ซูชิงก็ยังโง่เขลาไปตามหาเขาที่สุขา เขาไม่รู้ว่าถูกเซียวท่าหักหลังแล้ว คิดว่าเซียท่ามีเรื่องด่วนจึงรีบออกไป"เซียวท่าวางแผนจะแนะนำซูชิงให้แก่ข้า" เฉินหลิวหลิ่วกล่าวอย่างหดหู่ใจจื่ออันหัวเราะคิกคักขึ้นมา "เซียวท่าน่าหลงไหลขนาดนั้นเชียวหรือ?""ซูชิงก็ดีอยู่หรอก แต่ว่าเรียบร้อยไปหน่อย" เฉินหลิวหลิ่วเท้าคางกล่าวมู่หรงจ้วงจ้วงกล่าว "เซียวท่าก็ดี ซูชิงก็ดี ขอเพียงมีสักคนมาสู่ขอเจ้า เชื่อเถิดว่าถึงแม้จะเป็นซูชิง ท่านย่าของเจ้าก็ต้องดีใจเหมือนกัน""มันก็จริง" เฉินหลิวหลิ่วคิดว่าอย่างไรเสียนางก็ต้องแต่งออกไปอยู่แล้ว ซูชิงก็ได้ เซียวท่าก็ปล่อยไปเถิด ขอแค่ยินดีจะแต่งกับนางก็พอแล้วทว่าในใจกลับรู้สึกหดหู่ มีความอึดอัดใจจุกแน่นอยู่เต็มอกพอช่วยมู่หรงเจี๋ยจัดมงกุฎครอบผมให้ดีแล้ว เสี่ยวซุนก็เข้ามาพร้อมกับชา เห็นมู่หรงเจี๋ยอยู่ด้วย "เอ๋ ท่านอ๋องก็มาด้วย คำนับท่านอ๋องเพคะ"มู่หรงเจี๋ยไม่ได้ตอบรับอะไร หันหลังเดินจากไปทันทีเสี่ยวซุนกล่าวอย่างมึนงง "ท่านอ๋องเพิ่งจะมาถึงแล้วจะไปแล้วเหรอเจ้าคะ?""เสี่ยวซุนเอ๋ย เจ้านี่ช่างรู้อะไรบ้างเลย" มู่หรงจ้วงจ้วงยิ้มแล้วกล่าวจื่ออันรู้สึกอึดอัดมาก มองดูแผ
จื่ออันเพิ่งจะออกไป ป้าหลานยู่ก็เข้ามาเสี่ยวซุนที่เห็นนางเดินเข้ามา ในใจก็รู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย เดินเข้าไปกล่าวทักทาย "ท่านป้ามาด้วยเรื่องอันใด? คุณหนูใหญ่เพิ่งจะออกไปเจ้าค่ะ"ป้าหลานยู่ยิ้มเล็กน้อย "ข้าเห็นแล้ว แล้วมันจะยังไง ข้าไม่ได้มาหาคุณหนูใหญ่ ข้ามาตามให้เจ้ากับกุ้ยหยวนไปช่วยงานหน่อย""ช่วยงาน?" เสี่ยวซุนตกใจเล็กน้อย ในจวนมีคนตั้งมากมาย เหตุใดถึงมาเรียกใช้คนจากเรือนเซี่ยจื่อหย่วน?"ใช่" เหมือนว่าป้าหลานยู่จะมองออกว่าเสี่ยวซุนรู้สึกสงสัย "เพราะว่าที่ด้านหลังสวนดอกไม้มีการก่อสร้าง คุณหนูใหญ่ยังพูดว่าต้องการตัดขาดตรงส่วนทางเดินกับภูเขาหินประดับ คนในจวนส่วนใหญ่ต่างก็ไปช่วยกันหมดแล้ว ทางด้านของฮูหยินผู้เฒ่าก็ขาดแคลนคนที่จะเรียกใช้งาน จึงจะใช้ให้เจ้ากับกุ้ยหยวนออกไปซื้อของให้หน่อย"เสี่ยวซุนเห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มของนางดูไม่ดุร้ายเหมือนแต่ก่อน ความต่อต้านที่มีในใจจึงลดลง นางจึงกล่าว "ท่านป้ารอสักครู่ ข้าจะเข้าไปบอกกุ้ยหยวนเสียหน่อย""ได้ รีบไปเถิด" หลานยู่ยิ้มกล่าวเสี่ยวซุนย่อตัวคำนับ แล้วเข้าไปด้านในนางยังทิ้งความห่วงใยเอาไว้ และได้สั่งตาวเหล่าต้า "หลังจากที่ข้ากับกุ้ยหยวน
จื่ออันยิ้มอย่างเบิกบานใจ "หม่อมฉันรู้ว่าท่านอ๋องกังวลใจ""ก็ต้องดูว่าเจ้าจะเอาอะไรมาแลกเปลี่ยน" อ๋องเหลียงเหลือบมองนางเล็กน้อย เขาไม่ได้กังวลอะไร อย่างไรก็ตามขานี้ก็มีคนมารักษามากมายหลายคนแล้ว จะสนทำไมถ้าจะมีใครมารักษาเพิ่มอีกคน เพียงใจไม่คาดหวังก็พอ"เช่นนั้นก็ต้องดูว่าท่านอ๋องต้องการสิ่งใดเพคะ""ถือว่าเจ้าติดหนี้บุญคุณข้าก็แล้วกัน จดจำไว้ด้วยล่ะ ต่อไปถ้าข้านึกออกว่าต้องการสิ่งใด ก็จะทวงจากเจ้าเอง" อ๋องเหลียงกล่าวจื่ออันยักไหล่ ชัดเจนอยู่แล้วว่า อีกไม่นานเขาจะเป็นฝ่ายที่ติดหนี้บุญคุณนางเสียเองหลังจากออกมาแล้ว มู่หรงจ้วงจ้วงก็กล่าวถามจื่ออัน "ขาของเขารักษาได้จริงหรือ?""ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่ต้องเจ็บหน่อย หม่อมฉันจะฟื้นฟูสภาพร่างกายของเขาก่อน ความจริงเพียงแค่ใช้ระยะเวลาสั้น ๆ ในการฟื้นฟู ก็ดีขึ้นมากแล้ว สามารถรับการเชื่อมต่อกระดูกที่หักได้ แต่ว่าเพื่อความรอบคอบ หม่อมฉันยังต้องให้เขาทานยาสมุนไพรเพิ่มอีกสักหน่อย ให้เขาทานสักสองสามวัน"ถ้าสามารถรักษาให้หายได้ เช่นนั้นก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีไปเลย" มู่หรงจ้วงจ้วงถอนหายใจแม่นมหยางที่นั่งอยู่ด้านข้างได้ยินว่าจะเชื่อมต่อกระดูกที่หัก ก
กุ้ยไท่เฟยยิ้มเย้ยหยัน "ความหมายของฮูหยินผู้เฒ่าก็คือ ข้าพูดให้หวงไท่โฮ่วมีพระราชเสาวนีย์ลงมาไม่ได้เองเช่นนั้นหรอกหรือ? นางคงมีพระราชเสาวนีย์ลงมาแล้ว ถ้าสร้างความเชื่อมั่นให้นาง เรื่องนี้ไม่ช้าก็เร็ว"ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มประชดประชัน "กุ้ยไท่เฟยเข้าใจผิดแล้ว หม่อมฉันไม่ได้หมายความเช่นนั้น หม่อมฉันเองก็รีบเหมือนกัน เห็นได้ว่าหว่านเอ๋อโตแล้วไม่ใช่เด็กอีกต่อไป แม้ว่าฮองเฮาจะมีพระราชเสาวนีย์ลงมา แต่หวงไท่โฮ่วไม่เคยแสดงท่าทีใดเลย ก็ทำให้ไม่สามารถกำหนดวันอภิเษกได้ มีเพียงแต่สัญญาว่าจะอภิเษกแต่ไร้วี่แววของวันอภิเษก จึงเกิดความกังวลใจอย่างเลี่ยงไม่ได้เพคะ"กุ้ยไท่เฟยกล่าว "ได้ ข้ารับปากเจ้า ในวันที่ข่าวแพร่ออกไป จะเป็นวันที่หวงไท่โฮ่วมีพระราชเสาวนีย์ลงมา"ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าว "เพคะ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หม่อมฉันจะรอฟังข่าวจากท่านอย่างใจเย็น"พูดจบก็ลุกขึ้นคำนับแล้วขอตัวกลับไปออกมาจากร้านจู้เสียนแล้ว ป้าชุ่ยยู่กล่าวถาม "ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านคิดว่าคำพูดของกุ้ยไท่เฟยเชื่อถือได้หรือไม่เจ้าคะ?"ฮูหยินผู้เฒ่าคิดอยู่ครู่หนึ่ง "น่าเชื่อถือหรือไม่ก็ตาม เรื่องนี้ก็ต้องรีบจัดการ วันนี้มหาเสนาบดีไปที่ไหน? ถ้าเ
อย่างน้อยตอนนี้ก็มีเพื่อนอยู่ ในยุคปัจจุบันนั้น นางไม่เคยจะคาดคิดว่าจะสามารถมีเพื่อนได้เมื่อกลับไปยังเรือนเซี่ยจื่อหย่วน ไม่พบว่าเสี่ยวซุนและกุ้ยหยวนออกมาคอยต้อนรับ จื่ออันจึงส่งเสียงร้องตะโกนจึงได้พบตาวเหล่าต้าออกมาจากห้องหนังสือ “คุณหนูใหญ่กลับมาแล้ว?”จื่ออันวางกล่องยาลง “ใช่แล้ว เสี่ยวซุนเล่า? ให้นางชงชาเข้ามาให้องค์หญิงและคุณหนูเฉิน”“เสี่ยวซุนและกุ้ยหยวนออกไปแล้ว ยังไม่กลับมาขอรับ” ตาวเหล่าต้าเอ่ยออกมา“ออกไปแล้ว? ไปที่ใดกัน?” จื่ออันนั่งลง สัมผัสได้ถึงเหงื่อของตน ถึงแม้ว่าจะเป็นตอนเย็นแล้ว แต่แสงอาทิตย์ด้านนอกยังคงแรงอยู่ ร้อนเป็นอย่างมาก“บอกเอาไว้ว่าจะออกไปจัดการธุระขอรับ เป็นคำสั่งของป้าหลานยู่” ตาวเหล่าต้าเอ่ยออกมาจื่ออันลุกขึ้นยืนในทันที “หลานยู่เป็นคนออกคำสั่งให้พวกเขาออกไปจัดการธุระ? ในจวนนั้นไม่มีคนแล้วหรืออย่างไร? ทำไมถึงต้องให้พวกเขาไป?”“ไม่ทราบขอรับ ข้าไม่ได้เห็นเหตุการณ์ เป็นเสี่ยวซุนที่กลับมาแจ้ง นำกุ้ยหยวนออกไปด้วยกัน” ตาวเหล่าต้าพบว่าสีหน้าของจื่ออันค่อย ๆ เปลี่ยนไป ก็รู้สึกกังวลขึ้นมา “นี่ก็เป็นเวลาสองชั่วยามเข้าไปแล้ว ยังไม่กลับมากันอีก มิใช่ว่าจะเกิดเ
ตาวเหล่าต้านั้นไม่เข้าใจในกฎเกณฑ์ เมื่อเข้ามายังในลานก็ส่งเสียงร้องตะโกนออกมา “ป้าหลานยู่ คุณหนูใหญ่เชิญท่านไปพบสักครั้งหนึ่ง”มีสาวใช้คนหนึ่งรีบเร่งก้าวออกมา ถลึงตาใส่ออกมาอย่างโมโห แล้วกล่าวว่า “เจ้าเป็นบ่าวรับใช้ของเรือนไหนกัน? กล้าส่งเสียงดังร้องเรียกอยู่ในเรือนของฮูหยินผู้เฒ่า? มีศีรษะกี่หัวกันที่เพียงพอให้กุด? รีบกลับไปเดี๋ยวนี้ อย่าได้มารบกวนฮูหยินผู้เฒ่า”ตาวเหล่าต้าเหลือบมองไปทางสาวใช้ แล้วจึงเอ่ยออกมา “ข้าเป็นคนของเซี่ยจื่อหย่วน คุณหนูใหญ่ให้ข้ามาเชิญป้าหลานยู่ไป”ในเรือนนั้นฮูหยินผู้เฒ่าและป้าหลานยู่ตั้งแต่ต้นก็ได้ยินคำพูดของตาวเหล่าต้า ฮูหยินผู้เฒ่าเงยหน้าขึ้นมองไปทางป้าหลานยู่ “ดูท่าแล้วพวกเจ้าต่างก็คิดว่าข้าใช้ชีวิตอย่างสงบราบรื่นเกินไป ในช่วงระยะเวลาเช่นนี้ เจ้าไปยั่วยุนางทำไมกัน?"ชุ่ยยู่เองก็เอ่ยออกมาว่า “หลานยู่ ข้าบอกเจ้าตั้งแต่ต้นแล้ว ช่วงนี้อย่าได้ไปยั่วยุทางนั้น เจ้าก็ไม่ยอมฟังข้า”ป้าหลานยู่เอ่ยแบ่งรับแบ่งสู้ “ไม่ใช่เพียงแค่บ่าวรับใช้หรือ? ไม่มีอะไรให้ควรค่าแก่การตื่นตระหนกกล่าวโทษ? ฮูหยินผู้เฒ่าวางใจได้ นางเพียงแต่แสร้งแสดงท่าที คงจะมิกล้าก่อเรื่องเพียงเพื
ป้าชุ่ยยู่หยุดคำพูดลง นางเองก็พอจะรู้ว่าหลานยู่นั้นทำเกินกฎเกณฑ์ไป แต่ว่านางคิดว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะปล่อยตามใจนางเพียงแค่ฮูหยินผู้เฒ่าให้ความโปรดปรานกับนาง ทำให้นางเลอะเลือนไป จนหลงลืมสถานะของตนเรื่องของหลานยู่นั้น ปล่อยให้นางได้รับบทเรียนเป็นอุทาหรณ์ อันที่จริงแล้ว นางเองก็ค่อนข้างได้ใจจนหลงลืมไป จนไม่รู้ถึงสถานะของตนหลานยู่หลังจากที่โดนตาวเหล่าต้าลากออกไปแล้วนั้น ยังคงส่งเสียงกรีดร้องเอะอะโวยวาย ตาวเหล่าต้าเริ่มจะโมโห เอ่ยข่มขู่ออกมาเสียงดัง “หากว่าเจ้ายังคงส่งเสียงเอะอะแล้วล่ะก็ ข้าจะตีเจ้าให้ฟันร่วงเสีย!”หลานยู่คิดว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะสั่งให้คนตามมา ดังนั้นจึงไม่ได้แสดงความกลัวออกมา เอ่ยด้วยความโมโห “เจ้ากล้าหรือ? เจ้าหากว่ากล้าแตะต้องข้าแม้เพียงเส้นผม ฮูหยินผู้เฒ่าไม่มีทางปล่อยเจ้าไปแน่ เจ้าสุนัขรับใช้ เจ้าสิ่งของที่มีมารดาคลอดออกมาแต่ไม่มีมารดาคอยเลี้ยงดู ถึงกลับกล้ามาหาเรื่องรังแกถึงบนหัวข้า”ตาวเหล่าต้านั้นมีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่งก็คือ ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง หากว่าสร้างความรำคาญให้แก่เขาแล้ว ทุบตีลงไปเป็นพอ อีกทั้งเขาพูดออกมาส่วนใหญ่แล้วมักจะลงมือทำตาม เมื่อได้ย
ช่างไม่รู้จักเคารพเชื่อฟังเสียจริงนี่คงจะหมายถึงจื่ออัน แต่ว่าจื่ออันไม่ได้สนใจที่จะมาอ้อมค้อมกับนาง หมุนกายลุกไปยังทางเดินทอดยาวนั้น เอ่ยสั่งเสียงเย็นกับตาวเหล่าต้า “นำนางแขวนขึ้นไป ให้ขาทั้งสองยกขึ้นห่างจากพื้น นางพูดออกมาเมื่อไหร่ เมื่อนั้นก็ให้วางนางลง”เรื่องมัดคนแบบนี้เป็นเรื่องที่ตาวเหล่าต้าถนัดมากที่สุด ก่อนที่จะมายังเมืองหลวงนั้น เขาเพื่อที่จะดูแลปากท้องแล้วนั้นเคยไปทำงานฆ่าหมูมาก่อนเขานำมือทั้งสองข้างของหลานยู่นั้นผูกเข้าด้วยกัน ทำเป็นปมยาว ๆ แล้วจึงลากนางปีนขึ้นไปบนต้นไม้แขวนเอาไว้หลานยู่ตกใจจนร้องเสียงดังออกมา แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะข่มขู่จื่ออัน “คุณหนูใหญ่ ฮูหยินผู้เฒ่าหากรู้ว่าท่านทำกับข้าเยี่ยงนี้จะต้องไม่ปล่อยท่านไปแน่”จื่ออันทำเป็นไม่ได้ยิน นั่งลงใต้ต้นไม้นั้นกับมู่หรงจ้วงจ้วง และเฉินหลิวหลิ่ว ทั้งสามคนได้ดื่มชาด้วยกันทั้งสามคนอารมณ์ล้วนแล้วแต่ไม่ดีนัก จ้วงจ้วงเดิมนั้นกอดความหวังเอาไว้มากเพียงใด คิดว่าพวกเขานั้นเพียงแค่ไม่รู้ว่าไปที่ใดหยานยู่ถึงแม้ว่าจะไม่ยอมรับว่าได้ลงมือกับพวกเขา แต่ว่าจากสีหน้าและคำพูดสามารถฟังออก พวกเขาทั้งสองจะต้องโดนนางจับตัวไปจื่ออันโก
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว