พอหลิงอวี๋ได้ยินเสียงกวนอิ่ง ยังคิดไม่ถึงว่านางต้องการทำอะไรตนเสียงแส้ม้าเพียะ เพียะ เพียะ ไม่ขาดสายหลิงอวี๋ได้ยินเสียงม้าร้องฮี้อย่างเจ็บปวด รถม้าโคลงเคลงขึ้นลงหลิงอวี๋ถูกปะทะจนตุปัดตุเป๋นางรีบคว้าขอบหน้าต่างรถไว้มั่นพลางตรึงร่างตนให้คงที่สุดแรงประเดี๋ยวเดียวหลิงอวี๋ก็มองกระจ่างทันที กวนอิ่งมิใช่ต้องการชีวิตตน นางแค่ทำให้ตนอับอายด้วยวิธีเช่นนี้ ให้ตนรับความระทมหากคนตายจะไม่จบ แต่ถ้ากลิ้งไปมาถูกกระแทกจนจ้ำช้ำเขียวเต็มร่างอย่างนี้นี่กวนอิ่งกำลังแสดงอำนาจใส่ตน!หลิงอวี๋ตระหนักรู้จุดนี้ พลางร่างกายร่วงหล่น พลางคิดหาแผนรับมือกวนอิ่งแค่หมายตนอ้อนวอนกันแสงลั่นฟ้าโขกหัวสู่ดินต่อนาง ระบายความขุ่นเคืองจากความอัปยศอดสูในวันนั้น!หลิงอวี๋ไม่สบายใจที่ถูกสั่นสะเทือน นางกำลังฝืนยันก็พลันได้ยินเสียงเรียกคลุมเครือ“คุณหนูใหญ่ คนของท่านอ๋องอี้ไล่ตามมาแล้วขอรับ!”หลิงอวี๋ถอนหายใจโล่งอก เซียวหลินเทียนตามมาแล้วนั่นดีนัก!“เฮอะ ตัวข้ากลัวคนง่อยนั่นรึไง?”“นี่คืออาณาบริเวณของตระกูลกวนแล้ว หากเขากล้ามา แม้แต่เขาตัวข้าก็จะเก็บกวาดด้วย!”เมื่อกวนอิ่งนึกถึงวันนั้นที่ขอแต่งงานกับเซียวหลินเที
“กวนอิ่ง ไม่ว่าเจ้าจะมองข้าเช่นไร กวนผิงทำเพื่อตระกูลกวนทั้งสิ้น!”“พระชายาอ๋องอี้เป็นกวนผิงเชิญมา กวนผิงแค่มีหน้าที่รับรองความปลอดภัยของนาง!”ท่านกวนเอ้อร์พูดใจเย็น “เจ้าไม่พอใจอะไรกวนผิงวันหลังค่อยว่ากัน ตอนนี้เชิญพระชายาไปตรวจโรคนายท่านก่อนเถอะ!”“เว้นแต่เจ้ามิหวังให้นายท่านหายป่วย ไม่งั้นก็อย่ามาขัดขวางอีก!”กวนอิ่งเหลือบจ้องท่านกวนเอ้อร์เคียดแค้น หัวเราะเยาะหยันพลางมองรถม้าหยุดลง หลิงอวี๋ยังไม่ทันออกมาหญิงต่ำช้าผู้นี้ถูกกระแทกจนเป็นลมตายในรถม้าแล้วแน่รึ?กวนอิ่งหัวเราะดีอกดีใจ ขณะคิดพาคนของตนไปก่อน เซียวหลินเทียนก็พาคนรุดมาแล้วกวนอิ่งเห็นเซียวหลินเทียนมาแล้ว นางเลยไม่คิดไปอีกหากทำหลิงอวี๋อัปยศต่อหน้าเซียวหลินเทียนได้ นั่นคงระบายความโกรธนัก!“คุณหนู…”ครั้นหลิงซวนรอรถม้าหยุดลงก็วิ่งไปรถม้าที่หลิงอวี๋นั่งอย่างตะลีตะลานความโกรธเต็มท้องที่นางถูกกลิ้งไปมา หลิงอวี๋เพิ่งจัดเสื้อผ้าหน้าผมเสร็จพลางตีหน้าขรึมจับมือหลิงซวนลงรถม้าพอเห็นกวนอิ่ง หลิงอวี๋ก็พุ่งไปโดยตรง สะบัดมือตบหน้ากวนอิ่งอย่างเหี้ยมเกรียมกวนอิ่งไม่คิดฝันว่าหลิงอวี๋จะตบตนพลางนิ่งงันไปชั่วขณะถึงโถมโจมตีอย่างกร
“กวนอิ่ง อย่าเสียมารยาท!”ท่านกวนเอ้อร์เห็นว่ากวนอิ่งยิ่งพูดก็ยิ่งคุมไม่รู้เรื่อง จึงขัดจังหวะนางด้วยใบหน้านิ่ง“ข้าพูดอะไรผิดไปหรือ?”กวนอิ่งไม่สนใจการขัดขวางของท่านกวนเอ้อร์ ไม่สามารถตีหลิงอวี๋ได้ แต่ก็ไม่สามารถอับอายกลับไปได้นี่?นางยิ้มเยาะพลางเอ่ย“ลุงรองหรือว่าพูดความจริงก็ผิดหรือเจ้าคะ?”“ท่านอ๋องผู้สง่างามศักดิ์ศรียังไม่เท่าพ่อบ้านตระกูลกวน ก็ไม่ต้องเป็นท่านอ๋องแล้ว!”พ่อบ้านเหออยู่ด้านข้างได้ยินเข้าก็ยืดอย่างค่อนข้างภูมิใจ มองไปทางเซียวหลินเทียนด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยามหลิงอวี๋หน้านิ่งกวนอิ่งทำให้ตนเองลำบากก็ยังพอว่า แต่เพราะเซียวหลินเทียนมาที่นี่เพื่อตนเอง นางจะทนเห็นเซียวหลินเทียนถูกทำให้อับอายได้เยี่ยงไร!เซียวหลินเทียนเป็นผู้ชาย และเป็นท่านอ๋องด้วย การโต้เถียงกับนางผู้หนึ่งมันคือการลดตัว!นางเป็นผู้หญิง เรื่องการโต้เถียงปล่อยให้เป็นหน้าที่นางเถิด!“ศักดิ์ศรีของคุณหนูใหญ่กวนหมายถึงมีเงินมากแค่ไหนหรือ?”หลิงอวี๋หัวเราะเยาะ “กบในกะลาก็ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้นหรอก!”“คุณหนูกวน เจ้าลองให้พ่อบ้านเหอไปเดินเล่นรอบ ๆ เมืองหลวงดูสิ!“มาดูกันว่าพ่อบ้านเหอพกเงินหนึ่งแสนแ
ท่านกวนเอ้อร์เห็นกวนอิ่งพาคนของนางออกไปแล้ว เขาก็ก้าวไปโค้งคำนับอย่างสุดซึ้ง“หลานสาวกระหม่อมผู้นี้ถูกเอาใจจนนิสัยเสีย! แซ่กวนรู้ดีว่าหากช่วยนางปกปิดต่อไป ก็ปกปิดความจริงมิได้!”“แซ่กวนจะไม่เอ่ยอันใดอีกต่อไป ขอแค่ท่านอ๋องอี้และพระชายาอ๋องอี้เห็นแก่แซ่กวน ช่วยรักษาให้นายท่าน! บุญคุณอันยิ่งใหญ่นี้ แซ่กวนจักจดจำมันไว้ในใจพ่ะย่ะค่ะ!”“วันข้างหน้ามีตรงไหนที่แซ่กวนพอมีประโยชน์ แซ่กวนจักบุกน้ำลุยไฟโดยมิลังเลเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ!”เซียวหลินเทียนมองหลิงอวี๋ พลางเอ่ยอย่างใจเย็น “พระชายาบอกจะรักษาก็ว่าตามนั้น!”ท่านกวนเอ้อร์มองไปทางหลิงอวี๋อย่างคาดหวังหลิงอวี๋เห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่แล้ว ท่านกวนเอ้อร์ผู้นี้ในฐานะลูกบุญธรรมของตระกูลกวน ความห่วงใยที่มีต่อนายท่านยังดูเหมือนคนในตระกูลกวนยิ่งกว่ากวนอิ่งอีก!สำหรับความจริงใจนี้ หลิงอวี๋ก็ไม่อยากทำให้ท่านกวนเอ้อร์ผิดหวังเช่นกันหลิงอวี๋เอ่ยยิ้ม ๆ “ท่านกวนเอ้อร์พูดเช่นนี้แล้ว หลิงอวี๋จักมิเข้าใจได้เยี่ยงไรเจ้าคะ! เพราะความกตัญญูของท่านกวนเอ้อร์ โรคนี้จึงต้องรักษาให้หาย!”ท่านกวนเอ้อร์ถอนหายใจโล่งอก แล้วมองหลิงอวี๋อย่างลึกซึ้งพระชายาอ๋องอี้
กระทั่งถึงเรือนหลัก รถม้าก็หยุด ชายหนุ่มคนหนึ่งกับพ่อบ้านเหอเข้ามาต้อนรับพวกเขาชายหนุ่มอายุไม่ถึงยี่สิบปี รูปร่างสูงผอม ผิวขาวเรียบเนียนบนใบหน้าที่ชั่วร้ายและหล่อเหลานั้นยิ้มเจ้าเล่ห์ ทำให้คิ้วหนาของเขาก็มีการขยับไปด้วยเช่นกันท่านกวนเอ้อร์ลงจากรถ พอเห็นชายคนนั้น ก็แนะนำให้หลิงอวี๋กับเซียวหลินเทียนรู้จัก“ท่านอ๋องอี้ พระชายาอ๋องอี้ นี่คือหลานชายของกระหม่อม ชื่อกวนซิน!”กวนซินคุณชายใหญ่ตระกูลกวนยิ้ม พลางก้าวไปทักทายพอเป็นพิธี“กวนซินคารวะท่านอ๋องอี้และพระชายาอ๋องอี้!”“ท่านทั้งสองมาตรวจท่านปู่ของกระหม่อมได้ กวนซินรู้สึกซาบซึ้งยิ่ง เชิญด้านในพ่ะย่ะค่ะ!”หลิงอวี๋ไม่คอยชอบใบหน้ายิ้มแต่เปลือกนี้ของกวนซินเท่าใด แต่เมื่อเทียบกับกวนอิ่งแล้ว กวนซินดีกว่ามาก!เธอพยักหน้าเล็กน้อยเป็นมารยาทกลับคืนท่านกวนเอ้อร์ให้ความเคารพเป็นอย่างมาก เขายื่นมือส่งสัญญาณ “ท่านอ๋องอี้ พระชายาอ๋องอี้ เชิญขอรับ!”พวกหลิงอวี๋กับเซียวหลินเทียนเดินตามท่านกวนเอ้อร์เข้าไปข้างในเรือนหลักของตระกูลกวนเป็นเรือนใหญ่ที่เชื่อมต่อกัน หลิงอวี๋เห็นว่าประตูทำจากไม้จินสื่อหนาน แล้วขัดเงาแวววาวเรือนทั้งหลังนั้นยิ่งใหญ
หลิงอวี๋มิได้ใส่ใจถ้อยคำแสดงอำนาจที่ฮูหยินใหญ่กวนเอ่ย แล้วตามท่านกวนเอ้อร์เข้าไปในห้องภายในห้องกว้างขวางมาก แต่แสงไฟกลับค่อนข้างมืดหลิงอวี๋ปรับแสง ถึงได้เห็นหญิงชราคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างเตียงฮูหยินใหญ่กวนมีรูปลักษณ์แบบชนชั้นสูง อาภรณ์และเครื่องประดับล้วนเป็นของดี แม้ว่าใบหน้าจะได้รับการดูแลอย่างดี แต่ก็ยังไม่สามารถหลีกหนีจากการผันผ่านของวันเวลาได้ จึงมีริ้วรอยมากมายเปลือกตาของนางตก ทำให้ดูเหมือนตาสามเหลี่ยม ซึ่งยิ่งทำให้ดูมีอายุมากขึ้น!คนที่อยู่ข้างหญิงชราน่าจะเป็นฮูหยินตระกูลกวนฮูหยินกวนเป็นคนรูปร่างสูงใหญ่ รูปร่างหน้าตาค่อนข้างคล้ายกับกวนอิ่งนางก็สวมชุดที่ตัดเย็บอย่างดีเช่นกัน ดูจากฝีมือแล้ว ประณีตยิ่งกว่าเรือนหยกอำไพเสียอีกการตัดชุดต้องใช้เงินหลายพันตำลึงเชียวหนา!“พระชายาอ๋องอี้ นี่ฮูหยินใหญ่กวน! นี่คือฮูหยินกวน!”ท่านกวนเอ้อร์เห็นว่าทั้งฮูหยินใหญ่กวนและฮูหยินกวนต่างมิได้ริเริ่มที่จะทักทายหลิงอวี๋ เห็นได้ชัดว่าต้องการแสดงอำนาจต่อพระชายาอ๋องอี้ จึงทำได้เพียงเป็นฝ่ายเริ่มแนะนำ“ฮูหยินใหญ่กวน… ฮูหยินกวน!”แม้ว่าหลิงอวี๋จะมิชอบท่าทีที่ทั้งสองมีต่อนาง แต่ก็มิควรจะเสียมาร
หลิงอวี๋ตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็พบว่าหญิงชราคนนี้เป็นตัวละครที่ร้ายกาจทีเดียว!คำพูดนี้ของฮูหยินใหญ่กวน ไม่ใช่การหักล้างสิ่งที่ตนเองพูดไปเมื่อครู่หรือ?สำหรับคำพูดจาเสียดสีของฮูหยินใหญ่กวนนั้น หลิงอวี๋ไม่สามารถด่ากลับไปได้ จึงทำได้เพียงแค่เงียบไว้แต่หลิงอวี๋ใช่คนที่จะยอมเงียบอยู่ตลอดที่ไหนกัน?หลิงอวี๋นึกถึงที่กวนอิ่งแสดงอำนาจใส่ตนเองก่อนหน้านี้ แล้วก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มเยาะเชิญให้ตนเองมารักษา แต่กลับไม่ให้ความเคารพตนเองเลย พวกคนที่ชอบมองว่าคนอื่นต่ำพวกนี้ หากไม่ให้นางสั่งสอนเสียหน่อย นางคงคิดว่าตนเองเป็นร้องขอจะไปรักษาเองจริง ๆ!หลิงอวี๋นึกแล้วก็ยิ้มจาง ๆ “ฮูหยินใหญ่หูไม่ดีหรือ? ไม่เป็นไร ข้ารู้เทคนิคการฝังเข็มที่ออกแบบมารักษาอาการหูตึงโดยเฉพาะเลย!”“ข้าจะฝังเข็มให้ฮูหยินใหญ่ รับรองว่าฮูหยินใหญ่จะหูดีตาดีขึ้นมาทันที จะสามารถได้ยินเสียงชัดเจนแม้ว่าจะอยู่ห่างออกไปสิบจั้งก็ตาม!”“หลิงซวน เอาเข็มเงินของข้าออกมา เอาขนาดใหญ่เลยนะ!”หลิงซวนเปิดกล่องยาออกอย่างชาญฉลาดทันที แล้วหยิบเข็มเงินออกมาสองเล่ม!เมื่อฮูหยินใหญ่เห็นเข้า ก็แทบจะกลัวจนหมดสติเข็มเงินของหมอคนอื่นยาวแค่นิ้วเท่า
หลิงอวี๋ก้าวไปข้างหน้า เตียงของนายท่านกวนมีขนาดใหญ่มาก กว้างถึงสองเมตรเลยทีเดียวนายท่านกวนนอนหรี่ตาอยู่ ท่าทีกึ่งเป็นกึ่งตายหลิงอวี๋เข้ามาก็รู้สึกก่อนเลย แต่นางไม่รู้สึกว่านายท่านกวนมีตรงไหนที่เจ็บปวดนางมองไปที่รูปร่างหน้าตาของนายท่านกวนก่อนนายท่านกวนรูปร่างสูงมาก แม้ว่าจะนอนอยู่บนเตียง แต่ก็ยังให้รู้สึกกดดันอย่างมากเขาอายุหกสิบกว่า ผมเป็นสีขาวทั้งหมดแล้ว เบ้าตาของเขาโบ๋ลึกเพราะโรคร้าย ผิวหนังของเขาเป็นสีเหลืองและมีเงาดำจาง ๆ อยู่“นายท่าน! ข้าชื่อหลิงอวี๋ ท่านได้ยินข้าพูดหรือไม่?”หลิงอวี๋ถามเสียงอ่อนโยน พลางดึงข้อมือของเขาออกมาตรวจชีพจร“ท่านปู่ของข้าพูดมิได้มาครึ่งเดือนแล้ว!”กวนซินยืนอยู่ข้าง ๆ จ้องมองหลิงอวี๋ พลางตอบแทนนายท่านกวนหลิงอวี๋พยักหน้า จับชีพจรแล้วขมวดคิ้วชีพจรของนายท่านปกติมาก แต่ไม่มีโรคหรือการเจ็บปวด แต่กลับอ่อนแอเช่นนี้ นี่มันไม่ปกติ!ขณะที่หลิงอวี๋กำลังสงสัย ก็รู้สึกว่านายท่านกวน จู่ ๆ ก็บีบมือตนเองแน่นหลิงอวี๋รีบเงยหน้าขึ้น ก็เห็นนายท่านกวนกะพริบตาเร็ว ๆ มาที่ตนเอง จากนั้นก็เป็นท่าทางกึ่งเป็นกึ่งตายอีกจิตใจของหลิงอวี๋วกวน นางแน่ใจว่านายท่านกว
เผยอวี้เหลียวซ้ายแลขวาไปรอบ ๆ เมืองหลวงแดนเทพที่เจริญรุ่งเรืองราวกับคนบ้านนอก ทำเอาเขาอดมิได้ที่จะถอนหายใจ“มิแปลกใจที่ทุกคนล้วนพูดว่าเมืองหลวงแดนเทพเจริญรุ่งเรือง เพราะที่นี่เจริญจริง ๆ ดังคำกล่าว นายท่านอู่ เมืองหลวงแดนเทพแห่งนี้ใหญ่กว่าเมืองหลวงในฉินตะวันตกของพวกเราหลายเท่านัก!”เซียวหลินเทียนวางแผนใช้คำในชื่อจักรพรรดิเซิ่งอู่ของตนเป็นแซ่ ดังนั้น เผยอวี้และคนอื่น ๆ จึงได้เปลี่ยนมาเรียกเซียวหลินเทียนว่านายท่านอู่หานอวี้กับเถาจื่อและคนอื่น ๆ ที่ได้รีบมารวมตัวกับกลุ่มของเซียวหลินเทียนต่างพยักหน้าเห็นด้วยอย่างเงียบ ๆทว่าเซียวหลินเทียนกลับรู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมา เมืองหลวงแดนเทพเจริญรุ่งเรืองแล้วอย่างไร?หากไม่มีหลิงอวี๋อยู่เคียงข้าง มิว่าทิวทัศน์จะสวยงามเพียงใดมันก็ไร้ประโยชน์ยิ่งเมืองหลวงแดนเทพเจริญรุ่งเรืองและมีขนาดใหญ่มากเท่าไร การตามหาหลิงอวี๋ก็จะยิ่งยากมากเท่านั้นท่ามกลางฝูงชนมหาศาลนี้เขาจะหาตัวหลิงอวี๋ของเขาพบได้อย่างไร?ฉินซาน หานเหมยและสือหรงล่วงหน้ากันไปก่อน ในช่วงที่ยังสร้างตำหนักปีกเงินแห่งใหม่มิเสร็จนี้ ทั้งสามคนได้ซื้อที่ดินใหญ่ที่มีหกส่วนเพื่อให้ทุกคนใช้เป็นที่อย
หลิงอวี๋เห็นด้วยกับผู้รอบรู้ เพื่อป้องกันมิให้คนอื่นสงสัยว่านางกับผู้รอบรู้มิใช่พี่น้องกันแท้ ๆ นางจึงเปลี่ยนแซ่ของตนเป็นแซ่เดียวผู้รอบรู้และใช้นามว่า สิงอวี๋วันรุ่งขึ้น หลิงอวี๋ไปที่ห้องโถงหลักของหอโอสถซ่างกู่เพื่อลงทะเบียน ที่ทางเข้าหอโอสถซ่างกู่นั้นมีทั้งบุรุษและสตรีต่อแถวยาวเป็นหางว่าวหลิงอวี๋รู้สึกเวียนหัวขึ้นมาเมื่อเห็นแถวยาวถึงเพียงนี้ ต้องต่อแถวไปถึงเมื่อไรกว่าตนจะได้ลงทะเบียนเล่านี่!แต่เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ เพื่ออนาคตของตนในวันข้างหน้า นางก็ทำได้เพียงต่อแถวต่อไปอย่างว่าง่ายเท่านั้นคุณหนูและนายน้อยบางส่วนมิได้มาด้วยตนเอง แต่ส่งสาวใช้และคนรับใช้ไปต่อแถวให้เด็กสาวท่าทางเหมือนคุณหนูที่อยู่ข้างหลังหลิงอวี๋เห็นเช่นนั้นก็ยิ้มเยาะขึ้นมา“แม้แต่มาต่อแถวก็ยังไม่มีความจริงใจ แต่กลับอยากเป็นศิษย์ของอาจารย์เย่น่ะหรือ คนเช่นนี้สมควรถูกปัดตกไปเสีย!”สาวใช้ด้านหน้าหลิงอวี๋ที่มาต่อแถวแทนเจ้านายได้ยินเช่นนั้นก็พูดอย่างดูถูกว่า “ไม่มีใครตั้งกฎว่าห้ามสาวใช้มาต่อแถวให้นี่! ตระกูลเหลยของท่านขัดสนมากจนไม่มีเงินจ้างสาวใช้หรืออย่างไร?”เหลยเหวินโกรธจัดและตะโ
หลิงอวี๋มิได้ถือโทษผู้รอบรู้และกล่าวว่า “พี่ใหญ่มิต้องกังวลไป กินข้าวกันก่อนเถิด ท่านซื้อตำรับกลั่นโอสถมิได้ก็ช่างมัน ข้ามีที่เรียนแล้ว!”ในขณะที่กำลังกินข้าวหลิงอวี๋ก็เล่าให้ผู้รอบรู้ฟังว่าสำนักศึกษาชิงหลงกำลังรับสมัครบัณฑิตวิชาปรุงโอสถ“วันพรุ่งข้าจะไปลงทะเบียน หากข้าได้ที่หนึ่ง ข้าก็จะได้เรียนวิชาปรุงโอสถโดยมิต้องเสียเงินแม้แต่แดงเดียว!”แต่แม้จะมิได้ที่หนึ่งหลิงอวี๋ก็คิดว่าตนสามารถหาเงินห้าหมื่นอีแปะจากการขายตำรับยาเพียงมิกี่เล่ม นางจึงมิได้เก็บมาใส่ใจ“พี่ใหญ่ ตอนที่ลงทะเบียนมีปรมาจารย์ให้เลือกเรียนด้วยสองคน ข้ามิรู้ว่าควรจะเลือกปรมาจารย์คนไหน วันพรุ่งท่านช่วยไปสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับนิสัยของแต่ละคนให้ข้าหน่อยนะ!”เมื่อผู้รอบรู้ได้ยินว่า นักปรุงโอสถแห่งหอโอสถไป๋เป่าและซ่างกู่จะรับหน้าที่เป็นครู เขาก็พูดโดยมิลังเลว่า “มิจำเป็นต้องไปสอบถามหรอก เลือกครูของหอโอสถซ่างกู่สิ!”“เพราะเหตุใดหรือ?” หลิงอวี๋ถามด้วยความอยากรู้ผู้รอบรู้ยิ้มหยัน “คนของหอโอสถไป๋เป่าเหล่านั้นเป็นพวกยโสชอบดูถูกคนอื่น! เพราะคนที่อยู่เบื้องหลังหอโอสถของพวกเขาคือฮูหยินของเจ้าแห่งทะเลของตระกูลหลงอย่างไรเล่า!”“
เมื่อเห็นบรรยากาศที่แสนจะคึกคัก หลิงอวี๋ก็เข้ามาดูว่าเกิดอะไรขึ้นนางเห็นประกาศว่า สำนักศึกษาชิงหลงกำลังรับสมัครบัณฑิตในหลายสาย เช่น สายนักปรุงโอสถ สายนักสร้างอาวุธ สายนักทำนายดวงดาว สายนักอัญเชิญ และสายจอมยุทธ์ ขณะที่หลิงอวี๋กำลังอ่านประกาศ นางก็ได้ยินผู้คนรอบ ๆ พูดคุยกันจากบทสนทนาของพวกเขา ทำให้หลิงอวี๋ได้รู้ว่า สำนักศึกษาชิงหลงนั้นอยู่ในการดำเนินงานของราชสำนักซึ่งให้การศึกษาด้านการฝึกฝนในระดับสูงผู้ที่ดำรงตำแหน่งเป็นครูคือปรมาจารย์ที่โดดเด่นในด้านต่าง ๆ หากมีบัณฑิตที่มีความเป็นเลิศประจักษ์แก่สายตาของอาจารย์เหล่านี้ พวกเขาก็สามารถรับเป็นศิษย์และเข้าร่วมกับกองทัพของราชสำนัก หรือสำนักใหญ่ ๆ ได้แดนเทพเปิดกว้างมากเรื่องความแตกต่างระหว่างบุรุษและสตรี สตรีนั้นสามารถเข้ามาร่ำเรียนในสำนักศึกษาและได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกับบัณฑิตชายหลิงอวี๋รู้สึกถูกใจในสิ่งที่ได้เห็น การที่ได้ไปร่ำเรียนในสำนักศึกษาเช่นนี้ จะทำให้ตนเข้าใจการปรุงโอสถได้ง่ายขึ้น ดีกว่าลองผิดลองถูกมิใช่หรือ?นางตั้งใจอ่านอีกครั้ง ข้อกำหนดในการลงทะเบียนมิได้เข้มงวดเกินไป และใช้เงินเพียงห้าตำลึงเงินเท่านั้นในการลงทะเบี
หลิงอวี๋และผู้รอบรู้ได้มาถึงเมืองหลวงแดนเทพ เหมือนกับที่ผู้รอบรู้บอก เมืองหลวงแดนเทพเต็มไปด้วยโอกาสเพราะที่นี่มีผู้บำเพ็ญตนมากมายและเต็มไปด้วยกลุ่มคนน้อยใหญ่อยู่ทั่วทุกหนแห่งหลิงอวี๋เองก็รู้สึกทึ่งกับความเจริญรุ่งเรืองของเมืองหลวงแดนเทพ มีร้านค้าอยู่ทั่วทุกมุมและสินค้าที่ขายก็มีความหลากหลายแปลกตาและสวยงามเช่นเดียวกัน ราคาที่อยู่อาศัยในเมืองหลวงแดนเทพก็มีราคาแพงสองวันแรกทั้งสองคนพักที่โรงเตี๊ยมเล็ก ๆ บริเวณชานเมือง ซึ่งมีค่าใช้จ่ายคืนละห้าสิบตำลึงเงินหลังจากใช้ความพยายามอย่างมาก ในที่สุดผู้รอบรู้ก็ได้ซื้อเรือนเล็ก ๆ ของตรอกเล็กในเมืองที่อยู่ไกลออกไปโดยใช้เงินไปเกือบสามหมื่นนี่เทียบเท่ากับการใช้สมบัติของหลิงอวี๋ไปมากกว่าครึ่งหนึ่ง ซึ่งทำให้ผู้รอบรู้รู้สึกปวดใจอยู่นานแต่หลิงอวี๋พอใจแล้ว การซื้อเรือนเล็ก ๆ แห่งนี้ได้ในราคาต่ำเช่นนี้ ถือว่าผู้รอบรู้ก็มีความสามารถ มิเช่นนั้น หากดูตามราคาตลาด เรือนแห่งนี้อาจมีราคาสูงถึงห้าหมื่นด้วยซ้ำ“พี่ใหญ่ เงินหมดก็หาใหม่ได้ มิต้องเสียใจไปหรอก พวกเรามีบ้านแล้วก็สามารถหาอาชีพทำมาหากินได้”หลิงอวี๋พูดปลอบอีกฝ่ายด้วยความมั่นใจเรือนเล็กนี้รวมห
เมื่อครอบครัวของเจี่ยงหัวกลับมาที่เรือ พวกเขาก็พบศพไร้หัวในห้องของเขา มีคราบเลือดยาวบนผนังไม้ของห้องโดยสาร ซึ่งเป็นประโยคที่ถูกสลักด้วยกระบี่อาบเลือด“จุดจบของคนทรยศ!”ครอบครัวของเจี่ยงหัวตกใจกลัวมากจนสละเรือและหนีไปในคืนนั้นพวกเขามิรู้ว่าที่จริงแล้วเซียวหลินเทียนมิคิดจะเอาผิดพวกเขา ทุกคนควรรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง และการสังหารเจี่ยงหัวนั้นก็เพียงพอแล้วเซียวหลินเทียนส่งศีรษะของเจี่ยงหัวให้สือหรง ทันใดนั้นสือหรงก็ร้องไห้เศร้าโศกและนำศีรษะของเจี่ยงหัวไปเซ่นให้กับครอบครัวของตนหลังจากนั้น สือหรงก็กระทำการบางอย่าง เขาเขียนจดหมายเลือดเรื่องที่เจี่ยงหัวสมคบคิดกับมหาปราชญ์สังหารเหล่าศิษย์ของตำหนักปีกเงิน และคัดลอกสำเนาไปหลายสิบฉบับภายในคืนเดียววันรุ่งขึ้น ที่ประตูเมืองในพื้นที่นั้นมีพ่อค้าจำนวนมากกำลังต่อแถวรอเข้าเมือง แล้วก็มีคนพบศีรษะของเจี่ยงหัวที่แขวนอยู่บนกำแพงเมือง และยังมีจดหมายเลือดที่สือหรงเป็นคนเขียน ซึ่งเขียนประณามความผิดของเจี่ยงหัวขณะที่ทุกคนกำลังถกเถียงกันเรื่องนี้ ก็มีจดหมายเลือดมากมายปลิวลงมาจากกำแพงเมืองทันใดนั้นความผิดฐานทรยศอาจารย์และสมคบคิดกับมหาปราชญ์ของเ
หลังจากได้ยินคำกล่าวเหล่านั้น หลิงอวี๋ก็คิดว่าเซียวหลินเทียนเป็นปีศาจร้ายที่ก่อกรรมทำชั่วสารพัดและสังหารผู้คนเป็นผักปลาแต่หลิงอวี๋กลับมิรู้เลยว่ามหาปราชญ์เป็นผู้สั่งให้คนบิดเบือนและแพร่กระจายข่าวนี้ออกไปหลังจากที่เขากลับไปถึงเมืองหลวงแดนเทพเซียวหลินเทียนและหวงฝู่หลินนั้นคนหนึ่งทำให้มหาปราชญ์ตาบอด และอีกคนก็ตัดแขนข้างหนึ่งของมหาปราชญ์ มหาปราชญ์จะกล้ำกลืนความอัปยศนี้ได้อย่างไรหากเขามิแก้แค้น!เขาทำให้เซียวหลินเทียนและหวงฝู่หลินเสียชื่อเสียงและทำให้ผู้คนทั่วหล้าลุกขึ้นมาโจมตีพวกเขา ส่วนมหาปราชญ์ใช้โอกาสนี้พักฟื้นและหาโอกาสเหมาะเพื่อช่วงชิงมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ซึ่งคือ กระบี่คุณอู่ของเซียวหลินเทียนอีกครั้งมหาปราชญ์มิได้บอกใครเกี่ยวกับการค้นพบกระบี่อายุนับพันปีเล่มนี้ ด้วยคิดว่ากระบี่เล่มนี้เป็นของตน จึงมิอยากให้ใครมาแย่งชิงมันไปการแพร่กระจายข่าวลือเป็นหนึ่งในอุบายของมหาปราชญ์ที่ต้องการทำลายชื่อเสียงของเซียวหลินเทียนและป้องกันมิให้เขาพบกับเหล่าศิษย์จากตำหนักปีกเงินซึ่งเป็นไปตามคาดว่าข่าวลือนั้นแพร่กระจายไปยังวงกว้างด้วยความรวดเร็วบรรดาศิษย์ตำหนักปีกเงินบางส่วนที่กระจายอยู่ตามสถาน
ผู้รอบรู้ซาบซึ้งจนน้ำตาแทบไหล เมื่อไรกันที่เขาได้รับความเชื่อใจจากใครบางคนมากมายถึงเพียงนี้!หลิงอวี๋พูดไปตามตรง “พี่ใหญ่ มีเรื่องบางอย่างที่ตอนนี้ข้ายังบอกท่านมิได้ มิใช่ว่าข้ามิไว้ใจท่าน แต่หากพูดไปแล้วมันอาจสร้างปัญหามากมายให้ท่านได้!”“เชื่อใจข้าเถิด สักวันข้าจะเล่าให้ท่านฟังทุกอย่าง!”ผู้รอบรู้มองตั๋วเงินในมือของตนพลางพูดอย่างใจกว้างว่า “ทุกคนต่างก็มีความลับของตัวเอง หากเจ้ามิอยากพูดก็มิต้องพูดหรอก พี่ใหญ่เชื่อใจเจ้า!”หลิงอวี๋ถึงกับยอมมอบของมีค่าทั้งหมดให้กับตนเช่นนี้ แม้จะมีความลับปิดบังต่อตนผู้รอบรู้ก็ย่อมยอมรับได้ขอแค่เขาเชื่อใจว่าหลิงอวี๋ไม่มีเจตนาร้ายก็พอแล้วสองพี่น้องพักที่โรงเตี๊ยมหนึ่งคืน ต่อมาในวันรุ่งขึ้นที่ฟ้ายังมิสว่าง ผู้รอบรู้ก็รีบรุดไปเช่ารถม้ามาหนึ่งคันโชคดีที่รถม้าเพิ่งส่งผู้โดยสารเพื่อขึ้นเรือไป ผู้รอบรู้จึงได้เช่ารถม้ามาในราคาสิบตำลึงส่วนหลิงอวี๋นั้นเพิ่งตื่น และผู้รอบรู้ก็วิ่งเข้ามาเคาะประตูด้วยความลิงโลด “น้องชาย รีบลุกเถิด พวกเราต้องออกเดินทางแล้ว! รถม้ากำลังรออยู่ข้างนอก”หลิงอวี๋รีบอาบน้ำแต่งตัวและแบกห่อผ้าของตนออกมา ผู้รอบรู้ยัดถุงกระดาษไขใบห
ผู้รอบรู้พูดมิออกแล้ว หลิงอวี๋มิรู้อะไรเลย แล้วจะจ่ายยาที่ถูกต้องได้อย่างไร!“พี่สิง ข้าอยากรู้มากว่าท่านรู้เรื่องมากมายถึงเพียงนั้นได้อย่างไร?”เมื่อหลิงอวี๋เห็นว่าผู้รอบรู้ลำบากใจ นางจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ก่อนหน้านี้ท่านเคยใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองหลวงแดนเทพหรือ?”ใบหน้าของผู้รอบรู้กระตุก เขาหันมองไปรอบ ๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสนใจพวกเขา จึงเอ่ยขึ้นมา “ข้าจะพูดกับเจ้าตามตรง เมื่อก่อนข้าเป็นคนของตำหนักปีกเงิน ข้าเป็นคนของเจี่ยงฮั๋วผู้พิทักษ์ฝ่ายขวา เมื่อสองปีก่อนข้าทำงานพลาดไป ทำให้เจี่ยงฮั๋วโกรธ เขาจึงไล่ข้าออกจากตำหนักปีกเงิน!”“ก่อนหน้านี้ข้าก็ยังคิดจะหาโอกาสขอพบท่านเจ้าตำหนักเก่า แล้วกลับไปที่ตำหนักปีกเงินอีกครั้ง แต่ตอนนี้ตำหนักปีกเงินเสื่อมโทรมลงไปแล้ว ได้ยินว่าเจ้าตำหนักเก่าป่วยหนักและมิรับงานแล้ว ข้าจึงได้เร่ร่อนอยู่ข้างนอกตลอดเช่นนี้!”“คนที่ออกมาจากตำหนักปีกเงินล้วนเก่งในการสืบหาข้อมูล แม้ว่าข้าจะออกจากตำหนักปีกเงินไปแล้ว แต่ข้าก็เคยชินกับสัญชาตญาณนี้ ดังนั้นข้าจึงใส่ใจกับข้อมูลแต่ละประเภทมาก อยากจะรู้มากแค่ไหนก็มิยาก!”หลิงอวี๋จึงได้รู้ว่าผู้รอบรู้ก็เป็นคนที่มีภูมิหลังเช่นก