“เด็กรับใช้?” ซูชิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เด็กรับใช้ก็มีอยู่หรอก เมื่อก่อนเคยเข้ามาเก็บกวาดที่นี่ครั้งหนึ่ง แต่เขาไม่พอใจเอาเสียมาก ๆ โมโหเสียใหญ่โต ตั้งแต่นั้นป็นต้นมา หนี่หรงกับข้าก็เป็นคนที่ทำความสะอาดที่นี่ เซียวท่าก็เคยทำความสะอาดที่นี่เช่นกัน แต่ว่าเจ้าอย่าไปคาดหวังอะไรกับเซียวท่ามากนัก ห้องของเขายังรกกว่าที่นี่เสียอีก"“เซียวท่าไม่ยอมให้ผู้หญิงเข้าใกล้เลยงั้นหรือ?" จื่ออันคิดว่าบนโลกใบนี้มีคนแปลก ๆ เช่นนี้ด้วยหรือ? ในเมื่อเขาเป็นชายแท้ ก็ต้องเป็นฝ่ายรุกเข้าไปใกล้ชิดผู้หญิงก่อน และก็คงต้องชอบการที่ผู้หญิงเป็นฝ่ายรุกเข้าหาเขาเช่นกัน"เขาไม่เคยชอบเลย" ซูชิงดูพึงพอใจมาก "ดังนั้นเมื่อได้ออกไปข้างนอกกับพวกเขา แม้ว่าข้ากับหนี่หรงจะไม่ได้เนื้อหอมมาก แต่ก็มักจะได้ประสบการณ์มากมายกลับมาเสมอ"คำพูดของเขามีเลศนัย และเขาก็ให้ความร่วมมือด้วยรอยยิ้ม จื่ออันรุ้สึกไม่สบอารมณ์ มองไปที่เขาด้วยสายตาที่ว่างเปล่าเมื่อทั้งสองคนดื่มสุราคนละหนึ่งจอกแล้วก็เริ่มลงมือปฏิบัติงานจื่ออันก็ยังไม่เชื่ออยู่ดี "เขาไม่เคยปล่อยให้ผู้หญิงย่างกรายเข้ามาในห้องนี้จริง ๆ อย่างนั้นหรือ?"ซูชิงส่ายหัว “ไม่เคยเลย ขนาดโห
มู่หรงเจี๋ยมีท่าทีที่เปลี่ยนไป "เกิดอะไรขึ้น?"ทหารองครักษ์กล่าวตอบ "ไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ พอใต้เท้าหนี่กลับถึงจวนก็สลบไป แล้วบ่าวรับใช้ของเขาก็รีบพยุงตัวพาไปหาท่านหมอเซี่ย"เซี่ยจื่ออันหรือหมอเซี่ย ในตอนนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นหมอที่พักอยู่ในจวนอ๋อง ช่วงที่นางอยู่ที่นี่ ใครที่ไม่สบายก็ล้วนมาให้นางรักษากันทั้งนั้น “พยุงเขาเข้ามาในห้องด้านข้าง!” มู่หรงเจี๋ยมองไปที่ใบหน้าซีดเซียวของหนี่หรงแล้วออกคำสั่งซูชิงก็เดินออกมาเช่นกัน เมื่อเห็นสภาพของหนี่หรง เขาก็โยนไม้กวาดไปที่ประตูในทันที แล้วจึงก้าวไปข้างหน้าเพื่อช่วยพยุงเขาจื่ออันรีบวิ่งไปข้างนอกเพื่อหยิบกล่องยา ทว่ามู่หรงเจี๋ยก็ดึงตัวเธอไว้ และสั่งให้เด็กรับใช้ที่อยู่ที่ประตู "ไปหยิบกล่องยาของหมอเซี่ยมา""พ่ะย่ะค่ะ!" เด็กรับใช้รีบสับเท้าวิ่งออกไปอย่างรวดเร็วหนี่หรงถูกพยุงเข้าไปในห้องด้านข้าง และทหารองครักษ์ก็พาตัวเขาไปไว้บนเตียงไม้ หนี่หรงยังพอมีสติอยู่บ้าง ยังสามารถลืมตาขึ้นมาได้ แต่เห็นได้ชัดว่าเขาหายใจค่อนข้างจะลำบาก“เกิดอะไรขึ้น?” จื่ออันจับชีพจรของเขาพลาง และถามเขาไปพลางหนี่หรงหลับตา "เวียนหัว..."“เวียนหัว? เจ้ากินอะไรเข้าไป?” ปฏ
หลังจากทำเช่นนี้หลายต่อหลายครั้ง หนี่หรงที่ถูกเขย่าตัวไปมา จนทั้งเนื้อทั้งตัวไม่มีเรี่ยวแรงเหลือเลยสักนิด ทั้งยังวิงเวียนศีรษะมากจนหมดแรงที่จะให้ความร่วมมือกับจื่ออันในการรักษาได้จื่ออันกังวลเล็กน้อย นางหันกลับไปจะบอกบ่าวรับใช้ให้กรอกน้ำเกลือลงไปต่อไป แต่กลับเห็นมู่หรงเจี๋ยยืนอยู่ที่ด้านหลัง และท่าทางของเขาก็แลดูวิตกกังวลผิดปกติเขาเป็นห่วงหนี่หรงมากจื่ออันรู้ว่าเขาไม่ใช่คนที่ไร้ความรู้สึกหรือเย็นชาอะไร ยิ่งหนี่หรงเป็นคนข้างกายด้วยแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่พูด แต่ในใจก็ให้ความสำคัญมาก“เขาจะไม่เป็นอะไร” จื่ออันกล่าวเบา ๆ“ขอบใจเจ้ามาก!” ดวงตาของเขาแลดูสับสนเล็กน้อย เขากวาดสายตามองไปที่จื่ออันอย่างรวดเร็ว แล้วก็มองไปที่หนี่หรงด้วยหลังจากทำให้หนี่หรงอาเจียนออกมาแล้ว จื่ออันก็รอให้ร่างกายของเขาฟื้นตัว ดังนั้นจึงให้เขากินซุปถั่วเขียว จากนั้นก็เขียนเทียบยาล้างพิษ ให้ทหารองครักษ์รีบไปเอายามาให้หลังจากพลิกตัวไปมาเกือบสองชั่วยาม หนี่หรงก็ค่อย ๆ ได้สติขึ้นมามู่หรงเจี๋ยก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาเหลือบมองไปที่จื่ออันและพูดอย่างเฉยเมย "เวลาที่เจ้าช่วยเหลือคน ก็ไม่ได้ดูน่าเกลียดสักเท่าไหร่น
จื่ออันส่ายหัว "เขาไม่น่าจะทำเรื่องเช่นนั้นออกมาได้”ไม่ใช่ว่าเซี่ยจื่ออันจะปกป้องเซี่ยหวายจุน แต่ว่าการที่อวดเบ่งอำนาจในที่สาธารณะเช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องที่เขาน่าจะทำตอนอายุเท่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่จวนมหาเสนาบดีมีชื่อเสียงที่ด่างพร้อยอยู่ เขาก็ยิ่งจะไม่ทำเรื่องโง่เขลาเช่นนี้ออกมาได้อย่างแน่นอนซูชิงมองมาที่นางแล้วยิ้มเย้ยหยัน "เขานั่นแหละเป็นคนทำ แน่นอนว่าถ้าเป็นยามปกติ อย่างมากก็ตำหนิอย่างรุนแรงไม่กี่คำ แต่ในวันนั้นเกี้ยวของซีเหมินเสี่ยวเยว่อยู่ข้างหลังเขาพอดี"“อะไรนะ?” จื่ออันรู้สึกไม่อยากจะเชื่อเลย “เจ้าหมายถึง เขาจงใจอวดเบ่งอำนาจต่อหน้าซีเหมินเสี่ยวเยว่อย่างนั้นหรือ? เป็นการเอาใจนางสินะ?”“เป็นทั้งการเอาใจและการใช้อำนาจข่มขวัญ เท่ากับบอกซีเหมินเสี่ยวเยว่ว่า ถึงตอนนี้เขาจะมีชื่อเสียงที่ไม่ดี แต่เขายังคงเป็นมหาเสนาบดีของราชสำนัก อีกทั้งตระกูลจิ้นกั๋วกงกับเขาก็จะดองเป็นญาติกันแล้ว ต่อไปอย่าได้คิดดูถูกเขา" มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเฉยเมยจื่ออันมองไปยังเขา ดูเหมือนกับว่าเขาจะรู้เรื่องนี้มานานแล้ว แต่กลับไม่เคยบอกนางเลยอันที่จริง ถึงแม้ว่าช่วงนี้นางจะอยู่ในจวนอ๋องทุกวัน แต่ดูเ
"หมู่บ้านศิลามีทหารคอยปกป้องมาโดยตลอด"จื่ออันอยากไปสำรวจที่หมู่บ้านหินแห่งนี้ แต่ก็คิดว่าปัญหายิ่งมีน้อยก็ยิ่งดี อันที่จริงแล้ว นี่มันก็เป็นเพียงการคาดเดาของตนเองเท่านั้น คนผู้นี้อาจจะเป็นแค่คนที่เป็นโรคพิษสุนัขบ้า และก็อาจจะตายไปแล้วก็ได้แต่ว่า การคาดเดาของนางนี้ก็ไม่ได้ทำตนเองรู้สึกสบายใจเลย เพราะว่า เพราะถ้าเป็นโรคพิษสุนัขบ้าจริง และสองคนนั้นที่ถูกกัดก็ตายไปแล้ว เหตุใดคนแรกที่ถูกกัดถึงยังไม่ตาย?ในปัจจุบันนี้โรคพิษสุนัขยังไม่มีวิธีรักษาให้หาย การติดเชื้อนี้ ก็ควรจะต้องตายหนี่หรงที่ได้ยินสิ่งมี่พวกเขาพูดคุยกันก็รู้สึกวิตกกังวลเป็นอย่างมาก เขามองไปที่มู่หรงเจี๋ยแล้วกล่าว"ท่านอ๋อง หากบ่าวได้สูญเสียสติสัมปชัญญะไปจนสิ้นแล้ว ก็ขอให้ท่านช่วยฆ่าบ่าวเสียเถิด บ่าวไม่อยากกลายเป็นผีดิบ"มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างใจเย็น"เหลวใหล ไม่มีผีดิบอะไรทั้งนั้น เจ้าไม่เคยได้ยินที่เซี่ยจื่ออันพูดหรือ? มันคือโรคชนิดหนึ่ง ในเมื่อมันเป็นโรค อย่างไรเสียก็จะต้องมีทางรักษา"“ใช่หรือไม่? “มู่หรงเจี๋ยหันไปถามจื่ออันแม้ว่าจื่ออันอยากจะบอกว่าไม่ใช่ทุกโรคที่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่เมื่อดวงตาของเขาแลดูเคร่งขรึม
จื่ออันมองที่แผ่นหลังของเขา เกลียดจนอยากจะงับเขาจริง ๆ ผู้สำเร็จราชการผู้นี้มักพูดจาแค่ครึ่งนึงจากนั้นก็เปลี่ยนเรื่องคุย ไม่เปิดโอกาสให้ใครถามเลยสิ่งที่ทำให้คนอื่นทนไม่ได้มากที่สุด ก็คือคำพูดของเขาดูเหมือนจะจริงแต่ก็เป็นเท็จเสมอ และคนอื่นจะไม่สามารถแยกแยะได้เลยคนพาล!พอจัดการเรื่องของหนี่หรงเสร็จเรียบร้อย เกือบจะค่ำแล้วเฉินหลิวหลิ่วเล่นกับพวกสาวใช้มาทั้งวัน นางเองก็เหนื่อยแล้ว จึงนอนคว่ำอยู่บนโต๊ะหินในลานของเรือนระยะนี้นางและเซียวท่าไม่ได้มีความคืบหน้าใด ๆ เลย และไม่ได้พูดคุยกันด้วย ความคืบหน้าเพียงอย่างเดียวก็คือนางมักจะเห็นเขาบ่อยขึ้นเฉินหลิวหลิ่วบอกกับจื่ออันว่า นางจะค่อย ๆ แทรกซึมเข้าไปในใจของเซียวท่าทีละนิด ๆ ดังนั้นนางจึงไม่รีบร้อนจื่ออันรู้สึกชื่นชมนางมาก เดิมทีคิดว่านางจะยอมแพ้ นางอดทนมาสองถึงสามวันแต่ก็ไม่ได้พูดคุยกับเซียวท่าเลย ซึ่งความไม่ย่อท้อนี้ ผู้หญิงธรรมดาทั่วไปต่างก็ไม่มี เฉินหลิวหลิ่วมีค่าควรแก่การยกย่อง และหากนางใช้ความไม่ย่อท้อนี้ในด้านอื่น ๆ ก็จะบรรลุผลสำเร็จอย่างแน่นอนตอนที่พวกนางออกจากจวนมา กุ้ยไท่เฟยก็กลับเข้ามาในจวนพอดีนางกลับจากวังมาในวันแรก
กุ้ยไท่เฟยโกรธจนหน้าเขียวหน้าดำ ราวกับลูกศรอาบยาพิษที่พุ่งไปหาเขา แต่มันก็ค่อย ๆ สงบลง "เจ้าจะพูดเช่นไรก็แล้วแต่เจ้า ข้ามีมโนธรรมที่ชัดเจน"มู่หรงเจี๋ยหัวเราะออกมาเบา ๆ "ข้าล่ะชอบการหลอกตนเองและผู้อื่นที่ไร้ยางอายของท่านเสียจริง"นางกล่าวด้วยใบหน้าที่เย็นชา "อย่าภูมิใจในตนเองนักเลย อย่างไรเสียข้าก็ยังเป็นแม่ของเจ้า จะถือว่าข้าไม่ใช่ก็ได้ เสด็จพ่อของเจ้าปกครองทั่วหล้าด้วยความเมตตากรุณา ตราบเท่าที่ข้ายังอยู่ในจวนนี้ เจ้าจะต้องประพฤติตัวเป็นลูกที่ดี ไม่อาจทำตัวเหลวไหลได้แม้แต่น้อย”“เสด็จแม่เย้าลูกเล่นใช่หรือไม่ เป็นลูกจะไม่กตัญญูต่อผู้เป็นมารดาได้เช่นไรเล่า? มู่หรงเจี๋ยพูดพลางแล้วหันหลังกลับ "ตอนนี้ไม่ถือว่ากตัญญูหรอกหรือ? จริงสิ ลูกเพิ่งจะออกคำสั่งไป เรื่องพระราชพิธีศพ ไม่อนุญาตให้อ๋องหนานหวายเข้าเมืองหลวงมาได้"ใบหน้าของกุ้ยไท่เฟยเหมือนถูกบดขยี้ นางถามอย่างสิ้นหวัง “เขาเป็นน้องชายของเจ้านะ เจ้าต้องโหดร้ายถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”“เมื่อเทียบกับสิ่งที่เสด็จแม่และเขาทำ ถือว่าลูกมีเมตตามากแล้ว หากลูกใช้กลอุบายเช่นเดียวกับพวกท่าน วันนี้ท่านก็คงจะไม่ได้มายืนพูดคุยกับข้าที่นี่ แล้วเขาเองก็
มู่หรงเจี๋ยมองไปที่ใบหน้าที่สิ้นหวังของป้าซือจู และเขาก็รู้สึกสึกตื่นตระหนกในทันใด "ทหาร!"“พ่ะย่ะค่ะ!” ทหารองครักษ์เดินออกมาจากด้านหลังของเขา“จับตาดูกุ้ยไท่เฟยอย่างใกล้ชิด หากมีอะไรผิดปกติให้มารายงานข้าในทันที” มู่หรงเจี๋ยสั่งการออกไป“พ่ะย่ะค่ะ!” ทหารองครักษ์รับคำสั่งแล้วจากไปในคืนที่สองของเดือนแปดพรุ่งนี้เป็นวันที่เซี่ยหวายจุนมหาเสนาบดีของต้าโจว แต่งงานกับหลานสาวของจิ้นกั๋วกงซีเหมินเสี่ยวเยว่แล้วกฎหมายของต้าโจว (กฎต้าโจว กฎครอบครัว การแต่งงาน) บัญญัติว่าผู้ชายในต้าโจวจะแต่งกับภรรยาได้เพียงคนเดียว ผิงชีแม้จะเรียกว่าเป็นภรรยา แต่ก็มีสถานะทางสังคมเท่ากับอนุภรรยาเท่านั้นดังนั้นที่เรียกกันว่า ผิงชี คือวิธีการที่คนทั่วไปใช้เรียกเพื่อให้เกียรติภรรยาอีกคนหนึ่ง แต่ในแง่ของกฎหมาย ก็ยังคงเป็นอนุภรรยาอยู่ดีดังนั้นโดยทั่วไปแล้วการแต่งผิงชีเข้ามา จะต้องมีกฎเกณฑ์บางอย่าง และการแต่งงานอย่างเป็นทางการ และถูกต้องตามกฎหมายก็ไม่เหมือนกัน ก่อนอื่นเลยก็คือ ห้ามสวมชุดแต่งงานสีแดงสด จะต้องเปลี่ยนเป็นสีชมพูหรือสีอื่นที่คล้ายกับสีแดง ประการที่สอง เกี้ยวเจ้าสาวมิอาจหยุดอยู่ที่หน้าประตู ต้องผ่าน
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว