หลิวซื่อยังคงมีความหวัง เพราะอาการของนางที่แสดงออกมาเหมือนคนถูกวางยาพิษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนางเข้ามาในห้องนี้ก็รู้สับสนราวกับว่ากำลังเสียสติดังนั้นเมื่อเห็นเฉินเอ้อร์ที่เข้ามาทีหลัง นางก็เกิดอารมณ์ไปชั่วขณะ แล้วอดทนไม่ไหวในที่สุดหมอก้าวไปข้างหน้าเพื่อตรวจชีพจรของหลิวซื่อ เมื่อผ่านไปครู่หนึ่ง หมอหลี่ก็ส่ายหัว "ฮูหยินไม่มีร่องรอยของการถูกพิษเลย"จื่ออันยกริมฝีปากขึ้น และผุดรอยยิ้มเยาะเย้ยขึ้นมา พิษจากยาปลุกกำหนัดชนิดนี้ จะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายอย่างช้า ๆในขณะที่เลือดกำลังไหลเวียน เดิมทีผลของมันไม่ได้รุนแรงเท่าไหร่อยู่แล้ว พอเวลาล่วงเลยมาเป็นเวลานาน ก็ถูกร่างกายดูดซึมจนเกลี้ยงไปแล้ว จะตรวจหาจากชีพจรได้เช่นไรเล่า? เกรงว่าถึงแม้จะตรวจเลือดก็ไม่พบเบาะแสอะไรอยู่ดีหลังจากฟังคำพูดของหมอแล้ว หลิวซื่อก็ตะโกนออกมา "เป็นไปไม่ได้ มันจะเป็นไปได้ยังไง?"ทันใดนั้นนางก็ลุกขึ้น และชี้ไปที่หยวนซื่ออย่างโกรธแค้น "เป็นเจ้าที่ใส่ความข้า"หยวนซื่อที่ตอนนี้ตาบอด และนี้ก็ไม่รู้ว่าที่นางพูดหมายถึงอะไร แม่นมหยางก้าวไปข้างหน้าและพูดอย่างโกรธเคือง “เป็นนายหญิงของพวกเราอีกแล้วหรือ? เหตุใดไม่ว่าใครทำอะไร
เฉินหลิวหลิ่วยังคงต้องการดูความสนุกสนาน แต่ก็รู้ว่าเรื่องในครอบครัวแบบนี้ไม่อาจซักถามต่อหน้าคนจำนวนมากได้ ดังนั้นจึงออกไปกับจื่ออันดีที่สุดเมื่อมาส่งถึงที่ประตูแล้ว และหลังจากเฉินหลิวหลิ่วขึ้นรถม้าเรียบร้อยแล้วนั้น เหล่าไท่จวินก็จ้องไปที่จื่ออันทันที "เจ้าเด็กน้อย อุบายของเจ้าช่างแยบยล ใช้จัดการกับผู้อื่นข้าจะไม่ยุ่ง แต่ว่าเจ้าใช้ประโยชน์จากหลิวหลิ่ว ข้าไม่พอใจยิ่งนัก"จื่ออันขอโทษ "มิมีเรื่องอันใดที่จะสามารถปิดบังจากสายตาของเหล่าไท่จวินได้เลย ข้าน้อยต้องขออภัยเหล่าไท่จวินด้วยนะเจ้าคะ""หึ มันก็สมควรอยู่แล้วที่เจ้าจะต้องขอโทษ เจ้าคิดว่าจะชดใช้อย่างไรจะดีกว่า!” เหล่าไท่จวินโกรธอย่างเห็นได้ชัดจื่ออันยิ้มเล็กน้อยและพูดว่า "ครึ่งปีเจ้าค่ะ ข้าน้อยจะพาเซียวท่าไปส่งที่ห้องของหลิวหลิ่ว ไม่ทราบว่าไท่จวินพอใจหรือไม่เจ้าคะ?"เหล่าไท่จวินหรี่ตามองนาง ดวงตาเคร่งขรึมจับจ้องที่ จื่ออัน และรอยย่นบนหน้าผากของนางก็ค่อย ๆ คลายลง "สามเดือน!"“การจัดการกับคนที่หัวแข็งดื้อรั้นเช่นเซียวท่าผู้นี้ เกรงว่าจะต้องใช้เวลาถึงครึ่งปี!” จื่ออันถอนหายใจเหล่าไท่จวินคำนวณวันเวลา ยังพอมีเวลาอีกกว่าครึ่งปีก่อนที
แม่นมหยางเดินออกมา ยืนข้าง ๆ จื่ออัน“คุณหนูใหญ่เจ้าคะ เรื่องนี้เดาได้ไม่ยากว่าเป็นฝีมือของพวกเรา" แม่นมหยางกล่าว“ทุกคนก็ต่างกินอยู่กับปากอยากอยู่กับท้องแต่แค่แสร้งทำเป็นไม่รู้” จื่ออันตอบแม่นมหยางมองไปที่จื่ออันแล้วรู้สึกว่านางมีความเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นอีกแล้ว กลายเป็นคนที่มีอุบายมากกว่าก่อนหน้านี้จื่ออันไม่ได้ลืมสถานะของแม่นมหยางว่านางยังคงเป็นคนของฮองเฮา แต่ว่าคราวนี้ที่แม่นมหยางร่วมมือกับนางด้วยนั้น บังเอิญเป็นเพราะฮองเฮาฮองเฮาไม่ชอบเซี่ยหว่านเอ๋อ คราวนี้นางได้เปิดเผยตัวตนของเซี่ยหว่านเอ๋อแล้ว และตอนนี้ตำแหน่งพระชายาขององค์รัชทายาท นางก็เป็นไม่ได้แล้ว“แม่นม ข้ามีเรื่องให้ท่านช่วยสักหน่อย!” จื่ออันเงยหน้าขึ้น ใบหน้าแลดูเศร้าสลดเล็กน้อย“คุณหนูใหญ่สั่งมาได้เลยเจ้าค่ะ!” แม่นมหยางพูดอย่างตรงไปตรงมา มาโดยตลอดจื่ออันกระซิบ "ช่วยข้าทำป้ายวิญญาณ""เขียนชื่อใครเจ้าคะ?" แม่นมหยางกล่าวถาม"เซี่ยจื่ออัน!" จื่ออันกล่าวออกมาสามคำแม่นมหยางตกใจเล็กน้อย "คุณหนูใหญ่?"จื่ออันยิ้มออกมาเล็กน้อย ทว่าดวงตาของนางไม่ได้ยิ้มออกมาเลยสักนิด มืดหม่นราวกับพายุฝนกำลังตั้งเค้า "เอาไว้เตือนสติข
ฮูหยินหลิงหลงกับหลิวซื่อคุกเข่าอยู่ที่พื้น ตัวสั่น ใบหน้าของหลิวซื่อซีดขาว สมองว่างเปล่าเฉินเอ้อร์ได้ถูกลากลงไปแล้ว มหาเสนาบดีเซี่ยสั่งคนให้โบยเขาให้ถึงตายส่วนเซี่ยหว่านเอ๋อถูกฮูถูกหยินผู้เฒ่าคุมขังไว้ตามกฎ“ท่านหมอหลี่ บอกเรื่องที่ท่านรู้ทั้งหมดออกมา ข้าจะไม่ทำให้ท่านลำบาก" ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจ มองไปยังหมอหลี่ที่อยู่ข้าง ๆหมอหลี่พูดตามความจริง "ฮูหยินผู้เฒ่า ความจริงเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อสิบหกปีที่แล้ว ข้าได้ตรวจชีพจรให้ฮูหยินหลิงหลง แต่ว่าในตอนนั้นนางให้ข้าใช้ยาขับเลือดกับนาง และให้เงินกับข้าสิบตำลึงเงิน เพื่อให้รักษาความลับให้นาง"มหาเสนาบดีเซี่ยจ้องไปที่ฮูหยินหลิงหลงราวกับเป็นวิญญาณชั่วร้าย คำพูดของหมอหลี่ทำให้ความหวังอันริบหรี่ของเขามลายหายไปสิบหกปีที่แล้ว แม้ว่านางจะทานยาขับเลือด แต่ว่าทารกในครรภ์ก็ไม่ได้หลุดออก เพราะว่าเวลาประจวบเหมาะพอดีหลังจากที่นางเข้าจวนไป นางก็คลอดเด็กในเดือนเจ็ด หมอตำแยบอกว่านางคลอดก่อนกำหนด เขาจึงคิดว่ามันเป็นจริงเมื่อลองคิดย้อนกลับไป เกรงว่านางคงจะติดสินบนหมอตำแยนั่นแล้วใบหน้าแข็งกร้าวดั่งเหล็กของเขาผุดรอยยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย เขากล่าวกับหม
มหาเสนาบดีเซี่ยเงยหน้าขึ้นราวกับกำลังกลืนอากาศ เขายืดคอยาวมาก ใบหน้าที่ชอกช้ำของเขามีทั้งความเศร้าและความโกรธอย่างยากที่จะพรรณนา “แต่อย่างไรเสียข้าก็เป็นพ่อของนาง มิใช่หรือ? จุดนี้นางเองก็ปฏิเสธไม่ได้”ฮูหยินผู้เฒ่าโกรธมาก “เรื่องราวดำเนินมาถึงขนาดนี้แล้ว เจ้ายังไร้เดียงสาอยู่อีกงั้นหรือ? เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าหลังจากที่นางถูกบังคับให้อภิเษก ถูกวางยาพิษ และถูกวางแผนให้ร้าย นางยังจะคิดว่าเจ้าเป็นพ่ออยู่อีก? และยังคิดถึงจวนมหาเสนาบดีอยู่ไหม?ถ้าหากนางยังคิดถึงจริง วันนี้นางคงไม่ทำให้เจ้าเสียหน้าหรอกนะ" มหาเสนาบดีเซี่ยใช้ทั้งสองมือลูบหน้าตัวเอง ราวกับว่าเขาแก่ขึ้นสิบปีในทันที "นางเป็นลูกคนเดียวของข้า"ฮูหยินผู้เฒ่ายืนขึ้นในทันที แล้วก้าวไปตบหน้าเขา "ไม่ใช่ ตอนนี้เจ้าไม่มีลูกเลยสักคนเดียว นางก็ไม่ใช่ลูกสาวของเจ้าแล้ว ตั้งแต่ที่เจ้าบังคับให้นางอภิเษกนางก็ได้กลายมาเป็นศัตรูของเจ้า และนางก็คิดใคร่ครวญอยู่ทุกวัน ถึงวิธีที่จะทำให้เจ้ามีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้”มหาเสนาบดีเซี่ยรู้สึกปวดที่แก้ม ความเจ็บปวดนี้ทำให้เขาหงุดหงิด ทั้งยังทำให้เขานึกถึงดวงตาที่เย็นชาของนางที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง“เมื
แม่นมหยางยิ้มเย้ยหยัน “ช่างเป็นคนที่ไร้ยางอาย ไม่มีใครเทียบได้เสียจริง!”หยวนซื่อหันไปทางจื่ออัน "จื่ออัน เจ้าคิดว่าเขาจะทำอย่างไรต่อไป?"จื่ออันจัดศีรษะของหยวนซื่อให้ตรง และกระซิบ "จู่ ๆ ก็เสียลูกไปสองคน อีกทั้งยังผิดหวังกับเฉินหลิงหลงอย่างมาก ท่านแม่คิดว่าเขาจะทำเช่นไรเล่า?"หยวนซื่อยิ้มแล้วยิ้มอีกแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรเซี่ยหว่านเอ๋อที่ถูกขังไว้ รู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ที่คนพวกนั้นพูดมาทั้งหมดเป็นเรื่องจริงหรือไม่? นางไม่ใช่บุตรีของจวนมหาเสนาบดีเหรอ?แล้วเฉินเอ้อร์ผู้นั้น...ไม่ ไม่ใช่ คนหยาบช้าเช่นนั้นไม่ใช่ท่านพ่อของนาง ไม่ใช่...นี่ต้องเป็นเซี่ยจื่ออันที่จ้างคนให้สร้างเรื่องเพื่อทำลายชื่อเสียงของนางเป็นแน่ ท่านพ่อของนางคือมหาเสนาบดีของราชสำนัก นางคือบุตรีของจวนมหาเสนาบดี ไม่ใช่ลูกสาวของคนชั้นต่ำอย่างเฉินเอ้อร์มหาเสนาบดีเซี่ยที่ยืนอยู่นอกประตู ลังเลอยู่เป็นเวลานาน จึงจะยื่นมือออกไปผลักประตูให้เปิดออกเซี่ยหว่านเอ๋อเงยหน้าขึ้น มีคราบน้ำตาบนใบหน้า นางหวาดกลัวจริง ๆ ถ้าสถานะของนางไม่ใช่บุตรีของจวนมหาเสนาบดีแล้ว นางจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่ออะไร?เมื่อมองไปที่ท่านพ่อที่นางเคาร
หลังจากที่เซี่ยหว่านเอ๋อได้รับการปล่อยตัว นางก็พาเซี่ยฉวนไปยังที่พักของฮูหยินหลิงหลงฮูหยินหลิงหลงกำลังร้องไห้ เมื่อเห็นเซี่ยหว่านเอ๋อ กลับมา นางก็รู้สึกประหลาดใจและรีบเดินไปข้างหน้า "หว่านเอ๋อ เจ้าถูกปล่อยตัวแล้วเหรอ? พ่อของเจ้าเชื่อหรือไม่ว่าเจ้าเป็นลูกสาวของเขา? เขาพูดอะไรบ้าง?"เซี่ยหว่านเอ๋อจ้องมองไปที่นางและกล่าวอย่างเย็นชา "แน่นอนว่าท่านพ่อย่อมเชื่อว่าข้าเป็นลูกสาวของเขาอยู่แล้ว"“เขาเชื่อหรือ?” มีประกายความดีใจอออกมาจากใบหน้าของฮูหยินหลิงหลง “เช่นนั้นก็ดี ดีจริง ๆ ตราบใดที่เขายังคงเชื่อ เจ้าก็ยังได้เป็นพระชายาขององค์รัชทายาท เพียงแค่เจ้าได้อภิเษก ก็จะไม่มีใครกล้าพูดถึงข้าเสีย ๆ หาย ๆ อีก"“ใช่หรือ?” เซี่ยหว่านเอ๋อยังคงแดกดันฮูหยินหลิงหลงกำลังอยู่ในความปิติยินดีอย่างยิ่ง จึงไม่ทันได้สังเกตเห็นความผิดปกติของเซี่ยหว่านเอ๋อ และได้พูดกับตัวเอง “ใช่ ตราบใดที่เขายังคงเชื่อ พวกเราสองแม่ลูกยังคงมีชีวิตที่ดีได้ต่อไปอีก ข้าจะไม่มีวันปล่อยหยวนซื่อกับลูกสาวนางไป ให้พวกนางได้ลิ้มรสความร้ายกาจของข้า และให้พวกนางคุกเข่าขอความเมตตาต่อหน้าข้าด้วย"เซี่ยหว่านเอ๋อถอนหายใจแรง สีหน้าเปลี่ยนไป
มหาเสนาบดีเซี่ยพูดกับเซี่ยหว่านเอ๋อ "หว่านเอ๋อเจ้าออกไปก่อนเถิด ข้ามึคำพูดเพียงไม่กี่คำ ที่จะต้องพูดกับแม่ของเจ้า"เซี่ยหว่านเอ๋อเหลือบมองไปที่ฮูหยินหลิงหลงด้วยความกังวล นางไม่ได้กลัวว่ามหาเสนาบดีเซี่ยจะทำร้ายแม่ แต่กลัวว่านางจะพูดจาเหลวไหล“ลูกก็อยากรับฟังอยู่ที่นี่ด้วย" เซี่ยหว่านเอ๋อกล่าวมหาเสนาบดีเซี่ยเกลี้ยกล่อม “นี่เป็นเรื่องของสามีภรรยา จะให้เจ้าฟังอยู่ข้าง ๆ มันก็คงจะไม่ดี เจ้าออกไปก่อน วางใจเถิด พ่อรับปากเจ้าว่าจะไม่ทำให้นางลำบากใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแล้ว นางเป็นแม่ของเจ้า"เซี่ยหว่านเอ๋อเพียงกล่าวว่า "ได้เจ้าค่ะ เช่นนั้นลูกจะออกไปรออยู่ด้านนอก"ก่อนที่นางจะออกไป ก็ได้มองที่ฮูหยินหลิงหลงด้วยสายตาที่ดุร้าย เพื่อเป็นการเตือนนางว่า อย่าพูดจาเหลวไหลโดยเด็ดขาดเมื่อสั่งให้คนรับใช้ออกไปแล้ว มหาเสนาบดีเซี่ยก็หันหน้ามองไปที่หน้าต่างทันที และกล่าวอย่างเย็นชา "หากเจ้ายังอยากอยู่ในจวนนี้ต่อไป ก็จงระวังคำพูดของเจ้าเอาไว้ให้ดี"ฮูหยินหลิงหลงมองเขาอย่างเศร้าสร้อย “หลายปีที่เป็นสามีภรรยากันมา จนถึงบัดนี้แม้กระทั่งมองมายังข้าที่กำลังพูดกับท่าน ก็ไม่ได้เชียวหรือ?“ข้าไม่อยากรู้สึกขยะแขย
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว