“ใครใช่ให้เจ้าโง่เองเล่า? ใช่ว่าเจ้าไม่เคยทำอะไรแบบนี้เสียหน่อย เคยเห็นเจ้าฉลาดกว่านี้ ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะสับสนในช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้ แต่เอาเถอะ เจ้าช่วยให้สนมเหมยสามารถล่อชายาอ๋องเจ็ดออกไปได้ นี่ถือเป็นความดีความชอบ หากเจ้าหาทางลักลอบออกไปได้ จงไปพบกุ้ยไท่เฟย แล้วอยู่รับใช้นางเสีย”“ได้ ได้ ว่าแต่กุ้ยไท่เฟยอยู่ที่ไหนหรือ?” หลิงลี่ถาม“เจ้าออกจากวังแล้วไปหาใต้เท้าหลิน จากนั้นใต้เท้าหลินจะสั่งให้ใครสักคนพาเจ้าไปที่นั่น”“เข้าใจแล้ว ขอบคุณเจ้าค่ะกงกง!” หลิงลี่กล่าวขอบคุณชายคนนั้นหันหลังเดินจากไป ขณะที่เดินกลับ หลิงลี่เห็นชายคนหนึ่งปีนผ่านยอดไม้อย่างรวดเร็ว จึงติดตามเขาไปหลิงลี่กลับไปรายงานต่ออ๋องเยี่ย อ๋องเยี่ยยิ้มเยาะ “ใต้เท้าหลินคนนี้ หลานสาวของเขาได้แต่งงานกับอ๋องเหลียงหลังจากที่เขาถูกปลดออกจากตำแหน่ง เขาจึงอาศัยประโยชน์จากโอกาสนี้เข้ารับการเลื่อนตำแหน่งเป็นขุนนาง แต่กระนั้นเขากลับยังคิดคดไม่ซื่อตรง สมรู้ร่วมคิดทำชั่ว เอาล่ะ เจ้าไปเถอะ”“เจ้าค่ะ!” หลิงลี่หันหลังกลับและจากไปสนมเหมยกล่าว “ในเมื่อเรารู้แล้วว่าบุคคลนั้นเป็นสายลับของกุ้ยไท่เฟย เหตุใดจึงไม่จับตัวเขาไปเล่า?"“เจ้าจ
จื่ออันยิ้ม ไม่รีบร้อนที่จะโต้เถียงกับนาง มองดูสภาพแวดล้อมในห้องลับ พบว่ามันว่างเปล่า ตอนนี้นางนอนอยู่บนพื้น ไม่มีโต๊ะหรือเก้าอี้ ไม่มีอะไรอื่นทั้งสิ้น มีกลิ่นอับชื้นในอากาศ น่าจะเป็นห้องลับบนภูเขาซึ่งมีแหล่งน้ำอยู่ใกล้ ๆทุกสิ่งที่อยู่นอกห้องลับไม่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน เห็นเพียงความมืด มองเห็นแค่ร่างเลือนรางของผู้คนที่ลอยไปมาอย่างคลุมเครือ ไม่ชัดเจนว่ามีคนอยู่กี่คนอดกลัวไม่ได้ว่าตาวเหล่าต้าถูกจับไปขังไว้ที่ไหนใกล้ ๆ หรือถูกฆ่าตายไปแล้ว?“อย่าเอาแต่มองเลย เจ้าเข้ามาที่นี่แล้วย่อมไม่มีทางหนีพ้น!” กุ้ยไท่เฟยกล่าวอย่างเย็นชาจื่ออันมองไปที่นาง “กุ้ยไท่เฟยจับข้าไว้เช่นนี้ แต่ไม่ยอมสังหารข้าเสีย ท่านต้องการอะไรกันแน่?"“อย่าแสร้งทำเป็นใจเย็นอยู่เลย ข้ารู้ว่าเจ้ากลัว” กุ้ยไท่เฟยจ้องเขม็งมองนาง “เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าสักวันหนึ่ง เจ้าจะตกมาอยู่ในเงื้อมมือของข้า?”“ชัยชนะและความพ่ายแพ้เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับทหาร” จื่ออันยื่นมือออกไปโดยไม่รู้ตัว เมื่อพบว่าบนแขนตนเองไม่มีเชือกบ่วงบาศ หัวใจของนางก็จมดิ่งลง“จริงหรือ? ถือเป็นเรื่องดีที่เจ้ามองโลกในแง่ดี” กุ้ยไท่เฟยคลี่ยิ้มช้า ๆ ริ้วร
อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์นี้ดีจริง ๆ นางบีบบังคับให้ตนเขียนจดหมาย และขอให้ตาวเหล่าต้านำไปส่ง ส่งนักฆ่าตามเขาไปตลอดทาง ก่อนที่ตาวเหล่าต้าจะไปถึงค่ายทหาร นักฆ่าก็ลงมือกับเขา ทหารในกองทัพลาดตระเวนพื้นที่โดยรอบ ทำให้พบศพของตาวเหล่าต้าในไม่ช้า ผู้คนใดก็ตามที่ปรากฏตัวอยู่ใกล้ค่ายทหารจะต้องรายงานกลับไปยังท่านแม่ทัพอย่างแน่นอน อีกทั้งการตายของเขายังเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับจดหมายที่เขานำมาส่งอีกด้วยถึงอย่างนั้นนางยังไม่เข้าใจ “ถอยหลังหมื่นก้าวนั่นเอง แม้ว่าท่านอ๋องจะนำกองทัพกลับจากสงครามมายังเมืองหลวง ตราบใดที่เขามาถึงแล้ว ความจริงทุกอย่างก็จะถูกเปิดเผยอยู่ดี”“ในฐานะแม่ทัพ เขาสละหน้าที่ของตนเองโดยไม่ได้รับอนุญาต ทั้งยังนำกองทหารใต้บังคับบัญชาหลบหนีสงคราม หากข่าวนี้ไปถึงหูองค์จักรพรรดิ คิดว่าเขาจะยังคงเพิกเฉยอยู่หรือไม่? เขาต้องตราหน้ามู่หรงเจี๋ยว่าคิดคดทรยศ แล้วสั่งให้หวู่อันโหวนำกองทัพไปบุกล้อมและปราบปรามเขา คราวนี้ความวุ่นวายในประเทศก็จะกลายเป็นโกลาหล”นางหัวเราะเยาะ “ท่านช่างเป็นมารดาที่ใจดีกับบุตรชายของตนเองจริง ๆ"“ข้าปฏิบัติต่อเขาอย่างดีมาตลอด เขาเองต่างหากกลับมองไม่เห็นคุณค่า” กุ้ยไท่
จื่ออันไม่รู้จะพูดอะไรดี ทฤษฎีนี้ฟังดู... ไม่เข้าท่าเลยจริง ๆ ดูเหมือนนางไม่รู้สึกเลยว่าตนเองกำลังทำผิดจริงอยู่ พวกนางต่างก็เป็นบุตรสาวของตระกูลซุนเหมือนกัน เหตุใดวาสนานางถึงเป็นได้แค่กุ้ยไท่เฟย ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นหวงไท่โฮ่ว? นางเก่งกว่าแทบจะทุก ๆ ด้าน แล้วเหตุใดนางถึงต้องยอมตกอยู่ภายใต้คำสั่งของคนอื่น?พูดถึงแล้วก็สมเหตุสมผลแต่เมื่อมาคิดอย่างรอบคอบอีกครั้งแล้ว พบว่าไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลยในโลกนี้มีคนที่โดดเด่นกว่ากุ้ยไท่เฟยอีกมาก คนเหล่านั้นจำเป็นต้องลุกมาแข่งขันกับนางด้วยหรือ? ทุกคนล้วนมีเส้นทางชีวิตและความรับผิดชอบเป็นของตัวเองนางอาจจะดีกว่าหวงไท่โฮ่วในทุกด้านเมื่อมองจากภายนอก แต่ในฐานะมนุษย์ นางดีกว่าคนอื่นตรงไหน?ในฐานะที่เป็นมารดาก็ล้มเหลว บุตรชายทั้งสองคนของนางเป็นเพียงเครื่องมือเพื่อแสวงหาอำนาจของนางเท่านั้น นางมีความเป็นแม่อย่างไรกัน? ในฐานะที่เป็นกุ้ยไท่เฟย เนื่องจากนางต้องการไต่เต้าขึ้นไปบนตำแหน่งที่สูงกว่า นางจึงทำหน้าที่ตามที่นางพอใจ ด้วยแรงจูงใจทั้งหมดที่ซ่อนอยู่ ทำให้นางไม่มีความรู้สึกจริงใจต่อผู้คน ในสมองมีเพียงการวางแผนและการสมรู้ร่วมคิด ใช้ทุกคนเป็นเครื่องมือ
จื่ออันรู้สึกว่าคุกหินนี้อาจไม่ได้ใช้สำหรับกักขังผู้คนแต่แรก ดังนั้นอาจมีกลไกอยู่ภายในนี้เพียงแต่ผนังเรียบมาก ทั้งยังมีเถาวัลย์อยู่ด้านบน พวกมันเติบโตได้อย่างดี การที่พวกมันสามารถขยายพันธุ์ได้ หมายความว่าบริเวณนี้น่าจะมีความชื้นที่เหมาะสม หรือที่นี่จะอยู่ใกล้กับแหล่งน้ำกัน?กลไกจะอยู่ที่ด้านบนหรือเปล่านะ? แต่เพดานด้านบนสูงตั้งสองสามฟุต นางไม่สามารถกระโดดขึ้นไปได้เลย กำแพงโดยรอบก็เรียบจนปีนขึ้นไปไม่ได้ต่อให้ประตูหินจะเปิดออก ผู้คนที่อยู่ข้างนอกก็ไม่ใช่คนประเภทที่นางจะรับมือได้วันเวลาผ่านไปอย่างเงียบ ๆ ในวันนี้ โดยที่กุ้ยไท่เฟยไม่ได้ให้น้ำหรือข้าวแม้แต่หยดเดียวแก่นางนางรู้สึกว่านางสามารถอดทนต่อความหิวได้ แต่ความกระหายของนางเป็นสิ่งที่ไม่อาจทนไหว นางรู้สึกกระหายน้ำตั้งแต่วินาทีที่ขึ้นมาบนภูเขา ต่อมานางถูกวางยาพิษ ขั้นตอนการล้างพิษทำให้ร่างกายนางเสียน้ำมากเกินไปนางเลียริมฝีปากที่แห้งผาก จิตใจยังคงเต้นรัวเร็วไม่ยอมหยุดนางรู้ว่าขณะนี้ทุกคนต้องวิตกกังวล และมุ่งความสนใจไปที่การค้นหาปูพรมใกล้กับวัดเจิ้งกั๋วอย่างแน่นอนนางลุกขึ้นนั่ง ใช่ ทุกคนย่อมมุ่งเป้ามาที่วัดเจิ้งกั๋ว สมาชิกหอเ
ตาวเหล่าต้าถูกพาตัวมาที่นี่ โดยมีชายชุดดำสองคนพามา เขาได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย มีคราบเลือดแห้งกรังติดอยู่บนใบหน้า อาจถูกทุบตีเนื่องจากไม่ยอมให้ความร่วมมือเมื่อเขาเห็นจื่ออัน ดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความยินดี “พระชายา!”จื่ออันกอดอก นิ้วที่ทาบอยู่บนแขนกระดกขึ้นขณะมองไปที่ตาวเหล่าต้าตาวเหล่าต้ารีบพุ่งตัวเข้าไป พลังอันดุร้ายของเขาทำให้ชายชุดดำสองคนไม่สามารถต้านทานได้ อย่างไรก็ตาม ชายชุดดำที่หน้าประตูก็กระแทกเขาจนล้มลงด้วยไม้เท้า ตาวเหล่าต้าร้องด้วยความเจ็บปวดก่อนจะฟุบลงไป“เจ้า...” จื่ออันโกรธจัด หันขวับมองกุ้ยไท่เฟยทันใด “เขาแค่เป็นห่วงข้า ไม่เห็นจำเป็นต้องทำรุนแรงถึงเพียงนั้นเลย”กุ้ยไท่เฟยมองนางด้วยรอยยิ้มเสียไม่ได้ “เขาเต็มไปด้วยพละกำลังอันดุร้าย จะควบคุมให้อยู่ในร่องในรอยได้อย่างไร หากไม่ใช้กำลังบ้าง ตอนนี้เจ้าได้พบเขาแล้ว จะยอมเขียนจดหมายได้หรือยัง?”“ได้ ให้ข้ากินข้าวก่อนแล้วกัน” จื่ออันตอบอย่างว่าง่ายกุ้ยไท่เฟยก็ไม่เล่นตุกติกเช่นเดียวกัน สั่งให้ผู้คนไปเตรียมอาหาร จื่ออันยิ้มและกล่าวว่า “ข้าอยากดื่มสุราด้วย”“ตามที่เจ้าต้องการ แต่หากเจ้าเล่นกลในครั้งนี้ ครั้งต่อไปจะไม่ง
ประตูหินไม่ได้เปิดออก แต่กลับได้ยินเสียงฝีเท้าอลหม่านเพลิงไฟกำลังลามใกล้เข้ามา ไฟลุกไหม้ไม่ถึงห้องลับ แต่เผาไหม้อากาศอย่างรวดเร็ว จื่ออันรู้สึกได้ว่าหายใจลำบากขณะที่นางกำลังรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก ประตูหินก็เปิดออก และมีคนพุ่งเข้ามาจิกผมของนาง แล้วลากออกไป นางเจ็บปวดแต่ก็ไม่ได้ขัดขืน หากนางขัดขืนตอนนี้ มีแต่จะยิ่งทรมานมากขึ้นเท่านั้นคนจำนวนมากถือถังน้ำเข้าไปดับไฟ เมื่อจื่ออันเห็นคนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็รู้สึกโล่งใจ หากมีคนเข้ามาดับไฟที่นี่ ตาวเหล่าต้าคงจะหาทางหลบหนีไปได้แล้วจื่ออันถูกจับตัวมาไว้ที่ทางเดิน ซึ่งเป็นทางเดินแคบ ๆ ทางหนึ่ง ผู้คนที่มาดับไฟนั้นวิ่งผ่านตัวนางไปจากนั้นไม่นาน กุ้ยไท่เฟยเองก็ปรากฏตัว นางสั่งให้คนลากนางเข้าไปในพื้นที่ว่างข้าง ๆ ที่นี่ไม่มีประตูและไม่ใช่ห้องลับ มันเป็นเพียงพื้นที่ว่างที่ใหญ่กว่าทางเดินเล็กน้อยกุ้ยไท่เฟยจ้องนางเขม็ง ก่อนตบหน้านางอย่างกะทันหัน “สุราคำนับไม่ดื่ม ชอบดื่มสุราลงทัณฑ์!"จื่ออันยิ้มและพูดว่า "เหตุใดกุ้ยไท่เฟยจึงกริ้วเล่า? เพียงแค่หลุดเข้าไปโดยไม่ตั้งใจเท่านั้น หรือว่าข้าคิดอยากจะเผาตัวเองตายงั้นหรือ?"“เซี่ยจื่ออัน อย่าคิดว่
จื่ออันไม่เคยวิ่งเร็วขนาดนี้มาก่อนในชีวิต นางเกือบนึกว่าใต้เท้าของตนมีลมราวจะเหาะได้อย่างไรอย่างนั้นตาวเหล่าต้าวิ่งพลางหันกลับไปมอง ชายชุดดำกำลังไล่ตามมา เขาพูดขณะหอบหายใจ "ถ้าออกไปถึงข้างนอกพวกเราตายแน่ พวกเราไม่รู้วิชาตัวเบานะ”คนอื่นเขาใช้วิชาตัวเบาไล่ตาม สองสามจ้ำก็มาจับพวกเขาได้แล้ว ยิ่งกว่านั้น ภูมิประเทศด้านนอกเป็นแบบใดพวกเขาก็ยังไม่รู้เลย อาจเป็นหน้าผาก็ได้ หากพวกเขาพุ่งออกไปเช่นนี้ ร่างคงแหลกเป็นเสี่ยงปลายทางอยู่ข้างหน้าแล้ว แสงสว่างกำลังใกล้เข้ามา หนี? จะหลบหนีอย่างไร? หนีออกไปก็ตายในช่วงเวลาวิกฤตินั้นเอง จื่ออันมองเห็นว่าที่ประตูมีประตูหินบางหนึ่ง นางเอ่ยขึ้น "หลังจากพวกเราพุ่งออกไปแล้ว ก็รีบปิดประตูหินลง เจ้าจงฟังคำสั่งของข้า เมื่อข้าบอกให้วิ่ง เจ้าก็รีบกอดข้าเอาไว้ ข้าจะพยายามทิ้งระยะห่างกับพวกเขา”แม้ว่าการปิดประตูหินลงจะขวางไว้ได้เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่ง แต่หากข้างนอกมีป่าหนาทึบ พวกเขาก็สามารถหาที่ซ่อนตัวได้"ขอรับ!" แม้ตาวเหล่าต้าจะไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องจับนางไว้ หากเขากอดนางไว้จะไม่ทำให้วิ่งไม่ได้หรอกหรือ ทว่าเขาเคยชินกับการฟังคำสั่งของจื่ออัน เขาจะไม่เคลือบแคล
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว