันมองมายังเขาด้วยความสงสัย ดูแล้วเข็มทะยานนี้อาจจะเข้าไปกระตุ้นในจุดฝังเข็มเหล่านี้ ให้ส่งผลต่อความสามารถในการตอบกลับของร่างกายซูชิงใบหน้าเริ่มจะมีสีแดงเล็กน้อย “อืม ใช่แล้ว ความรู้สึกที่เอ่ยอธิบายออกมาไม่ได้ แต่ว่าไม่มากนัก เป็นเพียงแค่ชั่วครู่เดียวเท่านั้น”จื่ออันมองมายังเขาด้วยความตกตะลึง “ถ้าไม่อย่างนั้น เจ้าลองวาดเป็นรูปอธิบายออกมาว่ามันเป็นความรู้สึกอย่างไร? บางทีข้าอาจจะพอเข้าใจ
หลังจากที่จื่ออันกลับมาถึงจวนมหาเสนาบดีแล้ว ก็ค้นดูทักษะการฝังเข็มทอง คาดไม่ถึงว่าจะเข้าใจถึงอันดับเริ่มต้นของจุดฝังเข็มทยานว่าจริง ๆ แล้วควรเริ่มต้นจากจุดไหนกันแน่เมื่อนึกไปถึงการระบาดที่หมู่บ้านศิลาแล้วนั้น ก็เกิดความรู้สึกกลัวที่จะเป็นแบบเดียวกัน ดังนั้นนางจึงไม่มีใจที่จะคิดต่ออีกเขาในตอนนี้คงจะรู้สึกเบื่อขึ้นมาแล้ว? ก่อนหน้านี้เขายังเอ่ยออกมาว่า โรคผีดิบนี้ได้รับการควบคุมเอาไว้แล้ว นอกจากหวางหยูแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดติดโรคอีกแล้วตอนนี้เพียงแค่ชั่วระยะเวลาหนึ่งก็ปะทุอยู่ในหมู่บ้าน อีกทั้งอยู่ห่างจากเมืองหลวงเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น เรื่องนี้หากว่าจัดการไม่เรียบร้อยแล้วนั้น ก็จะทำให้เกิดความตื่นตระหนกขึ้นมาได้ มู่หรงเจี๋ยจริง ๆ แล้วนั้นกังวลเป็นอย่างมาก วันนี้ว่าราชการในตอนเช้านั้น มหาเสนาบดีเซี่ยนั้นลาไม่ได้เข้าร่วมด้วย แต่หลังจากที่ราชการในตอนเช้านี้หารือกันสำเร็จแล้ว กลับได้รับการรายงานว่าในหมู่บ้านศิลานั้นเกิดการระบาดของโรคผีดิบนี้ขึ้น มีประชากรเป็นจำนวนมากที่ติดโรคระบาดนี้ เกิดเหตุการณ์ที่มีผู้คนกัดผู้อื่นขึ้นมาหมู่บ้านศิลานี้เดิมก็เป็นจุดเริ่มต้นที่มีการค้นพบโรค
กุ้ยไท่เฟยเอ่ยออกมา “ได้ยินมาว่ามีมากกว่าร้อยคนที่มีอาการป่วยแล้ว ส่วนคนที่เหลือนั้นก็เคยสัมผัสกับผู้ที่ป่วยมาแล้ว เลยไม่รู้ว่าจะติดโรคมาด้วยหรือไม่ จึงจำต้องปิดล้อมเมืองเอาไว้เพคะ”หวงไท่โฮ่วเอ่ยออกมาด้วยความกังวล “แต่ว่าคนของหมู่บ้านศิลานี้ก็ไปมาหาสู่กับคนท้องที่อื่นอยู่บ่อย ๆ มีหรือไม่มีผู้ที่เข้ามาทำหาเลี้ยงชีพอยู่ในเมืองหลวง? หากว่ามีแล้วนั้น ในขณะที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวแพร่ออกไปให้ผู้อื่น แต่ไม่ได้แสดงอาการออกมา หากเป็นเช่นนี้แล้วโรคระบาดนี้ก็จะแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว”กุ้ยไท่เฟยเองใบหน้าก็แสดงความกังวลออกมา “หมู่บ้านศิลานั้นมีราษฎรบางส่วนที่ทำไร่ทำนา แต่ว่าก็ยังมีอีกบางส่วนของราษฎรนั้นออกมาทำมาหาเลี้ยงชีพนอกเมือง แน่นอนว่าจะต้องเคยสัมผัสกันกับผู้อื่น ได้ข่าวมาว่าในจำนวนของผู้ที่มีอาการป่วยไข้นั้น ก็มีอยู่สิบกว่าคนที่ตั้งร้านทำการค้าขายเล็ก ๆ อยู่ในเมืองหลวง”หวงไท่โฮ่วใบหน้าดูตกใจ “ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว อาการป่วยไข้นี้ก็อาจจะแพร่มายังเมืองหลวงได้? เมืองหลวงนั้นมีประชากรอยู่อย่างหนาแน่น หากว่ามีการแพร่กระจายออกไป นี่ไม่ได้การแล้ว”กุ้ยไท่เฟยถอนหายใจออกมาเบา ๆ “หม่อมฉันเองก็เป
กุ้ยไท่เฟยใบหน้าแสดงถึงความจริงใจ หยดน้ำตาค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นมา ส่งเสียงเรียกให้คนรู้สึกว่ามีความเสียใจจริง ๆ อยู่หลายส่วน หวงไท่โฮ่วนั้นเดิมเป็นคนที่คิดคำนึงถึงความสัมพันธ์ครั้งเก่าก่อน อีกทั้งนางยังเป็นน้องสาวของตนแท้ ๆ ในขณะนั้นจึงได้เอ่ยออกมา “เป็นพี่สาวแล้วข้าจะกล่าวโทษเจ้าได้อย่างไร? ล้วนแต่ผ่านมาแล้ว ต่อไปพวกเราครอบครัวเดียวกันรวมใจกันไว้ก็พอแล้ว”กุ้ยไท่เฟยน้ำตาไหลด้วยความสำนึกผิด “ท่านพี่ช่างใจกว้างยิ่งนัก น้องสาวในที่สุดก็ได้รู้ องค์จักรพรรดิพระองค์ก่อนทำไมถึงได้ดีต่อท่านพี่นัก น้องสาวนั้นเปรียบไม่ได้กับท่านพี่แม้แต่น้อย”หวงไท่โฮ่วเอ่ยตำหนิออกมา “กำลังงี่เง่าอีกแล้วใช่หรือไม่? ล้วนแต่ผ่านไปแล้ว พวกเราเป็นพี่สาวน้องสาวกัน อีกทั้งยังมีโอกาสได้รับใช้องค์จักรพรรดิพระองค์ก่อนด้วยกัน เป็นดั่งญาติมิตรสนิทใกล้ชิดกัน ไม่ควรที่จะไม่แยแสกัน อีกทั้งอาเจี๋ยเองก็เป็นถึงผู้สำเร็ราชการแทนองค์จักรพรรดิ เจ้าถึงแม้ว่าจะได้ชื่อว่าเป็นกุ้ยไท่เฟย แต่ก็กลับควรค่าราวกับหวงโฮ่ว พวกเรามาพูดกันที่นี้ว่าใครผิดใครถูก ใครดีหรือใครไม่ดี ทำไมถึงไม่ลองคิดกันดูดี ๆ ว่ามีวิธีใดบ้างที่จะมาแก้ไขภัยพิบัติ
ฮูหยินผู้เฒ่านั้นไม่ได้รับเอาความดีความชอบ แต่เอ่ยออกมาอย่างสุภาพ “กุ้ยไท่เฟยชื่นชมเกินไปแล้ว เรื่องนี้ไม่ใช่ความชอบของหม่อมฉันเพคะ เพียงแค่หม่อมฉันสั่งคนให้นำผู้ป่วยไปยังหมู่บ้านศิลาเท่านั้น หมู่บ้านศิลาห่างจากเมืองหลวงไม่มากนัก เมื่อเกิดการแพร่ระบาดขึ้นมา เมืองหลวงจำต้องดูแลใส่ใจ”กุ้ยไท่เฟยพยักหน้าด้วยความโล่งใจ “นำความลำบากมาให้เจ้าแล้ว คิดแผนการนี้ออกมา เมื่อเป็นเยี่ยงนี้แล้ว ราษฎรเองก็จะเป็นเพราะตื่นตระหนกตกใจแล้วก็จะมีใจคิดสงสัยต่อราชวงศ์ต่อผู้ที่มีอำนาจ ในขณะเดียวกันก็สามารถทำให้เซี่ยจื่ออันเสียชีวิตอยู่ในหมู่บ้านศิลาได้ ช่างเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเสียจริง ช่างมีความคิดเป็นเลิศยิ่งนัก ใช่แล้วคนไข้เหล่านี้ เจ้าไปหามาจากที่ใดกัน?”“ตอนนี้ได้เดินก้าวแรกออกมาแล้ว อันดับต่อไป ก็คือจะทำอย่างไรให้วางแผนให้เซี่ยจื่ออันไปยังหมู่บ้านศิลาได้” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยออกมา แต่กลับจงใจที่จะหลีกเลี่ยงคำถามสุดท้ายของกุ้ยไท่เฟยกุ้ยไท่เฟยดื่มชาลงไปคำนึง แสร้งทำเป็นว่าไม่รู้ แต่ภายในใจกลับร้องตะโกน เจ้าจิ้งจอกเฒ่ามุมปากนางยกขึ้น “ข้าวันนี้ได้เข้าวังพบกับหวงไท่โฮ่วแล้ว หวงไท่โฮ่วทรงเอ่ยออ
กุ้ยไท่เฟยถอนหายใจออกมาเบา ๆ “ซือจูนั้นเป็นคนที่ฉลาดหลักแหลม แต่กลับไม่ได้มีใจคิดเห็นเหมือนกันกับข้า นางติดตามข้ามาก็หลายปี ก็พอจะรู้ความคิดของข้า กลับเลือกที่จะหักหลังข้าในตอนสุดท้าย ฉลาดหลักแหลมแล้วมีประโยชน์อันใดกัน? ข้ารอบกายนั้นมีผู้ที่หลักแหลมอยู่มากพอแล้ว ที่ข้าต้องการคือเจ้าต้องจงรักภักดี”“ข้าจะจงรักภักดีต่อไท่เฟยไม่เป็นสองแน่นอนขอรับ” อาฝูเอ่ยสาบานกุ้ยไท่เฟยค่อย ๆ ดื่มชาลงไป แววตาเผยเจตนาออกมา “ข้างกายข้า ขอเพียงผู้ที่จงรักภักดี หากว่าเมื่อใดพบว่าเริ่มเปลี่ยนใจขึ้นมา จุดจบก็จะเป็นเหมือนกับซือจู”อาฝูนึกถึงซือจูที่ตายอย่างน่าเวทนา ในใจหนาวเหน็บขึ้นมา แต่ก็รู้สึกยินดียิ่งนักที่เห็นความย่อยยับของนาง นางสมควรที่ะได้รับมันแล้ว นางไม่รู้สถานะของตน คิดว่าหากแอบหลบไปพึ่งพาท่านอ๋องแล้วคงดีกว่า อีกทั้งยังคงคิดว่าไท่เฟยจะทำใจฆ่านางไม่ได้“เจ้ายิ้มอะไรกัน?” กุ้ยไท่เฟยอยู่ ๆ ก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นอาฝูตกตะลึงไป เร่งรีบเก็บคืนสีหน้า “บ่าวเมื่อครู่กำลังคิดถึงเรื่องราวที่ป้าซือจูทำในตอนที่นางยังมีชีวิตอยู่ จึงได้ยิ้มออกมา ขอกุ้ยไท่เฟยทรงประทานอภัยด้วยขอรับ”เขารู้ว่ากุ้ยไท่เฟย
มุมทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองหลวงนั้น มีถนนอยู่เส้นหนึ่งชื่อว่าถนนฟู่กุ้ยถนนฟู่กุ้ยนั้นตั้งตามชื่อ เพราะว่าล้วนแต่เป็นที่อยู่ของตระกูลที่มั่งคั่งร่ำรวย แน่นอนว่าที่นี่มิใช่ที่อยู่อันสูงส่งนัก แต่เป็นเพียงเรือนพักตากอากาศเท่านั้นซีเหมินเสี่ยวเยว่เองที่นี้ก็มีเรือนพักตากอากาศอยู่หลังหนึ่ง หลังจากที่นางถูกปลดแล้วนั้น ก็ได้มาอยู่ที่นี้เป็นการชั่วคราวเกี้ยวสีน้ำเงินคันนึงหยุดอยู่ตรงหน้าประตูเรือนพักตากอากาศ ชายผู้หนึ่งที่สวมเสื้อคลุมแน่นปิดบังกาย ก้มศรีษะเข้ามายังในลานเรือนพักตากอากาศภรรยาที่ถูกทอดทิ้งนั้นมีไม่มากนัก ดังนั้นกำแพงที่ล้อมรอบเรือนพักตากอากาศแห่งนี้จึงสูงยิ่งนัก คนนอกจึงมิอาจที่จะสอดส่องได้ซีเหมินเสี่ยวเยว่ตั้งแต่เช้าก็ออกมารอแล้ว เมื่อพบว่าเขาเข้ามา รีบร้อนเข้ามาต้อนรับ ช่วยเขาถอดเสื้อคลุมออกมา “ลำบากท่านแล้ว อากาศเยี่ยงนี้ยังต้องสวมเสื้อคลุดปิดบังกายมาอีก”ชายคนนั้นเอื้อมมือออกมาลูบไล้ยังแก้มนางเบา ๆ “ไม่เป็นอะไรมากนัก เพื่อเจ้าแล้ว อย่าได้เอ่ยว่าร้อน ต่อให้ร้อนจนตายใจข้าก็พร้อมยินยอม”ซีเหมินเสี่ยวเยว่ใบหน้าแดงขึ้นมา เขินอายเป็นอย่างมาก “คนโกหก”“โกหกเจ้าทำ
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว