จื่ออันชะงักไปชั่วครู่นึง “ระบำมังกรไฟ?”“ใช่แล้ว เมื่อครู่มีคนนำใบปลิวมา ยังมีการเล่นมายากลอีกด้วย” เฉินหลิวหลิ่วนำใบปลิวออกมาให้จื่ออันดู ใบปลิวแผ่นนี้ ก่อนหน้านั้นจื่ออันเคยเห็นมาแล้ว แต่ว่าไม่ได้มีระบำมังกรไฟแต่ใบปลิวที่เฉินหลิวหลิ่วให้มาในตอนนี้นั้น กลับมีการเขียนระบำมังกรไฟอยู่ไม่กี่คำ ดูท่าแล้วคงจะมีการเพิ่มรายการเข้าไป“ระบำมังกรไฟน่าดูเป็นอย่างมาก ข้าชื่นชอบเป็นที่สุด” เฉินหลิวหลิ่วเอ่ยอย่างตื่นเต้นยินดี “เดิมท่านย่าบอกว่าจะไม่ร่วมรับประทานอาหารในงานเลี้ยงจะกลับจวนแล้ว แต่ข้าต้องการจะดูระบำมังกรไฟก่อนถึงค่อยกลับไป”จื่ออันมองดูผู้คนรอบทิศ ส่วนใหญ่ดูเพลิดเพลินรื่นเริง ดูแล้วระบำมังกรไฟนี้จะเป็นที่รายการชื่นชอบของผู้คนจริง ๆแต่ว่านางไม่รู้ว่าอะไรคือระบำมังกรไป จึงได้เอ่ยถาม “ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยดูระบำมังกรไฟ เป็นอย่างไรรึ?”เฉินหลิวหลิ่วใช้สายตาที่เต็มไปด้วยความสงสารมองมายังนาง “โอ้สวรรค์ของข้า เจ้าแม้แต่ระบำมังกรไฟก็ไม่เคยดูมาก่อน? น่าเศร้ามากเพียงใด? หรือว่าก่อนหน้านี้จวนมหาเสนาบดีไม่เคยมีการระบำมาก่อน?”“ไม่เคย เท่าที่ข้าจำได้นั้นไม่เคย” ในสมองของจื่ออันนั้นไม่มีควา
เฉินหลิวหลิ่วส่ายศีรษะ “แพงหรือ? ข้าไม่รู้ว่าทำไมถึงได้แพงเช่นนี้”คุณหนูใหญ่ผู้ที่ไม่รู้ว่าของบนโลกนี้แพง แน่นอนว่าต้องไม่รู้ว่าทำไมมังกรไฟถึงได้แพงนัก จริง ๆ แล้วนางเองก็ไม่รู้ว่าในตอนที่เหล่าไท่จวินได้มอบเงินหนึ่งพันตำลึงให้ไปนั้น ฟันแทบจะกัดกันจนแตกแล้วภายหลังทำไมถึงได้ไม่เชิญมานั้น ไม่ใช่เพราะว่านางไปเล่นกับไฟ แต่เป็นเพราะราคาแพงเกินไปซูชิงเดินเข้ามา เอ่ยเสียงเรียบ “การระบำมังกรไฟนั้นจะต้องใช้ผ้าแพรที่ดีที่สุดนำมาพับกันแปดครั้ง จากนั้นจึงแช่ในเหล้าหมัก เติมเหล้าไม้สนลงไป บวกกับน้ำมันตะเกียงชนิดพิเศษ เพียงแค่ได้ฟังก็รู้ได้ว่าราคาแพงแน่นอน”จื่ออันรู้ว่าผ้าแพรนั้นราคาแพงมาก ผ้าหนึ่งผืนอาจขายกันที่ราคามากกว่าหนึ่งร้อยตำลึง ต่อให้เพียงเล็กน้อย ก็ไม่ใช่ถูก ๆพับกันถึงแปดครั้ง ถึงแปดตัว เพิ่มเหล้าไม้สนและน้ำมันตะเกียง ก็แพงมากแล้ว“ข้านึกว่าใช้ฟางข้าวกัน!” จื่ออันเอ่ยอย่างละอายสิ่งที่ตระกูลสูงศักดิ์เล่นกันเหมือนกับการเผาเงินเสียจริง นางรู้สึกว่าตนนั้นมิใช่คนชนชั้นสูงนัก“เป็นราษฎรที่ใช้ฟางข้าวกัน แต่ว่าฟางข้าวนั้นไม่ทนต่อการเผาไหม้ และทั่วทิศยังมีควันไฟอีกด้วย หากทำร้ายคนอื่น
ในใจเหลียงซื่อนั้นหยิ่งผยอง แน่นอนว่าจะต้องไม่ยินยอมก้มศีรษะให้แก่จื่ออัน แต่ถ้าหากไม่ก้มศีรษะแล้ว นึกถึงบุตรชายสุดที่รักของตนแล้ว ก็เกิดอาการจุกเสียดในหัวใจขึ้นมาคิดคำนึงอยู่นาน นางจึงเอ่ยว่า “แต่ว่า ต่อให้ข้าไปขอโทษนางแล้ว เซี่ยจื่ออันเองอาจจะไม่ยินยอมที่จะไป”“จุดนี้ท่านวางใจได้ มหาเสนาบดีเซี่ยจะจัดการให้” ซีเหมินเสี่ยวเยว่พูดเหลียงซื่อเมื่อได้ฟังอย่างนี้แล้ว ก็ไม่ยินยอมที่จะให้บุตรชายของตนได้รับความลำบากอีก จึงได้เอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะยอมละทิ้งหน้าตาของข้าชั่วคราว หวังว่าเจ้าคนชั้นต่ำผู้นั้นจะมีวาสนาพอ ที่จะรับคำขอโทษของข้าได้นะ”นางรู้แต่เพียงที่จะโมโห ชั่วขณะนั้นกลับไม่พบว่ามุมปากของซีเหมินเสี่ยวเยว่ค่อย ๆ ยิ้มเย็นและแววตาก็ดูชั่วร้าย“ใช่แล้ว ยังมีอีกเรื่องนึง” เหลียงซื่อจู่ ๆ ก็นึกขึ้นมาได้ “วันนี้ในตอนที่มาส่งเจ้าสาวนั้น บิดามารดาของเจ้าได้สั่งเอาไว้ หลังจากที่สินสอดของเจ้าส่งมาแล้วนั้น จะต้องส่งบางส่วนกลับไป เรื่องนี้เจ้ารู้หรือไม่?”ซีเหมินเสียวเย่วผงกศีรษะ ส่งเสียงเอ่ยเสียงแข็ง “ข้ารู้แล้ว กลับไปดูในใบรายการที่พวกท่านส่งขบวนเจ้าสาว แล้วหยิบกลับไปเป็นพอ”
จื่ออันมองกลับไป พบว่าใบหน้าของเซียวท่าดูซีดเซียวจริงนางเดาว่าเป็นเพราะในตอนที่เข้าไปในป่าไผ่โดนงูพิษกัดเอา ป่าไผ่แห่งนั้นมีงูเขียวตัวเล็กอยู่ พิษร้ายแรงนัก แต่ว่าพวกเขาในเมื่อกล้าเข้าไปแล้ว คงจะนำยาถอนพิษติดตัวไปด้วยหากว่ายังไม่ได้ถอนพิษ มู่หรงเจี๋ยก็คงจะมาหานางแล้ว แต่กลับนั่งอยู่ตรงนั่นดุจภูเขาไท่ซานรอดื่มเหล้าอยู่จื่ออันจริง ๆ แล้วไม่ได้คิดว่าเซี่ยหว่ายจุนจะบ้าคลั่งได้ถึงกับแอบคนไว้ในจวนมหาเสนาบดีได้ โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าจวนมหาเสนาบดีจะจัดงานเลี้ยงแต่งงาน ก็ไม่ควรจะทำเยี่ยงนี้มู่หรงเจี๋ยทำเยี่ยงนี้ ใช่ไม่ใช่ว่าทำเกินไป?มู่หรงจ้วงจ้วง ฮูหยินผู้เฒ่า ชุยไท่เฟย เหล่าไท่จวิน และเหลียงซื่อนั่งอยู่โต๊ะเดียวกัน นางพบจื่ออันและหลิวหลิ่ว จึงได้ทักทายพวกนางกลับไปจื่ออันนำหลิวหลิ่วเดินเข้ามา เดิมคิดเพียงว่าจะเข้ามาทำความเคารพชุยไท่เฟยและเฉินไท่จวิน แต่ว่าจ้วงจ้วงกลับให้พวกนางทั้งสองนั่งลงความหมายของจ้วงจ้วงนั้นจื่ออันเข้าใจเป็นอย่างดี มีเหล่าไท่จวิน และชุยไท่เฟยอยู่ด้วยแล้ว ต่อให้ฮูหยินผู้เฒ่าต้องการจะเอาเปรียบนาง ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้วจื่ออันนั่งด้านข้างของเหล่าไท่จวิน เฉินไท่จว
ชุยไท่เฟยเอ่ยออกมา “ฟันข้าไม่ค่อยดีนัก ตุ๋นสักเล็กน้อยข้าก็กินได้แล้ว ลำบากฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว”เหล่าไท่จวินเอื้อมมือไปหยิบเหล้า แต่กลับไม่ระวังทำตะเกียบตก ในตอนที่จื่ออันก้มตัวลงไปเก็บนั้น เหล่าไท่จวินเองก็ก้มลง ทั้งยังรีบเอ่ยข้างหูนาง “เหล้าของเจ้ามีปัญหา”จื่ออันจริง ๆ แล้วก็ตรวจพบเช่นกัน แต่มิได้ส่งเสียงออกมา เด็กรับใช้ที่รินเหล้าให้นางและเหลียงซื่อนั้น เป็นเด็กรับใช้คนสนิทข้างกายฮูหยินผู้เฒ่า เซี่ยฉวนได้โยกย้ายคนจนเพียงพอแล้ว จึงไม่จำเป็นจะต้องให้คนในเรือนของฮูหยินผู้เฒ่าออกมาช่วยงานต่อให้ออกมา ก็เพียงแค่คอยรับใช้ฮูหยินผู้เฒ่า ไม่จำเป็นต้องรินเหล้าให้แก่ผู้อื่น โดยเฉพาะในตอนที่มีเด็กรับใช้คอยรินเหล้าไว้ให้อยู่แล้วแต่ว่าแปลกนักทำไมนางถึงได้วางยาพิษลงไปในเหล้าของเหลียงซื่อทาสรับใช้เริ่มจะนำอาหารเข้ามา แต่ละจานถูกจัดวางอย่างประณีต มีสีสัน มีกลิ่นหอม และรสชาติต่างมีครบครันแต่ว่าความกระหายอยากของแต่ละคนนั้นจริง ๆ แล้วก็ไม่ค่อยจะดีนัก เพราะว่าเมื่อช่วยบ่ายได้มีการรับประทานไปแล้ว ตอนนี้เพิ่งถึงยามเย็น เพิ่งจะห่างกันเพียงแค่ครึ่งชั่วยามเท่านั้นเองทุกคนเพียง
ในตอนที่ฮูหยินผู้เฒ่ามิได้สนใจนั้น เหล่าไท่จวินได้รีบเร่งใส่ผงยาลงไปในถ้วยเหล้าของจื่ออัน จากนั้นจึงเอาเหล้าจากถ้วยของตนเทลงไปในถ้วยของจื่ออัน เอ่ย “ข้าดื่มเหล้ามิค่อยได้ เจ้าดื่มเถอะ เลี่ยงมิให้สิ้นเปลืองเหล้าชั้นดีของจวนมหาเสนาบดี”เหล่าไท่จวินใส่ยานั้นการกระทำค่อนข้างจะว่องไว ไม่เหมือนหญิงชราอายุเจ็ดสิบแปดแม้เพียงนิด เพียงแค่ชั่วระยะสะบัดแขนเสื้อเท่านั้น ผงยาก็ตกลงไปในถ้วยของจื่ออันหลังจากที่นางเทเหล้าลงไปนั้น เหลือบมองสีเหล้าในถ้วยอยู่ครู่นึง จากนั้นก็พูดออกมาราวกับว่าไม่เหมาะสม “มิต้องแล้ว ข้าเหมือนจะมีไอเล็กน้อย เจ้าก็อย่าได้ดื่มเหล้าของข้าเลย”พูดจบ ก็นำเหล้าขึ้นมาดมชั่วครู่ จากนั้นจึงเททิ้งแต่ว่าเพียงแค่ครู่เดียว จื่ออันเห็นว่าเหล้าในถ้วยนั้นเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอ่อน ในถ้วยมีเหล้าเดิมตกค้างอยู่หนึ่งสองหยด เหล่าไท่จวินใส่ยาลงไปในเหล้าแล้วเทเหล้าออกไป คงต้องการจะรู้ว่าจริง ๆ แล้วคือยาอะไรผงยาตัวนี้นั้น คงจะเป็นผงยาทดสอบสารพิษ“ไท่จวินเมื่อก่อนดื่มเหล้าได้เยอะนัก ทำไมมาคราวนี้แม้แต่แก้วเดียวก็ดื่มมิได้ซะแล้ว?” ไท่เฟยเอ่ยถามไท่จวินเอ่ยยิ้มยิ้ม “ตอนนี้มิได้แล้ว แก่แล้ว เพ
ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยกันจื่ออัน “อาศัยช่วงเวลานี้ เจ้ากับฮูหยินรองก็ไปยังเรือนด้านข้างเถอะ”จื่ออันและเหลียงซื่อลุกขึ้นยืน เหลียงซื่อย่อตัวคำนับให้แก่ทุกคน “ทุกท่านเชิญดื่มกันตามสบายเจ้าค่ะ ข้าขอตัวไปก่อนนะเจ้าคะ”“ฮูหยินเชิญตามสบาย!” ชุยไท่เฟยและเหล่าไท่จวินต่างเอ่ยพูดจื่ออันเดินไปได้เพียงสองก้าว จู่ ๆ ก็หันกลับมามองยังฮูหยินผู้เฒ่า “ใช่แล้ว ท่านย่า หลานสาวลืมพูดกับท่านย่าเรื่องหนึ่ง เมื่อครู่หลานสาวเอ่ยถามเซี่ยฉวน ข้าต้องการเด็กรับใช้หน้าห้องกุ้ยหยวน เซี่ยฉวนบอกว่าจะต้องถามความเห็นจากท่าน”ฮูหยินผู้เฒ่าโบกมือ “หากว่าเรือนเจ้าขาดคนแล้วย้ายไปให้เจ้าเป็นพอ“เจ้าค่ะ ขอบพระคุณท่านย่า” จื่ออันย่อตัวคำนับ หมุนกายออกไปเซี่ยฉวนนำเหลี่ยงซื่อที่ใส่ชุดมังกรไฟเข้ามา ตรงไปที่ห้องด้านข้างระหว่างทางเดินนั้น เซี่ยฉวนเอ่ย “คุณหนูใหญ่ ในเมื่อท่านเอ่ยถามฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าเองก็เอ่ยออกมาแล้ว กลับไปบ่าวจะเอาสัญญาขายตัวส่งไปให้ท่าน”จื่ออันเอ่ยกลับ “ลำบากพ่อบ้านแล้ว”เซี่ยฉวนมุมปากมียิ้มเย็นปรากฎขึ้น “บ่าวสมควรทำแล้วขอรับ”รอเจ้าตายก่อน ค่อยฆ่ากุ้ยหยวนส่งให้ไปรับใช้เจ้าเข้ามายังห้องด
ซีเหนียงออกไปแล้วนั้น เซี่ยฉวนมองจื่ออันอย่างใจร้อน “คุณหนูใหญ่มีเรื่องอะไรกัน?”จื่ออันเอ่ย “ข้าเหมือนจะเหนื่อยล้าไม่มีแรง เจ้าเข้ามาประคองฮูหยินไปนั่งทางด้านโน้นที”เสียงฆ้องและกลองยิ่งดังขึ้น ดูท่าแล้วมังกรไฟคงจะเข้ามาใกล้แล้วเซี่ยฉวนดูเหมือนจะตื่นเต้นขึ้น จึงเอ่ย “ข้าออกไปเรียกคนมา”พูดจบ หมุนตัวก็ออกไปจื่ออันยกเก้าอี้โยนออกไป เก้าอี้ชนเข้ากับหลังของเซี่ยฉวน เซี่ยฉวนโซเซล้มลงบนพื้นจื่ออันรีบเร่งเข้าไปปิดประตู กีดขวางฝีเท้าเขาเอาไว้ เอ่ยเสียงเย็น “พ่อบ้านเซี่ย ช่างไม่เห็นคุณหนูใหญ่ผู้นี้อยู่ในสายตาซะจริง!”เซี่ยฉวนร้อนรน แล้วปีนขึ้นมาจากพื้น “บ่าวผิดไปแล้ว คุณหนูใหญ่ระงับโทสะด้วย บ่าวจะไปตามคนมาเดี๋ยวนี้ขอรับ”ประตูด้านนอกและภายในเรือนล้วนเต็มไปด้วยน้ำมันตะเกียง เพียงแค่มังกรไฟผ่านมา เกิดอุบัติเหตุขึ้นเพียงเล็กน้อย เรือนแห่งนี้เพียงชั่วครู่ก็จะกลายเป็นทะเลเพลิงดังนั้นเขาจึงจำต้องออกไปจากที่แห่งนี้ในชั่วขณะนี้เขารีบเร่งปีนขึ้นมา คิดที่จะเปิดประตูแต่ว่าจื่ออับกลับขัดขวางอยู่เบื้องหน้าเขา ท่าทางเย็นชา“คงจะมิทันการแล้ว เซี่ยฉวน เจ้าช่วยพวกเขา
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว