หลิงอวี๋และท่านจินต้าวิ่งเข้ามาประคองเซียวหลินเทียนทั้งซ้ายและขวากลับไปยังวิหารที่พังทลาย “หม่อมฉันจะตรวจดูให้ท่านเดี๋ยวนี้!” หลิงอวี๋แสร้งทำเป็นตรวจสอบขาของเซียวหลินเทียนอยู่พักหนึ่งแล้วจึงเอ่ยว่า “สิ่งนี้น่าจะเป็นผลงานของนักฆ่าเมื่อกี้นี้!” “เป็นอย่างไรบ้าง?” เซียวหลินเทียนมองไปทางหลิงอวี๋ เขาอยากได้ยินว่านางจะสร้างเหตุผลอะไรให้เขาฟัง “ก่อนหน้านี้หม่อมฉันตรวจดูให้ท่าน พบว่าเส้นลมปราณที่ขาทั้งสองข้างของท่านถูกปิดกั้นอย่างแน่นหนาหม่อมฉันทั้งฝังเข็มและต้มยาให้ท่าน แต่ผลที่ได้กลับมิค่อยดีนัก!” “ตอนที่นักฆ่าต้องการสังหารท่านเมื่อกี้นี้ ท่านจะต้องกังวลใจมากเป็นแน่… ยามที่คนเราตกอยู่ในสภาวะวิกฤตก็จะกระตุ้นศักยภาพของตัวเองออกมา บางทีท่านอาจจะกังวลกับการหลบหลีกกระบวนยุทธของนักฆ่า ดังนั้นจึงกระตุ้นศักยภาพของตัวท่านออกมา!” ท่านจินต้ากล่าวอย่างเป็นที่รู้กันว่า “พระชายา ท่านพูดเช่นนี้ ก็คือเมื่อท่านอ๋องทรงกังวล เขาจึงใช้พลังและกำลังภายในเปิดเส้นลมปราณเริ่นและเส้นลมปราณตูทันที ดังนั้นเมื่อท่านอ๋องเปิดเส้นลมปราณจึงสามารถยืนขึ้นได้รึ?” “อืม เหตุนี้แล! ข้าหาได้รู้เรื่องวรยุทธไม่ ข้าทำ
เซียวทงไม่มีแรงจะโต้เถียงเซียวหลินเทียนอีกต่อไป นางจ้องมองอย่างว่างเปล่าไปที่เหล่าองครักษ์ที่ง่วนอยู่กับการเก็บศพท่ามกลางสายฝน ศพเหล่านั้นล้วนแต่เป็นคนที่เคยมีชีวิตมาก่อน! นางมิเคยคิดเลยว่าวันหนึ่งจะได้เห็นศพมากมายขนาดนี้! ความตายใกล้เข้ามาแล้ว! จากนั้นนางจึงตระหนักได้ว่า ถึงแม้ว่าตนจะมีฐานเป็นองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ แต่ภายใต้ดาบของนักฆ่าเหล่านั้นก็ไม่มีใครได้รับการปฏิบัติที่ต่างออกไปเพียงเพราะสถานะอันสูงส่ง“องค์หญิงหก… กระหม่อมหาท่านเจอแล้ว!” ไม่รู้ว่าอู่เวยเดินกะโผลกกะเผลกมาจากไหน บนตัวของเขาเปื้อนเลือดไม่น้อยซึ่งเขาไม่รู้ว่าเป็นของคนอื่นหรือว่าของตัวเอง! แต่เซียวทงยังสังเกตเห็นว่าเสื้อผ้าของเขาแห้ง องครักษ์ที่อยู่ตรงนั้นรวมถึงหลิงอวี๋ ไม่ว่าใครต่างเปียกฝนจนชุ่มโชก! อู่เวยกลับไม่เปียกฝนเลยแม้แต่น้อย สิ่งนี้สามารถพิสูจน์ได้ว่า เขาเพิ่งจะซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่งที่ไม่โดนฝน! หากเปลี่ยนเป็นก่อนนักฆ่าจะมา เซียวทงคงจะก่นด่าและสาปแช่งไปแล้ว แต่เวลานี้นางกลับไม่ด่า คนของเซียวหลิงเทียนมิต้อนรับนาง ซิ่งเอ๋อร์และคนอื่น ๆ ล้วนแต่ได้รับบาดเจ็บ ไม่มีใครว่างเลย! “องค์หญิงหก ท่า
ทางด้านเซียวเทียนหลิน จ้าวซวนนำมาคนทำความสะอาดสนามรบ นักฆ่าชุดดำส่วนใหญ่ถูกกำจัดออกไปแล้ว มีเพียงผู้ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสไม่กี่คนเท่านั้นที่ถูกเพื่อนทิ้งไว้ข้างหลังและหนีไม่ทัน เซียวหลินเทียนพาท่านจินต้าไปสอบปากคำนักฆ่าเหล่านี้ หลายคนยังคงต่อต้านอย่างดื้อรั้นและปิดปากเงียบ เซียวหลินเทียนยิ้มอย่างเย็นชาและกล่าวกับจ้าวซวนว่า “ลงมือ!” จ้าวซวนก้าวมาข้างหน้า เหวี่ยงดาบตัดนิ้วนักฆ่าโดยไม่พูดอะไรสักคำ นักฆ่าผู้นั้นกรีดร้องออกมา เจ็บปวดจนแทบเป็นลมหมดสติ จ้าวซวนกล่าวอย่างไร้ความปรานี “หากมิสารภาพ ข้าจะสับนิ้วพวกเจ้าให้หมด!” นักฆ่าทั้งหลายต่างตกใจกลัวเมื่อเห็นว่าพฤติกรรมของเขานั้นมิได้ด้อยกว่าพวกเขาเลย ถึงแม้ว่าพวกเขาเหล่านี้จะมีชีวิตอยู่กับความโหดร้าย แต่เมื่อเห็นนิ้วของตนถูกตัดออกทีละนิ้ว เพียงแค่คิดก็ตัวสั่นแล้ว จึงรีบชิงสารภาพด้วยความหวาดกลัว นักฆ่าคนหนึ่งพูดด้วยใบหน้าเศร้าโศก “ท่านอ๋องอี้ พวกกระหม่อมเองก็ทำตามคำสั่งเช่นกัน เป็นหัวหน้าที่รับภารกิจมา ให้พวกกระหม่อมซุ่มโจมตีท่านอ๋อง!” เซียวหลินเทียนยิ้มหยันแล้วเอ่ยว่า “ไม่รู้งั้นรึ? พวกเจ้าคิดว่าข้าหลอกง่ายรึ? หากมิบอกข้อ
เซียวหลินเทียนและท่านจินต้ายังคงสอบสวนนักฆ่าต่อไป เนื่องจากภารกิจลอบสังหารของทูตซ้ายล้มเหลว หัวหน้าหอจึงส่งทูตขวามาทำภารกิจต่อ พวกเขาจะต้องเข้าใจอย่างถ่องแท้เสียก่อนจึงจะสามารถรับมือได้ดี! เซียวหลินเทียนฟังแล้วก็คิดว่า ขาของตนสามารถยืนขึ้นได้แล้ว เรื่องนี้แพร่ออกไป องค์ชายคังและองค์ชายเว่ยก็จะกำจัดเขาอย่างรุนแรงยิ่งขึ้น! เมื่อคิดว่าพี่ชายทั้งสองหานักฆ่ามาลอบสังหารตนจริง ๆ โดยมิสนใจความเป็นพี่เป็นน้องโดยสิ้นเชิง หยดเลือดและความรักในครอบครัวที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดก็ได้หายไปจนหมดสิ้นแล้ว ตำแหน่งองค์รัชทายาทสำคัญถึงเพียงนั้นเชียวหรือ? ถึงกับทำให้พวกเขาลงมือกับตนอย่างเหี้ยมโหดครั้งแล้วครั้งเล่า! เซียวหลินเทียนแอบสาบานว่า ยิ่งพวกเขาต้องการตำแหน่งนี้มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งมิยอมให้พวกนั้นสมปรารถนา! เมื่อก่อนเขาไม่อยากต่อสู้กับพวกเขาเพื่อตำแหน่งนี้ บัดนี้ขาของเขายืนขึ้นได้แล้ว เช่นนั้นเขาก็ต้องต่อสู้เพื่อตำแหน่งนี้… และจะต้องสำเร็จด้วย! หลังจากวุ่นวายตลอดทั้งคืนจนกระทั่งรุ่งสาง หลิงอวี๋ยังมิได้พักผ่อน นางพาแม่นมมาต้มโจ๊กให้ทุกคน หลังจากกินเสร็จ เซียวหลินเทียนก็จัดกลุ่มทหารองค
ฝนหยุดตกแล้ว พระอาทิตย์ขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มของเซียวหลินเทียน ทำให้หลิงอวี๋รู้สึกว่าดอกไม้ที่อยู่ริมทางบานสะพรั่งในพริบตา…เดิมชุดเกราะสีดำวาวของเซียวหลินเทียนเรืองแสงเย็นเยียบอันน่าสะพรึงกลัว แต่รอยยิ้มของเขาช่วยบรรเทาความกดดันอันท่วมท้นนี้ได้! หลิงอวี๋ยิ้มตอบกลับไปโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน….ถึงแม้ภายภาคหน้าจะเต็มไปด้วยอันตรายที่มิอาจรู้ แต่นางคิดว่ามีกลุ่มเพื่อนฝูงพี่น้องที่คอยอยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันอย่างจริงใจเยี่ยงนี้ ก็ไม่มีอะไรต้องกลัว! ฉินซานที่คอยดูแลกองทหารอยู่ด้านข้างไม่เห็นรอยยิ้มของหลิวอวี๋ เขาเห็นเพียงเซียวหลินเทียนที่ยิ้มไปยังทิศทางของรถม้าเท่านั้น เขารู้ดีแก่ใจว่า ผู้ที่จะทำให้เซียวหลินเทียนยิ้มได้นั้น นอกเสียจากหลิงอวี๋แล้วจะเป็นใครได้อีก! เขามองไปที่ม้ากีบขาวของเซียวหลินเทียน ภายในใจก็เลือกละทิ้งความรู้สึกไม่พอใจที่หลิงอวี๋เลือกเซียวหลินเทียนไปโดยสิ้นเชิง ตราบใดที่เซียวหลินเทียนปฏิบัติต่อหลิงอวี๋เป็นอย่างดี เขาก็จะสนับสนุนเซียวหลินเทียนชั่วชีวิต! จากนี้ไปหลิงวี๋คือน้องสาวของเขา เขาได้แต่อวยพรให้นางมีความสุขเท่านั้น! เนื่องจากฝนตกหนักการเดินทางจึงล่าช้า ในอีกสอ
”ไร้สาระ!” เซียวหลินเทียนตะโกนด้วยความโกรธ “เจ้ามิเห็นคำสั่งทางทหารอยู่ในสายตาใช่หรือไม่? พระชายาให้เจ้าสวม ย่อมต้องมีเหตุผลที่ให้พวกเจ้าสวมไว้!” “ถึงเจ้ามิหวงแหนชีวิตตน แต่เจ้ามิอาจเพิกเฉยชีวิตผู้อื่นได้… เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า หากเจ้าติดเชื้อโรคระบาด สหายของเจ้าจะเดือดร้อนเพราะเจ้าหรือไม่?” “ไม่ร้ายแรงถึงเพียงนั้นหรอกพ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมร่างกายแข็งแรง ไม่มีทางจะ…” หลี่เฉียงยังคิดโต้แย้ง เซียวหลินเทียนเอ่ยอย่างหมดความอดทนว่า “เจ้าหลบไปยืนด้านข้างก่อน และมิได้รับอนุญาตให้ติดต่อผู้อื่น! หากยังกล้าฝ่าฝืนคำสั่งทหาร จะต้องถูกลงโทษอย่างรุนแรง!” หลิงอวี๋เหลือบมองหลี่เฉียงอย่างหมดคำจะเอ่ย ไม่มีอารมณ์จะเสวนากับเขา นางหยิบถุงมือปลอดเชื้อออกมาจากกล่องยาแล้วเดินเข้าไปตรวจดูสอบศพ ศพนั้นเป็นศพของผู้ชาย เพิ่งจะอายุเพียงสิบสองหรือสิบสามปีเท่านั้น ตุ่มหนองที่ปรากฏมากมายบนแขนล้วนแต่เป็นรอยแผลเป็น หลิงอวี๋ยังเห็นร่องรอยเลือดออกใต้ผิวหนังของเขาด้วย ระยะเวลาที่เสียชีวิตมากกว่าสามวัน ศพตากแดดและเริ่มส่งกลิ่นเหม็นแล้ว หลิงอวี๋ไปตรวจสอบอีกศพ ศพนี้เป็นสตรี อายุสามสิบปี ดูเหมือนนางเพิ่งจะตายได้ห
เด็กหญิงมองไปทางชายชรา ครั้นเห็นชายชราไม่พูดอะไรจึงได้เอ่ยเสียงเบา “ข้าแซ่หยาง ชื่อต้ายา!” “ต้ายา เจ้านั่งลงก่อน พี่สาวตรวจชีพจรให้เจ้าดีหรือไม่? พี่สาวเป็นหมอ ข้าจะต้องรักษาเจ้าให้หายได้แน่นอน!” หลิงอวี๋เอ่ย หยางต้ายามองชายชราอีกครั้ง เมื่อปู่หยางเห็นว่าหลิงอวี๋และคนอื่น ๆ มีทัศนคติที่ดีมากมาโดยตลอด เขาก็พยักหน้าเงียบ ๆ หยางต้ายาเดินออกมาจากด้านหลังปู่หยางและนั่งลงบนพื้น แล้วยื่นแขนเล็ก ๆ ออกมาให้หลิงอวี๋ หลิงอวี๋เห็นว่าบนแขนที่ยื่นออกมาของนางมีตุ่มหนองเล็กน้อยก็เอื้อมมือไปจับชีพจรของนาง อุณหภูมิผิวหนังของหยางต้ายาสูงมาก หลิงอวี๋ให้หลิงซวนหยิบเอาที่วัดอุณหภูมิออกมาแล้วเกลี้ยกล่อมให้หยางต้ายาหนีบไว้ที่รักแร้ของนาง “ต้ายาบอกพี่สาวได้หรือไม่ ในหมู่บ้านมีคนป่วยเยอะหรือไม่? ใครเป็นคนป่วยก่อน?” หลิงอวี๋ถามพลางจับชีพจร หยางต้ายามองไปทางปู่หยางเพื่อขอความช่วยเหลือ ดูเหมือนว่าคำถามของหลิงอวี๋นั้นยากมาก นางไม่รู้จะตอบเช่นไร “คนขายเนื้อตรงทางเข้าหมู่บ้านป่วยเป็นคนแรก…” ในที่สุดปู่หยางก็เปิดปากพูดแล้ว ทันทีที่หลิงอวี๋ได้ยินเช่นนั้นก็รีบเอ่ยถามทันที “ปู่หยาง คนขายเนื้อป่วยตั้
เมื่อพวกเขาติดตามปู่หยางเข้าไปในหมู่บ้านก็เห็นเฉาอี้พาผู้นำหมู่บ้านมาแล้ว เฉาอี้สวมหน้ากากตามคำสั่งของหลิงอวี๋ หลิงอวี๋ไม่พูดอะไร “ท่านอ๋อง นี่คือหยางหรงผู้นำหมู่บ้าน เขาบอกว่าหมู่บ้านนี้ใหญ่ที่สุดในเว่ยโจว มีมากกว่าร้อยครัวเรือน!” “ผู้คนที่อาศัยอยู่ตรงทางเข้าของหมู่บ้านล้วนแต่เป็นคนยากจน สองปีก่อนเพราะมีปรมาจารย์ฮวงจุ้ยของหมู่บ้านบอกว่าฮวงจุ้ยไม่ดี ประตูหมู่บ้านจึงถูกย้ายไปทางทิศตะวันตกของหมู่บ้าน!” ผู้นำหมู่บ้านหยางหรงมองเซียวหลินเทียนก่อนจะพยักหน้าแล้วโค้งคำนับพร้อมกับยิ้ม “ท่านอ๋อง ชาวบ้านเหล่านี้งมงายยิ่งนัก กระหม่อมแจ้งให้พวกเขาทราบแล้วว่าพวกเขาป่วยต้องมารายงานอาการป่วย แต่ไม่มีใครมาเลย!”“กระหม่อมไม่รู้จริง ๆ ว่าจู่ ๆ พวกเขาจะหนีไปเลย!” “ที่หมู่บ้านทางทิศตะวันตกมีคนติดเชื้อหรือไม่?” หลิงอวี๋เอ่ยถาม หยางหรงหัวเราะเหอะ ๆ แล้วพูดว่า “ครอบครัวที่ร่ำรวยย่อมไม่เหมือนชาวบ้านพวกนี้ที่กินมั่วซั่ว กระหม่อมยังมิได้ยินว่ามีใครป่วยเลย!” เมื่อหลิงอวี๋ได้ยิน หัวใจก็จมลงไปครึ่งหนึ่ง นางยังมีความกังวลว่ามีหลายครัวเรือนเช่นนี้ หากมีการแพร่เชื้อก็จะเป็นวงกว้างได้ยินว่าหมู่บ้านต