ขอบฟ้าเริ่มสว่างรำไร ดวงตะวันสีทองเคลื่อนขึ้นจากปลายฟ้า มอบความอบอุ่นให้ยามเช้าที่ชุ่มไปด้วยหยาดน้ำค้าง ทว่าเวลานี้พวกเหล่าจ้าวกลับไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นแม้แต่น้อย พวกเขาทุกคนตั้งท่าระวังภัยอย่างเคร่งเครียด ยกอาวุธในมือขึ้นอย่างพร้อมเพรียง กระทั่งเห็นศีรษะโผล่ออกมาจากซอกเขา เหล่าจ้าวก็ผงะไป เซียวอวิ๋นถิงกลับพุ่งลงจากเนินเขาทันที และโยนซองธนูในมือทิ้งไปให้เหล่าจ้าว ก็สาวเท้าวิ่งตรงไปหาชีหยวนทันที เสี้ยวพริบตานั้น เซียวอวิ๋นถิงอธิบายความรู้สึกภายในใจของตนเองไม่ถูก ทว่าความตื่นเต้นในน้ำเสียงของเขานั้นปิดไม่มิด “เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” เขามองชีหยวน แทบจำไม่ได้ว่าคนมอมแมมตรงหน้าตอนนี้ก็คือชีหยวน ชีหยวนสะบัดศีรษะ ไล่น้ำค้างที่เกาะอยู่ออกไป พอได้ยินเช่นนั้นก็ยิงฟันใส่เซียวอวิ๋นถิงไปหนึ่งที: “กำลังเดินทางกลับเมืองหลวง แต่ก็อยากแวะมาดูสถานการณ์ที่นี่สักหน่อย” ดูอะไร? เซียวอวิ๋นถิงแทบจะเข้าใจในทันที: “อยากดูว่าคนสกุลหลิ่วค้นพบแล้วหรือยังอย่างนั้นหรือ?” ชีหยวนผงกศีรษะ พลางปัดมือเพื่อเอาเศษดินโคลนที่ติดอยู่บนมือออกไป ก่อนจะเอ่ยอย่างไม่ยี่หระ: “หลุมข้างล่างถูกคนรื้อไปแล้ว
คนอย่างชีหยวนรู้จักกลัวอะไรบ้าง? เขานวดใบหน้าของตนเองที่เริ่มแข็งทื่อไป พลางส่งเสียงเฮอะออกมาแล้วถึงจะเอ่ยขึ้นว่า: “หากเป็นอย่างที่เจ้าว่า บัดนี้อ๋องฉีได้รับบาดเจ็บและกำลังเดินทางกลับเมืองหลวง เช่นนั้นเจ้าต้องระวังตัวให้ดี เขากลับเมืองหลวงไปได้อย่างปลอดภัย ย่อมปกปิดเรื่องที่เขาแอบหนีออกจากเมืองหลวงได้เป็นธรรมดา ทว่าความแค้นของพวกเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยที่มีต่อเจ้ามีแต่จะยิ่งเพิ่มขึ้น” ชีหยวนเปล่งเสียงอืมออกมาอย่างไม่ใส่ใจ: “ใช่ ฉะนั้นข้าจึงต้องรีบกลับเมืองหลวง หากว่าข้าไม่ได้อยู่ที่เมืองหลวง พวกเขาจะจัดการข้าได้ง่ายขึ้น” เดิมทีนางก็ควรเป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์ที่อาศัยใช้ชีวิตอยู่ในจวนโหว ..... ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด พออยู่กับชีหยวนแล้ว บทสนทนามักจะจบลงเร็วเสมอ คงจะเป็นเพราะนางพูดน้อยเกินไปกระมัง มีอะไรก็จะพูดแค่นั้นตลอดมา ไม่เคยใช้คำพูดเยิ่นเย้อฟุ่มเฟือย เซียวอวิ๋นถิงมองนางด้วยสายตาลุ่มลึก: “หลังจากนี้มีแผนการอะไรหรือ? บัดนี้เจ้ามีศัตรูอยู่รอบด้าน” “คอยดูสถานการณ์ เดินทีละก้าว” ชีหยวนตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ “ใครกล้าโผล่ออกมาก่อนก็จัดการคนนั้นก่อน” ถึงอย่างไรหากคนอื่นไม่ตายก็ต้
แม้จะเจ็บปวดใจกับเรื่องของบุตรชาย และเรื่องที่องครักษ์ลับถูกกำจัดก็ชวนให้หงุดหงิดใจมากเช่นกัน ทว่าสำหรับสกุลหลิ่วแล้ว ไม่มีสิ่งใดสำคัญและเร่งด่วนไปมากกว่าอ๋องฉี อย่างน้อยที่สุดอ๋องฉีก็กลับมาได้อย่างปลอดภัยแล้ว! ฉู่กั๋วกงสูดหายใจลึก ก่อนจะเปล่งเสียงรับคำเบา ๆวางฝ่ามือบนห่อผ้า พร้อมหลับตาลงด้วยสีหน้าโศกเศร้าเพียงชั่วขณะ จากนั้นถึงจะส่งห่อผ้าให้คนสนิท: “นำสิ่งนี้ไปให้ฮูหยิน บอกให้ฮูหยินคอยข้ากลับมาก่อนค่อยหารือกัน” จะยอมให้บุตรชายของเขาจะตายอย่างคลุมเครือ และถูกฝังร่างไปอย่างน่าสมเพชเช่นนี้ไม่ได้เป็นอันขาด คนสนิทรับคำด้วยความยำเกรง ฉู่กั๋วกงก็มิได้อ้อยอิ่งรีบรุดไปที่จวนอ๋องฉีทันที ครั้นเขามาในจวนอ๋องฉีแล้ว หัวใจของเขาพลันกระตุกวูบ เพราะแม้แต่ขันทีสวีที่หนักแน่นสุขุมมาตั้งแต่ไหนแต่ไรยังควบคุมร่างกายไว้ไม่อยู่ยืนตัวสั่นเทิ้มอยู่หน้าประตูแบบนี้เป็นครั้งแรก เขาเร่งฝีเท้าเข้าไปถามไถ่ทันที: “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?! ท่านอ๋องเป็นอย่างไรบ้าง?” ขณะเดียวกันเขาพลันรู้สึกจุกแน่นในอกจนแทบหายใจไม่ออก คงมิได้เกิดเหตุร้ายขึ้นอีกแล้ว? สีหน้าของขันทีสวีบัดนี้ยากเกินจะอธิบาย เขาลืมแม้ก
เขารู้ดีว่าความหงุดหงิดของอ๋องฉีในยามนี้ย่อมมีสาเหตุมาจากความกังวลเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บของตนเอง หากว่าเกิดปัญหาจริงและรักษาไม่หายแล้ว… เขาไม่กล้าคิดเลยว่าจะมีโทษทัณฑ์แบบใดตกใส่ตัวพวกเขาบ้าง ฉู่กั๋วกงยื่นมือไปกดอ๋องฉีไว้ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ: “ท่านอ๋องอย่าเพิ่งร้อนใจ ข้าส่งคนไปเชิญหมอเทวดาเซวียมาแล้ว เขาจะต้องมีหนทางแน่” ได้ยินฉู่กั๋วกงเอ่ยเช่นนี้ ความกังวลภายในใจของอ๋องฉีถึงจะคลายลงไปบ้าง เขาเงยศีรษะขึ้นมองฉู่กั๋วกง: “ท่านตา ข้าไม่เจอตัวพระชายาหลิ่ว” ยิ่งเจ็บปวด ความโกรธแค้นในใจของอ๋องฉีก็ยิ่งทวีคูณ ขณะเดียวกันก็คิดถึงเป้าหมายสำคัญขึ้นมาได้ เขาไล่ตามชีหยวนออกไป เดิมก็เพื่อไปหาพระชายาหลิ่ว ผลสุดท้ายชีหยวนเพียงแค่ล่อเขาออกไปและหายตัวไปชั่วขณะหนึ่ง ชั่วขณะนั้น ไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วชีหยวนไปที่ใด และได้ไปพบพระชายาหลิ่วแล้วหรือไม่? ตามแผนการเดิมของเขา ตั้งใจจะใช้สกุลเซี่ยเป็นตัวประกันข่มขู่ให้ชีหยวนส่งตัวพระชายาหลิ่วมาก น่าเสียดายนางผู้หญิงคนนั้นเจ้าเล่ห์เหมือนจิ้งจอก ถึงขั้นสังหารพวกโจวเสี่ยวเผิงอย่างไร้ความปรานี มิหนำซ้ำยังโยนความผิดให้พวกโจรป่า ด้วยเหตุนี
เขาขมวดคิ้วแน่นยืนรออยู่ที่ระเบียงทางเดินด้านนอกตามความต้องการของหมอเทวดาเซวีย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงหลายวันที่ผ่านมาแล่นเข้าสมองอย่างรวดเร็วราวกับภาพยามควบอาชาชมบุปผา สรุปแล้ว เรื่องราวทั้งหมดล้วนเกี่ยวข้องกับชีหยวนทั้งสิ้น หัวใจด้านซ้ายของเขาพลันเต้นผิดจังหวะไปหนึ่งครั้ง เสี้ยวพริบตาเดียวเลือดลมในตัวพลันเดือดพล่าน นานครู่ใหญ่ถึงจะสามารถข่มอารมณ์นั้นไว้ได้ ขณะเดียวกันความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาในสมอง หลังจากหมอเทวดาเซวียสาละวนกับหน้าที่ตนเองอยู่ด้านในพักใหญ่ ก็เรียกให้ฉู่กั๋วกงเข้าไปด้านใน บัดนี้ภายในห้องถูกเก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว อุปกรณ์ต่าง ๆ รวมทั้งผ้าพันแผลชุ่มเลือดและอ่างน้ำล้วนถูกยกออกไปหมดแล้ว บนโต๊ะมีกำยานกลิ่นดอกไป๋เหอถูกจุดไว้ ทำให้ทั้งห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมสดชื่น ทว่าฉู่กั๋วกงมิอาจดื่มด่ำกับบรรยากาศได้ เขากระชากข้อมือหมอเทวดาเซวียขึ้นมาพลางถามด้วยความเคร่งเครียด: “ตกลงเป็นอย่างไรบ้าง?” อ๋องฉีเป็นพระโอรสที่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้หย่งชางมากที่สุด ตอนเยาว์วัยยังเคยถูกฮ่องเต้หย่งชางอุ้มขึ้นมานั่งตักและพาเข้าสภาขุนนางด้วย และด้วยเหตุผลนี้ ฐานะของเขาในสายตา
หัวไหล่ของอ๋องฉีถูกเขย่าแบบนั้น โลหิตพลันไหลทะลักออกมาอีกครั้ง ฉู่กั๋วกงรีบปล่อยมือออก ประคองอ๋องฉีไปนั่งบนตั่ง เห็นสภาพอ๋องฉีแล้ว ภายในใจของฉู่กั๋วกงเองก็เจ็บปวดแทบขาดใจ เขาลูบไหล่อ๋องฉีเบา ๆ : “ท่านอ๋องไม่ต้องรีบร้อน กระหม่อมจะช่วยสะสางหนี้แค้นนี้ให้ท่านเดี๋ยวนี้” อ๋องฉีเงยหน้ามองเขา ในที่สุดก็พอจะมีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง: “จะล้างแค้นอย่างไร?” ฉู่กั๋วกงกระตุกมุมปากขึ้นอย่างเยือกเย็น: “ประเดี๋ยวท่านก็จะได้ทราบเอง” บัดนี้แน่นอนว่าชีหยวนย่อมไม่ทราบเรื่องราวระหว่างอ๋องฉีและฉู่กั๋วกง แม้นางจะไม่รู้ แต่ก็พอจะเดาได้ไม่ยาก คนเหล่านี้ล้วนแต่เป็นคนที่สามารถตัดสินความเป็นความตายของคนอื่นได้ แต่ไม่ยอมให้คนอื่นมาแต่ต้องพวกตนอย่างเด็ดขาด บัดนี้พวกเขาเสียท่าไปตั้งขนาดนี้ ต้องกำลังรวมหัวกันคิดหาหนทางสังหารนางอยู่แน่ เซียวอวิ๋นถิงมาส่งนางถึงหน้าประตูจวนโหว เห็นนางดูไม่รู้จักตื่นตระหนกแม้แต่น้อย ก็รู้สึกเหลืออดขึ้นมาหน่อย ๆ : “เจ้าไม่มีอะไรจะพูดกับข้าสักคำจริงหรือ?” ล่วงเกินคนไว้ตั้งมากมายเพียงนั้น ออกไปครั้งเดียว ก็ลวงหลิ่วจิงหงไปสังหาร ทำให้อ๋องฉีบาดเจ็บสาหัส มิหนำซ้ำยังกวาดล้าง
ท่านโหวผู้เฒ่ารออยู่ในเรือนหมิงเยว่ของชีหยวนมาโดยตลอดเมื่อครั้งชีหยวนออกไป ต้นไห่ถางกลางลานยังเปลือยเปล่าปราศจากใบเขียว แต่บัดนี้กลับผลิใบอ่อนออกมาแล้วเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเลื่อนลอยพริบตาเดียว ชีหยวนคืนมาได้เกือบสามเดือนแล้วในสามเดือนนี้ มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายเหลือเกินเขาตั้งสติให้มั่น พอเห็นไป๋จื่อออกมา เขาก็สูดหายใจเข้าลึก เอ่ยถามว่า “คุณหนูใหญ่ล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้วหรือ?”ตอนที่ชีหยวนกลับมานั้นแลดูเหมือนคนเถื่อน ผู้ใดจะเชื่อว่านางคือบุตรสาวคนโตแห่งจวนโหว?คนที่ไม่รู้เห็นแล้วคงคิดว่าเพิ่งไปขุดถ่านจากซีเป่ยกลับมาฮูหยินผู้เฒ่าไอขึ้นมาคราหนึ่ง รีบตบแขนท่านโหวผู้เฒ่าเบา ๆ พลางถลึงตาใส่เขาไป๋จื่อแย้มยิ้มเปี่ยมสุขนับแต่ติดตามชีหยวนมา นางก็ได้ใช้ชีวิตอันสุขสบายเกินกว่าที่เคยนึกฝันสาวใช้ที่ออกจากเรือนหมิงเยว่ ยามอยู่ในจวนโหวก็ไม่มีผู้ใดกล้ารังแกแต่ก่อนบรรดาเจ้านายที่ไม่คิดจะเสียเวลามองพวกนาง บัดนี้กลับมีท่าทีอ่อนโยนลงถนัดตาโชควาสนานั้นเลี้ยงบำรุงผู้คนได้จริง ๆ ยามนี้นางเปี่ยมล้นด้วยพลังชีวิต นางยิ้มเบิกบานพลางขานรับว่า “คุณหนูใหญ่เชิญท่านโหวผู้เฒ่ากับฮูหยินผู้เฒ่
จะจัดการเช่นใดเล่า?หลิ่วจิงหงเป็นทายาทแห่งจวนฉู่กั๋วกง อีกทั้งยังเป็นผู้สืบทอดที่โดดเด่นที่สุดของจวนบัดนี้ เขาสิ้นชีพแล้ว ส่วนอ๋องฉียังบาดเจ็บสาหัส จวนฉู่กั๋วกงย่อมบ้าคลั่งเป็นแน่ท่านโหวผู้เฒ่ากดมือฮูหยินผู้เฒ่าไว้ มองนางคราหนึ่งเป็นเชิงห้ามปรามไม่ให้กล่าวมากความแล้วจึงเอ่ยขึ้นอย่างมั่นคงว่า “การช่วงชิงอำนาจ ล้วนแย่งชิงกันด้วยชีวิตอยู่แล้ว”แม้จะกล่าวเช่นนั้น แต่ชาในถ้วยของท่านโหวผู้เฒ่ากลับหมดแล้ว ทว่าเขายังคงยกขึ้นแตะริมฝีปากจิบราวกับยังมีอยู่ ก่อนจะวางลงด้วยสีหน้าราบเรียบจากนั้นจึงหันไปมองชีหยวน เอ่ยว่า “แต่ว่า สิ่งที่ย่าของเจ้าคิดก็ถูกแล้ว แม่หนูหยวน เจ้าทำให้ฟ้าทะลุเป็นโพรงแล้ว ต่อจากนี้คงมิพ้นภัยพิบัติอันยิ่งใหญ่”ชีหยวนรับคำเสียงเบา ก่อนจะกล่าวว่า “ทุกสิ่งที่ข้ากระทำล้วนอยู่ในเงามืด หลิ่วจิงหงและอ๋องฉี พวกเขาทั้งสองล้วนเลี้ยงดูหน่วยกล้าตาย นั่นคือโทษทัณฑ์ประหารเก้าชั่วโคตร ชีวิตของข้าไร้ค่า ทว่าพวกเขากลับหวงแหนชีวิตนัก ดังนั้นไม่ต้องกลัวไปหรอกเจ้าค่ะ ในที่แจ้งพวกเขาย่อมมิกล้าทำอันใดข้า”กล่าวคือ การลงทัณฑ์ทางกฎหมายนั้น อย่าคิดเลยว่าจะใช้กับนางได้ผลหาไม่แล้ว ต่อให้
ไม่ได้หรอกดังนั้นเกียรติยศอันยิ่งใหญ่หลังความตายเหล่านั้นจึงเป็นเพียงเครื่องปลอบประโลมคนเป็นเท่านั้นแต่เกี่ยวข้องอันใดกับนางเล่า?ท่านโหวผู้เฒ่ามองนางอย่างไม่เข้าใจ “หลิ่วจิงหงตายไปอย่างมีเกียรติเพียงนี้ เจ้ามิร้อนใจบ้างหรือ?”“ไยต้องร้อนใจเจ้าคะ?” ชีหยวนพลันแย้มยิ้ม “หากพวกเขาชอบเกียรติยศเช่นนี้นัก ข้าส่งให้พวกเขาได้อีกหลายครั้ง”......ท่านโหวผู้เฒ่าพูดไม่ออกก่อนหน้านี้เมื่อมองดูพิธีอันยิ่งใหญ่ เขายังรู้สึกกังวลกระวนกระวายใจแต่ตอนนี้ เมื่อได้ยินถ้อยคำของชีหยวน เขากลับรู้สึกว่าความเกรียงไกรเช่นนั้นอย่าได้มีเลย หากมีอีกหลายครั้ง บรรดาเจ้านายของจวนฉู่กั๋วกงคงสิ้นชีพเกือบหมดจวนเป็นแน่เขาสูดลมหายใจเข้าลึก สงบสติอารมณ์ “เรื่องของบิดาเจ้า ไม่รู้ว่าราบรื่นหรือไม่”หากราบรื่นและสามารถพาตัวพระชายาหลิ่วกลับมาได้ เช่นนั้นย่อมเป็นการโจมตีครั้งใหญ่ต่อตระกูลหลิ่วถึงเวลานั้น ตระกูลหลิ่วคงไม่มีเวลามาจับจ้องตระกูลชีและชีหยวนอีกต่อไปชีหยวนยังไม่ทันกล่าวต่อ หลิวจงก็วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อนเสียก่อน “ท่านโหวผู้เฒ่า คุณหนูใหญ่ ฮูหยินผู้เฒ่าให้มาเชิญท่านทั้งสอง บอกว่า... บอกว่าได้รับเทียบเช
ฉู่กั๋วกงลูบหลังมือของภรรยา แล้วหัวเราะเบา ๆ ก่อนเอ่ยว่า “การแต่งงาน”แต่งงานหรือ?ฉู่กั๋วกงฮูหยินชะงักงัน มองสามีอย่างไม่อยากเชื่อสายตาสามีนางโกรธจนเสียสติไปแล้วหรือไร?หญิงสาวคนนั้นเพิ่งสังหารบุตรชายของพวกเขาไป ยังทำให้อ๋องฉีบาดเจ็บสาหัส แล้วบัดนี้ เขาจะไปสู่ขอชีหยวนหรือ?!พอเห็นสีหน้าของฮูหยิน ฉู่กั๋วกงก็รู้ว่านางคิดเลยเถิดไปเสียแล้ว อดไม่ได้ที่จะแย้มยิ้มบางเบา “ฮูหยิน บางครั้งการแต่งงานก็ไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป”เขากล่าว จากนั้นก็กระซิบสองสามประโยคข้างหูฉู่กั๋วกงฮูหยินสีหน้าของฮูหยินฉู่กั๋วกงเดี๋ยวแดงก่ำ เดี๋ยวเขียวคล้ำ สุดท้ายในดวงตาก็เต็มไปด้วยความเคียดแค้น “ดี!”นางเอ่ยพูด ดวงตาก็ยังคงแดงก่ำ “แต่ว่าท่านกั๋วกง บุตรชายของเราเล่า... บุตรชายของเราจะทำเช่นไร?”จะล้างแค้นอย่างไร คนที่ตายไปแล้วก็มิอาจฟื้นคืนชีพต่อให้ชีหยวนตายหมื่นครั้ง ก็ไม่อาจทดแทนบุตรชายของนางได้แม้เพียงปลายเล็บเมื่อกล่าวถึงบุตรชาย ฉู่กั๋วกงเองก็เจ็บปวดไม่แพ้กันหลายคืนที่ผ่านมา ยามเขาหลับตานอนก็หวาดหวั่นใจนัก ได้ยินเสียงร้องโหยหวนและฝันเห็นสภาพน่าเวทนาของของบุตรชายแต่ยิ่งเป็นเช่นนั้น เขากลับยิ่งต้องรั
จะจัดการเช่นใดเล่า?หลิ่วจิงหงเป็นทายาทแห่งจวนฉู่กั๋วกง อีกทั้งยังเป็นผู้สืบทอดที่โดดเด่นที่สุดของจวนบัดนี้ เขาสิ้นชีพแล้ว ส่วนอ๋องฉียังบาดเจ็บสาหัส จวนฉู่กั๋วกงย่อมบ้าคลั่งเป็นแน่ท่านโหวผู้เฒ่ากดมือฮูหยินผู้เฒ่าไว้ มองนางคราหนึ่งเป็นเชิงห้ามปรามไม่ให้กล่าวมากความแล้วจึงเอ่ยขึ้นอย่างมั่นคงว่า “การช่วงชิงอำนาจ ล้วนแย่งชิงกันด้วยชีวิตอยู่แล้ว”แม้จะกล่าวเช่นนั้น แต่ชาในถ้วยของท่านโหวผู้เฒ่ากลับหมดแล้ว ทว่าเขายังคงยกขึ้นแตะริมฝีปากจิบราวกับยังมีอยู่ ก่อนจะวางลงด้วยสีหน้าราบเรียบจากนั้นจึงหันไปมองชีหยวน เอ่ยว่า “แต่ว่า สิ่งที่ย่าของเจ้าคิดก็ถูกแล้ว แม่หนูหยวน เจ้าทำให้ฟ้าทะลุเป็นโพรงแล้ว ต่อจากนี้คงมิพ้นภัยพิบัติอันยิ่งใหญ่”ชีหยวนรับคำเสียงเบา ก่อนจะกล่าวว่า “ทุกสิ่งที่ข้ากระทำล้วนอยู่ในเงามืด หลิ่วจิงหงและอ๋องฉี พวกเขาทั้งสองล้วนเลี้ยงดูหน่วยกล้าตาย นั่นคือโทษทัณฑ์ประหารเก้าชั่วโคตร ชีวิตของข้าไร้ค่า ทว่าพวกเขากลับหวงแหนชีวิตนัก ดังนั้นไม่ต้องกลัวไปหรอกเจ้าค่ะ ในที่แจ้งพวกเขาย่อมมิกล้าทำอันใดข้า”กล่าวคือ การลงทัณฑ์ทางกฎหมายนั้น อย่าคิดเลยว่าจะใช้กับนางได้ผลหาไม่แล้ว ต่อให้
ท่านโหวผู้เฒ่ารออยู่ในเรือนหมิงเยว่ของชีหยวนมาโดยตลอดเมื่อครั้งชีหยวนออกไป ต้นไห่ถางกลางลานยังเปลือยเปล่าปราศจากใบเขียว แต่บัดนี้กลับผลิใบอ่อนออกมาแล้วเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเลื่อนลอยพริบตาเดียว ชีหยวนคืนมาได้เกือบสามเดือนแล้วในสามเดือนนี้ มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายเหลือเกินเขาตั้งสติให้มั่น พอเห็นไป๋จื่อออกมา เขาก็สูดหายใจเข้าลึก เอ่ยถามว่า “คุณหนูใหญ่ล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้วหรือ?”ตอนที่ชีหยวนกลับมานั้นแลดูเหมือนคนเถื่อน ผู้ใดจะเชื่อว่านางคือบุตรสาวคนโตแห่งจวนโหว?คนที่ไม่รู้เห็นแล้วคงคิดว่าเพิ่งไปขุดถ่านจากซีเป่ยกลับมาฮูหยินผู้เฒ่าไอขึ้นมาคราหนึ่ง รีบตบแขนท่านโหวผู้เฒ่าเบา ๆ พลางถลึงตาใส่เขาไป๋จื่อแย้มยิ้มเปี่ยมสุขนับแต่ติดตามชีหยวนมา นางก็ได้ใช้ชีวิตอันสุขสบายเกินกว่าที่เคยนึกฝันสาวใช้ที่ออกจากเรือนหมิงเยว่ ยามอยู่ในจวนโหวก็ไม่มีผู้ใดกล้ารังแกแต่ก่อนบรรดาเจ้านายที่ไม่คิดจะเสียเวลามองพวกนาง บัดนี้กลับมีท่าทีอ่อนโยนลงถนัดตาโชควาสนานั้นเลี้ยงบำรุงผู้คนได้จริง ๆ ยามนี้นางเปี่ยมล้นด้วยพลังชีวิต นางยิ้มเบิกบานพลางขานรับว่า “คุณหนูใหญ่เชิญท่านโหวผู้เฒ่ากับฮูหยินผู้เฒ่
หัวไหล่ของอ๋องฉีถูกเขย่าแบบนั้น โลหิตพลันไหลทะลักออกมาอีกครั้ง ฉู่กั๋วกงรีบปล่อยมือออก ประคองอ๋องฉีไปนั่งบนตั่ง เห็นสภาพอ๋องฉีแล้ว ภายในใจของฉู่กั๋วกงเองก็เจ็บปวดแทบขาดใจ เขาลูบไหล่อ๋องฉีเบา ๆ : “ท่านอ๋องไม่ต้องรีบร้อน กระหม่อมจะช่วยสะสางหนี้แค้นนี้ให้ท่านเดี๋ยวนี้” อ๋องฉีเงยหน้ามองเขา ในที่สุดก็พอจะมีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง: “จะล้างแค้นอย่างไร?” ฉู่กั๋วกงกระตุกมุมปากขึ้นอย่างเยือกเย็น: “ประเดี๋ยวท่านก็จะได้ทราบเอง” บัดนี้แน่นอนว่าชีหยวนย่อมไม่ทราบเรื่องราวระหว่างอ๋องฉีและฉู่กั๋วกง แม้นางจะไม่รู้ แต่ก็พอจะเดาได้ไม่ยาก คนเหล่านี้ล้วนแต่เป็นคนที่สามารถตัดสินความเป็นความตายของคนอื่นได้ แต่ไม่ยอมให้คนอื่นมาแต่ต้องพวกตนอย่างเด็ดขาด บัดนี้พวกเขาเสียท่าไปตั้งขนาดนี้ ต้องกำลังรวมหัวกันคิดหาหนทางสังหารนางอยู่แน่ เซียวอวิ๋นถิงมาส่งนางถึงหน้าประตูจวนโหว เห็นนางดูไม่รู้จักตื่นตระหนกแม้แต่น้อย ก็รู้สึกเหลืออดขึ้นมาหน่อย ๆ : “เจ้าไม่มีอะไรจะพูดกับข้าสักคำจริงหรือ?” ล่วงเกินคนไว้ตั้งมากมายเพียงนั้น ออกไปครั้งเดียว ก็ลวงหลิ่วจิงหงไปสังหาร ทำให้อ๋องฉีบาดเจ็บสาหัส มิหนำซ้ำยังกวาดล้าง
เขาขมวดคิ้วแน่นยืนรออยู่ที่ระเบียงทางเดินด้านนอกตามความต้องการของหมอเทวดาเซวีย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงหลายวันที่ผ่านมาแล่นเข้าสมองอย่างรวดเร็วราวกับภาพยามควบอาชาชมบุปผา สรุปแล้ว เรื่องราวทั้งหมดล้วนเกี่ยวข้องกับชีหยวนทั้งสิ้น หัวใจด้านซ้ายของเขาพลันเต้นผิดจังหวะไปหนึ่งครั้ง เสี้ยวพริบตาเดียวเลือดลมในตัวพลันเดือดพล่าน นานครู่ใหญ่ถึงจะสามารถข่มอารมณ์นั้นไว้ได้ ขณะเดียวกันความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาในสมอง หลังจากหมอเทวดาเซวียสาละวนกับหน้าที่ตนเองอยู่ด้านในพักใหญ่ ก็เรียกให้ฉู่กั๋วกงเข้าไปด้านใน บัดนี้ภายในห้องถูกเก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว อุปกรณ์ต่าง ๆ รวมทั้งผ้าพันแผลชุ่มเลือดและอ่างน้ำล้วนถูกยกออกไปหมดแล้ว บนโต๊ะมีกำยานกลิ่นดอกไป๋เหอถูกจุดไว้ ทำให้ทั้งห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมสดชื่น ทว่าฉู่กั๋วกงมิอาจดื่มด่ำกับบรรยากาศได้ เขากระชากข้อมือหมอเทวดาเซวียขึ้นมาพลางถามด้วยความเคร่งเครียด: “ตกลงเป็นอย่างไรบ้าง?” อ๋องฉีเป็นพระโอรสที่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้หย่งชางมากที่สุด ตอนเยาว์วัยยังเคยถูกฮ่องเต้หย่งชางอุ้มขึ้นมานั่งตักและพาเข้าสภาขุนนางด้วย และด้วยเหตุผลนี้ ฐานะของเขาในสายตา
เขารู้ดีว่าความหงุดหงิดของอ๋องฉีในยามนี้ย่อมมีสาเหตุมาจากความกังวลเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บของตนเอง หากว่าเกิดปัญหาจริงและรักษาไม่หายแล้ว… เขาไม่กล้าคิดเลยว่าจะมีโทษทัณฑ์แบบใดตกใส่ตัวพวกเขาบ้าง ฉู่กั๋วกงยื่นมือไปกดอ๋องฉีไว้ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ: “ท่านอ๋องอย่าเพิ่งร้อนใจ ข้าส่งคนไปเชิญหมอเทวดาเซวียมาแล้ว เขาจะต้องมีหนทางแน่” ได้ยินฉู่กั๋วกงเอ่ยเช่นนี้ ความกังวลภายในใจของอ๋องฉีถึงจะคลายลงไปบ้าง เขาเงยศีรษะขึ้นมองฉู่กั๋วกง: “ท่านตา ข้าไม่เจอตัวพระชายาหลิ่ว” ยิ่งเจ็บปวด ความโกรธแค้นในใจของอ๋องฉีก็ยิ่งทวีคูณ ขณะเดียวกันก็คิดถึงเป้าหมายสำคัญขึ้นมาได้ เขาไล่ตามชีหยวนออกไป เดิมก็เพื่อไปหาพระชายาหลิ่ว ผลสุดท้ายชีหยวนเพียงแค่ล่อเขาออกไปและหายตัวไปชั่วขณะหนึ่ง ชั่วขณะนั้น ไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วชีหยวนไปที่ใด และได้ไปพบพระชายาหลิ่วแล้วหรือไม่? ตามแผนการเดิมของเขา ตั้งใจจะใช้สกุลเซี่ยเป็นตัวประกันข่มขู่ให้ชีหยวนส่งตัวพระชายาหลิ่วมาก น่าเสียดายนางผู้หญิงคนนั้นเจ้าเล่ห์เหมือนจิ้งจอก ถึงขั้นสังหารพวกโจวเสี่ยวเผิงอย่างไร้ความปรานี มิหนำซ้ำยังโยนความผิดให้พวกโจรป่า ด้วยเหตุนี
แม้จะเจ็บปวดใจกับเรื่องของบุตรชาย และเรื่องที่องครักษ์ลับถูกกำจัดก็ชวนให้หงุดหงิดใจมากเช่นกัน ทว่าสำหรับสกุลหลิ่วแล้ว ไม่มีสิ่งใดสำคัญและเร่งด่วนไปมากกว่าอ๋องฉี อย่างน้อยที่สุดอ๋องฉีก็กลับมาได้อย่างปลอดภัยแล้ว! ฉู่กั๋วกงสูดหายใจลึก ก่อนจะเปล่งเสียงรับคำเบา ๆวางฝ่ามือบนห่อผ้า พร้อมหลับตาลงด้วยสีหน้าโศกเศร้าเพียงชั่วขณะ จากนั้นถึงจะส่งห่อผ้าให้คนสนิท: “นำสิ่งนี้ไปให้ฮูหยิน บอกให้ฮูหยินคอยข้ากลับมาก่อนค่อยหารือกัน” จะยอมให้บุตรชายของเขาจะตายอย่างคลุมเครือ และถูกฝังร่างไปอย่างน่าสมเพชเช่นนี้ไม่ได้เป็นอันขาด คนสนิทรับคำด้วยความยำเกรง ฉู่กั๋วกงก็มิได้อ้อยอิ่งรีบรุดไปที่จวนอ๋องฉีทันที ครั้นเขามาในจวนอ๋องฉีแล้ว หัวใจของเขาพลันกระตุกวูบ เพราะแม้แต่ขันทีสวีที่หนักแน่นสุขุมมาตั้งแต่ไหนแต่ไรยังควบคุมร่างกายไว้ไม่อยู่ยืนตัวสั่นเทิ้มอยู่หน้าประตูแบบนี้เป็นครั้งแรก เขาเร่งฝีเท้าเข้าไปถามไถ่ทันที: “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?! ท่านอ๋องเป็นอย่างไรบ้าง?” ขณะเดียวกันเขาพลันรู้สึกจุกแน่นในอกจนแทบหายใจไม่ออก คงมิได้เกิดเหตุร้ายขึ้นอีกแล้ว? สีหน้าของขันทีสวีบัดนี้ยากเกินจะอธิบาย เขาลืมแม้ก
คนอย่างชีหยวนรู้จักกลัวอะไรบ้าง? เขานวดใบหน้าของตนเองที่เริ่มแข็งทื่อไป พลางส่งเสียงเฮอะออกมาแล้วถึงจะเอ่ยขึ้นว่า: “หากเป็นอย่างที่เจ้าว่า บัดนี้อ๋องฉีได้รับบาดเจ็บและกำลังเดินทางกลับเมืองหลวง เช่นนั้นเจ้าต้องระวังตัวให้ดี เขากลับเมืองหลวงไปได้อย่างปลอดภัย ย่อมปกปิดเรื่องที่เขาแอบหนีออกจากเมืองหลวงได้เป็นธรรมดา ทว่าความแค้นของพวกเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยที่มีต่อเจ้ามีแต่จะยิ่งเพิ่มขึ้น” ชีหยวนเปล่งเสียงอืมออกมาอย่างไม่ใส่ใจ: “ใช่ ฉะนั้นข้าจึงต้องรีบกลับเมืองหลวง หากว่าข้าไม่ได้อยู่ที่เมืองหลวง พวกเขาจะจัดการข้าได้ง่ายขึ้น” เดิมทีนางก็ควรเป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์ที่อาศัยใช้ชีวิตอยู่ในจวนโหว ..... ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด พออยู่กับชีหยวนแล้ว บทสนทนามักจะจบลงเร็วเสมอ คงจะเป็นเพราะนางพูดน้อยเกินไปกระมัง มีอะไรก็จะพูดแค่นั้นตลอดมา ไม่เคยใช้คำพูดเยิ่นเย้อฟุ่มเฟือย เซียวอวิ๋นถิงมองนางด้วยสายตาลุ่มลึก: “หลังจากนี้มีแผนการอะไรหรือ? บัดนี้เจ้ามีศัตรูอยู่รอบด้าน” “คอยดูสถานการณ์ เดินทีละก้าว” ชีหยวนตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ “ใครกล้าโผล่ออกมาก่อนก็จัดการคนนั้นก่อน” ถึงอย่างไรหากคนอื่นไม่ตายก็ต้