“ตระกูลกวนกับคนของหลี่ว์เซียงมาทำไม? หรือว่าพวกเขาสองตระกูลก็มีคนต้องการพบแม่นางหลิงรักษาโรคเหมือนกัน?”การถกเถียงทุกรูปแบบดังขึ้นทุกทิศทันทีขณะเสียงถกเถียงดังพร้อมเพรียง คนกลุ่มหนึ่งเดินมาชายกำยำหลายคนเปิดทางอยู่ด้านหน้า ชายหนึ่งหญิงหนึ่งติดตามด้านหลังพร้อมพ่อลูกตระกูลหลี่ว์หลิงอวี๋เห็นพ่อลูกตระกูลหลี่ว์ก็จำหลี่ว์เซียงกับหลี่ว์จงเจ๋อได้ที่เคยเจออยู่โรงเหยียนหลิงในวันนั้นบุรุษข้างหลี่ว์เซียงอายุประมาณสี่สิบ ร่างสูงใหญ่ ทรงหน้าเหลี่ยม คิ้วเข้มสันจมูกโด่ง ดวงตาเว้าลึก ผสมเชื้อสายชนชาติอี๋เล็กน้อยเขาสวมเสื้อคลุมยาวสีน้ำเงิน ช่วงไหล่คือเสื้อกั๊กผ้าปักลายบุปผาซับซ้อนดูแล้วฝีมือละเอียดประณีตดรุณีน้อยราวสิบหกปีที่ติดตามเขา ทรงหน้ารูปไข่ คิ้วเข้มโค้งขึ้นเล็กน้อย เน้นหางตาชี้ของนางชัดทวีทรงพลังเสื้อผ้าส่วนบนของเด็กสาวคือเสื้อไหมสีขาวนมมีแขน ทับด้วยเสื้อกั๊กผ้าปักสีฟ้าเป็นกระโปรงจับจีบลายดอกเลาสีฟ้ายาวถึงน่องขา ถัดไปสวมรองเท้าหุ้มข้อคู่หนึ่ง ในมือถือแส้ห้าสีเส้นหนึ่งหลิงอวี๋มองแล้วก็แปลกหูแปลกตา เสื้อผ้าชนชาติอี๋ชุดนี้มาพร้อมกลิ่นอายท้องถิ่นสมัยนิยมยิ่งนัก เจ๋งเป้ง!“เป็นนายท
“พี่หลิงหลิง! เจ้าทำอันใด?”หลิงหว่านเห็นหลิงอวี๋ก้าวไปข้างหน้า พลันเอ่ยเรียกตะลีตะลาน“ที่เขาเรียกคือแม่นางหลิงเจ้าขึ้นไปทำอะไร รีบกลับมาอย่ายั่วโมโหท่านฮั๋ว!”ตู้ตงหงเห็นแล้วก็หัวเราะเยาะ “พระชายาอ๋องอี้หูตึงรึ? ได้ยินว่า ‘หลิง’ คำเดียวก็คิดว่าเรียกตัวเอง!”เสิ่นจวน เจิงจื่ออวี้ จางเจ๋อกับคนอื่น ๆ ได้ยินคำพูดนั้นต่างก็หัวร่อกันเสิ่นจวนพูดล้อว่า “พี่สะใภ้ ไยเจ้าชอบก่อเรื่องขบขันเพียงนี้! ดูคราวนี้สิเจ้าไม่เคยเรียนวิชาแพทย์เลยก็กล้าสวมรอยเป็นแม่นางหลิงแล้ว!”หลิงอวี๋ทำเป็นไม่ได้ยินคำดูถูกของคนเหล่านี้ นางเพียงยิ้มปลอบหลิงหว่านพลางเอ่ยว่า“หว่านหว่าน คำพูดที่ข้าเพิ่งเอ่ยกับเจ้าคือความจริง! ข้าเคยให้คำมั่นกับเจ้าแล้วว่าภายหน้าจะไม่กระทำเรื่องเหลวไหลอีกมิใช่หรือ?”หลิงหว่านรู้สึกมึนงงพลางเรียกอย่างตระหนก “เมื่อกี้ที่เจ้าพูดว่าเจ้าคือแม่นางหลิง?”หลิงอวี๋พยักหน้าน้อย ๆ พลันก้าวยาวไปทางท่านฮั๋ว“อะไรนะ? พระชายาอ๋องอี้พูดว่านางคือแม่นางหลิง?” ตู้ตงหงอ้าปากกว้างประหลาดใจ“เป็นไปได้อย่างไร!”จางเจ๋อหัวเราะเย้ยหยัน “ในเมืองหลวงผู้ใดไม่รู้ว่าหลิงอวี๋ตระหนักแค่กินดื่มเที่ยวสำราญและไล
ตู้ตงหงก็ตอบโต้เช่นกัน นางรุนจางเจ๋อพลางพูดอย่างโมโห“พี่จางเจ๋อ มิใช่ท่านพูดว่าแม่นางหลิงตอบรับท่านเป็นศิษย์หรือเจ้าคะ?”“ท่านเคยเห็นแม่นางหลิง ท่านฮั๋วชราภาพตาลายอาจจะโดนหลอกแล้ว แต่ท่านไม่ใช่!”“ท่านลองพูดให้ทุกคนฟัง พระชายาอ๋องอี้ใช่แม่นางหลิงแน่หรือไม่?”จางเจ๋อถูกรุนไปข้างหน้า เขากล่าวอย่างมั่นใจ“ข้าเคยเห็นโฉมหน้าของแม่นางหลิงจริง ดังนั้นข้ายืนยันได้ว่าพระชายาอ๋องอี้มิใช่แม่นางหลิง!”“อีกอย่างแม่นางหลิงตอบรับข้าว่าจะไปเป็นหมอตรวจที่โรงหุยชุนแล้ว!”“ไม่แน่ แม่นางหลิงอาจถูกพระชายาอ๋องอี้คุกคาม จึงออกจากโรงเหยียนหลิงมาตอบรับโรงหุยชุนของเรา!”ยิ่งจางเจ๋อพูดมากเท่าไรก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นไปได้สูงที่แม่นางหลิงจะโดนพระชายาอ๋องนี้ขับไล่โชคดีที่ชายาอ๋องอี้คนไม่เอาถ่านผู้นี้ไล่แม่นางหลิงไป เพียงหาแม่นางหลิงพบเขาสามารถชักจูงแม่นางหลิงมาเป็นหมอที่โรงหุยชุนได้แน่!จางเจ๋อแอบปีติยินดีในใจ แต่พอมองหลิงอวี๋ปากกลับพูดไร้เมตตา“พระชายาอ๋องอี้ ท่านรังแกท่านฮั๋วคนชราสายตาไม่ดี หมายแอบอ้างเป็นแม่นางหลิงหมอชั้นเซียน กระทำเรื่องไร้ยางอายเพียงนี้ เจ้าไม่รู้สึกละอายหรือไร?”จางเจ๋อกล่าวปวดใจ “
“ตัวข้าเข้าวังพูดคุยเป็นเพื่อนไทเฮาเลยล่าช้าไปพักหนึ่ง พวกเจ้าก็กล้ารังแกผู้มีพระคุณช่วยข้าแล้ว!”“คิดว่าตัวข้าสิ้นแล้วจริงรึ?”ท่านอ๋องเฉิงกวาดมองฝูงชนรอบหนึ่ง สายตาดุดันทำให้คนที่เอ็ดตะโรเสียงดังเมื่อครู่ประหวั่นจนมิกล้าส่งเสียงเสิ่นจวนอาศัยความสัมพันธ์ว่าตนคือหลานสาวของพระสนมหรงเฟย ฝืนเอ่ยตีสนิท“ท่านปู่เฉิง นี่มิใช่เพราะเรากลัวท่านฮั๋วอายุมากแล้วตาลายจำคนไม่ชัดถึงเตือนสติเขาหรือเพคะ?”“ท่านปู่เฉิง ท่านเพิ่งมาเลยไม่ทราบว่าพี่สะใภ้ข้าสวมรอยเป็นแม่นางหลิง ท่านก็รู้ว่าพี่สะใภ้ข้าไม่เคยเรียนหมอ...”สีหน้าท่านอ๋องเฉิงครึ้มลง ความโกรธพุ่งทะยาน กล่าวตัดหน้าเสิ่นจวนโดยไม่ให้เกียรติสักกระผีก“หุบปาก! ท่านฮั๋วตาลายรึ? หรือว่าตัวข้าก็ตาลายเหมือนกันเล่า?”“ตัวข้าผู้เป็นอ๋องมิได้แก่จนจำใครมิได้! เจ้าไม่ต้องเตือนสติข้า!”“ใครกล้าก่อความวุ่นวายขัดขวางเวลามงคลการเปิดกิจการโรงเหยียนหลิง ตัวข้าก็จะไม่เกรงใจเขาแล้ว!”ท่านอ๋องเฉิงหันมาทางท่านฮั๋วกับหลิงอวี๋ สีหน้าพลันผันยิ้ม“ท่านฮั๋ว เสี่ยวหลิงเอ๋อร์ ขอโทษตัวข้ามาสายแล้ว! ยังโชคดีที่ไม่พลาดเวลามงคล!”ท่านอ๋องเฉิงคำนับขออภัยต่อทั้งสอง ยื่น
ครั้นคนข้างล่างฟังคำพูดเหล่านี้ชัดแจ้งหมดแล้ว พลันมีคนเอ่ยเยาะเย้ย“เมื่อกี้ลูกเถ้าแก่จางยังสาบานด้วยใจจริงว่าตนเคยพบแม่นางหลิง บอกว่าแม่นางหลิงตอบรับไปเป็นหมอที่โรงหุยชุนแล้ว!”“ทว่าแม่นางหลิงยืนอยู่ตรงหน้าเขากลับไม่รู้จัก! คุยโม้ก็ไม่กลัวลิ้นต้องลมยามอ้าปากพูด(1)เสียจริง!”“ใช่ ยังจะว่าคนอื่นแอบอ้าง! เขาเองนั่นแหละที่แอบอ้างถึงถูก!”“ถูกต้อง! วันนั้นกระจ่างว่าเป็นแม่นางหลิงช่วยท่านอ๋องเฉิง แต่เขาก็พูดว่าตัวเองช่วยคนหน้าด้าน ๆ!”เมื่อจางเจ๋อได้ยินวาจาเหล่านี้ก็โกรธจนหน้าแดงหน้าดำ แทบอยากจะหาซอกมุดเข้าไปหมอหลวงจางเหลือบมองจางเจ๋อด้วยความเสียใจที่ไม่อาจหลอมเหล็กเป็นเหล็กกล้าได้(2) พลางเอ่ยเสียงขรึม“ตั้งสติไว้… เจ๋อเอ๋อร์ เจ้ายังจำคำพูดที่พ่อคุยกับเจ้าได้หรือไม่? ถึงกลยุทธ์ยี่สิบเจ็ดเข็มเล่มมีดจะสำคัญก็ตาม แต่ชื่อเสียงของเจ้าสำคัญยิ่งกว่า!”“พระชายาอ๋องอี้กับพวกเรามิใช่คนแปลกหน้า! ท่านฮั๋วเข้าข้างนางแล้ว หมอไร้สมองพวกนั้นถูกเขาปลุกปั่น พวกเรายังจะปักหลักโรงหุยชุนอยู่เมืองหลวงอย่างไรเล่า!”“นางหลิงอวี๋ศึกษากลยุทธ์ยี่สิบเจ็ดเข็มเล่มมีดได้ ก็พิสูจน์ได้ว่าใต้หล้านี้ยังมีผู้รู้อีก
หลิงอวี๋ยิ้มอ่อน“ใต้กล้านี้คงไม่มีหมอคนไหนกล้าพูดว่าตัวเองมีความสามารถทุกอย่างหรอกกระมัง?”“ศาสตร์แพทย์กว้างใหญ่ลึกซึ้งนัก หลิงอวี๋ได้เรียนรู้แค่เป็นลูกเกาลัดในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่(1)! จะกล้าพูดอวดดีประเภทนั้นได้อย่างไรเล่า!”คำพูดนี้ทำให้หมอบางคนฟังแล้วพยักหน้า พระชายาอ๋องอี้ช่างถ่อมตนยิ่งนัก!คุณหนูใหญ่กวนกลับส่งเสีย ‘เหอะ’ เย็นชาเอ่ยอย่างยกตนข่มท่าน“พระชายาอ๋องอี้มิได้ช่วยหลายคนก็กล้าอ้างตัวเป็นหมอชั้นเซียน! ตามความคิดเช่นนี้ของเจ้า งั้นหมอในเมืองหลวงนี้คือหมอชั้นเซียนทั้งหมดรึ!”หลิงอวี๋ยังคงตอบอย่างอารมณ์ดี“หลิงอวี๋มิได้อ้างตัวเป็นหมอชั้นเซียน นี่ล้วนคือข่าวคือเท่านั้น!”“เฮอะ ใครจะรู้ว่าเจ้าติดสินบนคนให้ปล่อยข่าวเหล่านี้หรือไม่ สร้างชื่ออิทธิพลให้ตัวเอง!”คุณหนูใหญ่กวนยิ่งมองหลิงอวี๋มากเท่าไรยิ่งขัดตานัก นางไม่มีความแค้นกับหลิงอวี๋ก็จริง แต่นางมีความแค้นกับเซียวหลินเทียนคุณหนูใหญ่กวนถูกใจเซียวหลินเทียนในปีนั้น และวานคนมากอิทธิพลทำให้เซียวหลินเทียนมาสู่ขอตระกูลกวนผลลัพธ์คือเซียวหลินเทียนปฏิเสธด้วยประโยคเดียวว่ามีคนที่หมายปองแล้ว!คุณหนูใหญ่กวนโตมาเป็นหมู่ดาราร่วมส
ท่านอ๋องเฉิงเป็นคนอารมณ์ร้อน ก่อนหน้านี้เขาสัญญาว่าจะปกป้องโรงเหยียนหลิงทันทีที่เห็นคนพาลผู้นี้มาก่อปัญหา เขาก็โกรธขึ้นมาทันที ถกแขนเสื้อแล้วจะพุ่งไปช่วยหลิงอวี๋ขับไล่พวกอันธพาลเหล่านั้นท่านฮั๋วตาไวมือไวคว้าท่านอ๋องเฉิงไว้ พลางเอ่ยเบา ๆ“ให้พระชายาอ๋องอี้แก้ปัญหาเองเถิด! พวกเราไม่สามารถอยู่ในโรงเหยียนหลิงได้ทุกวันใช่หรือไม่ ปกป้องนางได้แค่ช่วงหนึ่ง มิอาจปกป้องได้ตลอดชีวิตของนาง!”ท่านอ๋องเฉิงตะลึง ความโกรธหายไปครึ่งหนึ่งท่านฮั๋วพูดถูก วันนี้ขับไล่พวกอันธพาลเหล่านี้ออกไปได้ พรุ่งนี้พวกอันธพาลกลุ่มก็อาจจะมาอีกอยู่ดีหากหลิงอวี๋ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ เช่นนั้นโรงเหยียนหลิงแห่งนี้จะไม่สามารถเปิดได้จริง ๆ!“ได้ หากพวกเจ้าไม่ยอมเข้าไป เช่นนั้นก็ดูอยู่ที่นี่แล้วกัน!”หลิงอวี๋ยังคงอารมณ์ดี พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม“หลี่ชุง ช่วยยกกล่องยาออกมาให้อาจารย์ที!”หลี่ชุงรีบยกกล่องยาที่หลิงอวี๋เตรียมไว้ออกมาหลิงอวี๋หยิบหน้ากากออกมาจากในกล่องยา สวมถุงมือ จากนั้นนั่งลงแล้วเปิดผ้านวมที่คลุมอยู่บนตัวของคนป่วยไว้กลิ่นเหม็นโชยมา ผู้คนที่อยู่ใกล้ ๆ ต่างพากันปิดจมูกแล้วก้าวถอยหลังไป เหม็นมาก!ผมของคน
ผู้คนที่ดูอยู่โดยรอบเริ่มวิพากษ์วิจารณ์กัน“ใช่แล้ว อาการเจ็บป่วยของคุณชายหลี่มิสามารถรักษาให้หายได้ แต่แม่นางหลิงสามารถช่วยได้ เขาก็ยังจะผลักไสไปอีก นี่มาตรวจหรือมาก่อปัญหากันแน่?”“ต้องมาก่อปัญหาเป็นแน่! ครอบครัวของคุณชายหลี่ต่างก็ไม่ต้องการเขาแล้ว เขามีญาติที่ใดกันเล่า!”เมื่อคุณหนูใหญ่กวนได้ยินสิ่งนี้ ก็รู้สึกได้ทันทีว่านี่เป็นโอกาสที่ดีที่จะทำให้หลิงอวี๋อับอาย!นางเอ่ยขึ้นมาเสียงดัง "ญาติของเขาก็พูดถูก มีรอยแผลเป็นบนใบหน้าแม้ว่าจะรักษาโรคหายก็น่าเกลียดมากอยู่ดี! หากเป็นข้า ยอมตายเสียดีกว่าให้หน้าเสียโฉม!"เมื่อตู้ตงหงเห็นว่า คุณหนูใหญ่กวนโจมตีหลิงอวี๋ นางก็เอ่ยผสมโรงด้วยเช่นกัน "ใช่ หากเป็นข้าก็รับมิได้ที่จะมีแผลเป็นบนใบหน้า!"“ลูกพี่ลูกน้อง เจ้าเป็นแพทย์ชั้นเซียนมิใช่หรือ? แพทย์ชั้นเซียนก็ควรมีหลากหลายวิธีรักษา เจ้าคิดหาวิธีรักษาเขาโดยไม่ต้องกรีดหน้าเขาสิ!”เสิ่นจวนก็เอ่ยสมโรงด้วยอย่างต้องการให้เกิดความวุ่นวายขึ้นหลิงหว่านมองหลิงอวี๋ จู่ ๆ ก็รู้สึกเสียใจกับหลิงอวี๋ทันทีชีวิตของพี่หลิงหลิงหลายปีมานี้มิใช่เรื่องง่ายเลย แม้ว่านางจะเป็นพระชายาอ๋องอี้ แต่กลับดูเหมือนเป็นหม้
ทุกคนฟังคำพูดของเสวี่ยหลานแล้วก็รู้สึกว่าปกติมาก เมื่อยกอาหารมาก็แทบจะเป็นไปมิได้ที่เสวี่ยหลานจะพลิกดูข้างล่าง แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าหลิงอวี๋ซ่อนอะไรที่เจ้าวังน้อยกินมิได้ไว้ใต้จานนั้นแต่หลิงอวี๋จับช่องโหว่ในคำพูดของเสวี่ยหลานได้ นางจ้องมองเสวี่ยหลานอย่างน่ากลัวโดยมิพูดอะไรเสวี่ยหลานก็จ้องหลิงอวี๋อย่างโมโห “เจ้าทาสชั่ว เถียงมิได้แล้วสิ! เจ้าก็แค่ยอมรับมาว่าเจ้าคิดจะสังหารเจ้าวังน้อย!”หลิงอวี๋ยิ้มเยาะ พลางเอ่ยกับท่านน้าหลิน “ท่านน้าหลิน ท่านได้ยินสิ่งที่นางเอ่ยหรือไม่เจ้าคะ?”ท่านน้าหลินพยักหน้าโดยมิรู้ตัว แต่มิได้สังเกตเห็นความผิดปกติเมื่อเห็นว่าไม่มีใครโต้ตอบ หลิงอวี๋จึงเอ่ยอย่างอดทน “ท่านน้าหลิน ก่อนหน้านี้ข้าบอกหรือไม่ว่าเจ้าวังน้อยกินสิ่งใดแล้วแพ้?”“ไม่!”ท่านน้าหลินนึกย้อนดู หลิงอวี๋แค่บอกว่าหมิงจูแพ้อาหาร แต่มิได้บอกว่ากินอะไรเข้าไป“ท่านน้าหลิน เมื่อครู่เสวี่ยหลานบอกว่า นางรับจานนั้นมาแล้วมิได้พลิกดู ดังนั้นจึงมิรู้ว่าข้าใส่อะไรไว้ด้านล่าง!”หลิงอวี๋เอ่ยเสียงเรียบ “ท่านน้าหลิน ข้าขอถามสักหน่อยเถิดว่า เสวี่ยหลานได้กินอาหารจานนี้ไปแล้วหรือไม่?”“ไม่ นางเป็นแค่ทาส ไห
เสวี่ยหลานมิอยากจะเชื่อ นางเล็งเห็นว่าเจ้าวังมิอยู่ที่วังเทพ ไม่มีทางที่จะมีคนจับแผนของตนได้ จึงกล้าใช้ถั่วลิสงมาใส่ร้ายหลิงอวี๋ไหนเลยจะคิดว่าจะล้มเหลว!เป็นเพราะทาสต่ำต้อยผู้นี้โชคดีเกินไป หรือว่าแค่บังเอิญโชคดีกันแน่นะ?ไหนเลยเสวี่ยหลานจะยอมให้ล้มเหลวไปเช่นนี้ นางเหลือบมองหลิงอวี๋อย่างชั่วร้ายแล้วเอ่ย“ท่านน้าหลิน แม้ว่าทาสต่ำต้อยผู้นี้จะช่วยชีวิตเจ้าวังน้อยไว้ได้ แต่ก็มิใช่ความดีความชอบของนาง!”“นางเป็นคนปรุงอาหารเหล่านี้ นางต้องใส่บางอย่างลงในอาหารเป็นแน่ จึงทำให้เจ้าวังน้อยต้องทรมานเช่นนี้!”“ทาสต่ำต้อยผู้นี้ ท่านน้าหลินต้องลงโทษนางสถานหนักนะเจ้าคะ!”หลิงอวี๋เห็นเสวี่ยหลานมุ่งเป้ามาที่ตนครั้งแล้วครั้งเล่า ก็รู้เลยว่าถั่วลิสงบดในอาหารจะต้องเกี่ยวข้องกับนางเป็นแน่หลิงอวี๋จึงเอ่ยกับท่านน้าหลินไปตรง ๆ “ท่านน้าหลินเจ้าคะ อาหารเหล่านี้มิได้มีปัญหาอะไร เมื่อครู่ท่านก็เห็นว่าข้ากินไปเช่นกัน ข้ามิได้เป็นอะไรนี่เจ้าคะ!”“ท่านน้าหลิน ท่านเองก็กินอาหารที่ข้าปรุงด้วยกระมัง! หากข้าจงใจทำร้าย เหตุใดอาหารจานเดียวกัน คนสามคนกิน แต่มีคนเดียวที่เกิดเรื่องเล่าเจ้าคะ?”“ท่านน้าหลิน เรื่องน
ท่านน้าหลินมองหลิงอวี๋ด้วยสีหน้ามืดมนเสวี่ยเหมยที่คุกเข่าอยู่ข้าง ๆ ก็ตะโกนขึ้นมา “ท่านน้าหลิน ข้ากล้ารับประกันด้วยชีวิตว่า อาอวี๋ไม่มีทางวางยาพิษเจ้าวังน้อยเจ้าค่ะ!””“ตอนนี้เจ้าวังน้อยกำลังจะตายแล้วและไม่มีผู้ใดสามารถช่วยได้ เหตุใดท่านมิลองเชื่ออาอวี๋ดูสักครั้งแล้วหาส้มมาให้นางเล่าเจ้าคะ ส้มเป็นผลไม้ ไม่มีทางสังหารเจ้าวังน้อยได้หรอก!”“ท่านน้าหลิน ท่านลองคิดดู หากเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าวังน้อย เมื่อเจ้าวังกลับมา พวกเรากับท่านก็จะถูกเจ้าวังประหารนะเจ้าคะ!”“เสวี่ยหลานจะต้องมิพอใจที่ท่านแต่งตั้งข้าเป็นหัวหน้าเป็นแน่… จึงได้มีความแค้นต่อท่านและข้า ดังนั้นนางจึงทำทุกวิถีทางเพื่อป้องกันมิให้เราช่วยชีวิตเจ้าวังน้อย!”ยังมิทันที่เสวี่ยเหมยจะพูดจบ เสวี่ยหลานก็ตะโกนขึ้นมาด้วยความโกรธ “เจ้าพูดเรื่องไร้สาระอันใด? ข้ามิได้เลวร้ายอย่างที่เจ้าคิด!”แต่คำพูดเหล่านี้ของเสวี่ยเหมยทำให้ท่านน้าหลินหวั่นใจไปแล้ว นางเหลือบมองเสวี่ยหลานอย่างดุร้ายแล้วตะโกนบอกอี้เหวิน “ไปหาส้มมา!”อี้เหวินรีบวิ่งไปที่โกดังพร้อมกับนางกำนัลคนหนึ่ง ก่อนหน้านี้เพิ่งมีส้มหนึ่งตะกร้าส่งมาที่วังเทพพอดี อี้เหวินจึงไปเอามา“คั
“ท่านน้าหลิน ข้ามิได้วางยาพิษเจ้าวังน้อยนะเจ้าคะ!”หลิงอวี๋รีบเอ่ย “ท่านให้ข้าไปดูเจ้าวังน้อยหน่อยเถิด บางทีข้าอาจคิดหาวิธีช่วยเจ้าวังน้อยได้!”เมื่อเสวี่ยหลานได้ยินดังนั้นมีหรือจะให้หลิงอวี๋ทำตามปรารถนา จึงตะโกนขึ้นมาทันที “ท่านน้าหลิน อย่าไปฟังคำแก้ตัวของนางเจ้าค่ะ แทงตาของนางให้บอดไปเลย นางจะได้พูดความจริง!”ขณะที่ท่านน้าหลินกำลังจะแทงปิ่นปักผมไปในตาของหลิงอวี๋ หลิงอวี๋ก็หลบพลางตะโกน “ท่านน้าหลิน แม้ว่าท่านจะสังหารข้า ข้าก็ไม่มียาแก้พิษ!”“ท่านให้ข้าไปดูเจ้าวังน้อยเถิด มิว่าอย่างไรข้าก็หนีมิพ้นน้ำมือของพวกท่าน เจ้าวังน้อยตกอยู่ในสถาณการณ์วิกฤติ ไม่มีผู้ใดสามารถช่วยได้ ให้ข้าลองดูก็ยังมีความหวังอยู่บ้างนะเจ้าคะ!”“ท่านน้าหลิน เจ้าวังมิอยู่ที่วังเทพ หากเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าวังน้อย ท่านเองก็มิสามารถอธิบายให้เจ้าวังฟังได้!”คำพูดเหล่านี้จี้ใจท่านน้าหลิน นางมองหลิงอวี๋และคิดว่าหลิงอวี๋ก็หนีมิพ้นเช่นกัน ให้นางดูก็มิเสียหาย“พานางไป!”“ทาสสารเลว หากเจ้ามิสามารถช่วยเจ้าวังน้อยได้ เจ้าก็รอถูกสับเป็นชิ้น ๆ เสีย!”ท่านน้าหลินให้อี้เหวินลากหลิงอวี๋ไปหลิงอวี๋ถูกพาไปคุกเข่าอยู่ตรงหน้าหวง
หลิงอวี๋ตกใจกับการเตะประตูอย่างหยาบคายเช่นนี้ จึงหันกลับไปแล้วก็เห็นอี้เหวินนางกำนัลข้างกายของท่านน้าหลินกำลังทะเลาะกับบรรดานางกำนัลอย่างดุเดือด“นางสารเลว เจ้ากล้าวางยาพิษเจ้าวังน้อยได้อย่างไร!”อี้เหวินก่นด่า พุ่งไปตรงหน้าหลิงอวี๋ เงื้อมือขึ้นแล้วตบหลิงอวี๋กลิ้งลงไปกับพื้นวางยาพิษ?จะเป็นไปได้อย่างไรกัน!หลิงอวี๋ตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ยังมิทันที่นางจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ถูกอี้เหวินจิกผมลากออกไปข้างนอกแล้ว“พี่อี้เหวิน นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”หนังหัวของหลิงอวี๋ถูกดึงจนเจ็บไปหมด นางพยายามดิ้นรนพลางตะโกนออกไป “เจ้าวังน้อยเป็นอะไรไป?”“เป็นอะไรไป? เจ้าวังน้อยกินอาหารที่เจ้าปรุง แล้วมีผื่นขึ้นไปทั่วตัว หายใจลำบาก และกำลังจะตายแล้ว!”อี้เหวินมิสนใจอะไรทั้งนั้นแล้วลากหลิงอวี๋ไปพร้อมกับนางกำนัลอีกคนหลิงอวี๋ดิ้นมิหลุดจากการควบคุมของทั้งสองคน นางถูกทั้งสองคนลากจากห้องครัวไปที่โถงหลัก หลิงอวี๋รู้สึกว่าแขนของตนจะหักเพราะสองคนนี้อยู่แล้วผิวหนังที่ลากไปตามพื้นก็มีรอยขีดข่วนจากหินที่ขรุขระด้วย...กระทั่งถูกลากไปถึงที่โถงหลัก ยังมิทันที่หลิงอวี๋จะเข้าประตูไปก็ได้ยินเสียงตื่นตระหนกของท่านน้า
เห็นเพียงว่าเกี๊ยวในถาดมีทั้งสีขาว สีแดงและสีเขียว ขนาดเท่า ๆ กันและแต่ละชิ้นก็ดูนุ่มละมุน เห็นแล้วน่ากินมากสิ่งที่สำคัญที่สุดคือเกี๊ยวเหล่านี้มีขนาดพอดีคำมาก กินชิ้นละคำได้ และเกี๊ยวหนึ่งจานกินแล้วก็มิอิ่มจนเกินไป“เจ้าวังน้อยเชิญเพคะ!”หลิงอวี๋ยื่นตะเกียบให้หวงฝู่หมิงจูแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เครื่องปรุงรสมีสองแบบ แบบหนึ่งหวาน อีกแบบหนึ่งเปรี้ยวเผ็ดเพคะ!”“เจ้าวังน้อยเริ่มด้วยรสเปรี้ยวเผ็ดก่อนจะเป็นการเปิดการรับรสดีกว่าเพคะ!”หวงฝู่หมิงจูรับตะเกียบมาอย่างเชื่อฟังแล้วคีบเกี๊ยวหนึ่งชิ้นจิ้มลงในเครื่องปรุงรสเปรี้ยวเผ็ดตามคำพูดของหลิงอวี๋เสวี่ยเหมยมองการแสดงออกของหวงฝู่หมิงจูอย่างกังวล กังวลว่าอาหารเช้าที่หลิงอวี๋ทำให้จะมิถูกใจเจ้าวังน้อยมิคาดคิดว่าเมื่อเจ้าวังน้อยกินไปชิ้นหนึ่ง ก็รีบคีบอีกชิ้นหนึ่งมาจิ้มเครื่องปรุงรสแบบหวานอีก“อาอวี๋ ข้าชอบแบบเปรี้ยวเผ็ดเช่นนี้ อร่อยมาก!”หลังจากที่เจ้าวังน้อยกินเกี๊ยวไปสองชิ้น ก็ผลักเครื่องปรุงรสหวานออกไปแล้วกินแค่อันที่เปรี้ยวเผ็ดเท่านั้นเจ้าวังน้อยกินเกี๊ยวไปทีละชิ้น เมื่อเห็นเจ้าวังน้อยกินไปครึ่งจานแล้ว ความกังวลของเสวี่ยเหมยก็หายไปอาอ
วันรุ่งขึ้น ฟ้ายังมิทันสว่าง เสวี่ยเหมยมาหาแล้ว“อาอวี๋!”หลิงอวี๋ตื่นแล้ว นางกำลังอาบน้ำอยู่ก็ได้ยินเสียงของเสวี่ยเหมย จึงรีบเปิดประตูเดินออกไป“โอกาสของเจ้ามาถึงแล้ว!”เสวี่ยเหมยเอ่ยอย่างเย็นชา “เสวี่ยหลานจงใจแกล้งป่วย มิลุกขึ้นมาเตรียมอาหารเช้าให้เจ้าวังน้อย ขอเพียงเจ้าสามารถทำให้เจ้าวังน้อยพอใจได้ ก็สามารถใช้โอกาสนี้ชิงความโปรดปรานของเสวี่ยหลานจากเจ้าวังน้อยได้!”“โอกาสมีเพียงครั้งเดียว หากทำมิสำเร็จเจ้าจะไม่มีวันก้าวหน้าอีกตลอดไป!”ดวงตาของหลิงอวี๋เป็นประกายแล้วเอ่ยทันที “พี่เสวี่ยเหมยมิต้องกังวล ข้าไม่มีทางทำให้เจ้าผิดหวังแน่นอน!”นางรีบสวมเครื่องแบบวังแล้วเรียกให้ปี้เอ๋อร์ตามเสวี่ยเหมยไปที่ห้องครัววังเทพมีห้องครัวใหญ่และห้องครัวเล็ก เพราะว่าเจ้าวังน้อยจู้จี้จุกจิก จึงมีห้องครัวเล็กของตนเองก่อนหน้านี้หลิงอวี๋คิดอยู่ว่า วังเทพนี้สร้างขึ้นบนภูเขาน้ำแข็ง อาหารการกินเหล่านี้ดูน่าเบื่อมาก ไหนเลยจะคิดว่าเมื่อมาถึงห้องครัวหลิงอวี๋จะพบว่าตนคิดคับแคบไปเองในครัวของเจ้าวังน้อยมีผักและผลไม้สด ๆ มากมาย“เจ้าวังใจกว้างกับเจ้าวังน้อยมาก ของเหล่านี้ต้องจ่ายเงินสูงมากเพื่อให้คนมาส่ง
ท่านอาหลินหันหลังกลับมาเสวี่ยหลานถูกหลิงอวี๋ตะโกนเช่นนี้ก็ทำอะไรมิถูก นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้พบกับคนที่หยิ่งยโสเช่นนี้ที่ถึงกับมาใส่ร้ายตนเมื่อเห็นท่านอาหลินหันหลังกลับมา เสวี่ยหลานก็ตกใจรีบแก้ตัว“ท่านอาหลิน ข้า… ข้าหาได้มิพอใจกับการลงโทษของท่านไม่ ทาสหยิ่งยโสเผู้นี้จงใจใส่ร้ายข้า!”หลิงอวี๋เอ่ยเสียงแข็ง “เสวี่ยหลาน เจ้าแก้ตัวเก่งนัก! ต่อหน้าท่านอาหลินทำอย่าง ลับหลังทำอีกอย่าง เจ้าคิดว่าการแก้ตัวเช่นนี้ท่านอาหลินจะแยกมิออกหรือใครพูดจริงใครพูดโกหก?“อีกอย่างคำพูดของเจ้า พี่เสวี่ยเหมยก็ได้ยินเช่นกัน!”เสวี่ยเหมยยิ้มแอบในใจ แต่บนใบหน้าแสร้งทำเป็นตำหนิอย่างโกรธ ๆ “อาอวี๋ เจ้าอย่าพูดเหลวไหล!”ท่าทางเช่นนี้ของเสวี่ยเหมยในสายตาของท่านอาหลิน ยิ่งยืนยันว่าสิ่งที่หลิงอวี๋พูดเป็นเรื่องจริง!เสวี่ยเหมยแค่ขัดเพียงเพราะความสัมพันธ์เพื่อนร่วมงานกับเสวี่ยหลาน จึงปกป้องเสวี่ยหลาน“เสวี่ยหลาน เมื่อครู่ข้าคิดดูแล้ว รู้สึกว่าการลงโทษเจ้าจะเบาเกินไปจริง ๆ!”ท่านอาหลินเอ่ยอย่างเย็นชา “เจ้าวังให้ข้าดูแลหมิงจู ข้าก็ต้องดูแลนางอย่างดี!”“วันนี้มีคนขโมยงูขาวน้อยของนางไป แม้ว่าจะดูเหมือนเป็นเรื่อง
เพื่อให้พ้นผิด หยวนเซี่ยจึงเอ่ยอย่างร้อนใจ “หากท่านอาหลินมิเชื่อก็ไปถามเจ้าวังน้อยได้เจ้าค่ะ นางเป็นพยานให้บ่าวได้!”“จะต้องเป็นหยวนชุนนึกสนุก แอบพางูขาวน้อยกลับมา แล้วดูแลมิดี งูขาวน้อยจึงกัดนางกับหยวนตงจนตาย!”เสวี่ยหลานทั้งโกรธและเกลียด หรือหลิงอวี๋จะถูกทำให้ใสสะอาดไปเช่นนี้?นางจึงตะโกนอย่างมิยอม “เป็นไปมิได้! งูขาวน้อยเป็นงูพิษ หยวนชุนรู้เรื่องนี้ดี นางจะเอางูขาวน้อยออกมาโดยมิเอากรงมาด้วยได้อย่างไร!”หลิงอวี๋มองเสวี่ยหลานอย่างเฉยเมย พลางเอ่ยอย่างเย็นชา “มีอะไรเป็นไปมิได้เล่า! หยวนชุนคงขโมยงูขาวน้อยมา แต่ผลก็คือมิระวังงูขาวน้อยจึงหลุดไป!”“นางหางูขาวน้อยมิเจอ กังวลว่าจะถูกเจ้าวังน้อยลงโทษ จึงส่งกรงกลับไป!”“ผลคือกลับมาก็ถูกงูขาวน้อยที่ซ่อนตัวอยู่กัดจนตาย!”เสวี่ยเหมยเหลือบมองหลิงอวี๋อย่างเงียบ ๆ แม้ว่าจะคาดเดากระบวนการมิออก แต่ก็ว่าไปตามคำพูดของหลิงอวี๋“มีความเป็นไปได้ ใครก็ได้ ไปเรียกนางกำนัลที่ประจำการอยู่ตำหนักรุ่ยจูคืนนี้มาถามว่าหยวนชุนได้กลับไปหรือไม่ เช่นนี้ก็จะรู้ความจริงแล้ว!”นางกำนัลของตำหนักรุ่ยจูคนหนึ่งจึงวิ่งกลับไปเรียกหลังจากนั้นมินานนางกำนัลผู้นั้นก็พานาง