เสี่ยวฮวาสูดหายใจเข้าแล้วมองหลิงอวี๋อย่างอ่อนแรง พลางเอ่ยเสียงแผ่วเบา“พระชายา… ข้าไม่เจ็บ ข้าทนได้... ข้าไม่ต้องกินยาด้วยเจ้าค่ะ! ท่านไม่ต้องรักษาข้าหรอก!”“น้องชายของข้ายังเด็ก เงินของท่านแม่ต้องเก็บไว้ซื้ออาหารให้เขา… และต้องเก็บไว้เป็นค่ารักษาท่านพ่อด้วย! ข้าทนได้เจ้าค่ะ!”หลิงซวนอยู่ข้าง ๆ ได้ยินสิ่งนี้ก็ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไปแล้วร้องไห้ออกมานี่เด็กอายุเท่าไหร่เอง!ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้ แต่ยังคิดถึงน้องชายกับพ่อของตน ไม่ยอมให้แม่ใช้เงินรักษาตนอีก!รู้ความมากเสียจนทำให้คนที่เห็นต้องปวดใจ!เมื่อแม่เผิงได้ยินคำพูดของบุตรสาวตน ก็อดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตาร้องไห้ออกมาอีกพลางเอ่ย“ไม่ ๆ… อาการป่วยของพ่อนางยังเลื่อนออกไปได้อีกเจ้าค่ะ… เสี่ยวฮวายังเด็กมากเช่นนี้ อยู่กับพวกเราไม่เคยมีชีวิตที่ดีเลย… นางยังตายมิได้นะเจ้าคะ!”“ข้ายอมแลกชีวิตของข้าเพื่อให้นางมีชีวิตอยู่… พระชายา โปรดช่วยนางให้ได้เถิดหนาเจ้าคะ…”พ่อเผิงทิ้งไม้ค้ำยันแล้วคุกเข่าลงกับพื้น น้ำตาไหลอาบหน้าพลางเอ่ย“เสี่ยวฮวา พ่อขอโทษ… หากมิใช่เพราะพ่อไร้ความสามารถ ก็ไม่มีทางให้เจ้าออกไปขอทานตั้งแต่อายุยังน
ลุงเผิงเป็นผู้ใหญ่ แต่พูดแล้วน้ำตาก็พลางไหลลงมา“ท่านอ๋องอี้ ท่านดูครอบครัวใหญ่ของเราเถิดพ่ะย่ะค่ะ หากหางานดี ๆ มิได้แล้วจะเลี้ยงดูครอบครัวพวกเขาได้เยี่ยงไรเล่า!”“หากทั้งครอบครัวแข็งแรงดีจะทนลำบากสักหน่อยก็หาได้เป็นไรไม่ แต่พ่อกระหม่อมทนมิไหวล้มป่วย เราใช้เงินรักษาเขาไปหมดแล้ว!”“เผิงเอ้อร์ก็อยากไปช่วยคนขุดลอกคลอง แต่ไม่คาดคิดว่าโชคร้ายจะมาไม่หยุดหย่อน เขาไปได้ไม่นานก็ถูกหินหล่นลงมาทับจนได้รับบาดเจ็บที่ขา… นี่มิใช่เคราะห์ซ้ำกรรมซัดหรือ?”เมื่อเห็นสิ่งนี้แม่เผิงก็ช่วยพูดด้วย “ท่านอ๋องอี้ พวกผู้หญิงกับลุงป้าของหม่อมฉันรวมถึงหลานสาวคนโตทำงานเย็บปักถักร้อยได้ ก็อยากจะเย็บผ้า ปักผ้าและซักผ้าเพื่อเสริมรายได้ของครอบครัวเพคะ!”“แต่เราไม่มีที่อยู่อาศัยที่แน่นอน ผู้ใดจะไว้ใจให้เราดูแลเสื้อผ้าเล่าเพคะ!”ลูกชายของลุงเผิงก็ตะโกนขึ้นมาด้วยความโกรธเช่นกัน “แม้ว่าเราจะยากจน แต่เราไม่เคยทำเรื่องผิด ๆ พ่ะย่ะค่ะ!”“แค่เพียงเพราะเรายากจน พอเราเข้าใกล้บ้านคนรวยพวกนั้น เขากลับทำเหมือนเราเป็นขอทานแล้วกล่าวหาว่าเราขโมย! ถึงกับปล่อยสุนัขมากัดเราด้วยซ้ำ...”อันเจ๋อหน้าแดง นึกถึงอคติของเขาที่มีต่อผู้ลี้
ตอนที่สอบปากคำชิวเหวินซวงก่อนหน้านี้ เซียวหลินเทียนรู้ว่าฉีตะวันออกมีการติดโรคระบาดกันในวงกว้างและมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก!เพราะว่าผู้ลี้ภัยเหล่านี้ไม่มีเงิน เวลาป่วยจึงไปหาหมอไม่ไหว อาการป่วยเล็กน้อยทั่วไปก็ทนกันได้แต่หากป่วยหนักเช่นเสี่ยวฮวา ก็มีทางเดียวเท่านั้นคือต้องตาย!หากผู้ลี้ภัยเหล่านี้นำโรคระบาดไปยังเมืองหลวงหรือกระจายไปยังสถานที่อื่น ก็ถือเป็นหายนะครั้งใหญ่เลยทีเดียว!หลังจากที่หลิงอวี๋ระบายเลือดคั่งของเสี่ยวฮวาออกไปแล้วก็ฉีดยาลดไข้ให้นางเซียวหลินเทียนให้จ้าวซวนจัดที่อยู่อาศัยชั่วคราวให้ครอบครัวของลุงเผิงเมื่อพวกเขากลับไปในห้อง อันเจ๋อก็ควบคุมตนเองไม่ได้อีกต่อไป พลางตะโกนออกมาด้วยความโกรธ“เจ้ากรมพระคลังจัดการเยี่ยงไรกัน! เหตุใดผู้ลี้ภัยถึงหลั่งไหลกันไปยังเมืองหลวงมากเช่นนี้ เขาไม่คิดหาวิธีจัดการเลยหรือไร!”เผยอวี้กลอกตาใส่อันเจ๋อพลางเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์“เจ้ากรมพระคลังคือเผยหยวนเป็นลุงรองของข้าเอง อันเจ๋อ หากเจ้าไม่เข้าใจสถานการณ์ก็อย่ามากล่าวหาลุงรองของข้าส่งเดชสิ!”เมื่อถูกเผยอวี้เตือน อันเจ๋อถึงได้นึกขึ้นได้ว่าเจ้ากรมพระคลังเป็นลุงรองของเผยอวี้จริง ๆ จึงหน้าแ
อันเจ๋อเอ่ยทันที “พระชายามีความคิดที่ดีมาก ท่านอ๋องเฉิงริเริ่มบริจาคก่อนจะต้องดึงดูดความสนใจขององค์จักรพรรดิอย่างแน่นอน! ถึงเวลานั้นพวกผู้มีอำนาจเหล่านั้นก็จะบริจาคตามด้วยเพื่อเอาใจองค์จักรพรรดิ!”“จริงสิ ข้าให้แม่ข้าเอาโจ๊กไปให้ผู้ลี้ภัยได้ด้วย!”“ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกท่านแม่แล้ว หากนางมีเงินบริจาคธูปเทียนให้วัด สู้เอาไปทำเรื่องจริงจังดีกว่า! ท่านแม่ของข้าจะต้องยอมแน่!”หลิงอวี๋ฟังแล้วก็พยักหน้า พลางเอ่ยอย่างเห็นด้วย“ท่านรัฐทายาทอัน ท่านสามารถขอให้พระชายาผิงหนานระดมทุนในหมู่สตรีผู้สูงศักดิ์ได้อีก หากครอบครัวใดมีเสื้อผ้าอาภรณ์เครื่องนอนเก่าที่ไม่จำเป็น ก็สามารถเอามาช่วยเหลือผู้ลี้ภัยเหล่านี้ได้!”“ข้าเห็นว่าพวกเขาใส่แต่พวกผ้าขาดวิ่นกันหมด ช่วยได้สักหน่อยก็จะดี!”เซียวหลินเทียนเห็นทั้งสามคนกำลังคุยกันอย่างยุ่งวุ่นวาย เขาย่อมนั่งดูต่อไปไม่ได้อยู่แล้ว“หลิงอวี๋เคยบอกไว้ก่อนหน้านี้ว่า สอนคนตกปลาดีกว่ามอบปลาให้เขา... โครงการฟื้นฟูร้านค้าของข้าในตอนนี้ยังต้องการกำลังคน ข้ามอบโอกาสให้ผู้ที่มีกำลังแรงงานได้!”“ใช่แล้ว ผู้ที่ครอบครองพื้นที่ร้านค้าที่ถูกไฟไหม้ครั้งที่แล้วบางคนก็หาบ้านได้
เดิมทีจ้าวเจินเจินพยายามจะชดเชยให้ และตั้งใจให้พ่อบ้านเตรียมของกำนัลปลอบใจไปที่ตำหนักองค์ชายเว่ยเพื่อแสดงความเสียใจต่อจ่างหนิงที่ได้รับบาดเจ็บแต่ของกำนัลเหล่านั้นถูกตำหนักองค์ชายเว่ยโยนออกไปอย่างไร้ความปรานี พ่อบ้านของตำหนักองค์ชายเว่ยก็ดุพวกเขาต่อหน้าทุกคนอย่างไม่ไว้หน้าด้วย“พระชายาเว่ยบอกแล้วว่าต่อหน้าทำเป็นรักใคร่ห่วงใยแต่ใจจริงมีเจตนาไม่ดี… พระชายาคังกล้าส่งดอกไม้มีพิษไปให้พระชายาเย่ ใครจะรู้ว่าอาจซ่อนสิ่งที่เป็นอันตรายอยู่ในของกำนัลเหล่านี้ก็เป็นได้!”“ท่านหญิงจ่างหนิงไม่สามารถรับน้ำใจจากพระชายาคังได้… พระชายาคังนำสิ่งเหล่านี้กลับไปใช้เองเถิดขอรับ!”เมื่อจ้าวเจินเจินได้ยินสิ่งที่พ่อบ้านบอก ก็โกรธจนตัวสั่น แต่ตอนนี้ทำอะไรพระชายาเว่ยไม่ได้เลย!พระชายาเว่ยไม่เหมือนหลิงอวี๋ นางหาเหตุผลให้กับตนเองได้นางได้รับการสนับสนุนจากฮองเฮาเว่ย หากนางดุร้ายขึ้นมา วิธีน่ากลัวอะไรนางก็สามารถเอามาใช้ได้ทั้งนั้นดังนั้น ในช่วงสองวันนี้จ้าวเจินเจินจึงอยู่แต่ในตำหนักก็คิดว่าจะกอบกู้ชื่อเสียงของตนเองอย่างไรขอเพียงตนกอบกู้ชื่อเสียงก่อนหน้านี้คืนมาได้ ข่าวลือเหล่านั้นก็จะค่อย ๆ หายไปเองหากทำไ
ในขณะที่กำลังยุ่ง อันซินก็วิ่งเข้ามาในชุดกระโปรงเรียบง่าย นางทักทายกับหลิงหว่านพลางเอ่ยกับหลิงอวี๋“ท่านพี่หลิงหลิง วันนี้ข้าช่วยพวกท่านไม่ได้แล้ว ท่านแม่ของข้ามาแจกโจ๊ก ข้าต้องอยู่ช่วยนางที่ศาลาโจ๊ก!”หลิงอวี๋ยิ้มพลางเอ่ย “เจ้าดูแลท่านแม่ของเจ้าให้ดีเถิด! โจ๊กที่ต้นเดือดจะร้อนมาก พวกเจ้าจะต้องระวังเรื่องความปลอดภัยด้วย!”นางหยิบยาทาแผลสองหลอดยื่นให้อันซิน “หากเจ้าโดนลวกโดยไม่ระวังก็ทาลงไป มันได้ผลดีมาก!”“ขอบคุณท่านพี่หลิงหลิง!”อันซินรับยาทาแผลมาอย่างมีความสุข พลางเข้าไปกระซิบอะไรบางอย่างที่หูของหลิงหว่านแล้ววิ่งกลับไปหลิงหว่านหน้าแดงเล็กน้อย หลิงอวี๋เห็นแล้วก็ค่อนข้างประหลาดใจ อันซินพูดอะไรกับนางถึงทำให้สตรีผู้นี้หน้าแดงได้กัน!พอนึกถึงงานเลี้ยงชมบุปผาครั้งที่แล้ว เดิมทีจะให้หลิงหว่านได้ใกล้ชิดเขา แต่ผลกลับมีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย หลิงอวี๋เองก็ไม่มีเวลาไปทำความเข้าใจพฤติกรรมของพวกคุณชายเหล่านั้นเมื่อมองแผ่นหลังของอันซิน จู่ ๆ หลิงอวี๋ก็ใจเต้นรัว พระชายาผิงหนานดูเป็นคนตรงไปตรงมาแล้วก็ชอบหลิงหว่าน นางรู้จักผู้คนมากมายในแวดวงนี้และมีโอกาสมากมายที่จะได้ใกล้ชิดกับพวกคุณชายบาง
หลิงหว่าน เจียงอวี้ และคนอื่น ๆ ก็ไม่กล้านินทาเช่นกัน จึงแยกกันไปช่วยหลี่ชุงจัดเครื่องยาสมุนไพรและยกชากับน้ำไปให้บรรดาแพทย์หลิงอวี๋นั่งยุ่งอยู่กับการดูแลคนไข้ ตรวจคนไข้ติดกันไปหลายสิบคน ปากก็เลยแห้ง และยังปวดปัสสาวะด้วยนางจึงให้คนไข้รอสักครู่แล้วตนลุกขึ้นวิ่งไปเข้าห้องน้ำชั่วคราวด้านหลังหลิงหว่านตามนางไปห้องน้ำ พอนางออกมาก็เอ่ยกับหลิงอวี๋“ท่านพี่หลิงหลิง พี่เคยเห็นนางผู้นั้นหรือไม่? ฟางเจียอี๋ นางเป็นลูกพี่ลูกน้องของจ้าวเจินเจิน ดูสิ นางตามท่านอ๋องอี้ตลอดเลย!”“ข้าสังเกตนางมานานแล้ว ตั้งแต่ที่นางมาก็เกาะติดท่านอ๋องอี้ตลอด นางชอบท่านอ๋องอี้หรือ?”หลิงอวี๋มองไปทันทีที่นางพูดเช่นนั้นเห็นหน้าศาลารับสมัครคนงานของกรมโยธาธิการ มีหญิงงามคนหนึ่งกำลังยกน้ำชามาให้เซียวหลินเทียนหลิงอวี๋พอจะจำผู้หญิงคนนี้ได้ นางคือฟางเจียอี๋เป็นลูกพี่ลูกน้องของจ้าวเจินเจินจริง ๆครั้งที่แล้วนางปรากฏตัวอย่างสง่างามในงานเลี้ยงชมบุปผาแต่ออกไปก่อนที่จะแข่งดนตรี หมากล้อม อักษรศิลป์และการวาดภาพ เหมือนว่านางจะมีเรื่องด่วนต้องไปทำสิ่งที่ทำให้หลิงอวี๋ประหลาดใจก็คือ ตั้งแต่ขาของเซียวหลินเทียนพิการ ในตำหนักนอ
เมื่อทั้งสองเดินกลับไปก็เห็นคนยืนต่อแถวยาวรอโจ๊กอยู่ฝั่งตรงข้ามแต่จ้าวเจินเจินก็ยังไม่ปรากฏตัว!“ท่านพี่ ท่านคิดว่ามันแปลกหรือไม่? จ้าวเจินเจินไม่อยากพึ่งการแจกโจ๊กมาสร้างชื่อเสียงที่ดีหรอกหรือ? นี่มันนานแค่ไหนแล้ว? ไฉนยังมิเห็นนางอีกเล่า!”หลิงอวี๋มองไป โจ๊กทางนั้นน่าจะต้มพร้อมแล้ว แต่ยังไม่ได้แจกจ่าย “นางจะต้องมาแน่! อีกอย่างข้ากล้ารับรองกับเจ้าเลยว่านางจะหาทางอื่นสร้างชื่อเสียง!”คำพูดของหลิงอวี๋ไม่ได้เกิดจากการคาดเดา ในเมื่อจ้าวเจินเจินมาโดยมีจุดประสงค์ที่จะชะล้างเรื่องของนาง เช่นนั้นตอนนี้ก็มีผู้แจกโจ๊กที่ศาลหลักเมืองอยู่แล้ว หากนางมาก็เป็นเพียงผู้แจกโจ๊กธรรมดา ๆหากต้องการดึงความสนใจของผู้ลี้ภัยไปที่นาง มีเพียงต้องหาทางอื่นเท่านั้นในขณะที่พูดอยู่นั้น ก็มีคนตะโกนขึ้นมา "พระชายาคังมาแล้ว… พระชายาคังบอกว่ากินแค่โจ๊กคงจะไม่อิ่ม วันนี้นางจึงเตรียมหมั่นโถวขาวมาให้ทุกคนด้วย!"“โอ้โห…”เมื่อได้ยินผู้ลี้ภัยเหล่านั้นต่างก็ยินดีพวกเขาหลายคนไม่ได้กินอะไรมานานแล้ว ตอนนี้ได้ยินว่าไม่ได้มีแค่โจ๊กเท่านั้นแต่ยังมีหมั่นโถวแป้งขาวด้วย ใครเล่าจะไม่ตื่นเต้น?ทันใดนั้น ผู้คนก็กรูกันไปต่