สถานการณ์เป็นแบบนี้ แน่นอนว่าจื่ออานและกุ้ยไท่เฟยย่อมไม่รู้ ตอนนี้ในใจจื่ออานมีเรื่องเดียวที่เป็นห่วง นั่นก็คือความเป็นความตายของมู่หรงเจี๋ยนางฝึกวิชาแพทย์มาหลายปีแล้วและนางรู้ดีถึงความร้ายแรงของอาการบาดเจ็บของมู่หรงเจี๋ยเขากำลังเผชิญกับความเป็นความตายจริง ๆ แล้วเรื่องที่นางถูกพาตัวไปที่จวนอ๋องไม่นานข่าวนี้ก็ได้ไปถึงจวนมหาเสนาบดีนอกจากนี้ยังมีข่าวจากในวังบอกว่าเซี่ยจื่ออาน สามารถพลิกกลับสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็วเพราะว่านางได้ช่วยรักษาอ๋องเหลียง แต่คราวนี้เขาถูกไท่เฟยพาตัวไปคุมขัง เพราะว่าได้รักษาผู้สำเร็จราชการแทนองค์จักรพรรดิจนพระอาการสาหัสยิ่งกว่าเดิมอ๋องอันเคยเข้าไปในพระราชวังครั้งนึงเพื่อค้นหาร่างของเซี่ยหลินแต่ว่า ที่พระตำหนักร้างตรงข้ามวังซีเหวย เขาไม่พบร่างของเซี่ยหลินเลย เห็นเพียงคราบเลือดกองนึงในพุ่มดอกไม้คนในจวนมหาเสนาบดีคิดว่าเซี่ยหลินพักอยู่ในวังกับพระสนมเหมยสองสามวัน นอกจากนี้ มหาเสนาบดีเซี่ยกับหลิงหลงฟูเหรินก็เข้าไปในวังไม่ได้ ทำได้เพียงรอให้เซี่ยหลินสร้างความรำคาญ พระสนมเหมยก็จะส่งตัวเขาออกจากวังมาเองจื่ออานตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวยและน่าสังเวช นางถูกค
หวงไท่โฮ่วมีสีหน้าโกรธเล็กน้อย “เจ้านี่ช่างไร้เหตุผลเสียจริง มันจะไปเหมือนกันได้อย่างไร?”กุ้ยไท่เฟยสูดหายใจแรง “มีอะไรที่ไม่เหมือนกัน?" บุตรของท่านมีสถานะสูงส่ง ตอนนี้เป็นองค์จักรพรรดิ ไม่อาจให้สตรีทำการรักษาได้ ต้องให้เกียรติสถานะตนเอง อาเจี๋ยของข้าไม่ต้องหรอกหรือ? ท่านลดทิฐิไม่ได้ เสียหน้าไม่ได้ ข้าก็เหมือนกัน แม้ว่าท่านคือหวงไท่โฮ่ว แต่ว่าเมื่อองค์จักรพรรดิพระองค์ก่อนยังมีพระชนชีพอยู่ เขาโปรดปรานข้ามากกว่าโปรดปรานท่าน บุตรที่เกิดจากข้า ก็ย่อมไม่ด้อยกว่าบุตรของท่าน”มู่หรงจ้วงจ้วงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ และได้ยินคำพูดเหล่านี้ก็โกรธมาก “ไท่เฟย แม้ว่าใจท่านจะรู้สึกเป็นกังวลขนาดไหน ก็ไม่อาจพูดจาเหลวไหลได้ รีบกล่าวขอโทษพี่สะใภ้ซะ”กุ้ยไท่เฟยกล่าวอย่างเย็นชา "องค์หญิง นางคือพี่สะใภ้ของเจ้า แล้วข้าไม่ใช่รึยังไง? ข้าแบกรับมามากพอแล้ว หลายปีมานี้ข้าเคารพและให้เกียรตินางมาโดยตลอด แต่ว่านางปฏิบัติต่อข้าเช่นไร? เป็นพี่น้องเพียงในนาม ดูเหมือนพี่น้องที่รักกันมาก แต่ใคร ๆ ก็รู้ว่านางต้องการข่มข้ามาโดยตลอด "สีหน้าของหวงไท่โฮ่วดูซีดเผือด นางที่มองดูกุ้ยไท่เฟยมาโดยตลอด ราวกับไม่เชื่อว่าคำพูดเหล่านี้จะ
หวงไท่โฮ่วเพียงกล่าวว่า "ได้ เจ้าคอยเฝ้าเขาไว้ ดูแลเขาให้ดี อย่าให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเขาทั้งนั้น"ประโยคสุดท้ายนี้ นางสะอื้นไห้กล่าวตอนที่หวงไท่โฮ่วเดินไป ก็มองไปที่กุ้ยไท่เฟย นางก็คำนับแต่ใบหน้านางกลับแลดูดื้อรั้น "น้อมส่งหวงไท่โฮ่ว!"หวงไท่โฮ่วโกรธจนหน้าเขียว เดินออกไปพร้อมกับสะบัดแขนเสื้อมู่หรงจ้วงจ้วงมองไปที่กุ้ยไท่เฟย “คุ้มกันแล้วเหรอที่ท่านทำเช่นนี้? ไท่โฮ่วไม่ได้มีความคิดที่ชั่วร้าย นางแค่มาดูอาการของอาเจี๋ย…”“นางน่ะเหรอมาดูอาการของอาเจี๋ย? นางมาที่นี่เพื่อขอร้องเรื่องเซี่ยจื่ออาน หากนางคิดถึงเรื่องของอาเจี๋ยจริง ๆ นางก็ควรนำยาอันล้ำค่าออกจากวังมามอบให้อาเจี๋ย แต่นางมามือเปล่า" กุ้ยไท่เฟยกล่าวอย่างเย็นชามู่หรงจ้วงจ้วงรู้สึกงง “ยาล้ำค่าอะไร? ในวังมียาอะไร ในจวนอ๋องก็ล้วนมียานั้น ๆ ท่านจะคิดทุกเรื่องให้มันได้อะไรขึ้นมา?”“จริงเหรอ” กุ้ยไท่เฟยนั่งลงที่ขอบเตียง ใบหน้าเย็นชาไม่อยากพูดจากับมู่หรงจ้วงจ้วง “เจ้าก็ออกไปด้วย”มู่หรงจ้วงจ้วงออกไปอย่างโกรธ ๆ แต่นางยังไม่จากไป นั่งกังวลยุที่ในลานของจวนอาการบาดเจ็บของมู่หรงเจี๋ยแย่ลงในตอนกลางคืน โดยมีไข้สูงและเป็นตะคริว อาเจี
กุ้ยไท่เฟย ยึดมั่นตามแนวคิดนี้มาโดยตลอด แล้วเดินออกไปอย่างรวดเร็วครู่ต่อมา เมื่อนางกลับมา ในดวงตาก็มีประกายของความโหดร้ายเล็กน้อยข่าวที่มู่หรงเจี๋ยใกล้จะเสียชีวิตก็แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว และถึงแม้ว่าอ๋องอันต้องการปิดข่าวนี้ แต่ก็ไม่อาจปิดบังได้เพราะว่ากุ้ยไท่เฟยไม่ให้ความร่วมมือ หลังจากที่หมอหลวงบอกว่าหมดหนทางรักษาแล้ว นางจึงให้นักพรตมาร่ายคาถาอย่างเอิกเกริกเซียวท่ายังตรวจพบที่มาที่ไปของนักพรตผู้นั้น และได้สั่งให้คนไปแจ้งอ๋องอันให้ออกมาพบ เพราะภายใต้คำสั่งอันเข้มงวดของกุ้ยไท่เฟย เขาไม่อาจเหยียบย่างเข้าไปในจวนอ๋องได้เลยสักก้าวอ๋องอันออกจากจวนผู้สำเร็จราชการแทนองค์จักรพรรดิ และเซียวท่าก็รออยู่บนรถม้าตรงตรงปากซอยเขาขึ้นไปบนรถม้า แล้วดึงม่านลง เซียวท่าก็รีบกล่าว "ตรวจสอบแน่ชัดแล้วว่า เจ้าหมอดูลวงโลกนั่นมีชื่อว่าเถาเต๋อ เป็นนักพรตอาวุโสของอารามฝูเต๋อ เขาเริ่มติดต่อกับกุ้ยไท่เฟยก่อนที่ท่านอ๋องจะเป็นผู้ดูแลประเทศ พอฝ่าบาททรงประชวรหนัก กุ้ยไท่เฟยก็ได้ไปที่อารามฝูเต๋ออยู่สองสามครั้ง มีข่าวแพร่งพรายออกมาว่ากุ้ยไท่เฟยต้องให้เถาเต๋อร่ายคาถา เพื่อทำให้อาการประชวรของฝ่าบาทหนักขึ้น
จื่ออานถูกคุมขังเป็นเวลาสองวันโดยที่ไม่มีข้าวตกถึงท้องนางเลยสักเม็ด ร่างกายของนางอ่อนแอมาก ด้วยหมัดนี้จึงทำให้นางหมดสติไปอ๋องอันใช้กำลังเข้าไปช่วยจื่ออาน แต่พบว่านางถูกพาตัวไปแล้ว เขารีบออกจากจวนมา และเปิดม่านของรถม้าที่เซียวท่าอยู่ "จื่ออานถูกพาตัวไปแล้ว กุ้ยไท่เฟยจะต้องจัดการกับนางอย่างลับ ๆแน่นอน"เซียวท่ากระโดดลงมาทันที “เมื่อสักครู่นี้เพิ่งจะมีรถม้าคันนึงออกมา ไม่รู้ว่าเป็นคนจากจวนที่พานางไปหรือไม่!”อ๋องอานหันกลับไปดู และพบว่ามีบางอย่างอยู่ที่พื้น เขาจึงเดินข้ามไปเซียวท่าก็ข้ามตามเขามาด้วย และกล่าวด้วยความประหลาดใจ "รองเท้าลายปัก? ตรงหน้าประตูจวนผู้สำเร็จราชการแทนองค์จักรพรรดิ ทำไมถึงได้มีรองเท้าคู่นี้อยู่ตรงนี้?"อ๋องอันกล่าวอย่างเคร่งขรึม "เป็นของจื่ออาน"เซียวท่าอุทานเบา ๆ "ไม่ได้การแล้ว!" เขารีบกลับขึ้นไปนั่งบนรถม้า และกล่าวกับคนขับ "ออกรถ ไล่ตามรถม้าคันเมื่อกี้นี้"อ๋องอันก็อยากขึ้นรถม้าเช่นกัน แต่เซียวท่าเปิดม่านขึ้นมา "ท่านกลับไปดูท่านอ๋อง ทำหน้าที่ของท่านให้ดีที่สุด"อ๋องอันหยุดก้าวเดิน นัยน์ตามีประกายของความชิงชังอยู่ เขาคลายกำปั้นแล้วกลับไปในจวนทันทีที่ฉันก
เขาเริ่มจัดวางกำลังป้องกันและระดมกำลังทหารมาที่นี่มู่หรงจ้วงจ้วงเดินออกมา ปาดน้ำตาแล้วถามว่า “ระดมกำลังทหารมาที่นี่ มันจะไม่ดูมีพิรุธหรอกหรือ?”“อาการบาดเจ็บของอาเจี๋ย พวกเขาก็รู้เรื่องอยู่พอสมควรแล้ว ยอมให้พวกเขารู้แค่นี้ ดีกว่าให้พวกเขามั่นใจเรื่องอาเจี๋ยแล้วแพร่ข่าวออกไปทั่วหล้า” อ๋องอันมองไปข้างหน้า ตลอดมาเขาไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับงานบ้านงานเมืองเลย ทุกคนคิดว่าเขาไร้ประโยชน์ แต่ว่าจะต้องไม่มีใครสามารถเข้ามาแทรกแซงอำนาจการบริหารของตระกูลมู่หรงของเขาได้ ในร่างกายของเขา ยังมีสายพระโลหิตขององค์จักรพรรดิไหลเวียนอยู่มู่หรงจ้วงจ้วงถาม "เชิญหวงจู่มู่มาดีหรือไม่"อ๋องอันคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วส่ายหัวอย่างช้า ๆ “ไม่ต้องช่วงนี้อย่าไปรบกวนท่านเลย และตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยว่านางอยู่ที่ไหนกันแน่ ในใจข้า…”อ๋องอันอยากจะบอกว่าในใจเขายังคงมีความหวังอยู่ และความหวังนั้นคือการฝังเข็มของจื่ออานที่แข่งกับเวลาในจวนแม่ทัพตอนนั้นเขามักจะรู้สึกว่า ที่จื่ออานทำแบบนั้นจะต้องรออะไรสักอย่างแน่แต่นี่เป็นเพียงการคาดเดาของเขา ถ้าจื่ออานไม่ได้รออะไร งั้นหลังจากนี้ก็ต้องทำให้เสี่ยวกูกูผิดหวังอีกแล้วมู่หรงจ้วงจ้
นางทำได้เพียงวางความหวังไว้บนแหวนแห่งจิตวิญญาณ เพราะว่า ร่างกายของนางอ่อนล้าอย่างรุนแรง นางไม่ได้กินอะไรมาเป็นเวลาสองวันแล้ว บวกกับความผิดปกติก่อนหน้านี้ การทานดอกคำฝอย อาการบาดเจ็บจากการถูกวางยาพิษ ก็แทบจะทำให้นางหมดเรี่ยวแรงแล้วนางดูเชือกที่มัดนางไว้ด้วย มันคือเชือกป่าน เชือกป่านชนิดนี้เหนียวมาก ในตอนนี้นางก็จนปัญญาจะแกะมันออกในช่วงแปดปีที่อยู่ในกลุ่มสายลับพิเศษ นี่ไม่ใช่เวลาที่อันตรายที่สุดสำหรับนาง แต่เป็นเวลาอ่อนแอที่สุดนางหวังว่าเซียวท่า จะได้เห็นรองเท้าลายปักที่นางทิ้งไว้ แต่จะติดตามมาถึงที่นี่ได้หรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของเซียวท่าแล้วสองคนนั้นลากจื่ออานขึ้นไปที่สุสาน แล้วทิ้งเซี่ยอานลงในนั้นกลางวันแสก ๆ แต่ที่นี่กลับไม่มีแสงแดดเลยสักนิด ลมกระโชกแรง มีเสียงอีการ้องดังไปทั่วทุกหนทุกแห่ง สยองขวัญและน่าขนลุกอย่างบอกไม่ถูกเมื่อได้ยินเสียงชักดาบ จื่อก็รู้ว่านางไม่อาจแสร้งทำเป็นเวียนหัวได้อีกต่อไป นางพยายามลุกขึ้นยืนและถอยหลังไปหนึ่งก้าว แสร้งทำเป็นตกใจกลัวแล้วกล่าว "พวกเจ้าจะทำอะไร?"องครักษ์สองคนนี้ คนหนึ่งอ้วนคนหนึ่งผอม ใบหน้าแลดูไม่ได้โหดร้าย แต่ก็ไม่ใช่คนท
องค์รัชทายาทยังต้องเกรงกลัวเสด็จอาผู้นี้อยู่เล็กน้อย ไม่กล้าเร่งรัด แต่ก็ไม่ยอมออกไป ทรงยืนอยู่ที่ประตูกับพวกเหล่าทหารองครักษ์ เขากล่าวกับอ๋องอานว่า “หม่อมฉันจะรอให้พระอาการของเสด็จอาดีขึ้นแล้วจึงค่อยเข้าไปเยี่ยมด้านใน”อ๋องอานไม่สามารถขับไล่เขาออกไปได้ จึงให้เขารออยู่ที่หน้าประตูทางฝั่งของมู่หรงจ้วงจ้วง ที่นางไปไถ่ถามไม่ได้ความอะไรมาเลย คนข้างกายของไท่เฟยปากแข็งมาก จ้วงจ้วงไม่สามารถทำให้พวกเขาเล่าออกมาได้ขณะเดียวกัน คนในจวนก็ได้มาแจ้งอ๋องอานว่า หนี่หรงฟื้นขึ้นมาแล้วอ๋องอานรีบร้อนเข้าไปด้านใน พอหนี่หรงเห็นอ๋องอาน เขาก็พยายามลุกขึ้นและถามอย่างกังวลว่า "ท่านอ๋องเป็นอย่างไรบ้าง"อ๋องอานทนไม่ได้ที่จะบอกขาวร้ายแก่เขา แและกล่าวเพียงว่า หมอหลวงเฝ้าดูอาการอยู่ที่นั่นหนี่หรงก้มหัวลง น้ำตาก็ไหล “พี่ใหญ่ของข้า ตายแล้วใช่หรือไม่?"ตอนที่เขาเพิ่งฟื้นขึ้นมา ก็ได้ถามหมอไปแล้ว หมอบอกว่าเขาตายแล้ว แต่ทางด้านฝั่งอ๋องอานนั้นยังไม่รู้สถานการณ์อ๋องอานกล่าวปลอบ "หนี่หรง เจ้าระงับความโศกเศร้าเสียใจไว้บ้างเถิด"หนี่หรงหายใจเข้าลึกและกลั้นน้ำตาไว้อ๋องอานนั่งลงและกล่าวถาม “หนี่หรง คืนนั้น
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว