“นอกจากตำหนักหมาป่าสวรรค์แล้ว ไม่มีกลุ่มที่ซื่อสัตย์สักหน่อยที่สามารถสืบข่าวได้เลยหรือ?”เซียวหลินเทียนคิดแล้วเอ่ยถามออกมากลุ่มของพวกเขามีกำลังคนจำกัด และมิคุ้นเคยกับแดนเทพด้วย หากมิอาศัยกำลังจากภายนอกมาช่วยเหลือ แล้วต้องการจะตามหาหลิงอวี๋ให้พบเร็วยิ่งขึ้นก็เป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปมิได้เลยเก๋อเฟิ่งฉิงครุ่นคิด แล้วเอ่ยขึ้นมา “ยังมีตำหนักปีกเงินอีกที่สืบข่าวเก่งมาก เพียงแต่พวกเขามิรับงานมาเป็นเวลาหนึ่งปีกว่าแล้ว และลูกศิษย์ในสำนักก็กระจัดกระจายกันไปมาก!”“ว่ากันว่าเจ้าตำหนักของพวกเขาติดโรคประหลาด จากนั้นเขาก็กลายเป็นคนนิสัยประหลาด และอารมณ์แปรปรวนมากด้วย ดังนั้นจึงมิทำการค้าแล้ว!”“ในตอนที่ตำหนักปีกเงินมีอำนาจแข็งแกร่งอยู่ก่อนหน้านี้ ตำหนักของพวกเขาอยู่เหนือกว่าตำหนักหมาป่าสวรรค์มาก ในการหาคนสืบข่าวนั้น หากพวกเขาได้ชื่อว่าเป็นที่สองก็ไม่มีใครกล้าเป็นที่หนึ่งแล้ว!”“อีกอย่างคือ พวกเขาทำงานอย่างยุติธรรมมาก เมื่อรับงานมาแล้วพวกเขาจะไม่มีทางเล่นลิ้นอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้เสื่อมสลายไปแล้ว ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก!”แต่เซียวหลินเทียนกลับมิได้มองเช่นนั้น อูฐที่ผอมโซก็ยังตัวใหญ่กว่าม้าอยู่ดี
สิ่งที่เซียวหลินเทียนคาดมิถึงก็คือ หวงฝู่หลินเองก็มาที่ภูเขาห้ายอดด้วยเช่นกันในวันนั้นหวงฝู่หลินพาปี้ซงลงมาจากภูเขา แล้วระหว่างทางก็ถูกจงเจิ้งขวางทางไว้หวงฝู่หลินที่มาสังหารผู้คนเพื่อหวงฝู่หมิงจูนั้น สุดท้ายแล้วก็เอาชนะมือสังหารที่ตระกูลจงเจิ้งทิ้งไว้ได้ และหลังจากการซักถามก็ได้รู้ว่า หวงฝู่หมิงจูถูกจงเจิ้งหลินคุณชายของตระกูลจงเจิ้งจับตัวไปเดิมทีจงเจิ้งหลินคิดว่าจะจับหวงฝู่หมิงจูเป็นตัวประกัน แล้วบีบให้หวงฝู่หลินทำลายค่ายกลที่อยู่โดยรอบภูเขาหิมะไปเสีย และให้ส่งมอบวังเทพมาไหนเลยจะคิดว่าหวงฝู่หลินจะสั่งให้เสือดาวหิมะพุ่งเข้าไปโดยมิเอ่ยอะไรสักคำ ตนก็ตามไปสังหารด้วยเช่นกันการโจมตีที่ตั้งรับมิทันนั้นทำให้จงเจิ้งหลินตกใจกลัว เมื่อเขาเห็นว่าคนของตนตามไปเป็นจำนวนมากภายในชั่วพริบตาเช่นนั้น ก็ตกใจกับวรยุทธ์ที่ไร้ผู้ใดเทียบของหวงฝู่หลิน จากนั้นจึงรีบเปิดใช้งานลูกแก้ววิญญาณอย่างรวดเร็ว แล้วพาหวงฝู่หมิงจูกับเสวี่ยเหมยหนีไปก่อนแต่หวงฝู่หลินหรือจะยอมแพ้ไปเช่นนี้ เขาก็ใช้มหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ของตน แล้วไล่ตามเข้าไปในแดนเทพเช่นกันเพียงแต่เมื่อเข้าสู่แดนเทพแล้ว เนื่องจากทิศทางที่มานั้นแตกต่
หวงฝู่หลินก็มิได้ใส่ใจ เขาค่อนข้างมิพอใจที่เซียวหลินเทียนตามติดตนมาราวกับกอเอี๊ยะที่เหนียวแน่นเช่นนี้ เขาจึงเร่งฝีเท้าขึ้นอีก แต่พลังของปี้ซงมิเท่าพลังของเขา ดังนั้นในเวลามินานเซียวหลินเทียนก็ตามมาทันแล้วใบหน้าของหวงฝู่หลินดูหม่นหมองลง และกำลังคิดว่าจะสังหารเซียวหลินเทียนดีหรือไม่ แต่แล้วเขาได้ยินเสียงแปลก ๆ… มันคือเสียงการต่อสู้ด้วยอาวุธนั่นเองดวงตาของหวงฝู่หลินดุร้ายขึ้นมาทันที และรีบขึ้นไปบนภูเขาอย่างรวดเร็ว เมื่อเขาขึ้นไปถึงครึ่งทางภูเขา เขาก็เห็นควันหนา ๆ พวยพุ่งออกมาจากตำหนักปีกเงินที่อยู่บนยอดเขานั้นเกิดเรื่องขึ้นแล้ว!หวงฝู่หลินก็ยิ่งร้อนใจ เหตุผลหลักที่เขาเลือกที่จะมาขอความช่วยเหลือจากตำหนักปีกเงินนั้น ก็เพราะว่าเหวินเหรินจิ้นเจ้าตำหนักปีกเงิน คือหนึ่งในสหายสนิทที่มีเพียงมิกี่คนของเขาและเช่นเดียวกับหวงฝู่หลิน ตำหนักปีกเงินแห่งนี้เป็นสถานที่ที่ตระกูลเหวินเหรินอาศัยอยู่มาหลายชั่วอายุคนแล้ว หวงฝู่หลินมิอนุญาตให้ผู้ใดทำลายวังเทพของตน แล้วเหวินเหรินจิ้นจะยอมให้ใครมาทำลายตำหนักปีกเงินของเขาได้อย่างไรกัน!หรือว่าเหวินเหรินจิ้นจะตกอยู่ในอันตราย?หวงฝู่หลินเร่งฝีเท้า แล้วเดิ
“หลิงอวี๋!” “ในปีนั้นเจ้าวางแผนการชั่วร้ายใส่ข้าอย่างไร้ยางอาย… จากนั้นยังใช้ป้ายทองอาญาสิทธิ์ที่องค์จักรพรรดิพระราชทานให้มาบีบบังคับให้ข้าแต่งงานกับเจ้า...” “มาตอนนี้ยังลอบขโมยของล้ำค่าที่เสด็จแม่ของข้าทิ้งเอาไว้ เพื่อเติมเต็มสิ่งที่เจ้าขาดหายไป! ยิ่งไปกว่านั้นคือทำร้ายเฮยจื่อเสียจนปางตาย!” “หากว่าข้ายังไว้ชีวิตเจ้าอีก ข้าก็คงจะไม่แซ่เซียวแล้ว!” ใคร? ใครกำลังพูดอยู่กัน ขณะที่เธอกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงแส้ “เพียะ!” ดังขึ้น ทั่วทั้งตัวของหลิงอวี๋เจ็บปวดจนสั่นสะท้าน จนต้องลืมตาขึ้นมาทันที... จากนั้นเมื่อมองเห็นด้านหน้าของเธอ มีชายหนุ่มหล่อเหลา สูงส่งราวกับเทพเจ้านั่งอยู่บนรถเข็น จ้องมองยังเธออย่างแข็งกร้าว “โบย! ห้าสิบแส้! อย่าให้ขาดแม้แต่หนึ่ง!” “โบยให้ตาย แล้วจงลากไปโยนทิ้งที่สุสานรวมซะ!” เพียะ! เพียะ! เพียะ! เสียงแส้ดังออกมาพร้อมกับเสียงลมครั้งแล้วครั้งเล่ากระแทกลงบนกายของหลิงอวี๋ หลิงอวี๋เจ็บปวดจนดวงตามืดมน อีกเพียงนิดเกือบจะเป็นลมไป... หลิงอวี๋ที่เกือบจะสิ้นลมไป เธอนึกไม่ออกว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น? ท่านอ๋องอะไรกัน? เฮยจื่ออะไร? เมื่อคร
“อย่าตีท่านแม่ของข้า...” หลังจากที่เสี่ยวเมาล้มบนพื้น กระอักเลือดออกมาแล้วก็คลานเข้าไปหาหลิงอวี๋อย่างไม่ยินยอม ยังคิดที่จะใช้ร่างกายที่อ่อนแอของตนช่วยรับแส้ให้กับนางอีก หลิงอวี๋มองไปยังมุมปากของเสี่ยวเมาที่ยังคงมีเลือดไหลซึม ในใจก็ยิ่งสั่นสะท้านขึ้นมา… ในความทรงจำนั้น หลิงอวี๋ใส่ใจเสี่ยวเมาน้อยนัก ทำให้เสี่ยวเมาที่คลอดมาแข็งแรงมาก กลับยิ่งเลี้ยงดูก็ยิ่งผอมบาง... “ท่านอ๋อง… นี่? โบยต่อหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” มือเฆี่ยนเอ่ยถามออกมาอย่างระมัดระวัง “ลากลูกนอกสมรสนั่นออกไป โบยต่อ!” ชายหนุ่มสูงส่งราวกับเทพเจ้านั้น ถึงแม้ว่าจะเห็นเสี่ยวเมากระอักเลือดออกมา ก็ยังคงดูเฉยชาไร้ซึ่งอารมณ์ดั่งเก่า “เสี่ยวเมา ไปเถอะ ปกตินางก็ไม่ได้ดูแลเจ้าดีนัก เจ้ายังสนใจว่านางจะเป็นตายไปเพื่อเหตุอันใด!” หญิงชราคนหนึ่งวิ่งเข้ามา เมื่ออุ้มเสี่ยวเมาได้ก็ออกไป “อย่าตีท่านแม่… ปล่อยข้า!” เสี่ยวเมายังคงร้องตะโกนออกมาอย่างเศร้าโศก ไม่สนใจว่าตรงมุมปากของตนจะมีเลือดไหลออกมา ดิ้นรนอย่างแรงอยู่ในอ้อมแขนของหญิงชรา หญิงชรากอดเขาเอาไว้แน่น มือเฆี่ยนยังคงโบยแส้ลงไปบนกายของหลิงอวี๋ เสี่ยวเมาเองก็ไม่รู้ว่าไปเอาแรง
“ตึกตึก… ตึก...” ไม่รู้ว่าสลบไปนานเท่าใด หลิงอวี๋ได้ยินเสียงนาฬิกาดังตึกตึกแว่ว ๆ จนลืมตาขึ้นมา... ทันใดนั้น ดวงตาของหลิงยวี่ก็สว่างขึ้น เธอพบว่าตัวเองอยู่ในห้องทดลองอิสระของตนที่วิทยาลัยแพทย์ หรือว่าตนจะเดินทางข้ามเวลากลับมาแล้ว? หลิงอวี๋ลุกขึ้นมาอย่างตื่นเต้นขึ้นมา ทว่าเพียงเคลื่อนไหวร่างกายก็รู้สึกได้ว่าทั่วทั้งร่างเจ็บปวด และยังมีเลือดสดไหลออกมา... เธอก้มหัวลงไปมองก็พบว่าร่องรอยบาดเจ็บของแส้ก็ถูกนำกลับมาด้วย! เธออดทนต่อความเจ็บปวดตามหากล่องยา แล้วฉีดยาบาดทะยักให้กับตนเอง ก่อนจะรีบจัดการบาดแผลอย่างรวดเร็ว มีรอยแส้มากมายอยู่ตรงหน้าอก แผ่นหลัง และบนใบหน้า ล้วนแต่ลึกลงสู่ผิวหนัง มองดูแล้วช่างน่าหวาดกลัวและโหดร้าย ขณะที่หลิงอวี๋กำลังจัดการอาการบาดเจ็บบนร่างกายอยู่ทางนี้นั้น ก็ก่นด่าสาปแช่งเซียวหลินเทียนไปพลาง สาปแช่งให้เขาไม่ได้ตายดี ขาดลูกหลานสืบสกุล... เมื่อคำด่า “ขาดลูก” สองคำนี้ออกมา ก็คิดถึงเสี่ยวเมาที่ปกป้องตนจนไม่อาจสาปแช่งต่อไปได้ เธอไม่ได้หวังให้เสี่ยวเมาตายไป! บาดแผลของหลิงอวี๋เพิ่งจะใส่ยาลงไป ขณะที่กำลังสวมเสื้อผ้าอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังลอยมา เ
หลิงอวี๋คิดที่จะหยิบเครื่องมือและยาเพื่อไปช่วยรักษาเสี่ยวเมา ทว่าประตูห้องใหญ่ก็ถูกเปิดขึ้นในทันที นางรับใช้แม่นมที่อยู่ด้านนอกอาจจะเข้ามาได้ทุกเมื่อ หลิงอวี๋จึงไม่กล้าที่จะทำอะไรผลีผลาม ทำได้เพียงแต่สงบนิ่งรอคอยเวลา พ่อบ้านฟั่นด้านนอกนั้นถูกแม่นมลี่ถามไถ่จนรู้สึกรำคาญใจ จึงใช้เท้าเตะแม่นมลี่ แล้วเอ่ยออกมาอย่างเย็นชาไร้ปรานี “ไสหัวไป สุนัขดี ๆ จะต้องไม่มาขวางทาง” เมื่อหลิงอวี๋มองออกไป ก็พบว่าแม่นมลี่ถูกผลักจนล้มลงบนพื้นอย่างแรง ดูเหมือนว่า แม่นมลี่เองก็คงจะถูกแส้หวดมาก่อน เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง บนใบหน้ายังมีคราบเลือดอยู่ไม่น้อย... “แม่นมลี่ เจ้าอย่ามามัวเสียเวลาอีกเลย รีบจัดการเก็บกวาดอยู่ในเรือนบุหงาเสียดี ๆ เถิด!” นางรับใช้ที่ดูหยิ่งยโสคนหนึ่งยืนอยู่ด้านหน้าของแม่นมลี่ เอ่ยออกมาอย่างได้ใจ “พ่อบ้านฟั่นได้เลื่อนขั้นให้ข้าเป็นนางรับใช้ใหญ่แล้ว ต่อไปทุกคนในเรือนบุหงาจะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของข้า” “ท่านอ๋องทรงรับสั่งมาแล้วว่า หากพวกเจ้ายังจะไม่เชื่อฟัง ข้าก็มีอำนาจทีจะทุบตีพวกเจ้าจนตายได้!” “หลิงผิง เจ้าเป็นนางรับใช้ข้างกายของพระชายา สัญญาทาสยังอยู่ในมือของพระชายา เจ้าม
หลิงอวี๋ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ก็พบว่าตนเองนอนอยู่บนหลุมธรรมดา มีตะเกียงน้ำมันแสงสลัวแขวนอยู่บนกำแพงดินเก่า ๆ ส่วนเสี่ยวเมาที่นอนข้างกายเธอนั้น อาการบาดเจ็บก็สาหัสมากยิ่งขึ้น! หลิงอวี๋รู้สึกได้ว่าเจ็บปวดตรงหน้าอก นี่เป็นความรู้สึกของเสี่ยวเมาที่เธอรับรู้ได้! หลิงอวี๋คุ้นชินกับความรับรู้ที่เหนือธรรมชาติของตนเองได้แล้ว จึงได้คลานไปอย่างต้องการจะช่วยเสี่ยวเมาตรวจอาการอีกสักครั้ง ในเวลานี้ เธอได้ยินเสียงของคนพูดคุยกันอยู่ด้านนอก น้ำเสียงดูเขินอาย “พี่หลิงหลาน พี่ช่วยไปขอร้องพี่หลิงผิง ให้นางช่วยตามหมอมาให้กับคุณชายน้อยและแม่นมลี่ทีเถิด! แม่นมลี่อายุมากแล้ว นางไม่มีทางทนได้!” หลิงหลานเอ่ยออกมาด้วยความโมโห “แม่นมลี่และข้าถูกเจ้าหมูโง่นั่นทำให้ลำบากแล้ว ต่างก็ถูกเฆี่ยนกันคนละสามสิบครั้ง ทั่วทั้งร่างกายของข้าล้วนแต่เต็มไปด้วยบาดแผล! จะมีหมอที่ไหนมาดูพวกเรากัน! ท่านหมอที่มีชื่อในเมืองหลวงล้วนแต่ถูกท่านอ๋องเรียกไปทางด้านของเฮยจื่อหมดแล้ว!” “ข้าเพิ่งจะได้ยินมาว่า หมอเหล่านั้นเองก็มิอาจทำอะไรกับอาการบาดเจ็บของเฮยจื่อได้เลย คุณชายเฮยจื่อหากว่าไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อได้ พวกเราทั้งหมดคงจะต้องถ
หวงฝู่หลินก็มิได้ใส่ใจ เขาค่อนข้างมิพอใจที่เซียวหลินเทียนตามติดตนมาราวกับกอเอี๊ยะที่เหนียวแน่นเช่นนี้ เขาจึงเร่งฝีเท้าขึ้นอีก แต่พลังของปี้ซงมิเท่าพลังของเขา ดังนั้นในเวลามินานเซียวหลินเทียนก็ตามมาทันแล้วใบหน้าของหวงฝู่หลินดูหม่นหมองลง และกำลังคิดว่าจะสังหารเซียวหลินเทียนดีหรือไม่ แต่แล้วเขาได้ยินเสียงแปลก ๆ… มันคือเสียงการต่อสู้ด้วยอาวุธนั่นเองดวงตาของหวงฝู่หลินดุร้ายขึ้นมาทันที และรีบขึ้นไปบนภูเขาอย่างรวดเร็ว เมื่อเขาขึ้นไปถึงครึ่งทางภูเขา เขาก็เห็นควันหนา ๆ พวยพุ่งออกมาจากตำหนักปีกเงินที่อยู่บนยอดเขานั้นเกิดเรื่องขึ้นแล้ว!หวงฝู่หลินก็ยิ่งร้อนใจ เหตุผลหลักที่เขาเลือกที่จะมาขอความช่วยเหลือจากตำหนักปีกเงินนั้น ก็เพราะว่าเหวินเหรินจิ้นเจ้าตำหนักปีกเงิน คือหนึ่งในสหายสนิทที่มีเพียงมิกี่คนของเขาและเช่นเดียวกับหวงฝู่หลิน ตำหนักปีกเงินแห่งนี้เป็นสถานที่ที่ตระกูลเหวินเหรินอาศัยอยู่มาหลายชั่วอายุคนแล้ว หวงฝู่หลินมิอนุญาตให้ผู้ใดทำลายวังเทพของตน แล้วเหวินเหรินจิ้นจะยอมให้ใครมาทำลายตำหนักปีกเงินของเขาได้อย่างไรกัน!หรือว่าเหวินเหรินจิ้นจะตกอยู่ในอันตราย?หวงฝู่หลินเร่งฝีเท้า แล้วเดิ
สิ่งที่เซียวหลินเทียนคาดมิถึงก็คือ หวงฝู่หลินเองก็มาที่ภูเขาห้ายอดด้วยเช่นกันในวันนั้นหวงฝู่หลินพาปี้ซงลงมาจากภูเขา แล้วระหว่างทางก็ถูกจงเจิ้งขวางทางไว้หวงฝู่หลินที่มาสังหารผู้คนเพื่อหวงฝู่หมิงจูนั้น สุดท้ายแล้วก็เอาชนะมือสังหารที่ตระกูลจงเจิ้งทิ้งไว้ได้ และหลังจากการซักถามก็ได้รู้ว่า หวงฝู่หมิงจูถูกจงเจิ้งหลินคุณชายของตระกูลจงเจิ้งจับตัวไปเดิมทีจงเจิ้งหลินคิดว่าจะจับหวงฝู่หมิงจูเป็นตัวประกัน แล้วบีบให้หวงฝู่หลินทำลายค่ายกลที่อยู่โดยรอบภูเขาหิมะไปเสีย และให้ส่งมอบวังเทพมาไหนเลยจะคิดว่าหวงฝู่หลินจะสั่งให้เสือดาวหิมะพุ่งเข้าไปโดยมิเอ่ยอะไรสักคำ ตนก็ตามไปสังหารด้วยเช่นกันการโจมตีที่ตั้งรับมิทันนั้นทำให้จงเจิ้งหลินตกใจกลัว เมื่อเขาเห็นว่าคนของตนตามไปเป็นจำนวนมากภายในชั่วพริบตาเช่นนั้น ก็ตกใจกับวรยุทธ์ที่ไร้ผู้ใดเทียบของหวงฝู่หลิน จากนั้นจึงรีบเปิดใช้งานลูกแก้ววิญญาณอย่างรวดเร็ว แล้วพาหวงฝู่หมิงจูกับเสวี่ยเหมยหนีไปก่อนแต่หวงฝู่หลินหรือจะยอมแพ้ไปเช่นนี้ เขาก็ใช้มหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ของตน แล้วไล่ตามเข้าไปในแดนเทพเช่นกันเพียงแต่เมื่อเข้าสู่แดนเทพแล้ว เนื่องจากทิศทางที่มานั้นแตกต่
“นอกจากตำหนักหมาป่าสวรรค์แล้ว ไม่มีกลุ่มที่ซื่อสัตย์สักหน่อยที่สามารถสืบข่าวได้เลยหรือ?”เซียวหลินเทียนคิดแล้วเอ่ยถามออกมากลุ่มของพวกเขามีกำลังคนจำกัด และมิคุ้นเคยกับแดนเทพด้วย หากมิอาศัยกำลังจากภายนอกมาช่วยเหลือ แล้วต้องการจะตามหาหลิงอวี๋ให้พบเร็วยิ่งขึ้นก็เป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปมิได้เลยเก๋อเฟิ่งฉิงครุ่นคิด แล้วเอ่ยขึ้นมา “ยังมีตำหนักปีกเงินอีกที่สืบข่าวเก่งมาก เพียงแต่พวกเขามิรับงานมาเป็นเวลาหนึ่งปีกว่าแล้ว และลูกศิษย์ในสำนักก็กระจัดกระจายกันไปมาก!”“ว่ากันว่าเจ้าตำหนักของพวกเขาติดโรคประหลาด จากนั้นเขาก็กลายเป็นคนนิสัยประหลาด และอารมณ์แปรปรวนมากด้วย ดังนั้นจึงมิทำการค้าแล้ว!”“ในตอนที่ตำหนักปีกเงินมีอำนาจแข็งแกร่งอยู่ก่อนหน้านี้ ตำหนักของพวกเขาอยู่เหนือกว่าตำหนักหมาป่าสวรรค์มาก ในการหาคนสืบข่าวนั้น หากพวกเขาได้ชื่อว่าเป็นที่สองก็ไม่มีใครกล้าเป็นที่หนึ่งแล้ว!”“อีกอย่างคือ พวกเขาทำงานอย่างยุติธรรมมาก เมื่อรับงานมาแล้วพวกเขาจะไม่มีทางเล่นลิ้นอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้เสื่อมสลายไปแล้ว ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก!”แต่เซียวหลินเทียนกลับมิได้มองเช่นนั้น อูฐที่ผอมโซก็ยังตัวใหญ่กว่าม้าอยู่ดี
ขณะที่หลิงอวี๋พักอยู่ที่บ้านตระกูลเก๋อเพื่อรอออกเดินทางไปยังเมืองหลวงแดนเทพ เซียวหลินเทียนกับพวกเผยอวี้ก็ได้เข้าสู่แดนเทพแล้วเพียงแต่พวกเขาเข้ามาจากป่าของเมืองซานต้ง ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองจงกวนกว่าพันลี้ทีเดียวนี่เป็นครั้งแรกของพวกเซียวหลินเทียนที่เข้ามาในแดนเทพ เดิมทีพวกเขาคิดว่าแดนเทพจะเป็นดังเช่นที่ขันทีโม่ได้บอกไว้ว่า จะมีผู้บำเพ็ญตนอยู่มากมาย แต่สิ่งที่เห็นกลับทำให้พวกเขาผิดหวังยิ่งเมืองหลายแห่งที่นี่ล้วนเหมือนกับที่ฉินตะวันตก ราษฎรล้วนเป็นคนธรรมดาทั่วไปและใช้ชีวิตในแบบเดียวกับราษฎรฉินตะวันตก เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นก็ทำงาน เมื่อพระอาทิตย์ตกก็พักผ่อน และทำงานหนักเพื่อความอยู่รอด“ท่านสี่ ข้าว่าที่บอกกันว่าแดนเทพเจริญรุ่งเรืองนั้นก็คงเป็นเพียงแค่ชื่อเท่านั้นกระมัง!”เผยอวี้เห็นว่าราษฎรเหล่านั้นเป็นคนธรรมดาก็อดมิได้ที่จะบ่นออกมาแม้ว่าเซียวหลินเทียนจะผิดหวัง แต่ก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยออกมา “พวกตระกูลในแดนเทพก็ต้องกินดื่มเช่นกัน หากราษฎรทั่วไปล้วนบำเพ็ญตนอย่างเอาจริงเอาจังเช่นพวกเขา เช่นนั้นใครจะเป็นคนดูแลพวกเขาเล่า!”“นี่เป็นเพียงแค่เสี้ยวเดียวของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น มิได
สองพี่น้องเจียงคือผู้ช่วยชีวิตที่สำคัญที่สุดของเฉียวไป๋ เมื่อเฉียวไป๋รู้ว่าพวกนางเองก็จะติดตามตระกูลเก๋อไปเมืองหลวงแดนเทพด้วย ก็แสดงว่าเมื่อถึงเมืองหลวงแดนเทพ เขาก็สามารถมอบเรือนสี่ประสานให้กับทั้งสองคนได้หลิงอวี๋ได้ยินคำพูดนี้ก็มิได้รู้สึกอะไร ทั้งยังเอ่ยเยาะเย้ยออกไป “รอให้ไปถึงเมืองหลวงแดนเทพก่อนแล้วค่อยว่ากันเถิด! ตอนนี้แม้แต่เงินค่าอาหารกับอาภรณ์ของเจ้าก็ยังได้รับจากตระกูลเก๋อเปล่า ๆ เลย!”“แล้วเจ้ามาบอกว่าจะมอบเรือนสี่ประสานให้พวกเรา ข้าจะเชื่อได้อย่างไรเล่า!”จากนั้นหลิงอวี๋ก็นำกริชของเฉียวไป๋ออกมาโบกไปที่เฉียวไป๋ พร้อมกับเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม “หากเจ้ามีเงิน ก็มาแลกกริชนี้กลับไปก่อนเถิด!”เฉียวไป๋พูดมิออกไปในทันที แล้วจ้องมองหลิงอวี๋อย่างหดหู่ จากนั้นก็เอ่ยอย่างมิพอใจ“เจ้ามันมิรู้จักแยกแยะของดี เจ้ามิรู้หรอกว่ามูลค่าของกริชเล่มนี้นั้นสามารถซื้อเรือนสี่ประสานได้ถึงสิบหลังเชียว! หากเจ้ามิเชื่อก็รอไปถึงที่เมืองหลวงแดนเทพ จากนั้นเจ้าก็ไปหาคนที่รู้จักของดีมาดูสักหน่อยก็รู้แล้ว!”ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยยิ้มแย้มกันอยู่ เก๋อฮุ่ยหนิงก็เดินเข้ามา หลิงอวี๋จึงเก็บกริชเล่มนั้นกลับไปท
สองวันต่อมา ฮูหยินผู้เฒ่าเก๋อก็สามารถลุกจากเตียงได้แล้ว และนอกจากสีหน้าที่ยังซีดเซียวอยู่เล็กน้อยกับร่างกายที่ยังคงอ่อนแออยู่นิดหน่อย โดยรวมแล้วนางก็สามารถเดินไปเดินมาในห้องได้แล้วข้าหลวงเก๋อจึงยิ่งให้ความสำคัญกับทักษะการแพทย์ของหลิงอวี๋มากขึ้นไปอีก และให้ฮูหยินเก๋อจัดเตรียมเรือนให้สองพี่น้องตระกูลเจียงอาศัยอยู่โดยเฉพาะเลยข้าหลวงเก๋อเคยถามหลิงอวี๋แล้วว่า ดูจากอาการของฮูหยินผู้เฒ่าเก๋อแล้วพวกเขาจะออกเดินทางไปยังเมืองหลวงแดนเทพกันได้เมื่อใดหลิงอวี๋ให้คำตอบมาว่า คงจะครึ่งเดือน เมื่อข้าหลวงเก๋อได้ยินดังนั้น เขาก็เริ่มให้คนเตรียมตัวเรื่องการเดินทางทางด้านฮูหยินเก๋อ นางก็วางแผนไว้ว่าจะจัดงานแต่งงานให้เก๋อฮุยซินกับคุณชายจ้าวก่อนแล้วค่อยออกเดินทางก่อนหน้านี้ตระกูลจ้าวก็กังวลว่า หากฮูหยินผู้เฒ่าเก๋อตาย เก๋อฮุ่ยซินก็จะต้องไว้ทุกข์ ดังนั้นพวกเขาจึงเตรียมจัดงานแต่งงานไว้ล่วงหน้าแล้วของกำนัลในงานแต่งงานทั้งหมดก็เตรียมเสร็จแล้ว และตระกูลเก๋อก็ตกลงกันได้ทันที ดังนั้นจึงกำหนดวันแต่งงานไว้ในอีกสิบวันต่อมาแต่เก๋อฮุ่ยซินกลับมิได้ยินดีแล้ว มิรู้ว่านางไปได้ยินมาจากใครว่าเก๋อฮุ่ยหนิงช่วยชีวิตค
หลิงอวี๋กำลังอยู่ดูแลฮูหยินผู้เฒ่าเก๋อ และคิดเรื่องที่จะไปเมืองหลวงแดนเทพ แล้วนางก็เห็นนางรับใช้คนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา“หมอเจียง น้องสาวของท่านกับคุณชายเฉียวเผชิญหน้ากับมือสังหาร คุณชายเฉียวได้รับบาดเจ็บสาหัส คุณหนูสามให้เชิญท่านไปดูเจ้าค่ะ!”หลิงอวี๋ได้ยินดังนั้นก็ตกใจ จึงรีบให้แม่นมหลี่คอยดูแลฮูหยินผู้เฒ่าเก๋อ แล้วนางก็รีบตามนางรับใช้ไปยังเรือนที่เก๋อฮุ่ยหนิงอาศัยอยู่ที่แขนของป้าวซวนเปื้อนไปด้วยเลือด และถูกพันแผลเอาไว้ลวก ๆ เมื่อนางเห็นหลิงอวี๋ ดวงตาของนางก็แดงก่ำแล้วน้ำตาไหลออกมาทันทีก่อนหน้านี้มัวแต่ยุ่งอยู่กับการหลบหนี จนมิรู้จักกลัวอันตรายใด ๆแต่ยามนี้เมื่อนางเห็นหลิงอวี๋ผู้เป็นดั่งพี่สาวของตน ป้าวซวนก็รู้สึกกลัวขึ้นมา“น้องหญิง เจ้ามิเป็นไรใช่หรือไม่?”หลิงอวี๋ประคองป้าวซวนแล้วตรวจดูอาการของนางอย่างกระวนกระวาย ป้าวซวนส่ายหัวพลางสะอื้นเอ่ย “ข้ามิเป็นไร คุณชายเฉียวได้รับบาดเจ็บหนักกว่าข้า เจ้าไปดูอาการเขาก่อนเถิด!”เก๋อฮุ่ยหนิงก็ลุกขึ้นมาจากข้างเตียง แล้วตะโกนออกมา “หมอเจียง เจ้ารีบมาดูคุณชายเฉียวเร็วเข้า เขาได้รับบาดเจ็บหลายจุด มิรู้ว่าชีวิตของเขาตกอยู่ในอันตราย
เฉียวไป๋ยกมือขึ้นแล้วฟาดฝ่ามือออกไปด้วยแรงทั้งหมดที่มี จากนั้นโต๊ะภายในห้องที่ถูกแยกออกเป็นสองส่วนก็ลอยขึ้นไป แล้วโจมตีใส่มือสังหารตามแรงลมจากฝ่ามือของเฉียวไป๋...ทว่ามือสังหารที่ข้าหลวงเก๋อส่งมาล้วนมีวรยุทธ์แก่กล้าทั้งสิ้น มิได้ด้อยไปกว่าเฉียวไป๋เลยมือสังหารคนหนึ่งฟันโต๊ะที่ปลิวมาหาตน แล้วพุ่งไปหาเฉียวไป๋อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ใช้กระบี่ในมือแทงเข้าไปที่ไหล่ของเขา“ช่วยด้วย! ใครก็ได้ มานี่เร็วเข้า...”ป้าวซวนตะโกนขึ้นมา นางหวังให้แขกคนอื่นในโรงเตี๊ยมยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือแต่แขกที่ขี้ขลาดกลัวปัญหาเหล่านั้นหนีกันไปตั้งนานแล้วเมื่อเห็นว่ามีมือสังหารแทงที่ต้นขาของเฉียวไป๋อีกครั้ง ป้าวซวนก็นึกขึ้นได้ทันทีว่าตอนที่หลิงอวี๋เตรียมยาแก้พิษให้ตนเมื่อคืน นางได้ให้ผงยาหนึ่งห่อไว้กับตนด้วยหลิงอวี๋บอกว่าเป็นของดีที่ให้นางใช้หลบหนีเมื่อพบเจอพวกคนเลวป้าวซวนจึงมิคิดอะไรแล้ว นางหยิบมันออกมาแล้วพุ่งเข้าไป จากนั้นก็ยกมือขึ้นโปรยผงยาให้ลอยไปทางพวกมือสังหาร“มีพิษ!”มือสังหารที่พุ่งมาข้างหน้าชะงักไปทันที แล้วก้าวถอยหลังโดยมิรู้ตัว ป้าวซวนจึงรีบคว้าเฉียวไป๋แล้ววิ่งออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็วมือส
เมื่อข้าหลวงเก๋อได้ยินดังนั้นก็เกิดความสนใจขึ้นมาทันที แล้วรีบเอ่ยถามรัว ๆ อย่างร้อนใจ “เหตุใดคุณชายตระกูลเฉียวจึงอยู่ที่เมืองจงกวน? คนที่มาคือผู้ใด? หนิงเอ๋อร์ เจ้ารู้จักเขาได้อย่างไร? เจ้าแน่ใจหรือว่าเขาคือคุณชายตระกูลเฉียวจริง ๆ?”เก๋อฮุ่ยหนิงจึงเล่าเรื่องที่จื่ออวิ๋นจำเฉียวไป๋ได้ให้เขาฟัง แล้วบอกแผนการของตนให้ข้าหลวงเก๋อรู้โดยมิปิดบังด้วยสุดท้าย เก๋อฮุ่ยหนิงก็เอ่ยออกมาอย่างมั่นใจ “ขอเพียงท่านพ่อส่งยอดมือสักสองสามคนมาแสดงร่วมกับข้า ให้ข้าได้เป็นวีรสตรีช่วยเหลือบุรุษรูปงาม เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วเฉียวไป๋จะต้องรู้สึกขอบคุณข้าอย่างแน่นอน!”“เมื่อกอปรกับความสามารถและความงามของข้าแล้ว ในท้ายที่สุดคุณชายเฉียวจะต้องแต่งงานกับข้าอย่างแน่นอน!”เมื่อข้าหลวงเก๋อได้ยินว่าเก๋อฮุ่ยหนิงได้คิดแผนทุกอย่างเอาไว้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว ในที่สุดเขาก็มองลูกสาวที่มิเป็นที่สนใจมาโดยตลอดผู้นี้ในมุมมองที่ต่างออกไป นางเป็นคนที่มีกล้าหาญ มีความฉลาด มีกลยุทธ์และมีความเด็ดขาด หากสตรีเช่นนี้มุ่งเป้ามาที่ตน ตนไม่มีทางหนีพ้นจากเงื้อมมือของนางได้แน่คุณชายตระกูลเฉียวเองก็เป็นบุรุษเช่นกัน เขาเชื่อว่าคุณชายตระกูลเฉี