จวินจิ๋วอิ่นก้มศีรษะลง มองเห็นริมฝีปากแดงสวยของไป๋ซวง และดวงตาเกรี้ยวกราดคู่นั้นเขาลืมใคร่ครวญไปชั่วชณะ จูบเข้าไปตามสัญชาตญาณเมื่อได้รับการตอบสนอง ก็จะยิ่งยากจะหยุดบดคลึงบนริมฝีปากของนางสมองของไป๋ซวงขาวโพลนส่งเสียงวิ้ง ๆ แม้ว่านางจะทะลุมิติช่วงเวลาต่าง ๆ แต่ภารกิจของนาง คือการสำรวจมิติต่าง ๆ ไม่มีเวลาสำหรับมีความรักเลย!อุบัติเหตุเมื่อสี่ปีที่แล้ว ทำให้นางได้ลิ้มรสชีวิตมนุษย์ครั้งแรกแต่เพราะเป็นฤทธิ์ยาที่เข้าครอบงำ นางไม่มีเวลาได้คิดอะไรมากนักตอนนี้ นางรับรู้ได้ถึงอุณหภูมิร่างกายที่ร้อนรุ่มของจวินจิ๋วอิ่นและการจูบที่อ่อนโยนบนริมฝีปากหัวใจของนางเต้นรัวเร็ว ร่างกายรู้สึกอ่อนแรงอย่างบอกไม่ถูกหลังจากได้สติกลับมา นางก็ยกเท้าขึ้นกระทืบเท้าของจวินจิ๋วอิ่นอย่างแรงการเหยียบครั้งนี้ใช้แรงอย่างเต็มที่จวินจิ๋วอิ่นแค่นเสียงด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะปล่อยไป๋ซวงในขณะที่ไป๋ซวงกำลังโกรธ เขาก็รีบถอยออกไปข้างนอกอย่างรู้ว่าสิ่งใดควรไม่ควรเขาควบคุมลมหายใจให้มั่นคง ยกยิ้มอย่างพอใจ“ข้ามาส่งเสื้อผ้ามาให้แล้ว ฮูหยินรีบมาหน่อยนะยัง ทุกคนรอเจ้ากินข้าวอยู่”เขากล่าวจบก็หันหลังกลับและจา
จวินจิ๋วอิ่นมองแผ่นหลังของสองแม่ลูกที่จากไปพร้อมรอยยิ้ม หัวใจที่หวั่นวิตกถึงค่อยคลายความกังวลในที่สุดเขากังวลจริง ๆ กลัวความใจร้อนชั่วขณะของตัวเอง จะทำให้ไป๋ซวงเกลียดชังเขาโชคดีที่เขายังมีลูกชายสุดที่รักอย่างซวี่เป่าเมื่อเรื่องไม่สบายใจหมดไป จวินจิ๋วอิ่นก็ทำหน้ายิ้มแย้ม เดินตามหลังสองแม่ลูกไปไม่ห่างจีหรงเป็นถึงพระสนมเอก แต่ไม่ได้วางท่าอย่างพระสนมเอกแม้แต่น้อยตอนอยู่บนโต๊ะอาหาร พูดคุยกับไป๋หงหย่วนเรื่องสัพเพเหระอย่างออกรสแน่นอน หัวข้อหลักในการสนทนาคือเรื่องของซวี่เป่าและไป๋ซวงจีหรงเล่าเรื่องของซวี่เป่าให้เขาฟัง ส่วนไป๋หงหย่วนก็สอดแทรกเรื่องตอนเด็กของไป๋ซวงเป็นระยะเมื่อเห็นไป๋ซวงเดินจูงมือซวี่เป่าเดินมาอย่างเชื่องช้าจวินจิ๋วอิ่นเดินตามหลังด้วยใบหน้าอ่อนโยน ทันใดนั้นหัวใจของจีหรงอ่อนยวบบุตรชายที่ดูเหมือนจองหองดื้อรั้น นิสัยใจคอเย็นชาคนนั้นของนางในที่สุดก็มีครอบครัวของตัวเองเสียที“ซวี่เป่า ซวงเอ๋อร์ รีบมาทางนี้สิ”จีหรงกวักมืออย่างกระตือรือร้น ซวี่เป่าจึงจูงมือท่านแม่แล้ววิ่งไปหา“ท่านย่า ท่านตา”ซวี่เป่าทักทายอย่างดีใจ จูงมือท่านแม่แล้วบอกให้ท่านพ่อรีบนั่งลงหล
จวินจิ๋วอิ่นได้ยินดังนั้น จึงมอบสารลับฉบับหนึ่งให้ไป๋ซวง“เดิมทีคิดจะบอกเจ้าพรุ่งนี้”วันนี้เขาเห็นไป๋ซวงเหนื่อยมากเกินไป จึงคิดจะแจ้งข่าวเรื่องนี้ให้นางรู้ในวันพรุ่งไป๋ซวงวางถ้วยน้ำชาลง แล้วรับสารลับมาดูยิ่งดู คิ้วของนางก็ยิ่งขมวดเข้าหากันสถานการณ์ของน้องชาย ช่างโหดร้ายจนเกินพรรณนาไอเย็นเยียบค่อย ๆ พุ่งขึ้นจากรอบตัวนาง โทสะที่อดกลั้นพุ่งออกมาจากดวงตาของนาง“สมควรตาย!”นางเอ่ยปากออกมาอย่างเย็นชา แล้วกำสารลับเอาไว้ในมือ“เจ้าคิดจะทำอย่างไร?”จวินจิ๋วอิ่นยื่นมือไปตบมือของไป๋ซวงเบา ๆ เพื่อปลอบประโลมจิตใจของนางไป๋ซวงที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟไม่ได้สนใจอะไรมากมายขนาดนั้น“ย่อมต้องไปเยือนสำนักศึกษาเต๋อ”คน นางย่อมต้องไปรับกลับมาแค้น ก็ย่อมต้องชำระเช่นกัน“ได้”จวินจิ๋วอิ่นมองนางอย่างอ่อนโยน พร้อมตอบอย่างนุ่มนวลนางอยากทำสิ่งใด ย่อมทำได้เต็มที่เขาจะคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลังนางเอง“ครั้งนี้ข้าไปเองคนเดียวก็พอ”ไป๋ซวงไม่อยากติดค้างจวินจิ๋วอิ่นมากเกินไป เขาช่วยนางมามากแล้ว“เจ้าไม่คุ้นเคยเส้นทาง อาจทำให้เสียเวลาระหว่างทางได้ เมื่อข่าวของไป๋เส้าเจี๋ยถูกส่งกลับไป ทางตระกูลไป๋
บรรยากาศละมุนละไมขึ้นทันใด!“หยุดนะ!”ใบหน้าไป๋ซวงแดงระเรื่อเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยปากห้ามปรามนางสูดหายใจเข้าเล็กน้อย เพื่อคลายความกระอักกระอ่วนทางสีหน้าจากนั้นจึงเอ่ยอย่างขึงขัง“จวินจิ๋วอิ่น ก่อนหน้านี้ข้าคิดจะพักแค่สิบวัน เพราะคร้านไปหาโรงเตี๊ยมจึงพักอยู่จวนอ๋อง แต่ดูจากตอนนี้ เกรงว่าข้าคงต้องพำนักอยู่ที่เมืองหลวงเป็นระยะเวลานานพอสมควร ดังนั้นข้าจึงคิดจะซื้อบ้านที่เมืองหลวงสักหลัง”“เจ้าว่าอะไรนะ?”ใจของจวินจิ๋วอิ่นชาวาบทันที“ไม่ได้ ข้าไม่เห็นด้วย! เจ้าเป็นพระชายาของข้า หนำซ้ำเสด็จพ่อมีราชโองการพระราชทานสมรสแล้ว พระชายาจะไปพำนักอยู่ด้านนอกได้อย่างไร”“จวินจิ๋วอิ่น พวกเรายังไม่ได้แต่งงานกัน อีกอย่างข้าไม่ได้คิดจะแต่งงานกับท่าน!”ไป๋ซวงเพิ่งจะกล่าวออกไป คนที่เดิมทีควรจะเข้านอน กลับร้องไห้โฮขึ้นมาทันใด“ซวี่เป่า เจ้าเป็นอะไร?”ไป๋ซวงรีบเดินไปข้างเตียง เห็นซวี่เป่าที่ร้องไห้ดุจดังดอกสาลี่ต้องหยาดฝนจวินจิ๋วอิ่นรีบเดินเข้าไปเช่นกัน แล้วนั่งลงอีกด้านหนึ่งของเตียงมือหนึ่งของซวี่เป่าจับมือท่านแม่ อีกมือหนึ่งจับมือท่านพ่อไว้ร้องไห้อย่างน่าสงสารมาก!เมื่อครู่เขาเงี่ยหูฟังอยู่
เดิมที คำสั่งที่เหลิ่งเย่ได้รับก็คือหากตระกูลไป๋ไม่ลงมือ เขาก็จะไม่ลงมือเรื่องที่ไป๋เส้าเจี๋ยถูกทำร้าย จวินจิ๋วอิ่นปิดข่าวเอาไว้แล้วแต่เมื่อไม่ได้รับข่าวจากไป๋เส้าเจี๋ยหลายวันติดต่อกัน บวกกับข่าวที่ไป๋เส้าเจี๋ยส่งกลับมาก่อนหน้านี้ไป๋คังเจี้ยนลูกชายของไป๋เส้าเจี๋ยจึงพอจะเดาได้ว่าท่านพ่อของเขาอาจจะเกิดเรื่องแล้วดังนั้น จึงรีบติดต่อทุกคนในตระกูลไป๋ และยังเชิญผู้อาวุโสตระกูลไป๋ลงจากเขาพวกเขาอยากจะคุมตัวไป๋เฉินเอาไว้ เพื่อใช้ข่มขู่ไป๋ซวงเพียงแต่นึกไม่ถึงว่าขณะที่พวกเขาพยายามจะพาตัวไป๋เฉินไปทันใดนั้นกลับมียอดฝีมือคนหนึ่งปรากฏตัว แล้วเริ่มแย่งคนโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงตระกูลไป๋รู้ว่านี่อาจเป็นคนของไป๋ซวงดังนั้นจึงเริ่มต่อสู้กันพวกไป๋คังเจี้ยนล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหลิ่งเย่สุดท้ายผู้อาวุโสของตระกูลไป๋ต้องออกหน้า ถึงค่อยคุมสถานการณ์เอาไว้ได้เหลิ่งเย่ถือกระบี่คมกริบ ยืนอย่างมั่นคงอยู่กลางเรือนด้านหลังของเขาคือชายหนุ่มคนหนึ่งที่ซูบผอมเสื้อผ้าชายหนุ่มไม่เรียบร้อย ผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้าเหลืองซีดทั่วทั้งตัวมีบาดแผลมากมาย บางจุดยังมีเลือดซึมออกมาริมฝีปากของเขาแห้งผาก ดวงตาว
พายุที่หมุนด้วยความเร็วสูง เพิ่มพลังของคมกระบี่ให้แข็งแกร่งขึ้นสุดขีดสองมือของเหลิ่งเย่ เริ่มสั่นเทิ้มอย่างควบคุมไม่ได้เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าซื่อจื่อน้อยพูดถูกต้องเขาเป็นไก่อ่อน!แม้แต่ตาเฒ่ากลุ่มหนึ่งก็ยังรับมือไม่ได้เหลิ่งเย่กัดฟันอย่างไม่ยินยอม จนมุมปากเริ่มมีเลือดซึมส่วนเหล่าผู้อาวุโสตระกูลไป๋ย่อมรู้ว่าพลังวิญญาณของเหลิ่งเย่ใกล้จะผลาญหมดแล้วดังนั้นจึงยกมุมปากขึ้นยิ้มกระหยิ่ม แล้วหันไปสบตากันพวกเขาเพิ่มพลังกดดันและพลังวิญญาณ เพื่อให้พายุหมุนในค่ายกลทวีความรุนแรงขึ้นแกรก แกรก...คมกระบี่ปะทะกับโล่กิเลนฟ้าจนเกิดเป็นเสียงแหลมบาดหูจากนั้นรอยโหว่ก็ค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้นหลังจากเสียงปะทะดังกึกก้อง โล่กิเลนฟ้าก็ถูกทำลายจนหมดคมกระบี่นับไม่ถ้วนพุ่งตรงไปที่เหลิ่งเย่และไป๋เฉินเหลิ่งเย่เห็นดังนั้น จึงรีบคุ้มกันไป๋เฉินไว้ใต้ร่างโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อยเขาเคยกล่าวไว้ หากอยากทำร้ายไป๋เฉิน ต้องข้ามศพเขาไปก่อนเขาหลับตาลง แล้วรอคอยความเจ็บปวดมาเยือนทว่าความเจ็บปวดที่คาดการณ์ไว้กลับไม่มาเยือนเลยตอนเขาลืมตาขึ้นก็เห็นท่านอ๋องและพระชายาร่อนลงมาจากฟ้าจวินจิ๋วอิ่นซัดฝ่ามือ
เมื่อไป๋เฉินได้ยินคำพูดของพี่สาวที่เต็มไปด้วยการตำหนิตัวเอง เขาก็หยุดร้องไห้ทันทีเขาเช็ดมือที่สกปรกของตัวเองแรง ๆ บนร่างกายจากนั้นถึงค่อยเช็ดหยาดน้ำตาที่ไหลลงมาจากบนใบหน้าพี่สาว สีหน้าดูภาคภูมิใจและหยิ่งทระนงตน“ท่านคือพี่สาวที่ข้ารักมากที่สุดตลอดไป! เรื่องในตอนนั้น ไม่ใช่ความผิดของพี่หญิง คนผู้หนึ่งมีพรสวรรค์ดีเลิศคือความผิดหรือไร? คนที่ผิดคือพวกคนที่ต้องการแย่งชิงรากวิญญาณของพี่หญิงต่างหาก”ไป๋ซวงหัวเราะทันใดถูกต้อง ไม่ใช่ความผิดของนางคนผิดคือบรรดาคนที่หมายปองรากวิญญาณของนางเหล่านั้น“เฉินเอ๋อร์วางใจ ความเจ็บปวดที่เจ้าได้รับในวันนี้ พี่จะเอาคืนให้เจ้าเป็นร้อยเท่าพันเท่า!”ระหว่างที่พูด ไป๋ซวงตบบ่าน้องชายเบา ๆ แล้วค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนทุกคนในตระกูลไป๋รู้แล้วว่าไป๋ซวงกลับมาแล้วแต่ได้ยินก็อีกเรื่องหนึ่ง ได้มาเห็นก็อีกเรื่องหนึ่งพวกคนหนุ่มสาวยังดี เป็นลูกวัวแรกเกิดไม่กลัวเสือทว่าคนที่เคยช่วยคนตระกูลไป๋เก็บกวาดซากศพเหล่านั้น ขณะนี้เต็มไปด้วยความหวาดกลัวโดยเฉพาะตอนที่ไป๋ซวงยื่นมือออกไป แล้วนำเส้นไหมวิญญาณโลหิตออกมาเมื่อเห็นเส้นไหมวิญญาณสีแดงฉาน หมุนวนที่ปลายนิ้วของไป๋ซ
ไป๋ฮูหยินพูดด้วยเสียงสะอื้นไห้ หวังเพียงให้ท่านอ๋องเก้าได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของไป๋ซวงหากท่านอ๋องเก้าปกป้องไป๋ซวง เวลาพวกนางลงมือคงไม่ถนัดนักหากท่านอ๋องเก้าเกลียดชังไป๋ซวง พวกนางจะสามารถจัดการนางได้เต็มที่เมื่อไป๋ฮูหยินพูดจบก็มองท่านอ๋องเก้าด้วยแววตาร้อนใจ หวังเพียงได้เห็นความตะลึงและเกลียดชังในแววตาของจวินจิ๋วอิ่นทางที่ดี ขอให้เขาลงโทษไป๋ซวงในฐานหลอกลวงทว่าจวินจิ๋วอิ่นกลับทำเหมือนฟังเรื่องขบขัน ก่อนจะแค่นเสียงเย็นออกมา“แค่นี้หรือ?”เขาหรี่ตาลงอย่างเย็นชา ทว่ากลับปกปิดรัศมีคมกริบไม่ได้“ข้ายังนึกว่าพระชายาไปสังหารใครเข้า? ก็แค่ลงโทษประหารชีวิตพวกเดรัจฉานเท่านั้น ยังจะพูดถึงชีวิตมนุษย์อะไรกัน!”ไป๋ฮูหยินตกตะลึง ใบหน้าเขียนคำว่าไม่อยากจะเชื่อเต็มไปหมดท่านอ๋องเก้าหมายความว่าอย่างไร?หากเป็นคนในยุทธภพก็ว่าไปอย่าง แต่ในสายตาท่านอ๋องเก้า คนของตระกูลไป๋ไม่ต่างจากเดรัจฉานหรือ?แม้แต่คนของตระกูลไป๋ที่กำลังคุกเข่าต่างก็เกิดความไม่พอใจอย่างรุนแรงขึ้นมาทว่ากลับไม่กล้าพูดสิ่งใดต่อหน้าท่านอ๋องเก้าคนตระกูลไป๋ไม่กล้า แต่ไป๋ฮูหยินกล้านางเป็นประมุขหญิงของตระกูลไป๋มาหลายปี ย่
รถม้าหลายคันนั้นที่อยู่ด้านหลัง มีพลังวิญญาณเต็มเปี่ยมปกคลุมอยู่ผ้าม่านของรถม้าจงใจพับขึ้นไว้ ทำให้มองเห็นขวดและโถเหล่านั้นได้อย่างเหมาะเจาะมันเหมือนกับโถที่ใช้เป็นของขวัญตอบแทนให้กับองค์ชายเก้าในวันนั้น เกรงว่าด้านในจะเป็นของเพิ่มพลังวิญญาณเช่นกันกระมังถ้าอย่างนั้นรถม้าเหล่านั้นที่บรรทุกของมาเต็มคันรถ ทั้งหมดคือของที่พระชายาองค์ชายเก้ามอบให้ฮ่องเต้ใช่หรือไม่?ทั้งเมืองหลวงโจษจันกันเซ็งแซ่อีกครั้ง!ฮ่องเต้ทรงลากจูงรถม้าสองสามคันที่บรรทุกของเพิ่มพลังวิญญาณมาจากจวนขององค์ชายเก้าของเพิ่มพลังวิญญาณนั้น ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานอย่างมาก ในช่วงเวลานั้น ผู้คนในเมืองหลวงยิ่งตั้งหน้าตั้งตารอร้านค้าของพระชายาโจวหวันฉี่บังเอิญมองเห็นรถม้าของจวินฉงจากหน้าต่างของสถานที่พักแรมเพลิงแห่งความริษยาในดวงตาแทบจะมอดไหม้ตนเองโจวหลิงซางแตะไหล่ของน้องสาวเบา ๆ พร้อมกับถอนหายใจอย่างแผ่วเบา“หวันฉี่ ไป๋ซวงผู้นั้นดูท่าจะไม่ธรรมดาเสียแล้ว”นางนำสิ่งของที่เพิ่มพลังวิญญาณออกมาได้ อีกทั้งยังมีของวิเศษและสมุนไพรวิเศษเหล่านั้นอีกจะเป็นหญิงสาวชาวชนบทได้หรือ?แม้แต่พวกเขา เกรงว่าก็ยังหาสิ่งของที่ล้ำค่าเช่
ไป๋ซวงกับจวินจิ๋วอิ่นกำลังจัดระเบียบของขวัญที่ส่งมาในช่วงหลายวันนี้ในคลังสมบัติคลังขนาดใหญ่ในตอนนี้เริ่มจะเต็มแล้วหากไม่ใช่ก่อนหน้านี้ จวินจิ๋วอิ่นส่งสินสอดจำนวนไม่น้อยไปให้ตระกูลไป๋ เกรงว่าคลังแห่งนี้คงเก็บของไม่พอเป็นแน่ทันใดนั้นหงเยว่ก็เร่งรีบเข้ามา“ทูลองค์ชาย พระชายา ฮ่องเต้กับพระสนมเอกเสด็จมาเพคะ”“มาก็มาสิ เหตุใดต้องลนลาน?”จวินจิ๋วอิ่นเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมจูงมือไป๋ซวงเดินออกไปด้านนอกอย่างไม่รีบร้อนทั้งสองคนยังเดินไม่ถึงหน้าประตู พวกเขาก็เห็นจวินฉงกำลังอุ้มซวี่เป่า พร้อมกับจูงมือจีหรงเดินเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเมื่อเห็นจวินจิ๋วอิ่นกับไป๋ซวง จวินฉงก็มองพวกเขาอย่างไม่พอใจ “ซวี่เป่ายังรู้จักมารยาทดีเสียกว่า พอรู้ก็มารออยู่ที่ประตูทางเข้าล่วงหน้าแล้ว” ไป๋ซวงก้มหน้าผงกศีรษะ พร้อมกับมีรอยยิ้มบนมุมปาก“เสด็จพ่อทรงเอ่ยถูกต้อง ไป๋ซวงออกมาช้าไปเพคะ”นับตั้งแต่ไป๋ซวงตัดสินใจแต่งงานกับจวินจิ๋วอิ่น นางก็เปลี่ยนคำเรียกขานจวินฉงกับพระสนมเอก“หากเสด็จพ่อไม่พอพระทัย คราวหน้าลูกก็จะไม่ออกมา”จวินจิ๋วอิ่นมองจวินฉงด้วยความไม่พอใจ พร้อมดึงไป๋ซวงเข้ามาข้าง ๆ ตนจวินฉงแ
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฝูงชนที่อยู่หน้าประตูพากันตาลุกวาวพระชายาจะเปิดร้านเพื่อขายของเพิ่มพลังวิญญาณโดยเฉพาะ?พระชายาทรงรู้จักวิญญาจารย์ด้วยหรือ?เหตุใดพระชายาทรงยอดเยี่ยมเพียงนี้?ทั้งยังขายสมุนไพรวิเศษด้วย!ของวิเศษและสมุนไพรวิเศษเหล่านั้น พวกเขาก็เพิ่งจะเคยพบเห็นนั่นเป็นสิ่งของล้ำค่าที่มีเงินก็ซื้อไม่ได้“พระชายา ของเพิ่มพลังวิญญาณเหล่านั้น พวกเราสามารถซื้อไหวหรือพ่ะย่ะค่ะ?”บางคนอดถามด้วยความอยากรู้ไม่ได้ว่า ของเพิ่มพลังวิญญาณล้ำค่าเช่นนั้น สามัญชนคนธรรมดาอย่างพวกเขาจะซื้อไหวหรือ?“สิ่งของแต่ละชิ้นล้วนมีมูลค่าของมัน สิ่งของล้ำค่าของวิญญาจารย์ และสิ่งของที่ผ่านการเพิ่มพลังวิญญาณเหล่านี้ แน่นอนว่าราคาก็ย่อมสูงกว่าของธรรมดาทั่วไป ทว่าขอให้ทุกคนวางใจ ร้านนี้เปิดทำการค้าก็ย่อมต้องให้ทุกคนจับจ่ายซื้อหาได้ เราถึงจะทำเงินได้มิใช่หรือ?”ทุกคนเมื่อได้ยินเช่นนั้น ในใจรู้สึกยินดีขึ้นมาทันทีพวกเขารู้ดีว่าของเพิ่มพลังวิญญาณเหล่านี้ แน่นอนว่าย่อมต้องมีราคาสูงกว่าของธรรมดาทั่วไปทว่าได้ยินคำพูดของพระชายา ต่อให้พวกเขามีเงินใช้สอยอย่างจำกัดก็สามารถซื้อหาได้“ขอถามพระชายา ร้านนี้จะเปิดทำ
“พระชายาของเราทรงบอกว่าวันนี้เป็นวันมงคล เพื่อขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมยินดี จึงเตรียมขนมเพิ่มพลังวิญญาณมามอบให้โดยเฉพาะ”หงเยว่เอ่ยจบ นางกับสาวใช้ที่อยู่ด้านหลังก็ยืนเรียงกันเป็นแถวยาวพร้อมกับยกจานขนมไว้ในมือและยิ้มอย่างอ่อนโยนทุกคนนึกไม่ถึงว่าพระชายาองค์ชายเก้าจะเตรียมขนมไว้ให้พวกเขาด้วย ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังนึกไม่ถึงว่า ขนมนี้ยังผ่านการเพิ่มพลังวิญญาณด้วย ในชั้วขณะนั้น ทุกคนต่างกรูกันเข้าไปห้อมล้อมกลุ่มสาวใช้เหล่านั้น กลัวว่าช้าไปจะไม่มีเหลืออีกแล้วขนมในมือของหงเยว่กับเหล่าสาวใช้มีไม่เพียงพอแน่นอนไม่นานในจานของพวกนางก็ถูกแย่งไปจนหมด คนที่ได้ขนมเหล่านั้น แต่ละคนสีหน้ายิ้มแย้ม ปากก็เอ่ยขอบคุณไม่หยุดส่วนคนที่แย่งขนมไม่ทัน สีหน้ากลับเต็มไปด้วยความผิดหวัง ทั้งมองไปยังกลุ่มคนที่แย่งขนมมาได้ด้วยแววตาร้อนผ่าวเพราะความอิจฉา“พี่ชาย ขนมนี้มีพลังวิญญาณจริงหรือ?” ชายผู้หนึ่งยืนอยู่ด้านข้าง แววตาของเขาร้อนผ่าว และมองดูคนข้าง ๆ ราวกับถือของล้ำค่า ชายผู้นั้นเห็นขนมชิ้นนั้นที่ดูเหมือนขนมธรรมดาก็อดกลืนน้ำลายไม่ได้“น่าจะมีนะ เจ้าดูสิขนมนี้กำลังเรืองแสงนิดหน่อย?”หลังผ่านการต่อสู
ไป๋ซวงยิ้มพร้อมแตะไหล่พ่อลูกทั้งสองคน และเอ่ยอย่างสบายใจ“พวกท่านลืมไปแล้วหรือว่าข้ามีสถานะใด? จะไม่มีแม้แต่ของขวัญตอบแทนได้อย่างไร?”ไป๋ซวงเอ่ยจบก็โยนใบรายการของขวัญฉบับหนึ่งให้กับจวินจิ๋วอิ่น“ลองดูว่าพอใจกับของขวัญตอบแทนหรือไม่?”จวินจิ๋วอิ่นยิ้มพร้อมกับรับใบรายการของขวัญนั้นมา และมองไป๋ซวงด้วยแววตารักใคร่“ขอเพียงฮูหยินเต็มใจที่จะแต่งงาน ข้าอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น”ทว่าขณะที่เขาเห็นรายการของขวัญชัดเจนแล้ว นัยน์ตากลับเผยให้เห็นความประหลาดใจที่ระงับไว้ไม่อยู่“ฮูหยิน เกรงว่าคนเหล่านั้นที่อยู่ด้านนอกประตู จะต้องอิจฉาตาร้อนข้าเป็นแน่”เดิมทียังคิดว่าสินสอดที่ตนเตรียมไว้ถือว่าเหมาะสมแล้ว ทว่าตอนนี้เห็นของขวัญตอบแทนของไป๋ซวงแล้วเขารู้สึกขึ้นมาทันทีว่า ตนเองได้รับมากเกินไปแล้วจวินจิ๋วอิ่นยิ้มพร้อมกับส่งใบรายการของขวัญให้มู่ซือ มู่ซือรีบนำใบรายการของขวัญไปหาหลิ่วกงกงหลิ่วกงกงดูจนแน่ใจอยู่หลายรอบ และมั่นใจว่าไม่มีการเข้าใจผิด เขาจึงประกาศออกมาด้วยความตื่นเต้น“รายการของขวัญตอบแทนของพระชายาองค์ชายเก้ามีดังนี้: โสมราชันมังกรวิเศษหนึ่งต้น ปาล์มหงอนไก่วิเศษหนึ่งต้น เถาวัลย์เขียววิ
“รายการสินสอดของท่านอ๋องเก้ามีดังต่อไปนี้ ผ้าไหมก่วงหันสิบพับ ผ้าสุ่ยอวิ๋นต้วนสิบพับ ผ้าหร่วนเยียนหลัวสิบพับ ผ้าเหลียงเหรินจิ่นสิบพับ”หลิ่วกงกงประกาศเสียงดัง ผู้คนที่ตามมาดูความครึกครื้นที่หน้าประตูจวน ต่างส่งเสียงฮือฮาขึ้นมาทันทีเพราะผ้าไหมผ้าต่วนทั้งสี่ชนิดนี้ ล้วนเป็นสมบัติล้ำค่าระดับชาติปกติแล้ว แม้แต่ขุนนางชั้นสูงในวัง หากได้รับผ้าเหล่านี้ปีละหนึ่งพับ ก็ดีใจจนแทบจะเสียสติแล้วฮองเฮาเคยได้รับพระราชทานผ้าเหลียงเหรินจิ่นสองพับ ถึงกับจัดงานเลี้ยงในวังเพื่ออวดผ้าเหลียงเหรินจิ่นของตัวเองโดยเฉพาะแม้แต่จีหรง ก็ยังหาผ้าไหมผ้าต่วนดี ๆ แบบนี้ในวังได้ไม่กี่พับดังนั้น เมื่อได้ยินว่าจวินจิ๋วอิ่นมอบให้ไป๋ซวงมากมายเช่นนี้พวกเขาถึงกับสงสัยว่าตัวเองหูฝาดไปหรือไม่โดยเฉพาะเหล่าฮูหยิน คุณหนู ต่างพากันอิจฉาตาร้อนแต่ทว่า นี่เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้นหลิ่วกงกงกระแอม จากนั้นประกาศต่อ“หยกแกะสลักผักกาดขาวหนึ่งชิ้น แจกันหยกขาวมันแพะล้ำค่าหนึ่งคู่ ถ้วยหยกเก้าพญามังกรหนึ่งคู่ ฉากกั้นแร่มรกตลายภูเขาลำน้ำหนึ่งอัน...”“หญ้าพันวิญญาณระดับสูงสามต้น หญ้าดารามารระดับสูงสองต้น บุปผาศักดิ์สิท
“เรื่องขององค์ชายใหญ่ ผลเป็นอย่างไรบ้าง?”ในเมื่อไป๋ซวงตัดสินใจที่จะลองคบหากับจวินจิ๋วอิ่น เช่นนั้นนางก็ต้องรู้สถานการณ์ของศัตรูให้ชัดเจนจวินจิ๋วอิ่นเห็นว่านางเอาใจใส่เรื่องของเขาขนาดนี้ ก็รู้สึกดีใจอย่างมาก“จวินเทียนเจ๋อสมรู้ร่วมคิดกับศัตรูนั้น หลักฐานมัดตัวแน่นหนา ไม่มีทางรอดพ้นได้แล้ว ส่วนหลิวซื่อข่าย ถึงแม้จะปฏิเสธหัวชนฝา และไม่มีหลักฐานแน่ชัดที่พิสูจน์ว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับจวินเทียนเจ๋อ แต่มีคำให้การของหลิวหย่ง ประกอบกับคำสารภาพของคนสนิทของจวินเทียนเจ๋อ เขาก็ยากที่จะรอดพ้นความผิด”จวินจิ๋วอิ่นจูงมือไป๋ซวง เดินไปนั่งด้านข้าง“หลังจากที่หลิวซื่อข่ายถูกปลดออกจากตำแหน่ง ตำแหน่งเสนาบดีกรมกลาโหมก็จะสามารถเปลี่ยนเป็นคนของเราได้แล้ว”“คนของเรามีกี่คน?”ไป๋ซวงคิดว่า นางจำเป็นต้องรู้ว่าใครคือพวกเดียวกันกับนางไม่เช่นนั้น หากต้องมาเผชิญหน้ากับพวกเดียวกันเอง นั่นคงเป็นเรื่องน่าเสียดายยิ่งนัก‘คนของเรา’ ทำให้จวินจิ๋วอิ่นรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมากเขาเก็บซ่อนรอยยิ้มที่หางตาไว้ไม่อยู่ จึงเอื้อมมือออกไปจับมือของไป๋ซวง“นอกจากมหาเสนาบดีเจียงเจิง หวังหยวนจากกรมอาญา หลิวซื่อข่ายจากกรม
จวินจิ๋วอิ่นเห็นท่าทางเขินอายเล็กน้อยของไป๋ซวง รอยยิ้มที่มุมปากของเขาก็ยิ่งเด่นชัดขึ้นโดยไม่รู้ตัวเขาค่อย ๆ ก้มลงเก็บโฉนดที่ดินเหล่านั้นทีละใบจากนั้นก็วางลงในกล่องไม้จันทน์อย่างเรียบร้อยแล้วค่อยส่งมอบให้กับไป๋ซวง“ของเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของสินสอดเท่านั้น เดิมทีคิดว่าซวงเอ๋อร์ไม่มีครอบครัว จึงตั้งใจว่าจะมอบสินสอดให้ซวงเอ๋อร์โดยตรงในวันแต่งงาน แต่ในเมื่อตอนนี้ซวงเอ๋อร์หาครอบครัวเจอแล้ว เช่นนั้นข้าก็ต้องเตรียมสินสอดใหม่ตามธรรมเนียม”จวินจิ๋วอิ่นกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน จากนั้นก็หันไปหยิบกระดาษหนา ๆ ปึกหนึ่งออกมาจากลิ้นชักใต้โต๊ะเขียนหนังสือ“สิ่งเหล่านี้คือสินสอดทั้งหมดที่ข้าเตรียมไว้ ซวงเอ๋อร์ลองดูว่ายังมีสิ่งใดที่ต้องการเพิ่มอีกหรือไม่ หากไม่มีแล้ว ข้าจะเลือกวันเพื่อส่งสินสอดไปยังจวนตระกูลไป๋”ไป๋ซวงมองดูรายการสินสอดหนา ๆ เหลือบมองเพียงด้านบนสุดก็เห็นว่าล้วนแต่เป็นของล้ำค่าหายากทั้งสิ้น“ดูเหมือนข้ายังไม่ได้ตอบตกลงแต่งงานกับท่านเลยนะ!”ไป๋ซวงไม่ได้รับรายการสินสอดมา แต่มองเขาด้วยรอยยิ้มที่คลุมเครือ“ไม่มีทางเลือก ตอนนี้ทุกอย่างเป็นอันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านพ่อตากับน้อ
พวกเขารู้สึกจริง ๆ ว่าเสด็จพ่อต้องคิดจำนวนเงินค่าเสียหายนี้เอาไว้นานแล้ว มิเช่นนั้นจะบังเอิญขนาดนี้ได้อย่างไร จำนวนเงินค่าเสียหายที่องค์ชายแต่ละคนต้องจ่ายนั้นไม่เท่ากันแต่พอดีกับที่สามารถรีดไถทรัพย์สินขององค์ชายแต่ละคนไปจนหมดเกลี้ยงทว่าพวกเขาก็ได้แต่เก็บความโกรธไว้ในใจ ไม่กล้าพูดอะไรออกมา แล้วจดจำเรื่องทั้งหมดนี้เอาไว้งานเลี้ยงในวังที่ควรจะเต็มไปด้วยความรื่นเริง กลับกลายเป็นเช่นนี้ไหนเลยจะยังมีความปิติยินดีหลงเหลืออยู่?นอกจากจีหรงเองที่มีความสุขจนหุบยิ้มไม่ได้ เพราะลูกชายของนางได้รับทรัพย์สมบัติเกือบครึ่งหนึ่งของท้องพระคลังภายในชั่วข้ามคืน!ลูกคนอื่นล้วนถูกลงโทษ มีเพียงจวินจิ๋วอิ่นคนเดียวที่ได้รับคำชมจากจวินฉงนางช่างยอดเยี่ยมขนาดนี้ได้อย่างไรกัน เหมือนได้ให้กำเนิดอัจฉริยะอย่างจวินจิ๋วอิ่น ทำให้นางสามารถวางอำนาจในวังหลังได้จากนั้น ลูกชายก็ให้กำเนิดหลานชายที่เป็นอัจฉริยะอีกคนคิด ๆ ดูแล้ว ชีวิตช่างดีงามอะไรเช่นนี้ส่วนจวินจิ๋วอิ่นกับไป๋ซวงนั่งอยู่ในรถม้า โดยมีซวี่เป่าที่ง่วงนอนอยู่ในอ้อมแขนไป๋ซวงเห็นว่าเขาง่วงแล้ว จึงค่อย ๆ โอบกอดเขาไว้ในอ้อมแขนซวี่เป่าพยายามลุ