ในตอนนี้เริ่มทำการควบคุมค่าใช้จ่ายในจวนอ๋อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่กุ้ยไท่เฟยจากไปแล้ว อ๋องหนานหวายได้ประทานจวนใหม่ และค่าใช้จ่ายก็ยิ่งลดน้อยลงเรื่อย ๆจื่ออันรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องมีคนรับใช้จำนวนมากในจวน ดังนั้นจึงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า "เจ้ากลับไปเรียกใต้เท้าหยางมาที่นี่หน่อย"ใต้เท้าหยางเป็นผู้ดูแลในจวน ดูแลทุกอย่างในจวนให้นาง"เพคะ"จื่ออันพูดคุยกับใต้เท้าหยางตลอดทั้งเช้า หารือเรื่องจะเก็บคนรับใช้ในจวน หรือปล่อยขายไปให้หมด ผู้คนทุกคนที่รับใช้ฝ่ายกุ้ยไท่เฟยจะต้องไล่ออกและให้เงินชดเชยใต้เท้าหยางกล่าวว่า "พระชายา คนพวกนี้ล้วนขายตัวเข้ามา หากพระองค์ไม่ต้องการ ใยไม่ขายตัวเขาออกไปกันเล่าพ่ะย่ะค่ะ เรายังพอได้เงินกลับมาบ้างบางส่วน"แม้ว่าใต้เท้าหยางจะรู้ว่าพระชายาคนนี้ทำตัวผิดแปลก นางกลับปล่อยคนไป ไม่ขายทำเงินนี่ช่างแปลกประหลาดซะจริง จื่ออันกล่าวว่า "ไม่ ข้าไม่ขายพวกเขา ปล่อยให้พวกเขาแยกย้ายกันไปเอง ไม่ว่าจะหาเลี้ยงชีพ หรือกลับไปยังชนบท หรืออยากอยู่ในวัง หากพวกเขาต้องการขายตัวเองอีกครั้งก็เป็นทางเลือกของพวกเขาเอง"ท้ายที่สุด นางเป็นคนสมัยใหม่ และนางไม่สามารถขายคนได้อย่างส
หูฮวนสี่ยกแก้วขึ้นแล้วพูดว่า "เอาล่ะ หยุดอุบอิบไว้ได้แล้ว เรื่องมงคลอะไรกันแน่?"จื่ออันมองไปที่จ้วงจ้วงแล้วพูดว่า "นี่เป็นเรื่องมงคลสำหรับองค์หญิง"จ้วงจ้วงตกใจ “งานมงคลของข้า ทำไมข้าถึงไม่รู้เรื่องนี้ล่ะ?”“ข้ารู้จากกรมพิธีการฝ่ายในมาล่วงหน้า อย่างไรก็ตาม หน่วยราชลับทางทหารจะมาถึงเมืองหลวงภายในสองวันนี้ เจ้าเองก็น่าจะรู้เรื่องนี้ด้วย” จื่ออันยิ้มอย่างสดใส“หน่วยราชลับทางทหาร? งานมงคลของข้าไปเกี่ยวอะไรกับหน่วยราชลับทางทหาร?” จ้วงจ้วงนึกไม่ออกจริง ๆ หรือว่างานมงคลจะเกี่ยวข้องกับสงครามหรือไม่“ถูกต้อง เซียวเซียวจะไปที่สนามรบด้วย” จื่ออันวางแก้วเหล้าลงมองดูนางแล้วพูดออกมามือของจ้วงจ้วงสั่นเทาจนแทบเหล้ากระฉอกออกมา “เจ้าว่าอะไรนะ พูดอีกทีสิ ข้าไม่ได้ยินผิดไปใช่ไหม”“เจ้าได้ยินถูกแล้ว เซียวเซียวฟื้นตัวหายดีแล้ว และไปที่ชายแดนแล้ว ตอนนี้เขาเข้ารับตำแหน่งแม่ทัพใหญ่แทนอ๋องเจ็ดเป็นการชั่วคราว อ๋องเจ็ด... ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย”“ข้าไม่เชื่อ” ริมฝีปากของจ้วงจ้วงสั่นเล็กน้อย นางไม่เชื่อ นางฝันแบบนี้หลายครั้ง ทุกครั้งที่นางฝันว่าเขารอดชีวิต ในที่สุดนางก็พบว่ามันเป็นเพียงแค่ความฝัน จื่ออั
ฉินจือและฉยงหวานำกับแกล้มมาวางบนโต๊ะเอง "นี่กลับแกล้มเพคะ ซี่โครงแกะก็เรียบร้อยเช่นกัน"ฉยงหวาถาม “พระชายา งานมงคลอะไรเพคะ?”จื่ออันกล่าวว่า "แม่ทัพใหญ่เซียวหายจากอาการบาดเจ็บแล้ว"ฉินจือและฉยงหวาดีใจมากที่ได้ยินเช่นนี้ “จริงหรือเพคะ?”“พวกเจ้าทำท่าทีเหมือนองค์หญิงได้อย่างไร? แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องจริงอยู่แล้ว” จื่ออันพูดอย่างไม่สบอารมณ์ฉินจือปาดน้ำตาแล้วพูดว่า "นี่เป็นเรื่องดี กินกับแกล้มได้ที่ไหน บ่าวจะไปทำอาหารเลิศรสมาเดี๋ยวนี้เพคะ"หลังจากกล่าวเช่นนั้น นางก็คว้าฉยงหวาไปทันทีเมื่อเพื่อนสนิทคุยกัน พวกเขาย่อมพูดถึงเรื่องระหว่างชายและหญิงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จ้วงจ้วงยังคงยืนหยัดรอต่อไป แต่หูฮวนสี่ไม่มีที่จะไปต่อ“อ๋องเยี่ยแอบคิดอะไรกับเจ้าหรือเปล่า?” จื่ออันถาม“ถุย!” หูฮวนสี่ขมวดคิ้วทันที “หยุดทำข้าให้หงุดหงิดนะ”“ดูท่าทางของเจ้าแล้ว ร้อนใจหรือ?” จื่ออันยิ้มและตบมือ “ได้ ๆ ข้าจะไม่พูดถึงเจ้าแล้ว มาเดิมพันกันว่าลูกคนแรกของหลิวหลิวจะเป็นเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิง "จ้วงจ้วงยิ้มกว้างและพูดว่า "เป็นความคิดที่ดี"“ถ้ามียีนดี อาจมีลูกครั้งเดียวสามคน ทั้งผู้ชายและผู้หญิง” หูฮวน
จื่ออันรีบไปที่วังซีเหวย แต่ได้ยินคนในวังบอกว่าฝ่าบาทพบตานชิงเสี้ยนจู่ในสวนหลวงสวนหลวง? จื่ออันประหลาดใจมาก ฝ่าบาททรงประชวรไม่อาจต้องลม แม้ว่าจะเป็นฤดูใบไม้ผลิ แต่ก็ยังหนาว ทำไมเขาจึงไปพบท่านแม่ที่สวนหลวงกัน?เป็นไปได้ไหมว่าอาการเริ่มดีขึ้นแล้วจริง ๆ? จื่ออันไปที่สวนหลวงและเห็นเห็นราชรถจอดอยู่บริเวณศาลามีคนแขวนผ้าม่านกั้นไว้ในศาลา อาจจะมีคุยกันอยู่ในม่านนางเดินเข้าไป เปากงกงเห็นนางก็ก้าวไปข้างหน้า “พระชายามาแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ?”จื่ออันยิ้มและพูดว่า "เปากงกง ข้าไปวังซีเหวยเพื่อถวายพระพรฝ่าบาท แต่คนในวังบอกว่าฝ่าบาทเสด็จมาที่สวนหลวงชมดอกไม้ ข้าก็เลยเข้ามาดู"“ใช่ พ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้ฝ่าบาทประทับอยู่ในศาลาแล้ว” ขันทีเปาโค้งคำนับ “พระชายา โปรดรอสักครู่ กระหม่อมจะเข้าไปกราบทูล”ฝ่าบาทที่อยู่ในม่านได้ยินเสียงของจื่ออันแล้ว และมีเสียงดังออกมาว่า "พระชายามาแล้วรึ? เข้ามาได้"จื่ออันที่ได้ยินก็อดไม่ได้ที่จะตกใจเล็กน้อย ฝ่าบาททรงกริ้วขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? ดูเหมือนว่ามนต์นี้รักษาโรคได้ดีมากทีเดียวจื่ออันตอบว่า "เพคะ!"เปากงกงก้าวไปข้างหน้าและเปิดม่านให้ จื่ออันก็โค้งคำนับถวายพระพรฝ
“ไม่หรอก ท่านแม่อยู่ในวัง หลินหลินก็อยู่ด้วย” เซี่ยหลินรีบพูดขึ้นมาก่อนที่จื่ออันจะพูดอะไร ฝ่าบาทก็ตรัสว่า "ข้าอยากจะให้ตานชิงเสี้ยนจู่อยู่ในวังสักสองสามวัน ประการแรก อยู่เป็นเพื่อนพูดคุยกับข้าคลายความเบื่อหน่าย ประการที่สอง ภาพวาดและบทกวีของเสี้ยนจู่นั้นมีชื่อเสียงไปทั่วหล้า ให้องค์ชายองค์หญิงมาศึกษาเสียหน่อย ไม่ต้องเก่งกาจมาก แค่หวังว่าออกไปข้างนอกจะไม่ย่ำแย่จนเกินไป”จื่ออันกล่าวว่า “ฝ่าบาทยกย่องท่านแม่ของหม่อมฉันยิ่งนัก จื่ออันขอขอบคุณฝ่าบาทแทนท่านแม่ เพียงแต่ท่านแม่ของหม่อมฉันไม่ได้เป็นคนในวัง การอาศัยอยู่ในวังหลวงแห่งนี้ย่อมถูกติฉินนินทาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้"“ติฉินนินทา?” ฝ่าบาทมองไปที่จื่ออัน “ใครจะกล้านินทา หลังจากที่เสี้ยนจู่หย่ากับพ่อของเจ้าแล้ว นางเป็นอิสระ ไม่ต้องพูดถึง เพียงแค่เข้าไปในวังเพื่อสั่งสอนองค์หญิงและองค์ชาย หากเข้าไปในวังมาเป็นนางสนมก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรอยู่ดี”ทันทีที่คำพูดเหล่านี้หลุดออกมา หยวนฉุ่ยยวี่และจื่ออันก็หน้าซีด พวกนางถึงกับมองหน้ากันหยวนฉุ่ยยวี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม "ฝ่าบาทพูดถูก แต่ถ้าคนอื่นได้ยิน พวกเขาอาจเข้าใจผิดได้"“ความเข้าใจผิดทำให้คนเข้า
จื่ออันกลับบ้านก็เป็นเวลาเที่ยงคืนแล้วอ๋องเจ็ดยังไม่กลับมา แต่แม่นมกลับมาแล้ว“เสี่ยวเตาอยู่ไหนเพคะ? นางมิได้อยู่กับพระองค์หรือ?” แม่นมถาม“ข้าให้นางอยู่ในวังเป็นการชั่วคราว” สีหน้าจื่ออันดูเป็นกังวล“เกิดอะไรขึ้นเพคะ” แม่นมถามอย่างระมัดระวังจื่ออันเล่าให้แม่นมฟังว่าฝ่าบาทให้หยวนฉุ่ยยวี่และเซี่ยหลินอยู่ในวัง หลังจากได้ที่ยินแม่นมก็พูดว่า "ฝ่าบาททรงควบคุมตัวเองเรื่องความรักมาโดยตลอด คราวนี้เขาจงใจแสดงความชื่นชมต่อเสี้ยนจู่เช่นนี้ หม่อมฉันกลัวว่าพระองค์จงใจพยายามทำให้คนอื่นเข้าใจผิด น่าจะมีจุดประสงค์อื่น พระชายาไม่คิดเช่นนั้นหรือเพคะ?”จื่ออันได้ฟังสิ่งที่พูดและเข้าใจพระองค์ขึ้นมาบ้างแล้ว จึงรีบขอคำแนะนำต่อแม่นมกล่าวต่อ "เรื่องระหว่างอ๋องอันกับเสี้ยนจู่ทำให้เกิดความวุ่นวายมากมาย อ๋องอันไม่อยากแต่งงานเพราะเห็นแก่เสี้ยนจู่ในตอนนั้น ฝ่าบาทเองก็ทรงทราบเรื่องนี้ด้วย ตอนนี้อ๋องอันไม่อยู่ออกไปสงคราม หากพระองค์จับคนรักของอ๋องอันไว้ อ๋องอันจะคิดอย่างไร?”“เขาคงกังวลมาก แล้วทำไมพระองค์ถึงจงใจให้คนอื่นรู้เรื่องนี้? นี่ไม่เป็นผลดีต่อการทำสงครามเลย” จื่ออันยังไม่เข้าใจแม่นมกล่าวว่า "ใช่แ
การเจอทั้งหนูและเหานับว่าเป็นเรื่องปกติยามีกลิ่นอยู่บ้าง พอท่านอ๋องได้กลิ่นจึงรู้สึกไม่ค่อยชอบพอนัก เขาบอกว่าไม่ชินกับกลิ่นนั้น ทำให้จมูกของเขาพลอยไม่ได้กลิ่นอะไรไปด้วย จื่ออันลูบผมของเขาเบา ๆ ให้เขาอดทนกับมันใครใช้ให้นางรู้สึกสงสารเขากัน?“สระไปสองสามรอบก็หายแล้ว ทนสักพักได้ไหม?”“ข้าบอกว่าข้าไม่มีเหา ยังพูดแบบนั้นอยู่อีกรึ?” มู่หรงเจี๋ยพูดอย่างขุ่นเคืองจื่ออันมองดูตัวเหาที่ตายแล้วบนฟองสบู่ และใช้หวีค่อย ๆ สางมันออกแล้วจุ่มลงในยา น้ำจึงกระเพื่อมจนตัวเหาก็ลอยไปตรงหน้ามู่หรงเจี๋ย เขาหลับตาไม่มองพวกมันหลังจากสระผมแล้ว จื่ออันก็เปิดจุกอ่างอาบน้ำให้น้ำเก่าไหลออก หลังจากนางแต่งงาน ห้องน้ำก็ได้ปรับปรุงใหม่ แม้จะใช้งานไม่ง่ายนัก แต่ก็สะดวกสบายทีเดียวหลังจากที่มู่หรงเจี๋ยอาบน้ำเสร็จ เขาก็ไปตักน้ำให้จื่ออันคราวนี้เป็นเขาที่สระผมให้จื่ออันนิ้วของเขาหยาบกร้าน เมื่อเขาถูนวดหนังศีรษะ จื่ออันจึงรู้สึกเจ็บเล็กน้อย ที่จริงแล้วเขาอ่อนโยนมาก แต่การรับใช้คนอื่นไม่ใช่สิ่งที่เขาถนัดเลยจริง ๆ นอกจากนี้มือนี้ยังถูกลมทรายที่ชายแดนบาดมาตั้งมากมาย หนังบนฝ่ามือเริ่มหนาขึ้นเรื่อย ๆแม้ว่าจื่ออันจ
ตอนที่พวกเขาออกไป จื่ออันเล่าให้ฟังมู่หรงเจี๋ยว่าฝ่าบาทได้รั้งหยวนฉุ่ยยวี่ไว้ในวังหลวงหลังจากได้ที่ยิน มู่หรงเจี๋ยก็พูดว่า "มันเป็นเพียงกลอุบายเล็ก ๆ น้อย ๆ เจ้าไม่ต้องกังวลไป"“แม่นมวิเคราะห์ให้ข้าฟัง” จื่ออันเงียบไปสักพัก “ข้าคิดว่าฝ่าบาทดูเปลี่ยนไปมาก”“เปลี่ยนไป?” มู่หรงเจี๋ยหัวเราะ “นี่เป็นนิสัยของพระองค์โดยแท้ ตอนที่พระองค์ประชวร พระองค์ต้องยอมประนีประนอมหลายอย่าง แต่ตอนนี้พระองค์แข็งแรงดีแล้ว พระองค์จึงต้องทำทุกอย่างให้มาอยู่ในกำมือของตัวเขาเอง”“ท่านรู้มาก่อนหน้านี้แล้ว ทำไมถึงยังจงรักภักดีต่อพระองค์ขนาดนี้” จื่ออันรู้สึกไม่เข้าใจจริง ๆ“ประการแรก พระองค์ทรงดีกับข้ามากมาโดยตลอด ประการที่สอง ข้าจงรักภักดีต่อแผ่นดินต้าโจว ไม่ใช่เขา”“ก่อนหน้านี้ความสัมพันธ์พี่น้องของพวกท่านดีมาโดยตลอด” จื่ออันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจ“ความสัมพันธ์พี่น้องของเราดีจริง ตอนเขาป่วย ข้าเป็นน้องชายของเขา ไม่ใช่จักรพรรดิ แต่ตอนนี้เขาเป็นจักรพรรดิ จื่ออัน เจ้าเองก็ไม่ได้ต่างไปจากข้านักหรอก เมื่อบทบาทเปลี่ยนไป ผู้คนก็จากหลีกตัวออกไปด้วย ไม่เช่นนั้นเจ้าจะสับสนกับอารมณ์ตัวเองได้โดยง่าย”จื่ออันอดรู
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว