“ท่านน้าหลิน ข้ามิได้วางยาพิษเจ้าวังน้อยนะเจ้าคะ!”หลิงอวี๋รีบเอ่ย “ท่านให้ข้าไปดูเจ้าวังน้อยหน่อยเถิด บางทีข้าอาจคิดหาวิธีช่วยเจ้าวังน้อยได้!”เมื่อเสวี่ยหลานได้ยินดังนั้นมีหรือจะให้หลิงอวี๋ทำตามปรารถนา จึงตะโกนขึ้นมาทันที “ท่านน้าหลิน อย่าไปฟังคำแก้ตัวของนางเจ้าค่ะ แทงตาของนางให้บอดไปเลย นางจะได้พูดความจริง!”ขณะที่ท่านน้าหลินกำลังจะแทงปิ่นปักผมไปในตาของหลิงอวี๋ หลิงอวี๋ก็หลบพลางตะโกน “ท่านน้าหลิน แม้ว่าท่านจะสังหารข้า ข้าก็ไม่มียาแก้พิษ!”“ท่านให้ข้าไปดูเจ้าวังน้อยเถิด มิว่าอย่างไรข้าก็หนีมิพ้นน้ำมือของพวกท่าน เจ้าวังน้อยตกอยู่ในสถาณการณ์วิกฤติ ไม่มีผู้ใดสามารถช่วยได้ ให้ข้าลองดูก็ยังมีความหวังอยู่บ้างนะเจ้าคะ!”“ท่านน้าหลิน เจ้าวังมิอยู่ที่วังเทพ หากเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าวังน้อย ท่านเองก็มิสามารถอธิบายให้เจ้าวังฟังได้!”คำพูดเหล่านี้จี้ใจท่านน้าหลิน นางมองหลิงอวี๋และคิดว่าหลิงอวี๋ก็หนีมิพ้นเช่นกัน ให้นางดูก็มิเสียหาย“พานางไป!”“ทาสสารเลว หากเจ้ามิสามารถช่วยเจ้าวังน้อยได้ เจ้าก็รอถูกสับเป็นชิ้น ๆ เสีย!”ท่านน้าหลินให้อี้เหวินลากหลิงอวี๋ไปหลิงอวี๋ถูกพาไปคุกเข่าอยู่ตรงหน้าหวง
ท่านน้าหลินมองหลิงอวี๋ด้วยสีหน้ามืดมนเสวี่ยเหมยที่คุกเข่าอยู่ข้าง ๆ ก็ตะโกนขึ้นมา “ท่านน้าหลิน ข้ากล้ารับประกันด้วยชีวิตว่า อาอวี๋ไม่มีทางวางยาพิษเจ้าวังน้อยเจ้าค่ะ!””“ตอนนี้เจ้าวังน้อยกำลังจะตายแล้วและไม่มีผู้ใดสามารถช่วยได้ เหตุใดท่านมิลองเชื่ออาอวี๋ดูสักครั้งแล้วหาส้มมาให้นางเล่าเจ้าคะ ส้มเป็นผลไม้ ไม่มีทางสังหารเจ้าวังน้อยได้หรอก!”“ท่านน้าหลิน ท่านลองคิดดู หากเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าวังน้อย เมื่อเจ้าวังกลับมา พวกเรากับท่านก็จะถูกเจ้าวังประหารนะเจ้าคะ!”“เสวี่ยหลานจะต้องมิพอใจที่ท่านแต่งตั้งข้าเป็นหัวหน้าเป็นแน่… จึงได้มีความแค้นต่อท่านและข้า ดังนั้นนางจึงทำทุกวิถีทางเพื่อป้องกันมิให้เราช่วยชีวิตเจ้าวังน้อย!”ยังมิทันที่เสวี่ยเหมยจะพูดจบ เสวี่ยหลานก็ตะโกนขึ้นมาด้วยความโกรธ “เจ้าพูดเรื่องไร้สาระอันใด? ข้ามิได้เลวร้ายอย่างที่เจ้าคิด!”แต่คำพูดเหล่านี้ของเสวี่ยเหมยทำให้ท่านน้าหลินหวั่นใจไปแล้ว นางเหลือบมองเสวี่ยหลานอย่างดุร้ายแล้วตะโกนบอกอี้เหวิน “ไปหาส้มมา!”อี้เหวินรีบวิ่งไปที่โกดังพร้อมกับนางกำนัลคนหนึ่ง ก่อนหน้านี้เพิ่งมีส้มหนึ่งตะกร้าส่งมาที่วังเทพพอดี อี้เหวินจึงไปเอามา“คั
เสวี่ยหลานมิอยากจะเชื่อ นางเล็งเห็นว่าเจ้าวังมิอยู่ที่วังเทพ ไม่มีทางที่จะมีคนจับแผนของตนได้ จึงกล้าใช้ถั่วลิสงมาใส่ร้ายหลิงอวี๋ไหนเลยจะคิดว่าจะล้มเหลว!เป็นเพราะทาสต่ำต้อยผู้นี้โชคดีเกินไป หรือว่าแค่บังเอิญโชคดีกันแน่นะ?ไหนเลยเสวี่ยหลานจะยอมให้ล้มเหลวไปเช่นนี้ นางเหลือบมองหลิงอวี๋อย่างชั่วร้ายแล้วเอ่ย“ท่านน้าหลิน แม้ว่าทาสต่ำต้อยผู้นี้จะช่วยชีวิตเจ้าวังน้อยไว้ได้ แต่ก็มิใช่ความดีความชอบของนาง!”“นางเป็นคนปรุงอาหารเหล่านี้ นางต้องใส่บางอย่างลงในอาหารเป็นแน่ จึงทำให้เจ้าวังน้อยต้องทรมานเช่นนี้!”“ทาสต่ำต้อยผู้นี้ ท่านน้าหลินต้องลงโทษนางสถานหนักนะเจ้าคะ!”หลิงอวี๋เห็นเสวี่ยหลานมุ่งเป้ามาที่ตนครั้งแล้วครั้งเล่า ก็รู้เลยว่าถั่วลิสงบดในอาหารจะต้องเกี่ยวข้องกับนางเป็นแน่หลิงอวี๋จึงเอ่ยกับท่านน้าหลินไปตรง ๆ “ท่านน้าหลินเจ้าคะ อาหารเหล่านี้มิได้มีปัญหาอะไร เมื่อครู่ท่านก็เห็นว่าข้ากินไปเช่นกัน ข้ามิได้เป็นอะไรนี่เจ้าคะ!”“ท่านน้าหลิน ท่านเองก็กินอาหารที่ข้าปรุงด้วยกระมัง! หากข้าจงใจทำร้าย เหตุใดอาหารจานเดียวกัน คนสามคนกิน แต่มีคนเดียวที่เกิดเรื่องเล่าเจ้าคะ?”“ท่านน้าหลิน เรื่องน
ทุกคนฟังคำพูดของเสวี่ยหลานแล้วก็รู้สึกว่าปกติมาก เมื่อยกอาหารมาก็แทบจะเป็นไปมิได้ที่เสวี่ยหลานจะพลิกดูข้างล่าง แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าหลิงอวี๋ซ่อนอะไรที่เจ้าวังน้อยกินมิได้ไว้ใต้จานนั้นแต่หลิงอวี๋จับช่องโหว่ในคำพูดของเสวี่ยหลานได้ นางจ้องมองเสวี่ยหลานอย่างน่ากลัวโดยมิพูดอะไรเสวี่ยหลานก็จ้องหลิงอวี๋อย่างโมโห “เจ้าทาสชั่ว เถียงมิได้แล้วสิ! เจ้าก็แค่ยอมรับมาว่าเจ้าคิดจะสังหารเจ้าวังน้อย!”หลิงอวี๋ยิ้มเยาะ พลางเอ่ยกับท่านน้าหลิน “ท่านน้าหลิน ท่านได้ยินสิ่งที่นางเอ่ยหรือไม่เจ้าคะ?”ท่านน้าหลินพยักหน้าโดยมิรู้ตัว แต่มิได้สังเกตเห็นความผิดปกติเมื่อเห็นว่าไม่มีใครโต้ตอบ หลิงอวี๋จึงเอ่ยอย่างอดทน “ท่านน้าหลิน ก่อนหน้านี้ข้าบอกหรือไม่ว่าเจ้าวังน้อยกินสิ่งใดแล้วแพ้?”“ไม่!”ท่านน้าหลินนึกย้อนดู หลิงอวี๋แค่บอกว่าหมิงจูแพ้อาหาร แต่มิได้บอกว่ากินอะไรเข้าไป“ท่านน้าหลิน เมื่อครู่เสวี่ยหลานบอกว่า นางรับจานนั้นมาแล้วมิได้พลิกดู ดังนั้นจึงมิรู้ว่าข้าใส่อะไรไว้ด้านล่าง!”หลิงอวี๋เอ่ยเสียงเรียบ “ท่านน้าหลิน ข้าขอถามสักหน่อยเถิดว่า เสวี่ยหลานได้กินอาหารจานนี้ไปแล้วหรือไม่?”“ไม่ นางเป็นแค่ทาส ไห
สายตาเยือกเย็นของท่านน้าหลินจับจ้องไปที่เสวี่ยหลาน เสวี่ยหลานถูกมองเช่นนั้นก็รู้สึกหนาวไปทั้งตัวแต่นางก็ยังคงยืนกรานแล้วเอ่ย “ท่านน้าหลิน ข้ามิได้ทำจริง ๆ เจ้าค่ะ! ข้ามิรู้…”“มิรู้?”ท่านน้าหลินเค้นคำนี้ลอดไรฟันออกมาทีละคำเสวี่ยหลานผู้นี้อาศัยความงามของตน อยากจะปีนขึ้นเตียงของหวงฝู่หลินก่อนหน้านี้ท่านน้าหลินยอมให้นาง เพราะอาหารที่นางทำได้รับความพึงพอใจจากหวงฝู่หมิงจูมากจริง ๆท่านน้าหลินมิอยากทำให้หวงฝู่หมิงจูมิพอใจ แล้วส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของตนกับหวงฝู่หลิน จึงควบคุมตนเองมาโดยตลอดทว่ายามนี้ เสวี่ยหลานกล้าใช้ข้อห้ามเรื่องอาหารของหวงฝู่หมิงจูมาทำร้ายนาง!ท่านน้าหลินยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกกลัว วันนี้โชคดีที่อาอวี๋ช่วยหวงฝู่หมิงจูไว้ได้ มิฉะนั้นหากเกิดอะไรขึ้นกับหวงฝู่หมิงจู หวงฝู่หลินไม่มีทางปล่อยตนที่เป็นผู้ดูแลวังเทพไปแน่!ท่านน้าหลินก้าวเข้าไปใกล้ทีละก้าว เสวี่ยหลานก็ตกใจจนตัวสั่นนางร้องออกมาอย่างสิ้นหวัง “เจ้าวังน้อย ช่วยด้วยเพคะ บ่าวมิได้จะทำร้ายท่านจริง ๆ โปรดช่วยบ่าวขอความเมตตาด้วยเพคะ!”แม้ว่าหวงฝู่หมิงจูจะพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่ก็นอนอยู่อย่างหมดเรี่ยวหมดแรงเมื่
คืนนั้นหลิงอวี๋กับปี้เอ๋อร์ก็พาปู้ติงกับคาเฟยย้ายไปที่ตำหนักรุ่ยจูหลิงอวี๋มิได้ไปดูสภาพน่าสังเวชที่เสวี่ยหลานถูกโยนเข้าไปในถ้ำหมาป่า ถึงอย่างไรเมื่อเห็นความตื่นเต้นที่ยากจะซ่อนเร้นบนใบหน้าเย็นชาของเสวี่ยเหมยนั้นก็เดาได้เลยว่า เสวี่ยหลานต้องถูกหมาป่ากัดฉีกเป็นชิ้น ๆ เป็นแน่สำหรับเสวี่ยเหมย หลิงอวี๋ก็มิกล้าเข้าใกล้มากเกินไปเช่นกันก่อนหน้านี้เป็นเพราะมีเป้าหมายเดียวกัน ดังนั้นเสวี่ยเหมยจึงมองตนแตกต่างออกไป หากวันหนึ่งตนไปคุกคามถึงตำแหน่งของเสวี่ยเหมย เสวี่ยเหมยไม่มีทางเมตตาต่อตนแน่หวงฝู่หมิงจูถูกทรมานจนลมปราณเสียหายอย่างรุนแรง แม้ว่าชีวิตจะมิได้ตกอยู่ในอันตรายแล้วแต่ก็มีไข้สูงในคืนนั้นเมื่ออาการป่วยแย่ลง ตุ่มน้ำก็เกิดขึ้นเสวี่ยเหมยได้ยินข่าวก็รีบมา เมื่อเห็นตุ่มน้ำบนใบหน้าของหวงฝู่หมิงจูก็ตกใจจนถอยหลังไปหลายก้าว แล้ววิ่งออกไปอย่างตื่นตระหนกไข้ฝีดาษ!นี่เป็นโรคติดต่อที่สามารถทำให้ตายได้!ปีที่แล้วนางกำนัลน้อยติดเชื้อไข้ฝีดาษแล้วแพร่เชื้อให้นางกำนัลหลายคน โรคนี้ไม่มียารักษาให้หายขาดได้ จึงถูกเจ้าวังสังหารแล้วเผาศพไปเสวี่ยเหมยรู้ถึงความร้ายแรงของโรคนี้เสวี่ยเหมยตกใจจนมิรู
หลิงอวี๋มิเชื่อข่าวลือเรื่องการถูกสาป แต่คำพูดของปี้เอ๋อร์ให้แนวทางแก่นาง ทำให้นางรู้ว่าที่หวงฝู่หมิงจูเลือดออกมิได้เกิดจากไข้ฝีดาษหลิงอวี๋สงบใจลงพลางครุ่นคิดว่าจะรักษาหวงฝู่หมิงจูอย่างไรดีสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ต้องห้ามเลือดก่อน มิฉะนั้นหวงฝู่หมิงจูจะมิได้ตายด้วยเชื้อไข้ฝีดาษ แต่จะตายเพราะเลือดออกมากเกินไปแต่ต้องใช้อะไรห้ามเลือดเล่า?จู่ ๆ ก็มีเครื่องยาสมุนไพรจำนวนนับมิถ้วนผุดขึ้นมาในหัวของหลิงอวี๋ นางจึงรีบเดินไปที่หน้าต่างแล้วตะโกนออกไปข้างนอก “ใครก็ได้ เชิญพี่เสวี่ยเหมยมาพบข้าที!”ด้านนอกตำหนักรุ่ยจูมีคนเฝ้ายามอยู่ จึงนำคำขอของหลิงอวี๋ส่งต่อไปทันทีมินานเสวี่ยเหมยก็รีบมา ยืนอยู่นอกโถงแล้วตะโกน “อาอวี๋ มีเรื่องอันใดหรือ?”“ข้าต้องการเครื่องยาสมุนไพร เจ้าให้คนส่งมาให้ข้าที!”หลิงอวี๋จึงบอกเครื่องยาสมุนไพรที่ต้องการไปเสวี่ยเหมยสงสัย “อาอวี๋ เจ้ามีทักษะการแพทย์หรือ? เจ้าอย่าได้ให้ยาสุ่มสี่สุ่มห้ากับเจ้าวังน้อย หากเจ้าทำให้เจ้าวังน้อยตาย ข้าช่วยเจ้ามิได้นะ!”“เจ้าวังน้อยติดเชื้อไข้ฝีดาษ ไม่มีเครื่องยาสมุนไพรนางก็ตาย! ข้ามีทักษะการแพทย์เล็กน้อย เจ้าหาเครื่องยาสมุนไพรมาให้ข้า
หลังจากป้อนยาไปแล้ว หลิงอวี๋กับเสวี่ยอวิ๋นก็รอดูผลลัพธ์กันอย่างกระวนกระวายแต่ผ่านไปหนึ่งชั่วยามแล้ว เลือดของหวงฝู่หมิงจูยังคงมิหยุดไหลและยังคงไหลออกมาอย่างช้า ๆ“เหตุใดมิได้ผล?”หลิงอวี๋รู้สึกปวดหัวขึ้นมา นางมองไปทางเสวี่ยอวิ๋นด้วยสีหน้าสับสนดวงตาที่งดงามของเสวี่ยอวิ๋นฉายแววผิดหวัง แต่เมื่อนึกถึงเจ้าวังที่มีทักษะการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมก็ยังหมดหนทางกับอาการป่วยของเจ้าวังน้อย การที่อาอวี๋ผู้นี้จะมิสามารถห้ามเลือดของเจ้าวังน้อยได้ก็เป็นเรื่องปกติ“เจ้าวังเองก็ใช้เครื่องยาสมุนไพรเหล่านี้ด้วยนี่!”เสวี่ยอวิ๋นหยิบปากกากับกระดาษออกมาเขียนยุกยิกแล้วให้หลิงอวี๋อ่านสุดท้ายก็เขียนว่า “เครื่องยาสมุนไพรที่ใช้กับเจ้าวังน้อยคือเห็ดสีม่วงซึ่งหายาก ออกดอกสามสิบปีครั้ง เจ้าวังจึงลงจากภูเขาไปหาเครื่องยาสมุนไพรนี้!”หลิงอวี๋มองเครื่องยาสมุนไพรที่เสวี่ยอวิ๋นเขียนแล้วจมอยู่ในความคิดยาเหล่านี้บางชนิดสามารถห้ามเลือดได้จริง ๆ แต่การรวมกันมิเหมาะสมนัก ดูท่าทางชื่อเสียงการเป็นหมอชั้นเซียนของหวงฝู่หลินนั้นจะเป็นเพียงการโอ้อวด เขามีความรู้เพียงเล็กน้อยในการใช้ยาเหล่านี้หลิงอวี๋มิเคยได้ยินชื่อเห็ดสีม่วง
หลังจากป้อนยาไปแล้ว หลิงอวี๋กับเสวี่ยอวิ๋นก็รอดูผลลัพธ์กันอย่างกระวนกระวายแต่ผ่านไปหนึ่งชั่วยามแล้ว เลือดของหวงฝู่หมิงจูยังคงมิหยุดไหลและยังคงไหลออกมาอย่างช้า ๆ“เหตุใดมิได้ผล?”หลิงอวี๋รู้สึกปวดหัวขึ้นมา นางมองไปทางเสวี่ยอวิ๋นด้วยสีหน้าสับสนดวงตาที่งดงามของเสวี่ยอวิ๋นฉายแววผิดหวัง แต่เมื่อนึกถึงเจ้าวังที่มีทักษะการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมก็ยังหมดหนทางกับอาการป่วยของเจ้าวังน้อย การที่อาอวี๋ผู้นี้จะมิสามารถห้ามเลือดของเจ้าวังน้อยได้ก็เป็นเรื่องปกติ“เจ้าวังเองก็ใช้เครื่องยาสมุนไพรเหล่านี้ด้วยนี่!”เสวี่ยอวิ๋นหยิบปากกากับกระดาษออกมาเขียนยุกยิกแล้วให้หลิงอวี๋อ่านสุดท้ายก็เขียนว่า “เครื่องยาสมุนไพรที่ใช้กับเจ้าวังน้อยคือเห็ดสีม่วงซึ่งหายาก ออกดอกสามสิบปีครั้ง เจ้าวังจึงลงจากภูเขาไปหาเครื่องยาสมุนไพรนี้!”หลิงอวี๋มองเครื่องยาสมุนไพรที่เสวี่ยอวิ๋นเขียนแล้วจมอยู่ในความคิดยาเหล่านี้บางชนิดสามารถห้ามเลือดได้จริง ๆ แต่การรวมกันมิเหมาะสมนัก ดูท่าทางชื่อเสียงการเป็นหมอชั้นเซียนของหวงฝู่หลินนั้นจะเป็นเพียงการโอ้อวด เขามีความรู้เพียงเล็กน้อยในการใช้ยาเหล่านี้หลิงอวี๋มิเคยได้ยินชื่อเห็ดสีม่วง
หลิงอวี๋มิเชื่อข่าวลือเรื่องการถูกสาป แต่คำพูดของปี้เอ๋อร์ให้แนวทางแก่นาง ทำให้นางรู้ว่าที่หวงฝู่หมิงจูเลือดออกมิได้เกิดจากไข้ฝีดาษหลิงอวี๋สงบใจลงพลางครุ่นคิดว่าจะรักษาหวงฝู่หมิงจูอย่างไรดีสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ต้องห้ามเลือดก่อน มิฉะนั้นหวงฝู่หมิงจูจะมิได้ตายด้วยเชื้อไข้ฝีดาษ แต่จะตายเพราะเลือดออกมากเกินไปแต่ต้องใช้อะไรห้ามเลือดเล่า?จู่ ๆ ก็มีเครื่องยาสมุนไพรจำนวนนับมิถ้วนผุดขึ้นมาในหัวของหลิงอวี๋ นางจึงรีบเดินไปที่หน้าต่างแล้วตะโกนออกไปข้างนอก “ใครก็ได้ เชิญพี่เสวี่ยเหมยมาพบข้าที!”ด้านนอกตำหนักรุ่ยจูมีคนเฝ้ายามอยู่ จึงนำคำขอของหลิงอวี๋ส่งต่อไปทันทีมินานเสวี่ยเหมยก็รีบมา ยืนอยู่นอกโถงแล้วตะโกน “อาอวี๋ มีเรื่องอันใดหรือ?”“ข้าต้องการเครื่องยาสมุนไพร เจ้าให้คนส่งมาให้ข้าที!”หลิงอวี๋จึงบอกเครื่องยาสมุนไพรที่ต้องการไปเสวี่ยเหมยสงสัย “อาอวี๋ เจ้ามีทักษะการแพทย์หรือ? เจ้าอย่าได้ให้ยาสุ่มสี่สุ่มห้ากับเจ้าวังน้อย หากเจ้าทำให้เจ้าวังน้อยตาย ข้าช่วยเจ้ามิได้นะ!”“เจ้าวังน้อยติดเชื้อไข้ฝีดาษ ไม่มีเครื่องยาสมุนไพรนางก็ตาย! ข้ามีทักษะการแพทย์เล็กน้อย เจ้าหาเครื่องยาสมุนไพรมาให้ข้า
คืนนั้นหลิงอวี๋กับปี้เอ๋อร์ก็พาปู้ติงกับคาเฟยย้ายไปที่ตำหนักรุ่ยจูหลิงอวี๋มิได้ไปดูสภาพน่าสังเวชที่เสวี่ยหลานถูกโยนเข้าไปในถ้ำหมาป่า ถึงอย่างไรเมื่อเห็นความตื่นเต้นที่ยากจะซ่อนเร้นบนใบหน้าเย็นชาของเสวี่ยเหมยนั้นก็เดาได้เลยว่า เสวี่ยหลานต้องถูกหมาป่ากัดฉีกเป็นชิ้น ๆ เป็นแน่สำหรับเสวี่ยเหมย หลิงอวี๋ก็มิกล้าเข้าใกล้มากเกินไปเช่นกันก่อนหน้านี้เป็นเพราะมีเป้าหมายเดียวกัน ดังนั้นเสวี่ยเหมยจึงมองตนแตกต่างออกไป หากวันหนึ่งตนไปคุกคามถึงตำแหน่งของเสวี่ยเหมย เสวี่ยเหมยไม่มีทางเมตตาต่อตนแน่หวงฝู่หมิงจูถูกทรมานจนลมปราณเสียหายอย่างรุนแรง แม้ว่าชีวิตจะมิได้ตกอยู่ในอันตรายแล้วแต่ก็มีไข้สูงในคืนนั้นเมื่ออาการป่วยแย่ลง ตุ่มน้ำก็เกิดขึ้นเสวี่ยเหมยได้ยินข่าวก็รีบมา เมื่อเห็นตุ่มน้ำบนใบหน้าของหวงฝู่หมิงจูก็ตกใจจนถอยหลังไปหลายก้าว แล้ววิ่งออกไปอย่างตื่นตระหนกไข้ฝีดาษ!นี่เป็นโรคติดต่อที่สามารถทำให้ตายได้!ปีที่แล้วนางกำนัลน้อยติดเชื้อไข้ฝีดาษแล้วแพร่เชื้อให้นางกำนัลหลายคน โรคนี้ไม่มียารักษาให้หายขาดได้ จึงถูกเจ้าวังสังหารแล้วเผาศพไปเสวี่ยเหมยรู้ถึงความร้ายแรงของโรคนี้เสวี่ยเหมยตกใจจนมิรู
สายตาเยือกเย็นของท่านน้าหลินจับจ้องไปที่เสวี่ยหลาน เสวี่ยหลานถูกมองเช่นนั้นก็รู้สึกหนาวไปทั้งตัวแต่นางก็ยังคงยืนกรานแล้วเอ่ย “ท่านน้าหลิน ข้ามิได้ทำจริง ๆ เจ้าค่ะ! ข้ามิรู้…”“มิรู้?”ท่านน้าหลินเค้นคำนี้ลอดไรฟันออกมาทีละคำเสวี่ยหลานผู้นี้อาศัยความงามของตน อยากจะปีนขึ้นเตียงของหวงฝู่หลินก่อนหน้านี้ท่านน้าหลินยอมให้นาง เพราะอาหารที่นางทำได้รับความพึงพอใจจากหวงฝู่หมิงจูมากจริง ๆท่านน้าหลินมิอยากทำให้หวงฝู่หมิงจูมิพอใจ แล้วส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของตนกับหวงฝู่หลิน จึงควบคุมตนเองมาโดยตลอดทว่ายามนี้ เสวี่ยหลานกล้าใช้ข้อห้ามเรื่องอาหารของหวงฝู่หมิงจูมาทำร้ายนาง!ท่านน้าหลินยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกกลัว วันนี้โชคดีที่อาอวี๋ช่วยหวงฝู่หมิงจูไว้ได้ มิฉะนั้นหากเกิดอะไรขึ้นกับหวงฝู่หมิงจู หวงฝู่หลินไม่มีทางปล่อยตนที่เป็นผู้ดูแลวังเทพไปแน่!ท่านน้าหลินก้าวเข้าไปใกล้ทีละก้าว เสวี่ยหลานก็ตกใจจนตัวสั่นนางร้องออกมาอย่างสิ้นหวัง “เจ้าวังน้อย ช่วยด้วยเพคะ บ่าวมิได้จะทำร้ายท่านจริง ๆ โปรดช่วยบ่าวขอความเมตตาด้วยเพคะ!”แม้ว่าหวงฝู่หมิงจูจะพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่ก็นอนอยู่อย่างหมดเรี่ยวหมดแรงเมื่
ทุกคนฟังคำพูดของเสวี่ยหลานแล้วก็รู้สึกว่าปกติมาก เมื่อยกอาหารมาก็แทบจะเป็นไปมิได้ที่เสวี่ยหลานจะพลิกดูข้างล่าง แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าหลิงอวี๋ซ่อนอะไรที่เจ้าวังน้อยกินมิได้ไว้ใต้จานนั้นแต่หลิงอวี๋จับช่องโหว่ในคำพูดของเสวี่ยหลานได้ นางจ้องมองเสวี่ยหลานอย่างน่ากลัวโดยมิพูดอะไรเสวี่ยหลานก็จ้องหลิงอวี๋อย่างโมโห “เจ้าทาสชั่ว เถียงมิได้แล้วสิ! เจ้าก็แค่ยอมรับมาว่าเจ้าคิดจะสังหารเจ้าวังน้อย!”หลิงอวี๋ยิ้มเยาะ พลางเอ่ยกับท่านน้าหลิน “ท่านน้าหลิน ท่านได้ยินสิ่งที่นางเอ่ยหรือไม่เจ้าคะ?”ท่านน้าหลินพยักหน้าโดยมิรู้ตัว แต่มิได้สังเกตเห็นความผิดปกติเมื่อเห็นว่าไม่มีใครโต้ตอบ หลิงอวี๋จึงเอ่ยอย่างอดทน “ท่านน้าหลิน ก่อนหน้านี้ข้าบอกหรือไม่ว่าเจ้าวังน้อยกินสิ่งใดแล้วแพ้?”“ไม่!”ท่านน้าหลินนึกย้อนดู หลิงอวี๋แค่บอกว่าหมิงจูแพ้อาหาร แต่มิได้บอกว่ากินอะไรเข้าไป“ท่านน้าหลิน เมื่อครู่เสวี่ยหลานบอกว่า นางรับจานนั้นมาแล้วมิได้พลิกดู ดังนั้นจึงมิรู้ว่าข้าใส่อะไรไว้ด้านล่าง!”หลิงอวี๋เอ่ยเสียงเรียบ “ท่านน้าหลิน ข้าขอถามสักหน่อยเถิดว่า เสวี่ยหลานได้กินอาหารจานนี้ไปแล้วหรือไม่?”“ไม่ นางเป็นแค่ทาส ไห
เสวี่ยหลานมิอยากจะเชื่อ นางเล็งเห็นว่าเจ้าวังมิอยู่ที่วังเทพ ไม่มีทางที่จะมีคนจับแผนของตนได้ จึงกล้าใช้ถั่วลิสงมาใส่ร้ายหลิงอวี๋ไหนเลยจะคิดว่าจะล้มเหลว!เป็นเพราะทาสต่ำต้อยผู้นี้โชคดีเกินไป หรือว่าแค่บังเอิญโชคดีกันแน่นะ?ไหนเลยเสวี่ยหลานจะยอมให้ล้มเหลวไปเช่นนี้ นางเหลือบมองหลิงอวี๋อย่างชั่วร้ายแล้วเอ่ย“ท่านน้าหลิน แม้ว่าทาสต่ำต้อยผู้นี้จะช่วยชีวิตเจ้าวังน้อยไว้ได้ แต่ก็มิใช่ความดีความชอบของนาง!”“นางเป็นคนปรุงอาหารเหล่านี้ นางต้องใส่บางอย่างลงในอาหารเป็นแน่ จึงทำให้เจ้าวังน้อยต้องทรมานเช่นนี้!”“ทาสต่ำต้อยผู้นี้ ท่านน้าหลินต้องลงโทษนางสถานหนักนะเจ้าคะ!”หลิงอวี๋เห็นเสวี่ยหลานมุ่งเป้ามาที่ตนครั้งแล้วครั้งเล่า ก็รู้เลยว่าถั่วลิสงบดในอาหารจะต้องเกี่ยวข้องกับนางเป็นแน่หลิงอวี๋จึงเอ่ยกับท่านน้าหลินไปตรง ๆ “ท่านน้าหลินเจ้าคะ อาหารเหล่านี้มิได้มีปัญหาอะไร เมื่อครู่ท่านก็เห็นว่าข้ากินไปเช่นกัน ข้ามิได้เป็นอะไรนี่เจ้าคะ!”“ท่านน้าหลิน ท่านเองก็กินอาหารที่ข้าปรุงด้วยกระมัง! หากข้าจงใจทำร้าย เหตุใดอาหารจานเดียวกัน คนสามคนกิน แต่มีคนเดียวที่เกิดเรื่องเล่าเจ้าคะ?”“ท่านน้าหลิน เรื่องน
ท่านน้าหลินมองหลิงอวี๋ด้วยสีหน้ามืดมนเสวี่ยเหมยที่คุกเข่าอยู่ข้าง ๆ ก็ตะโกนขึ้นมา “ท่านน้าหลิน ข้ากล้ารับประกันด้วยชีวิตว่า อาอวี๋ไม่มีทางวางยาพิษเจ้าวังน้อยเจ้าค่ะ!””“ตอนนี้เจ้าวังน้อยกำลังจะตายแล้วและไม่มีผู้ใดสามารถช่วยได้ เหตุใดท่านมิลองเชื่ออาอวี๋ดูสักครั้งแล้วหาส้มมาให้นางเล่าเจ้าคะ ส้มเป็นผลไม้ ไม่มีทางสังหารเจ้าวังน้อยได้หรอก!”“ท่านน้าหลิน ท่านลองคิดดู หากเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าวังน้อย เมื่อเจ้าวังกลับมา พวกเรากับท่านก็จะถูกเจ้าวังประหารนะเจ้าคะ!”“เสวี่ยหลานจะต้องมิพอใจที่ท่านแต่งตั้งข้าเป็นหัวหน้าเป็นแน่… จึงได้มีความแค้นต่อท่านและข้า ดังนั้นนางจึงทำทุกวิถีทางเพื่อป้องกันมิให้เราช่วยชีวิตเจ้าวังน้อย!”ยังมิทันที่เสวี่ยเหมยจะพูดจบ เสวี่ยหลานก็ตะโกนขึ้นมาด้วยความโกรธ “เจ้าพูดเรื่องไร้สาระอันใด? ข้ามิได้เลวร้ายอย่างที่เจ้าคิด!”แต่คำพูดเหล่านี้ของเสวี่ยเหมยทำให้ท่านน้าหลินหวั่นใจไปแล้ว นางเหลือบมองเสวี่ยหลานอย่างดุร้ายแล้วตะโกนบอกอี้เหวิน “ไปหาส้มมา!”อี้เหวินรีบวิ่งไปที่โกดังพร้อมกับนางกำนัลคนหนึ่ง ก่อนหน้านี้เพิ่งมีส้มหนึ่งตะกร้าส่งมาที่วังเทพพอดี อี้เหวินจึงไปเอามา“คั
“ท่านน้าหลิน ข้ามิได้วางยาพิษเจ้าวังน้อยนะเจ้าคะ!”หลิงอวี๋รีบเอ่ย “ท่านให้ข้าไปดูเจ้าวังน้อยหน่อยเถิด บางทีข้าอาจคิดหาวิธีช่วยเจ้าวังน้อยได้!”เมื่อเสวี่ยหลานได้ยินดังนั้นมีหรือจะให้หลิงอวี๋ทำตามปรารถนา จึงตะโกนขึ้นมาทันที “ท่านน้าหลิน อย่าไปฟังคำแก้ตัวของนางเจ้าค่ะ แทงตาของนางให้บอดไปเลย นางจะได้พูดความจริง!”ขณะที่ท่านน้าหลินกำลังจะแทงปิ่นปักผมไปในตาของหลิงอวี๋ หลิงอวี๋ก็หลบพลางตะโกน “ท่านน้าหลิน แม้ว่าท่านจะสังหารข้า ข้าก็ไม่มียาแก้พิษ!”“ท่านให้ข้าไปดูเจ้าวังน้อยเถิด มิว่าอย่างไรข้าก็หนีมิพ้นน้ำมือของพวกท่าน เจ้าวังน้อยตกอยู่ในสถาณการณ์วิกฤติ ไม่มีผู้ใดสามารถช่วยได้ ให้ข้าลองดูก็ยังมีความหวังอยู่บ้างนะเจ้าคะ!”“ท่านน้าหลิน เจ้าวังมิอยู่ที่วังเทพ หากเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าวังน้อย ท่านเองก็มิสามารถอธิบายให้เจ้าวังฟังได้!”คำพูดเหล่านี้จี้ใจท่านน้าหลิน นางมองหลิงอวี๋และคิดว่าหลิงอวี๋ก็หนีมิพ้นเช่นกัน ให้นางดูก็มิเสียหาย“พานางไป!”“ทาสสารเลว หากเจ้ามิสามารถช่วยเจ้าวังน้อยได้ เจ้าก็รอถูกสับเป็นชิ้น ๆ เสีย!”ท่านน้าหลินให้อี้เหวินลากหลิงอวี๋ไปหลิงอวี๋ถูกพาไปคุกเข่าอยู่ตรงหน้าหวง
หลิงอวี๋ตกใจกับการเตะประตูอย่างหยาบคายเช่นนี้ จึงหันกลับไปแล้วก็เห็นอี้เหวินนางกำนัลข้างกายของท่านน้าหลินกำลังทะเลาะกับบรรดานางกำนัลอย่างดุเดือด“นางสารเลว เจ้ากล้าวางยาพิษเจ้าวังน้อยได้อย่างไร!”อี้เหวินก่นด่า พุ่งไปตรงหน้าหลิงอวี๋ เงื้อมือขึ้นแล้วตบหลิงอวี๋กลิ้งลงไปกับพื้นวางยาพิษ?จะเป็นไปได้อย่างไรกัน!หลิงอวี๋ตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ยังมิทันที่นางจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ถูกอี้เหวินจิกผมลากออกไปข้างนอกแล้ว“พี่อี้เหวิน นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”หนังหัวของหลิงอวี๋ถูกดึงจนเจ็บไปหมด นางพยายามดิ้นรนพลางตะโกนออกไป “เจ้าวังน้อยเป็นอะไรไป?”“เป็นอะไรไป? เจ้าวังน้อยกินอาหารที่เจ้าปรุง แล้วมีผื่นขึ้นไปทั่วตัว หายใจลำบาก และกำลังจะตายแล้ว!”อี้เหวินมิสนใจอะไรทั้งนั้นแล้วลากหลิงอวี๋ไปพร้อมกับนางกำนัลอีกคนหลิงอวี๋ดิ้นมิหลุดจากการควบคุมของทั้งสองคน นางถูกทั้งสองคนลากจากห้องครัวไปที่โถงหลัก หลิงอวี๋รู้สึกว่าแขนของตนจะหักเพราะสองคนนี้อยู่แล้วผิวหนังที่ลากไปตามพื้นก็มีรอยขีดข่วนจากหินที่ขรุขระด้วย...กระทั่งถูกลากไปถึงที่โถงหลัก ยังมิทันที่หลิงอวี๋จะเข้าประตูไปก็ได้ยินเสียงตื่นตระหนกของท่านน้า