อ๋องหลี่มองดูพี่น้องตระกูลเฉิน แล้วกล่าวถามเจ้ากรมอาญา "ทำร้ายคน จะตัดสินความผิดอย่างไร?"“กราบทูลท่านอ๋อง ต้องดูสภาพบาดแผลก่อนแล้วค่อยตัดสินพ่ะย่ะค่ะ!”อ๋องหลี่พยักหน้า "อืม ข้ารู้ แต่ว่าท่านรับผิดชอบกรมอาญา ข้าก็เลยอยากจะถามท่านก่อน เช่นนี้ดีหรือไม่ถ้าพวกเขาทั้งสิบสองคนลงมือทำร้ายเจ้า ข้าจะอยู่ที่นี่คอยดูแลกำกับเจ้ากรมอาญาให้ ตัดสินโทษตามสภาพบาดแผล ไม่มีใครสักคนที่ทำร้ายคนแล้วจะรอดพ้นโทษได้ ข้าสัญญา"เหลียงซื่อมองดูผู้คนที่ดุร้ายเหล่านี้ ถ้าทั้งสิบสองคนกรูเข้ามาทำร้ายนางพร้อมกัน การลงโทษแต่ละระดับก็ไร้ประโยชน์แล้วมู่หรงจ้วงจ้วงลดมือลง ไม่รู้ควรจะทำเช่นไรดี แต่เมื่อมีอ๋องหลี่อยู่ที่นี่เรื่องราวก็กลับพลิกผันได้อย่างง่ายดายอย่างไรก็ตาม เมื่อนางเห็นจื่ออันฝังเข็มให้เด็กรับใช้แล้ว ทั้งยังเอนตัวไปกระซิบที่ข้างหูของเขาอีกมู่หรงจ้วงจ้วงก็เข้าใจได้ในทันทีว่าอ๋องหลี่เป็นคนช่วยปิดบังให้จื่ออันมันช่างแปลกจริง ๆ อ๋องหลี่เป็นคนที่ยึดมั่นในความถูกต้อง ไม่เคยได้ยินว่าเขาจะเอนเอียงไปช่วยใครเลย ก่อนหน้านี้พิจารณาคดีการทำร้ายจนทำให้เสียโฉม ก็เพราะมันไม่ละเมิดต่อกฎหมายเขาถึงเข้ามาช่วยได้นาง
มู่หรงเจี๋ยหัวเราะเยาะหลังจากได้ฟังคำพูดของฮูหยินผู้เฒ่า "เอ๋ ที่แท้ฮูหยินผู้เฒ่าก็คือคนที่เข้าใจเรื่องราวดีสินะ?"ฮูหยินผู้เฒ่าเดินหน้าต่อไป ทำเป็นว่าไม่ได้ยินคำพูดของมู่หรงเจี๋ย ถลึงตาจ้องไปที่เด็กรับใช้ กล้ามเนื้อบนใบหน้ากระตุก ดูช่างดุร้าย "พูดออกมา เป็นอย่างนี้ใช่หรือไม่?" ริมฝีปากของกุ้ยหยวนสั่นสะท้านด้วยความตกใจ ทุกคนต่างรอคอยคำตอบของเขาอยู่ไม่ว่าเขาจะตอบว่าใช่หรือไม่ก็ตาม เขาก็ยังไม่แน่ใจถึงความสัมพันธ์ฉันชู้สาวระหว่างจื่ออันกับซีเหมินเสี่ยวชิ่งอยู่ดี กุ้ยหยวนจ้องมองทุกคน แล้วเปิดปากพูด น้ำเสียงของเขาปลี่ยนไปเพราะความกลัว “กราบเรียนใต้เท้า บ่าวไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น เดิมทีบ่าวก็เป็นแค่คนเฝ้าประตู วันนี้ที่จวนมีงานแต่ง พ่อบ้านส่งตัวบ่าวมาคอยรับใช้แขกที่มา จากนั้นคุณชายซีเหมินก็มาถึงแล้วบอกให้บ่าวไปเคลื่อนย้ายของกับเขาที่สวนดอกไม้ที่ด้านหลัง บ่าวเห็นว่าคุณชายซีเหมินเป็นแขกผู้มีเกียรติของจวนมหาเสนาบดี จึงไปกับเขา พอไปถึงสวนดอกไม้ที่ด้านหลัง คุณชายกลับไม่เข้าไปด้วย แต่กลับพาบ่าวเดินอ้อมทะเลสาบแล้วขึ้นไปที่ภูเขาหินจำลอง พอถึงภูเขาหินจำลอง คุณชายซีเหมินก็พุ่งเข้ามาบีบคอบ่าวในทั
อ๋องหลี่ขมวดคิ้ว เหมือนอวัยวะภายในพันกันทั้งหมดใบหน้าดูเหมือนคนที่ท้องผูกเขามองไปที่ฮูหยินผู้เฒ่า และต้องการถามนาง แต่นางกลับหันหน้าไปทางอื่น ไม่ได้มองดูอ๋องหลี่ เห็นได้ชัดว่าไม่ต้องการไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องปิ่นที่ไม่มีมุกนิลจินดานั่นอ๋องหลี่โกรธกริ้วมาก และถอนหายใจแรงฝูงชนต่างมองไปที่ฮูหยินผู้เฒ่า ตบของรางวัลเป็นเครื่องประดับให้หลานสาวตนเองทั้งที กลับให้ปิ่นที่ไม่มีอัญมณีประดับไว้ ดูแล้วที่คนนอกพูดกันว่าฮูหยินผู้เฒ่าใจยักษ์ใจมารไร้ความเมตตาปราณี คงไม่ได้พูดผิดไปเลยสักนิดหลังจากที่เจ้ากรมอาญาได้ฟังที่อ๋องหลี่พูดแล้ว ก็มองไปที่เซี่ยหว่านเอ๋อ เหมือนว่าเขาจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นแล้ว แต่ว่าวันนี้เป็นวันแต่งงานของหลานสาวจิ้นกั๋วกง จะตัดสินคดีความที่นี่คงจะไม่เหมาะ จึงกล่าวออกไปว่า "เรื่องราวหลัก ๆ ก็ได้กระจ่างบ้างแล้ว วันนี้เป็นวันแต่งงานของมหาเสนาบดี จะรบกวนอารมณ์สุนทรีของทุกท่านคงจะไม่งาม เรื่องที่ยังค้างคาอยู่ค่อยไปตัดสินกันที่ศาลาว่าการ ทหาร นำตัวซีเหมินเสี่ยวชิ่งไปคุมขังไว้ในคุกที่กรมอาญาไว้ชั่วคราวก่อน พรุ่งนี้ข้าค่อยไต่สวน”ใบหน้าของซีเหมินเสี่ยวชิ่งซีดเผือด ขาของเขาไร้เรี่ยว
อ๋องหลี่มองดูนางเล็กน้อยแล้วขมวดคิ้ว “หม่อมฉันเปล่าทำ”“ทำสิ ข้ารู้จักเจ้าดี ถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นคนที่ซื่อสัตย์และตรงไปตรงมา แต่ก็คงจะไม่พูดจาหยาบคายต่อหน้าคนจำนวนมากเช่นนี้ เจ้าจงใจพูดเรื่องที่ราชครูเหลียงท้องเสีย ซึ่งเขาเป็นคนทะนงตัวคิดว่าตนเองสูงส่ง มีความสุภาพเรียบร้อยในตัวเอง คงจะไม่เกี่ยวกับเรื่องอึ เรื่องฉี่อย่างที่เจ้าโต้แย้งมา และเขาก็ไม่อยากให้เจ้าจดจ่ออยู่ที่ประเด็นนี้อีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะนิ่งเฉยไม่พูดอะไร ในตอนแรกเขาไม่โต้แย้งกับเจ้า มาถึงภายหลังเขาก็เสียโอกาสแรกไปแล้ว เจ้าบอกว่าเห็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่ฝั่งตรงข้าม ความจริงแล้วเจ้าไม่ได้เห็นอะไร และไม่ได้อยู่ในห้องสุขาด้วย เจ้าแค่ระแวดระวังเขา จึงแอบตามเขาไป และเจ้าก็ได้เห็นเขานั่งยอง ๆ หันหน้าไปทางภูเขาหินจำลอง ดังนั้นเจ้าจึงคาดคะเนตามทิศที่เขามองไป ใช่หรือไม่? เพราะหลังจากนั้นเจ้าก็ไม่ได้พูดออกมาว่าเจ้าเห็นอะไรกันแน่ แค่ขู่ขวัญองค์รัชทายาทกับซีเหมินเสี่ยวชิ่งก็เท่านั้น ตอนที่เจ้าบอกว่าเจ้าเห็น ขาของซีเหมินเสี่ยวชิ่งก็อ่อนแรงทันที"มู่หรงจ้วงจ้วงพูดพลางมองไปที่อ๋องหลี่พลาง และพูดต่อ "บางทีราชครูเหลียงอาจจะไม
มู่หรงจ้วงจ้วงรู้สึกว่าเขาเจ้าเล่ห์จริง ๆ หวงจู่มู่บอกให้เขาช่วยถ้าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นในอนาคต เขากลับช่วยเพียงสองเรื่องเล็ก ๆ ก็ถือว่าทำตามคำสั่งของหวงจู่มู่ได้สำเร็จแล้วแต่นางรู้สึกใจชื้นขึ้นมามาก ก่อนหน้านี้ได้คุยกับอ๋องสองว่าหวงจู่มู่อาจจะช่วยเรื่องในราชสำนักอย่างลับ ๆ ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เองมู่หรงเจี๋ยให้เซียวท่าพากุ้ยหยวนออกไป จากนั้นก็เรียกให้จื่ออันเข้ามา"ท่านอ๋อง!" จื่ออันเดินเข้ามา อันที่จริงนางสามารถคลี่คลายเรื่องนี้เองได้ แต่ก็คงต้องใช้ความพยายามไม่น้อย คิดไม่ถึงว่าอ๋องหลี่จะยื่นมือเข้ามาช่วย เรื่องราวจึงได้รับการแก้ไขได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ ต้องขอบคุณเขาจริงจื่ออันรู้สึกขอบคุณอ๋องหลี่ในใจ แต่กลับไม่รู้ว่าที่เขาช่วยนางในคืนนี้ ก็เพื่อที่จะไม่ต้องช่วยอีกหากเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นกับนางในอนาคตมู่หรงเจี๋ยยังคงนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ไม้โบราณ "เมื่อครู่นี้ ซีเหมินเสี่ยวชิ่งกล่าวว่าเมื่อก่อนเจ้ากับเขาเคยคบหาดูใจกันมาก่อนใช่หรือไม่? จื่ออันพยักหน้า "เขาพูดเช่นนั้นจริงเพคะ!"“เป็นเรื่องจริงเหรอ?” มู่หรงเจี๋ยถามด้วยความประหลาดใจ ดวงตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อย“ท่านอ๋องเชื่อเหรอเพค
หลังจากที่ซีเหมินเสี่ยวชิ่งถูกนำตัวไป เหลียงซื่อก็โมโหมาก และรีบไปโอดครวญเกี่ยวกับเรื่องนี้เรือนใหม่ของซีเหมินเสี่ยวเยว่ทันทีซีเหมินเสี่ยวเยว่ก็พอทราบเรื่องที่เกิดขึ้นข้างนอกมาบ้าง บ่าวรับใช้ที่ติดตามมาจากบ้านเก่าได้ออกไปสืบข่าวมาให้บ้างแล้ว แต่ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องราวทั้งหมด พอตอนนี้ได้ยินเสียงร้องไห้ของเหลียงซื่อ ก็ขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้พลางกล่าวว่า "ข้าเพิ่งจะบอกไปว่าวันนี้อย่าก่อเรื่องอะไร เพราะเป็นวันแต่งงานของข้า มีเลือดตกยางออก ยังถือว่าเป็นลางดีอยู่อีกหรือ? อีกทั้งยังดึงคนของตนเองเข้าไปเกี่ยวข้องอีก แต่เซี่ยจื่ออันผู้นั้นไม่ได้รับอันตรายเลยสักนิด แถมยังทำให้ข้าที่เป็นฮูหยินต้องพ่ายแพ้ไปอีกครั้ง"เมื่อเหลียงซื่อได้ยินน้ำเสียงที่เหมือนจะตำหนินางเล็กน้อย ความโกรธก็ก่อตัวขึ้น “เจ้าพูดเหมือนว่าเจ้าจะลอยตัวอยู่เหนือปัญหา ราวกับว่าไม่ใช่ธุระอะไรของเจ้า ก็แค่ทำเป็นแก้ตัว แต่ใจของเจ้าก็ไม่รู้ว่าอยากจะสั่งสอนเซี่ยจื่ออันมากแค่ไหน มิเช่นนั้นคงไม่ให้เซี่ยหว่านเอ๋อมาช่วยพวกเราหรอก ตอนนี้ก็เข้าไปเกี่ยวข้องแล้ว เจ้าคิดจะปัดความรับผิดชอบหรืออย่างไร? ถ้าทำเรื่องนี้สำเร็จ
มหาเสนาบดีเซี่ยก็โกรธมาก "เรื่องนี้ดูแล้วน่าจะเป็นแผนการของเหลียงซื่อ ข้าเคยได้ยินเรื่องของนางมานานแล้ว นางเป็นคนที่หยาบคายและไร้เหตุผลสิ้นดี นังเด็กนอกคอกเซี่ยหว่านเอ๋อนั่นก็ร่วมกระทำเรื่องสิ้นคิดไปกับนางด้วย และถึงแม้ว่าองค์รัชทายาทจะร่วมด้วย เรื่องนี้ก็ยังไม่รู้ว่าจะต้องอธิบายกับราชครูเหลียงว่าอย่างไร""เป็นความอัปยศของตระกูลเราจริง ๆ เซี่ยหว่านเอ๋อยังดึงรัชทายาทเข้ามาร่วมแผนการด้วยอีกคน เดิมก็ถือว่าเป็นเรื่องดี แต่ครั้งนี้มันล้มเหลว ทางด้านขององค์รัชทายาทคงจะต้องมองนางไม่ดีเป็นแน่ ก่อนหน้านี้ได้ยินข่าวมาว่าองค์รัชทายาทได้เข้าเฝ้าหวงไท่โฮ่ว เพื่อกราบทูลขอให้ยกเลิกเรื่องการอภิเษก แล้วนางสร้างเรื่องขึ้นอีกแบบนี้ ตำแหน่งพระชายาเอกขององค์รัชยาทเห็นท่าคงจะหมดหนทางรักษาไว้ได้แล้วมหาเสนาบดีเซี่ยยิ้มเย้ยหยัน "หากเป็นเช่นนี้จริง นางก็คงจะไม่มีจุดจบที่ดี""ถ้านางโชคร้าย จวนมหาเสนาบดีของเราก็จะโชคร้ายไปด้วย เจ้าคิดว่าฮองเฮากับท่านราชครูโง่เขลางั้นหรือ? ตอนนี้ชื่อเสียงของจวนเราก็ย่อยยับจนแทบจะไม่มีชิ้นดีแล้ว ไร้ซึ่งอิทธิพล ก็ไม่เหลือประโยชน์อะไรแล้ว เดิมทีอยากใช้โอกาสนี้เกี่ยวดองกับจิ้นกั๋ว
ซีเหมินเสี่ยวเยว่ทำท่าทางเหมือนรู้สึกผิด “ที่ท่านแม่พูดมาก็มีเหตุผล เป็นเพราะอาสะใภ้รองประมาทเกินไป และก็ต้องโทษนางด้วยที่ไว้ใจเซี่ยหว่านเอ๋อ”ฮูหยินผู้เฒ่าเมื่อเห็นว่านางวกกลับมาที่จวนมหาเสนาบดีอีก ในใจก็รู้สึกโกรธ ซีเหมินเสี่ยวเยว่ผู้นี้ดูท่าจะไม่ใช่คนที่จะรับมือได้ง่าย ๆ เสียแล้วมหาเสนาบดีเซี่ยกล่าวถาม “ตอนนี้ฮูหยินรองวางแผนจะทำเช่นไรเล่า?"ซีเหมินเสี่ยวเยว่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “เรื่องนี้… นางคิดว่าการที่บุตรชายของนางถูกดึงเข้าไปข้องเกี่ยวด้วย แต่เซี่ยจื่ออันกลับไม่ได้รับอันตรายอันใดเลยสักนิด แน่นอนว่านางก็คงจะรู้เจ็บใจ ไม่ทราบว่า..."นางเงยหน้าขึ้นแล้วมองมหาเสนาบดีเซี่ยและก็หยุดพูด แต่ใจนางรู้ดีว่าที่นางแสดงอาการเช่นนี้ ฮูหยินผู้เฒ่ากับมหาเสนาบดีจะต้องเข้าใจสิ่งที่นางต้องการจะสื่อ มหาเสนาบดีเซี่ยมีสีหน้าที่เคร่งขรึม “วันนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีที่ควรจะลงมือ เจ้าก็น่าจะรู้”“ข้ารู้ ข้าทราบดี” ซีเหมินเสี่ยวชิ่งรีบพูด “ข้าไม่เคยรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อน เพียงแต่อาสะใภ้รองมาที่เรือนหอของข้า ข้าก็อดไม่ได้ที่จะระบายความคับข้องใจ เพื่อข้าแล้วนางได้ออกหน้าเรียกเซี่ยหว่านเอ๋อมาปรึกษาเกี่ย
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว