นางเองเชื่อว่า ในการหลอกใช้ครั้งนี้ มีกี่ส่วนที่เป็นความรู้สึกจริง ๆ อยู่จื่ออันไปยังจวนท่านอ๋อง ในตอนที่ฝังเข็มนั้นเหมือนกับมีบางอย่างที่นึกไม่ออก จึงเริ่มจากมือของหนี่หรงหนี่หรงเอ่ยถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้น จากนั้นจึงได้เอ่ย “ถึงแม้ทุกคนจะรู้สึกว่าไม่ใช่ผู้ป่วยโรคผีดิบที่กัดข้า แต่ในใจข้ามักจะรู้สึกว่าใช่ เพราะว่ากลิ่มเหม็นนั้น ข้าทั้งชาตินี้ก็ไม่มีวันลืม”จื่ออันเอ่ยถาม “ข้าขอดูแผลของเจ้าได้หรือไม่?”หนี่หรงเอ่ย “แน่นอนว่าได้ แต่ว่าตอนนี้แผลเป็นนั้นจางลงไปมากแล้ว”แผลเป็นนั้นจางลงไปมากแล้วจริง ๆ สามารถเอ่ยได้ว่ารอยแผลเป็นนั้นจางลงไปอย่างรวดเร็ว ที่ ๆ มีรอยฝันนั้นตกสะเก็ดเป็นสีดำ เหมือนกันกับสีของน้ำหมึกอย่างไรอย่างนั้น จื่ออันใช้เข็มจิ้มลงไปเล็กน้อย “เจ็บหรือไม่?”“ไม่เจ็บ ไม่มีความรู้สึกอันใดเลย”จื่ออันเอ่ยถาม “เจ้าลองนึกดูอีกครั้งหนึ่งสิว่า ผู้ที่กัดเจ้าเป็นเช่นไร”“ข้ามองรูปลักษณ์เขาไม่ชัดเจนนัก แต่ว่าข้าเห็นดวงตาของเขาแดงก่ำ ยังมีกลิ่นเหม็นบนใบหน้า ล้วนแต่เหมือนกับผู้ป่วยโรคผีดิบนัก”“ข้าจำได้ว่าเจ้าในตอนที่กลับมานั้น บอกว่ามึนศีรษะ นอกจากอาการมึนศ
เซียวท่าคิดไปคิดมาก็พบว่าถูกต้อง จึงได้ขี่ม้าหันหัวกลับมาไล่ตามจื่ออันเขาลงจากม้าและเดินไปด้านหน้ารถม้าของจื่ออัน เปิดม่านออกมา “ท่านอ๋องเอ่ยออกมาว่าให้เจ้าหาข้ออ้าง ออกจากเมืองหลวงไปก่อนชั่วระยะเวลาหนึ่ง”จื่ออันพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว”เซียวท่าตกตะลึง “เจ้าจะไม่ถามหรือว่าทำไมกัน?”จื่ออันยิ้มออกมา ลืมตามองไปยังเซียวท่า “ไม่ต้องถาม ข้ารู้ว่าทำไม เจ้ากลับไปบอกกับท่านอ๋องว่า ไม่ต้องเป็นกังวลเกี่ยวกับข้า”เซียวท่ายังคงรู้สึกว่าแปลกประหลาดยิ่งนัก “ไม่เอ่ยออกมาเจ้าก็รู้หรือว่าทำไมจะต้องไป? เจ้าฉลาดขนาดนี้เชียวหรือ?”จื่ออันมองท่าทางมึนงงสงสัยของเขา อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “ใช่แล้ว ข้าฉลาดเป็นอย่างยิ่ง”“แต่ว่าหญิงสาวนั้นไม่ควรที่จะฉลาดนัก” เซียวท่าเอ่ยพึมพำออกมา“ได้ ต่อไปเมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้า ข้าจะพยายามแกล้งโง่สักเล็กน้อย”เซียวท่าเหลือบมองนางด้วยความซับซ้อน “เอาล่ะ เจ้าไปเถอะ ข้าในตอนนี้เมื่อพบกับหญิงสาวแล้วก็จะรู้สึกรำคาญ”“เจ้าทำไมถึงได้รู้สึกรำคาญอีกกันเล่า? ตอนนี้หลิวหลิ่วเองก็ไม่ได้ตามรบกวนเจ้าแล้ว”เซียวท่าพ่นลมหายใออกมา “นางในตอนนี้พบกับข้าเข้าก็มักจะถามแต่ว่าซูชิงอยู่ท
วันรุ่งขึ้น ผู้สำเร็จราชการแทนองค์จักรพรรดิยังคงส่งท่านหมอไปยังหมู่บ้านศิลา และเปิดเผยอการของโรคระบาด พร้อมทั้งเปิดรับท่านหมอ หากว่าผู้ใดสามารถทำการรักษาได้ จะได้รับเงินรางวัลเป็นจำนวนหนึ่งหมื่นตำลึงในทันใดนั้น ท่านหมอเป็นจำนวนมากก็เดินทางไปยังหมู่บ้านศิลา มีผู้ติดเชื้ออีกเป็นจำนวนมากที่ยังไม่ได้ถูกจับตัวมา เมื่อถูกจับตัวมาแล้วก็จะถูกคุมขังอยู่ในห้องโถงบรรพบุรุษของหมู่บ้าน ผู้ที่ไม่ได้ติดเชื้อก็จะอาศัยอยู่ที่เรือนทางด้านขวา ตรงกลางจะมีถนนใหญ่แบ่งแยกเอาไว้ เพื่อให้ท่านหมอทั้งหลายผ่านไปได้เมื่อมีท่านหมอเข้าไปแล้ว ก็จะมีเจ้าหน้าที่ทหารก็จะนำผู้ป่วยที่ถูกผูกติดเอาไว้ออกมา ให้ท่านหมอได้ตรวจดูอาการด้วยวิธีการเยี่ยงนี้ เมื่อมีท่านหมอกลุ่มหนึ่งเข้ามา หมออีกกลุ่มก็จากไป เหล่าทหารต่างก็รู้สึกรำคาญ ทุกคนเมื่อตรวจสอบอาการเสร็จแล้วนั้น ต่างก็บอกว่าไม่มีวิธีการ ยังต้องรบกวนให้พวกเขานำเข้านำออกมาอยู่เรื่อยและในคืนนี้ มีผู้ติดเชื้ออยู่รายนึงดึงเชือกจนหลุดออกมาได้ กัดเข้าไปยังท่านหมอผู้หนึ่งและนายทหารสองนาย เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไป จึงทำให้ไม่มีท่านหมอกล้าที่จะเข้ามาอีก ถึงแม้ว่าเงินทองนั้นจะสำคัญ
จื่ออันรู้สึกได้ถึงความสิ้นหวังที่จะเกิดขึ้นกับตระกูลมู่หรงนั้นได้เริ่มขึ้นแล้ว และมันกำลังโอบล้อมอยู่ในหัวของมู่หรงเจี๋ย หากว่าเขาไม่มีวิธีที่จะควบคุมโรคระบาดนี้ได้โดยเร็วแล้วล่ะก็ ตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนองค์จักรพรรดินี้ของเขาก็คงจะถึงคราวสิ้นสุดกันแล้วเมื่อถึงตอนนั้น สถานการณ์ในราชสำนักก็จะโกลาหลขึ้นราชสำนักโกลาหล ก็จะนำไปสู่ความโกลาหลภายในประเทศ เมื่อถึงตอนนั้น ผู้ที่มีอำนาจและป่าเถื่อนก็พร้อมที่จะบุกเข้ามาอีกทั้งการแพร่ระบาดทั้งสามแห่งนี้ ยังไม่ถึงจุดสูงสุด เมื่อเกิดการแพร่ระบาดจนไม่อาจที่จะควบคุมได้แล้ว ก็จะมีโอกาศที่จะแพร่ระบาดไปทั่วทุกท้องที่ ในตอนนั้น มู่หรงเจี๋ยต่อให้เก่งเพียงใด ก็ไม่อาจที่จะควบคุมไม่ให้สถานการณ์รุนแรงยิ่งขึ้นได้แล้วจื่ออันกุมมือเขาเอาไว้ และไม่รู้จะเอ่ยอะไรออกมาดี จึงทำได้แต่เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง “มันจะผ่านไป ทุกอย่างล้วนแล้วแต่มีทางแก้ไข”มู่หรงเจี๋ยจ้องมองมายังนาง “เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลไป พรุ่งนี้รีบเร่งออกจากเมืองหลวงไป ไม่งั้น เจ้าเมื่อถูกผู้อื่นหลอกใช้ เข้ามาในวังวนนี้แล้ว ข้าก็จะถูกผู้อื่นควบคุมได้ตลอดเวลา”จื่ออันรู้ถึงความกังวลของเขา
กลับเป็นหนี่หรงที่เอ่ยปลอบพี่สะใภ้ใหญ่หวางเอาไว้ “เจ้าวางใจได้ หากว่าพวกเราตายไป แม่ทัพซูจะช่วยดูแลแม่สามีของเจ้า”พี่สะใภ้ใหญ่หวางปาดน้ำตาออก มองมายังหวางหยูที่กำลังสลบไสล เอ่ยพึมพำออกมา “ก็ดี ก็ดีเหมือนกัน ทั้งครอบครัวล้วนไม่มีผู้ใดเหลือแล้ว ข้ามีชีวิตอยู่ก็ไม่มีประโยชน์อันใดแล้ว แล้วใยถึงไม่ตายไปเสีย”หนี่หรงจู่ ๆ ก็เงยหน้าขึ้นมามองมายังจื่ออัน “หากว่าข้าตัดมือทิ้งเสียใช่ไม่ใช่ว่าจะยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้?”จื่ออันส่ายศีรษะ “ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน”หากว่าพิษไข้นี้ซึมซับเข้าไปเร็วเกินไป ในตอนที่ถูกกัดนั้นแล้วรีบเร่งตัดมือทิ้ง บางทีอาจจะยังมีโอกาส แต่ว่ามาตอนนี้ก็ล้างออกไปเป็นเวลานานแล้ว หากว่าพิษไข้นี้แพร่กระจายออกไปแล้ว ต่อให้ตัดมือทิ้งก็ไม่มีประโยชน์อันใดมู่หรงเจี๋ยเอ่ยด้วยเสียงมืดมน “ไม่มีประโยชน์ คนของสำนักฮุ้ยหมินเคยเข้ามารายงานแล้ว หมู่บ้านศิลานั้นมีคนอยู่ผู้นึงกถูกกัดเข้า จึงตัดมือของตนทิ้ง แต่ก็ยังได้รับเชื้อไข้อีก”หนี่หรงหลับตาลง ปิดบังแววตาผิดหวังเอาไว้ “อ้อ เป็นเยี่ยงนี้นี้เอง แต่ก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยก็ยังมีร่างที่สมบูรณ์อยู่”จื่ออันพันแผลให้แก่ทหารองคร
เดินลากเท้าที่หนักอึ้งกลับมายังจวนมหาเสนาบดี แม่นมหยางก็ได้ถือโคมไฟออกมา พอเห็นใบหน้าที่ซีดขาวของนาง ก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวถาม "คุณหนูใหญ่ เป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ?"จื่ออันส่ายหัว "ข้าไม่เป็นอะไร ท่านไปพักผ่อนเถิด ข้าอยากอยู่คนเดียวสักพัก"แม่นมหยางมองนางอย่างสงสัย แต่ก็หาได้ถามสิ่งใดไม่ "ได้เจ้าค่ะ เช่นนั้นท่านก็ต้องรีบพักผ่อนด้วยนะเจ้าคะ"นางเข้าไปช่วยจัดเตียงของจื่ออันให้เป็นระเบียบ เห็นจื่ออันที่นั่งข้างเตียงอย่างว่างเปล่า ก็มีท่าทีที่หนักใจ จากนั้นก็ถอนหายใจเบา ๆ "มีเรื่องอะไร ก็อย่าเพิ่งคิดถึงมันเลย พักผ่อนเถิดเจ้าค่ะ"จื่ออันเงยหน้าขึ้น มองดูแม่นมหยางด้วยสายตาที่แลดูหมดหวังเล็กได้ "ได้ ข้ารู้แล้ว"แม่นมหยางหันหลังจะเดินออกไป "บ่าวจะคอยเฝ้าอยู่นอกห้อง หากคุณหนูใหญ่อยากคุยกับใครสักคน บ่าวพร้อมเสมอนะเจ้าคะ"นางปิดประตู จื่ออันได้ยินเสียงลากเก้าอี้ดังมาจากด้านนอก นางก็รู้ว่าแม่นมหยางจะอยู่เฝ้าที่นี่ทั้งคืนจื่ออันนั่งขดตัวอยู่ตรงเก้าอี้ยาวริมหน้าต่าง นางรู้ว่ามู่หรงเจี๋ยจงใจพูดประโยคนั้น เพื่อให้นางจากไปแต่ว่านางเองก็รู้ว่า ความจริงแล้วเขาก็โทษนางอยู่บ้าง เพียงแค่ไม่อยากจะตำหนิ
"เซียวท่า เจ้าพูดเรื่องเหลวไหลอะไร? หุบปากเจ้าซะ!" เสียงใสดังขึ้นมา มันคือเสียงของหลิวหลิ่วนางแบกห่อผ้าไว้บนหลัง พาสาวใช้เข้ามาด้วย พอได้ยินคำพูดของเซียวท่าจากด้านนอกประตู ก็โกรธขึ้นมาทันทีเซียวท่าเงยหน้าขึ้นมองนางด้วยสีหน้าที่อึมครึม "เจ้ามาทำอะไร?"หลิวหลิ่วมองไปที่จื่ออัน "ท่านย่าให้ข้ามา นางบอกว่าเจ้าจะออกไปจากเมืองหลวง จึงให้ข้าไปเป็นเพื่อนเจ้าด้วยจื่ออันชะงักไปเล็กน้อย "ท่านย่าของเจ้ารู้ว่าข้าจะออกจากเมืองหลวงด้วยเหรอ?""ใช่ นางรู้""ใครบอกนาง?"หลิวหลิ่วส่ายหัว "ข้าไม่รู้ แต่ว่ายายแก่หูตากว้างไกลมาโดยตลอด แม้ว่าจะไม่มีใครบอกนาง แต่นางก็จะรู้ได้เอง"จื่ออันไม่ได้พูดอะไร แต่ก็รู้ว่ามีคนของเหล่าไท่จวินในกองทัพที่ในกองทัพมีโรคผีดิบระบาด ทำให้ราชสำนักหวาดหวั่นเป็นอย่างยิ่ง พวกหมอก็ต้องถูกเรียกตัวไป ดังนั้นเหล่าไท่จวินจึงคาดเดาว่าผู้สำเร็จราชการจะต้องให้นางออกไปด้วยแต่สิ่งที่นางไม่เข้าใจก็คือ เหตุใดเหล่าไท่จวินถึงให้หลิวหลิ่วไปกับนางด้วย?เซียวท่ามองเฉินหลิวหลิ่ว "เจ้าจะมาวุ่นวายอะไรอีก? รีบกลับไปซะ!"หลิวหลิ่วมองเซียวท่าด้วยสายตาที่รู้สึกผิดหวังมาก "เดิมทีข้าคิดว่าท่าน
จื่ออันครุ่นคิดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ถ้าไปก็ต้องถูกฮูหยินผู้เฒ่ากับกุ้ยไท่เฟยสกัดจับกลางทางแน่ หากตกอยู่ในเงื้อมมือของพวกนาง แล้วก็ย่อมจะต้องเดือดร้อนอย่างเลี่ยงไม่ได้หากไม่ไป ก็เหมือนกับสัตว์ที่ติดกับดัก ท้ายที่สุดแล้วก็ต้องถูกลากตัวออกไปอยู่ดีจะไปก็ไม่ได้ จะอยู่ก็ไม่ได้ มีหนทางใดที่สามารถไปต่อได้บ้าง?"รู้ที่ตั้งที่พวกนางใช้ซุ่มโจมตีไหม?"จื่ออันกล่าวถามเฉินหลิวหลิ่วส่ายหัว "เจ้าไม่ต้องคิดอะไรหรอก พอเจ้าออกจากเมืองหลวงไปก็จะมีคนแอบติดตามเจ้าไปแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะไปทางทิศไหน ก็จะถูกคนสกัดจับอยู่ดี"จื่ออันขมวดคิ้ว หากเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นก็มีเพียงเส้นทางเดียวที่จะไปได้ นั่นก็คือศึกษาหาสูตรยาที่จะใช้รักษาโรคผีดิบหรือว่านี่จะเป็นความตั้งใจจริงของเหล่าไท่จวิน? แต่ว่าเหตุใดเหล่าไท่จวินถึงได้มั่นใจว่านางจะสามารถพัฒนาสูตรยาออกมาได้กันนะ?ขนาดตัวนางเองยังไม่มั่นใจเลย ไม่ใช่สิ ไม่ใช่แค่ไม่มั่นใจ แต่นางไม่มีความมั่นใจสักนิดเลยต่างหาก"เจ้าจงใจยั่วโมโหเซียวท่า ก็เพื่อไม่ให้เขาส่งตัวข้าออกจากเมืองหลวงใช่ไหม? เจ้ามีที่อื่นให้ไปอีกหรือไม่?" จื่ออันกล่าวถาม"ใช่ ใกล้ ๆ ประตูเมือง ตระกูลขอ
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว