จื่ออันมองที่แผ่นหลังของเขา เกลียดจนอยากจะงับเขาจริง ๆ ผู้สำเร็จราชการผู้นี้มักพูดจาแค่ครึ่งนึงจากนั้นก็เปลี่ยนเรื่องคุย ไม่เปิดโอกาสให้ใครถามเลยสิ่งที่ทำให้คนอื่นทนไม่ได้มากที่สุด ก็คือคำพูดของเขาดูเหมือนจะจริงแต่ก็เป็นเท็จเสมอ และคนอื่นจะไม่สามารถแยกแยะได้เลยคนพาล!พอจัดการเรื่องของหนี่หรงเสร็จเรียบร้อย เกือบจะค่ำแล้วเฉินหลิวหลิ่วเล่นกับพวกสาวใช้มาทั้งวัน นางเองก็เหนื่อยแล้ว จึงนอนคว่ำอยู่บนโต๊ะหินในลานของเรือนระยะนี้นางและเซียวท่าไม่ได้มีความคืบหน้าใด ๆ เลย และไม่ได้พูดคุยกันด้วย ความคืบหน้าเพียงอย่างเดียวก็คือนางมักจะเห็นเขาบ่อยขึ้นเฉินหลิวหลิ่วบอกกับจื่ออันว่า นางจะค่อย ๆ แทรกซึมเข้าไปในใจของเซียวท่าทีละนิด ๆ ดังนั้นนางจึงไม่รีบร้อนจื่ออันรู้สึกชื่นชมนางมาก เดิมทีคิดว่านางจะยอมแพ้ นางอดทนมาสองถึงสามวันแต่ก็ไม่ได้พูดคุยกับเซียวท่าเลย ซึ่งความไม่ย่อท้อนี้ ผู้หญิงธรรมดาทั่วไปต่างก็ไม่มี เฉินหลิวหลิ่วมีค่าควรแก่การยกย่อง และหากนางใช้ความไม่ย่อท้อนี้ในด้านอื่น ๆ ก็จะบรรลุผลสำเร็จอย่างแน่นอนตอนที่พวกนางออกจากจวนมา กุ้ยไท่เฟยก็กลับเข้ามาในจวนพอดีนางกลับจากวังมาในวันแรก
กุ้ยไท่เฟยโกรธจนหน้าเขียวหน้าดำ ราวกับลูกศรอาบยาพิษที่พุ่งไปหาเขา แต่มันก็ค่อย ๆ สงบลง "เจ้าจะพูดเช่นไรก็แล้วแต่เจ้า ข้ามีมโนธรรมที่ชัดเจน"มู่หรงเจี๋ยหัวเราะออกมาเบา ๆ "ข้าล่ะชอบการหลอกตนเองและผู้อื่นที่ไร้ยางอายของท่านเสียจริง"นางกล่าวด้วยใบหน้าที่เย็นชา "อย่าภูมิใจในตนเองนักเลย อย่างไรเสียข้าก็ยังเป็นแม่ของเจ้า จะถือว่าข้าไม่ใช่ก็ได้ เสด็จพ่อของเจ้าปกครองทั่วหล้าด้วยความเมตตากรุณา ตราบเท่าที่ข้ายังอยู่ในจวนนี้ เจ้าจะต้องประพฤติตัวเป็นลูกที่ดี ไม่อาจทำตัวเหลวไหลได้แม้แต่น้อย”“เสด็จแม่เย้าลูกเล่นใช่หรือไม่ เป็นลูกจะไม่กตัญญูต่อผู้เป็นมารดาได้เช่นไรเล่า? มู่หรงเจี๋ยพูดพลางแล้วหันหลังกลับ "ตอนนี้ไม่ถือว่ากตัญญูหรอกหรือ? จริงสิ ลูกเพิ่งจะออกคำสั่งไป เรื่องพระราชพิธีศพ ไม่อนุญาตให้อ๋องหนานหวายเข้าเมืองหลวงมาได้"ใบหน้าของกุ้ยไท่เฟยเหมือนถูกบดขยี้ นางถามอย่างสิ้นหวัง “เขาเป็นน้องชายของเจ้านะ เจ้าต้องโหดร้ายถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”“เมื่อเทียบกับสิ่งที่เสด็จแม่และเขาทำ ถือว่าลูกมีเมตตามากแล้ว หากลูกใช้กลอุบายเช่นเดียวกับพวกท่าน วันนี้ท่านก็คงจะไม่ได้มายืนพูดคุยกับข้าที่นี่ แล้วเขาเองก็
มู่หรงเจี๋ยมองไปที่ใบหน้าที่สิ้นหวังของป้าซือจู และเขาก็รู้สึกสึกตื่นตระหนกในทันใด "ทหาร!"“พ่ะย่ะค่ะ!” ทหารองครักษ์เดินออกมาจากด้านหลังของเขา“จับตาดูกุ้ยไท่เฟยอย่างใกล้ชิด หากมีอะไรผิดปกติให้มารายงานข้าในทันที” มู่หรงเจี๋ยสั่งการออกไป“พ่ะย่ะค่ะ!” ทหารองครักษ์รับคำสั่งแล้วจากไปในคืนที่สองของเดือนแปดพรุ่งนี้เป็นวันที่เซี่ยหวายจุนมหาเสนาบดีของต้าโจว แต่งงานกับหลานสาวของจิ้นกั๋วกงซีเหมินเสี่ยวเยว่แล้วกฎหมายของต้าโจว (กฎต้าโจว กฎครอบครัว การแต่งงาน) บัญญัติว่าผู้ชายในต้าโจวจะแต่งกับภรรยาได้เพียงคนเดียว ผิงชีแม้จะเรียกว่าเป็นภรรยา แต่ก็มีสถานะทางสังคมเท่ากับอนุภรรยาเท่านั้นดังนั้นที่เรียกกันว่า ผิงชี คือวิธีการที่คนทั่วไปใช้เรียกเพื่อให้เกียรติภรรยาอีกคนหนึ่ง แต่ในแง่ของกฎหมาย ก็ยังคงเป็นอนุภรรยาอยู่ดีดังนั้นโดยทั่วไปแล้วการแต่งผิงชีเข้ามา จะต้องมีกฎเกณฑ์บางอย่าง และการแต่งงานอย่างเป็นทางการ และถูกต้องตามกฎหมายก็ไม่เหมือนกัน ก่อนอื่นเลยก็คือ ห้ามสวมชุดแต่งงานสีแดงสด จะต้องเปลี่ยนเป็นสีชมพูหรือสีอื่นที่คล้ายกับสีแดง ประการที่สอง เกี้ยวเจ้าสาวมิอาจหยุดอยู่ที่หน้าประตู ต้องผ่าน
จิ้นกั๋วกงพอใจมาก และซีเหมินเสี่ยวเยว่ก็พอใจมากเช่นกันจวนจิ้นกั๋วกงคืนนี้ที่จวนแทบจะเป็นคืนที่ทุกคนนอนไม่หลับกัน ฮูหยินผู้เฒ่าได้เชิญห่าวมิ่งโผมาหวีผมให้ซีเหมินเซียวเยว่ ปักดอกไม้ สมาชิกที่เป็นผู้หญิงในตระกูลแทบจะมากันทั้งหมดใช้คำพูดสมัยใหม่อธิบายได้ว่า ซีเหมินเสี่ยวเยว่ถือเป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงของตระกูลจิ้นกั๋วกง นางเป็นม่ายที่ภักดี จักรพรรดิพระองค์ก่อนเคยแต่งตั้งให้เป็นฮูหยินขั้นสองระดับเก้ามิ่ง แต่ตอนนี้นางถูกหวงไท่โฮ่วแต่งตั้งให้เป็นฮูหยินขั้นหนึ่ง ดูเหมือนว่าขั้นหนึ่งกับขั้นสองจะแตกต่างเพียงหนึ่งตัวอักษร ทว่ามันกลับมีความแตกต่างราวฟ้ากับดินในราชวงศ์นี้มีฮูหยินระดับเก้ามิ่งขั้นสองมีอยู่มากมาย แต่ว่าขั้นหนึ่งมีเพียงสามถึงสี่คนเท่านั้นแม้แต่ฮูหยินของจิ้นกั๋วกง ยังเป็นเพียงขั้นสอง แต่ตอนนี้หลานสาวของเขาได้แต่งงานกับมหาเสนาบดี แล้วถูกแต่งตั้งให้เป็นขั้นหนึ่ง สำหรับจิ้นกั๋วกงแล้ว ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งเพราะตระกูลซีเหมินก็ไม่มีคนที่พอจะเป็นหน้าเป็นตาให้ตระกูลได้มานานแล้วฮูหยินผู้เฒ่าเข้ามาที่ห้องของซีเหมินเสี่ยวเยว่ด้วยตนเอง ให้คนอื่นออกไปให้หมด ให้เหลือไว้แต่ซีเหมินเซีย
ซีเหมินเสี่ยวเยว่ไม่ชอบคำพูดเช่นนี้ แต่ก็ไม่ได้แสดงอาการออกมา "เจ้าค่ะ หลานจะจำคำสอนของท่านย่าไว้"ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวต่อ “เจ้าอย่าได้เป็นปฏิปักษ์กับนาง เรื่องที่เกิดขึ้นในจวนมหาเสนาบดีในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้ ล้วนอยู่ในสายตาของข้า ข้ามองเรื่องนี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ถ้าหยวนซื่อไม่มีการเคลื่อนไหวในตอนนี้ พอนางเริ่มลงมือ เจ้าก็จะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง ดังนั้นข้าจึงบอกแล้วว่าจะปล่อยคนผู้นี้เอาไว้ไม่ได้ แต่ตอนนี้ก็กำจัดนางทิ้งไปไม่ได้เช่นกัน เจ้าลองหาวิธีจัดการดู ชีวิตที่เหลือเป็นของเจ้า ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้วว่าเจ้าให้ความสำคัญกับความสูงส่งที่ทรงเกียรติ หรือความหยิ่งผยองของเจ้ากัน"ซีเหมินเสี่ยวเยว่รู้สึกว่าฮูหยินผู้เฒ่าประเมินหยวนซื่อสูงไป ในความคิดของนาง หยวนซื่อที่ถูกเฉินหลิงหลงรังแกมานานหลายปี จะมีความสามารถอันใด?นางก็แค่อ่านตำรามามากกว่าผู้อื่นเล็กน้อย ก็ทำให้มีชื่อเสียงมากขึ้นแล้วเหรอ? นี่ไม่ใช่อิทธิพล นี่มันเป็นตัวถ่วงชีวิตนางมากกว่าในตอนเช้าของวันแต่งงาน ป้าสองคนที่คอยรับใช้ฮูหยินผู้เฒ่าอยู่ในเรือนก็เข้ามาหา และบอกว่าปีนักษัตรของนางเป็นปีชง ให้หยวนซื่อออกไปอยู่ข้างนอกชั่วคร
“ไม่ต้องพิธีรีตอง!” อ๋องอันยื่นมืออกไปจะช่วยพยุงนาง แต่ก็แน่นอนว่าเขาก็ไม่ได้แตะต้องตัวของหยวนซื่อเดิมทีจื่ออันคิดว่าทั้งสองคนจะรู้สึกอึดอัดใจกัน คาดไม่ถึงว่าอ๋องอันจะเป็นฝ่ายเปิดปากพูดก่อน "มันก็หลายปีแล้วนะที่ไม่มีผู้ใดมาที่จวนแห่งนี้เลย คุณหนูใหญ่สามารถเจียดเวลามาที่นี่ได้ ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดี"คุณหนูใหญ่ที่เขาพูดถึงไม่ใช่จื่ออัน แต่เป็นหยวนซื่อหยวนซื่อก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดเช่นกัน บางทีอาจเป็นเพราะนางมองไม่เห็นก็เป็นได้ นางยิ้มออกมา “เพคะ หม่อมฉันอยากกลับมาที่นี่ตลอด”“ได้กลิ่นดอกบัวที่ผลิบานในฤดูร้อนไหม? พวกเราไปที่นั่นกันดีหรือไม่?” อ๋องอันกล่าวชวนนาง“เดิมทีหม่อมฉันก็อยากไปอยู่แล้ว มีท่านอ๋องเดินไปเป็นเพื่อนย่อมดีที่สุด” หยวนซื่อกล่าวจื่ออันช่วยพยุงหยวนซื่อเพื่อพาไปที่นั่น อ๋องอันกล่าวกับหยวนซื่อเบา ๆ "ได้ยินอาเจี๋ยบอกว่า ทักษะการชงชาของเจ้าไม่เลวเลย ลองชงมาสักเหยือกเถิด อีกอย่าง เช้านี้ข้ายังไม่ได้ทานอะไรเลย เจ้าช่วยไปทำอาหารเข้ามาให้สักหน่อยเถอะ”จื่ออันยิ้มออกมา นี่คือการกันนางออกไปอย่างไรก็ตาม ด้วยความรักอันยาวนานมาหลายปีนี้ เขาควรค่าแก่การได้ดอมดมกลิ่นหอมของดอก
อ๋องอันหัวเราะกับตนเอง “ในโลกนี้มีอะไรคู่ควรหรือไม่คู่ควรหรือ?”“ท่านอ๋องอายุยังน้อย ควรจะหาผู้หญิงที่ดีใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ร่วมกัน” หยวนซื่อหวังด้วยใจจริงว่าเขาจะสามารถหาสตรีที่เขารักได้ แม้ว่านางจะไม่ได้มีอดีตรักกับเขามาก่อน แต่ว่าความรู้สึกอันลึกซึ้งของเขาก็เป็นภาระที่นางจะต้องรับผิดชอบ ด้วยเหตุนี้จึงนำมาสู่ความเสียใจในวันนี้“ข้าคือชายชาตินักรบ ไม่เก่งคำหวาน ดังนั้นจึงไม่มีผู้หญิงคนไหนชอบข้า”หยวนซื่อยิ้ม “ถ้าท่านอ๋องต้องการที่จะอภิเษกจริง ๆ เกรงว่าคงจะมีเหล่าสตรีที่ยืนรอท่านตั้งแต่จวนอ๋องยาวไปถึงประตูเมืองกระมัง”“ไม่เอา” อ๋องอันยิ้มและจ้องไปที่นาง “ข้ามีคนที่ชอบอยู่แล้ว และข้าก็จะรอ แม้ว่าจะต้องรอไปตลอดชีวิตก็ตาม แต่ข้าก็รู้สึกดีมาก”หยวนซื่อตกตะลึง นางหันหน้าไปทางอื่น ไม่กล้าสู้หน้าเขาแต่อ๋องอันก็พูดเปิดประเด็นมาแล้ว และก็ไม่คิดว่าจะหยุดแค่นี้ เขายังคงจ้องมองนางต่อไป ด้วยดวงตาที่ร้อนรน "ตั้งแต่นางแต่งงานไปวันนั้น ข้าก็บอกกับตัวเองว่า ชั่วชีวิตนี้ของข้าจะไม่อภิเษกกับผู้ใด ชาติหน้าข้าจะมาให้เร็วกว่านี้ ถ้าชาติหน้ายังคงช้าอยู่ งั้นก็รอชาติต่อไป ชาติต่อไป ไปเรื่อย ๆ รอจนถึงวั
"ข้ารู้แล้ว" จื่ออันหันกลับมามองนางเล็กน้อย "แม่นม ช่วงนี้ท่านไม่ได้เข้าวังไปพบฮองเฮาเลย พรุ่งนี้ควรไปได้แล้วนะ"แม่นมหยางยิ้มเล็กน้อย “บ่าวรู้เจ้าค่ะ”นางเองก็กำลังคิดที่จะคุยกับจื่ออันเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่ฮองเฮาไม่ได้ให้นางกลับวังไป ความหมายของฮองเฮาคือให้นางอยู่ข้างกายเซี่ยจื่ออันคอยส่งข่าวให้นางแต่เซี่ยจื่ออันในตอนนี้ เริ่มเผยความโดดเด่นออกมา และรู้จักเก็บมันไว้ภายใน ทั้งยังคงไล่บี้ศัตรูต่อไปเพื่อชัยชนะ นางดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป คนที่มีความอดทนเช่นนี้ ต่อไปจะต้องมีอนาคตที่ดีแน่นอนแม่นมหยางอยู่ในวังมาหลายปีแล้ว เรื่องแผนการหรือการสมรู้ร่วมคิด สำหรับนางแล้วมันก็เป็นเพียงธรรมดาทั่วไปเท่านั้น และนางก็รู้ว่า อยู่ในวังแห่งนี้พวกนางที่เป็นเพียงทาสจะถูกเจ้านายสังเวยชีวิตเมื่อใดก็ได้ สิ่งที่นางให้ความสำคัญก็คือ การที่เซี่ยจื่ออันให้ความรักกับเสี่ยวซุนการได้ติดตามอยู่ข้างกายคนเช่นนี้ ทำให้นางรู้สึกสบายใจก่อนออกจากวัง ฮองเฮาได้สั่งให้กลับเข้าวังมาเข้าเฝ้าทุก ๆ สองถึงสามวัน อันที่จริงก็เพื่อไปรายงานสถานการณ์ของเซี่ยจื่ออันนางไม่ได้ทรยศฮองเฮา และรายงานกับฮองเฮาอย่างตร
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว