นี่คือความอับอายใหญ่หลวงที่สุดในชีวิต!เมื่อความอดทนหมดสิ้น ความโกรธและความอับอายก็เอาชนะเหตุผล ร่างของหลิ่วหมิงจูขยับไปเร็วกว่าสติสัมปชัญญะของตัวเอง นางฟาดแส้ลงไปบนหลังม้าอย่างแรง ม้าร้องด้วยความเจ็บ ก่อนจะยกขาหน้าขึ้นในทันที และด้วยการกระตุ้นจากหลิ่วหมิงจู ม้าตัวนั้นก็พุ่งตรงไปยังชีหยวนอย่างบ้าคลั่งหวังฉานที่กำลังปรบมือพลันหยุดชะงัก ใบหน้าแดงก่ำ รีบวิ่งลงมาจากอัฒจันทร์หวังจะลงสนามไปกอดชีหยวนแต่นางลงบันไดไปได้แค่สองขั้น ก็เห็นว่าหลิ่วหมิงจูก็ควบม้าพุ่งตรงไปหาชีหยวนอย่างรวดเร็ว ใจของนางก็เหมือนจะเด้งออกมานอกอกเนื่องจากนางตกใจสุดขีด จนแม้แต่เสียงก็ไม่สามารถเปล่งออกมา ได้แต่ยืนตัวแข็งมองหลิ่วหมิงจูพุ่งทะยานตรงไปอย่างรวดเร็ว นางง้างไม้ตีลูกคลีในมือสุดแรง ตีลงไปที่ขาหน้าของม้าที่ชีหยวนขี่อยู่!เหตุการณ์พลิกผันเกิดขึ้นในชั่วพริบตาทุกคนล้วนตะลึงงันอ๋องโจวมีสีหน้าเคร่งขรึม รีบก้าวไปข้างหน้าหลายก้าวแล้วตวาดลั่น “เหลวไหล!”การแข่งขันแพ้ชนะนั้นเป็นเรื่องธรรมดา เป็นแค่เด็กสาว ชนะหรือแพ้มันจะมีความสำคัญสักแค่ไหนกัน?คนที่มาดูก็แค่พูดคุยกันไปชั่วขณะ เดี๋ยวก็ลืมกันหมดนี่เป็นเพียงการแ
ชีหยวนล้มลงกลิ้งไปกับพื้นหลายตลบ ทั้งร่างเปื้อนไปด้วยฝุ่น แต่กลับคล่องแคล่วพอที่จะหลบเลี่ยงการถูกม้าของหลิ่วหมิงจูเหยียบได้ทันหลิ่วหมิงจูยึดมั่นในความคิดว่าหากไม่ทำก็ไม่ทำ หากจะทำก็ต้องทำให้ถึงที่สุด นางหันหัวม้า ควบม้าพุ่งตรงไปหาชีหยวนอีกครั้งโดยไม่ลังเลคราวนี้ชีหยวนไม่ได้หลบอีกต่อไป นางถ่มน้ำลายปนเลือดออกมา จ้องไปยังหลิ่วหมิงจูที่อยู่บนหลังม้าสูงด้วยสายตาแน่วแน่เซียวอวิ๋นถิงยืนนิ่งอยู่กับที่ ไม่เพียงแค่ไม่เคลื่อนไหว เขายังตะโกนห้ามบรรดาทหารองครักษ์จากจวนอ๋องโจวที่เตรียมลงสนามไปช่วยคนเหล่าทหารองครักษ์หันมองหน้ากันไปมาด้วยความประหลาดใจอะไรกัน คุณหนูใหญ่ชีผู้นี้ไม่เพียงแค่มีเรื่องกับหลิ่วหมิงจู ยังดูเหมือนจะมีปัญหากับอ๋องจิ้งผู้นี้ด้วยหรือ?หลิ่วหมิงจูนั่งอยู่บนหลังม้าตัวใหญ่ มือจับไม้ตีคลี ขณะที่ชีหยวนมือเปล่าไร้อาวุธใด ๆหากถูกม้าเหยียบในคราวนี้ วันนี้อาจต้องไปพบยมบาลแล้วอ๋องโจวที่เพิ่งมาถึงก็ไม่เข้าใจ “เจ้า...”เมื่อครู่ยังดูเหมือนจะเป็นห่วงชีหยวนมากอยู่เลยไม่ใช่หรือ?ไฉนตอนนี้กลับห้ามคนไม่ให้ลงไปช่วยแล้ว?ถ้าช้ากว่านี้ นางอาจจะกลายเป็นเพียงก้อนเนื้อก็ได้เซียวอวิ๋น
ลมหายใจร้อนกระซิบข้างใบหู เสียงหัวเราะเบา ๆ นั้นทำให้หลิ่วหมิงจูรู้สึกชาวาบทั้งใจ นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้าจะให้บิดาของข้าฆ่าเจ้า! ฆ่าเจ้าให้ได้!”“งั้นหรือ?” ชีหยวนแย้มยิ้มเล็กน้อย ค่อย ๆ โน้มตัวเข้าไปใกล้ข้างหูหลิ่วหมิงจู “คุณหนูใหญ่หลิ่วพูดราวกับว่าตนเองเคยเห็นคนตายมาก่อน”ขณะที่พูด มือของนางก็ค่อย ๆ จับสายบังเหียนไว้แน่น กดเสียงต่ำเอ่ยถาม “ตอนนี้ข้าจะสอนให้คุณหนูใหญ่หลิ่วได้รู้ว่า ความรู้สึกใกล้ตายนั้นมันเป็นอย่างไร”ทันใดนั้น ไม่รู้ว่าเหตุใดม้าถึงร้องเสียงยาวโหยหวน หลิ่วหมิงจูเสียการทรงตัว ตกลงจากหลังม้ากระแทกพื้นอย่างแรงนางตกลงมาหน้ากระแทกพื้นเต็ม ๆ ในชั่วขณะที่ตกลงมา นางรู้สึกเหมือนอวัยวะภายในทั้งหมดถูกกดเข้าหากัน เจ็บปวดจนใบหน้าบิดเบี้ยว คิ้วขมวดแน่น ก่อนจะรู้สึกถึงรสคาวในลำคอ และพ่นเลือดออกมาจำนวนมากฮูหยินใหญ่หลิ่วรีบวิ่งข้ามรั้วเข้ามา ตะโกนลั่น “หมิงจู! หมิงจู!”ยามนี้พระชายาอ๋องโจวไม่กล้าประมาทอีกต่อไป รีบสั่งคนให้ไปช่วยเหลือทันทีทุกคนต่างตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่พลิกผันเช่นนี้ใครจะคิดเล่าว่า การมาชมการแสดงแข่งขันของเหล่าหญิงสาว กลับกลายเป็นการได้ชมละครฉากใหญ่
นี่ก็คือโฉมหน้าแท้จริงของผู้สูงศักดิ์เหล่านี้ด้วยความชอบที่มีต่อราชสำนัก ทำให้พวกเขาได้ครอบครองทรัพย์สินและอำนาจที่คนธรรมดาหลายชั่วอายุคนก็ไม่มีทางไขว่คว้ามาได้ ดังนั้น พวกเขาจึงไม่มองตัวเองเป็นเพียงมนุษย์ปุถุชนอีกต่อไปพวกเขาต้องการเป็นเทพเจ้าต้องการอยู่สูงส่ง ต้องการสร้างความแตกต่างระหว่างตนกับราษฎรธรรมดาไม่ว่าจะเป็นการเดิน การนั่ง การนอน ทุกอิริยาบถต้องสะท้อนถึงความสูงส่ง ความพิเศษ และความยิ่งใหญ่ที่ไม่มีใครเทียบได้ของพวกเขาถึงขั้นที่แม้แต่สุนัขในจวนของพวกเขาก็ต้องสูงส่งกว่าสุนัขของคนธรรมดาไร้จิตเมตตา สิ่งที่เหลืออยู่ก็มีเพียงการโอ้อวดเรื่องฐานะและสายเลือดอันสูงส่งของตนเองแต่ว่าคนพวกนี้กลับมีพฤติกรรมที่น่าฉงนนักดูถูกราษฎรสามัญ แต่กลับต้องการให้ราษฎรเคารพรักและสรรเสริญพวกเขาเมื่อใดที่ตกลงมาจากแท่นบูชา ความเจ็บปวดนั้นก็จะยิ่งใหญ่กว่าผู้ใดชีหยวนรู้ดีว่าจุดอ่อนของพวกเขาอยู่ที่ใด นางจึงหัวเราะเยาะออกมาเมื่อเห็นนางยังกล้าหัวเราะออกมาได้ ฮูหยินใหญ่หลิ่วโกรธจนแทบระเบิด ก้าวเร็วๆ เข้าไปแล้วยกมือขึ้นอย่างแรง “นางเด็กสารเลว! เจ้ากล้ายิ้มเยาะเย้ยหรือ!”นางอยากจะฆ่านางเด็กต
ฮูหยินใหญ่ลู่ถึงกับนิ่งงันด้วยความโกรธนี่เป็นครั้งแรกที่นางเจอคนอย่างชีหยวนที่พูดตรงไปตรงมาถึงเพียงนี้ในขณะนั้น ชีหยวนสะบัดมือฮูหยินใหญ่หลิ่วออก แล้วหันหน้าไปทางอ๋องโจว “การแข่งขันย่อมมีแพ้มีชนะ หากต้องการยกยอใครคนใดคนหนึ่ง ก็แสดงออกมาให้ชัดเจน อย่าให้คนอื่นมาเข้าร่วมให้เสียเวลา!”พระชายาอ๋องโจวสีหน้าขรึมลง “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”“ข้าหมายความว่า ในเมื่อพวกท่านล้วนเกิดมาจากตระกูลสูงศักดิ์อยู่แล้ว ก็ขอให้จิตใจสูงส่งเช่นกัน” ชีหยวนกล่าวเสียงดังขึ้น “การแข่งขันนี้หลิ่วหมิงจูเสนอขึ้นเอง ภายใต้สายตาของผู้คนมากมาย ข้าชนะอย่างโปร่งใสและยุติธรรม!”ทุกสายตาในสนามต่างจับจ้องไปที่ชีหยวนบางคนอดไม่ได้ที่จะกระซิบถาม “นางมาจากไหนกันแน่? วาจาของเด็กสาวผู้นี้ช่างคมคายเหลือเกิน!”ฮูหยินใหญ่หลิ่วและพระชายาอ๋องโจวยังไม่ทันได้ตอบสนอง ชีหยวนก็แสยะยิ้ม “หากรับความพ่ายแพ้ไม่ได้ ก็อย่าแข่งตั้งแต่แรก พอข้าชนะ นางไม่เพียงไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ยังแก้แค้นโดยการตีขาม้าของข้าจนหัก การอบรมอันใด กฏระเบียบอันใด เรื่องนี้ควรเป็นข้าที่ถามฮูหยินใหญ่หลิ่วมากกว่า หรือว่าการอบรมและกฎระเบียบของจวนฉู่กั๋วกงคือการ
ในใจขององค์หญิงลั่วชวนเต็มไปด้วยคลื่นอารมณ์ที่ผสมปนเปนางใช้ชีวิตมาจนถึงวันนี้ เพิ่งจะเข้าใจความหมายของคำว่าอารมณ์หลากหลายผสมปนเปว่าเป็นเช่นไรเดิมทีนางเคยคิดว่าชีหยวนเป็นเพียงลูกกระต่ายน้อยที่ปล่อยให้ใครเชือดเฉือนได้ตามใจ แต่ตอนนี้เมื่อคิดย้อนกลับไป นางก็เข้าใจแล้ว กระต่ายน้อยอะไรกัน?นางคือหมาป่าชัด ๆ!แถมยังเป็นหมาป่าที่ดวงตาเปล่งแสงสีเขียวอำมหิตเมื่อนึกถึงตอนที่ชีหยวนแนะนำตัวบอกว่าจะประลองกับหลิ่วหมิงจูเป็นคนแรก คิดว่าคงวางแผนทุกอย่างไว้ล่วงหน้าแล้วนางไม่รู้ว่าหลิ่วหมิงจูและชีหยวนมีความแค้นใดต่อกันแต่ชีหยวนชนะอย่างสมบูรณ์แบบมุกล้ำค่าแห่งนครหลวง?ตั้งแต่วันนี้ไป ฉายานี้จะไม่มีวันถูกเอ่ยถึงอีกตลอดกาลชีหยวนได้ทำลายมุกล้ำค่าแห่งนครหลวงที่ตระกูลหลิ่วสร้างขึ้นด้วยน้ำมือของนางผลกระทบจากเหตุการณ์ในครั้งนี้จะไม่จบเพียงแค่นี้แน่นอนการที่หลิ่วหมิงจูแพ้ในการแข่งขัน จริง ๆ แล้วไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร การแข่งขันย่อมมีแพ้มีชนะเป็นเรื่องธรรมดา เพียงไม่นานก็จะไม่มีใครจดจำเรื่องนี้ได้อีกแต่หลิ่วหมิงจูรับความพ่ายแพ้ไม่ได้ แก้แค้นต่อหน้าผู้คนด้วยการตีขาม้าของชีหยวนจนหัก ทำให้ชีหยวนพ
เพราะนางรู้สึกชินชาไปหมดแล้วเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้เกินกว่าที่นางจะเข้าใจได้เมื่อมองไปยังชีหยวน ก็พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมฮูหยินผู้เฒ่าชีถึงมีสีหน้าอันซับซ้อนในวันนั้นการที่ให้นาง ‘ดูแล’ ชีหยวนนั้น ไม่ใช่การดูแลชีหยวนจริง ๆ...ชีหยวนพยักหน้า ก่อนจะคุกเข่าลงอย่างง่ายดาย พร้อมกับคำนับอ๋องโจว “ท่านอ๋องทรงปราดเปรื่องยิ่งนัก ท่านอ๋องทรงพระเจริญพันปี พันปี พันพันปี!” ......ไม่รู้เพราะอะไร อ๋องโจวกลับรู้สึกว่าการคำนับของชีหยวนดูง่ายเกินไปจากท่าทีของเด็กสาวที่เถียงผู้คนได้อย่างดุดัน เขาคิดว่านางคงพูดอะไรอย่างเช่น ‘ใต้เข่ามีทองไม่ควรคุกเข่าพร่ำเพรื่อ’ ออกมาเสียอีกแต่กลับกลายเป็นว่านางคุกเข่าลงได้ง่ายยิ่งกว่าผู้ใดจนเขาอดไม่ได้ที่จะลูบเคราของตนเองก่อนจะพยักหน้า “คุณหนูใหญ่ชี ไม่ต้องมากพิธี รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถิด”หวังฉานรีบวิ่งเข้ามา ดึงมือชีหยวนไว้ทันทีพอดึงมือไว้ นางถึงได้สังเกตว่าฝ่ามือของชีหยวนเปียกชื้นเหนียวเหนอะไปหมด เมื่อมองลงไป นางก็ร้องอุทานด้วยความตกใจ “พี่หญิง มือของท่านบาดเจ็บ!”บาดแผลนี้เพิ่งเกิดขึ้นตอนที่ชีหยวนดึงบังเหียนม้าและแล้ววิ่งจนแทบจะติดพื้นเม
เงาดำพุ่งเข้ามาด้วยความรวดเร็ว เข้าถึงตัวชีหยวนในชั่วพริบตาชีหยวนที่มือบาดเจ็บในยามนี้อาศัยประสบการณ์อันโชกโชนของตนเอง หลบหลีกการโจมตีแรกด้วยการเบี่ยงไหล่หลบอย่างชำนาญ และนางก็ฉวยโอกาสหลบไปด้านข้างแต่คู่ต่อสู้กลับมีปฏิกิริยารวดเร็วไม่แพ้กัน เมื่อพลาดในครั้งแรก เขากลับตัวอย่างว่องไวและชักกระบี่อ่อนจากเอวออกมา ฟันไปที่ชีหยวนอย่างรุนแรงชีหยวนที่มือเปล่าย่อมไม่ปะทะตรง ๆ กับอีกฝ่าย นางกลั้นความเจ็บจากบาดแผลแล้วก้มเอวหลบ พร้อมกันนั้นก็ยกฉากกั้นผลักใส่คู่ต่อสู้เต็มแรงกระบี่อ่อนเฉือนฉากกั้นขาดเป็นสองท่อนในพริบตาช่างเป็นกระบี่ที่คมกริบยิ่งนัก!ชีหยวนถอยหลังไปสองสามก้าว แต่ปลายกระบี่อ่อนกลับตามมาแตะที่ลำคอของนางได้สำเร็จความเย็นเยียบของปลายกระบี่แนบอยู่ที่คอ ราวกับลิ้นของอสรพิษที่เย็นยะเยือกและเหนียวหนืดคนผู้นั้นแสะยิ้ม “ไฉนหลบไม่ได้แล้ว เจ้าเก่งนักไม่ใช่หรือ? ที่แท้ก็มีฝีมือเพียงแค่นี้!”ชีหยวนสงบอารมณ์ ก่อนจะยิ้มบางให้เขา “เจ้าเอ่ยเช่นนี้ ดูท่าคงจะรู้จักข้าเป็นอย่างดี ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ไยจึงคิดว่าข้าเป็นคนที่จะยอมจำนนง่ายๆ?”ทันทีที่พูดจบ มือขวาที่ซ่อนอยู่ด้านหลังของนางก็เหว
สวีฮว่านเหงื่อเย็นไหลพลั่ก ตอนที่ได้ยินชีหยวนนับหนึ่ง สอง สาม ท้ายที่สุดเขาก็ทนไม่ไหว ร้องเสียงดังออกไป “ข้าให้เจ้าก็ได้! ข้าให้เจ้าก็ได้! สาส์นลับอยู่ใน…อยู่ในชั้นวางลับหลังโต๊ะหนังสือในห้องหนังสือของข้า!” ชีหยวนเปล่งเสียงอุทานออกมาหนึ่งคำ ก่อนจะเก็บกริชและปิ่นทองคำกลับมา แล้วใช้มือข้างหนึ่งคว้าคอเสื้อด้านหลังของเขาฉุดเขาขึ้นมา และผลักให้เขาเดินไปที่ชั้นหนังสือ พร้อมเอ่ยเสียงเข้มว่า “เปิดมัน” สวีฮว่านลังเลเล็กน้อย ทันใดนั้นชีหยวนก็เตะข้อพับขาของเขาอย่างแรงไปหนึ่งที “เปิดออก!” สวีฮว่านดึงจี้หยกที่ห้อยอยู่ข้างเอวของตนเองออกมาด้วยมือที่สั่นเทา ก่อนจะฝังมันเข้าไปในตำแหน่งที่เป็นช่องเว้าบนชั้นวางหนังสือ และหมุนมันหนึ่งรอบ ทันใดนั้นชั้นหนังสือก็เปิดออกอย่างช้า ๆ ทว่าเสี้ยวพริบตาเดียวนี้ สวีฮว่านรีบสะบัดตัวออกจากชีหยวนหวังว่าจะหลบหนี เขารู้ดี โดยปกติคนเราเมื่อตกอยู่ในเสี้ยวขณะที่ได้รับสิ่งของที่ตนเองต้องการมากเป็นอย่างยิ่ง ก็จะเผลอไผลไปได้ง่ายดายที่สุด เขาเฝ้ารอจังหวะนี้มาโดยตลอด ทว่าน่าเสียดาย เขาเพิ่งจะกลิ้งตัวไปกับพื้น กลับเห็นชีหยวนใช้มือปัดลูกธนูที่พุ่งออกมาจากชั้นวางลับ
สวีฮว่านรู้สึกอึดอัดกับแรงกดของกริชเล่มนั้น และไม่รู้ว่าเป็นเพราะผลกระทบทางจิตใจหรือไม่ เขารู้สึกอยู่ตลอดว่ารอยแผลที่ชีหยวนกรีดไปนั้นยังคงมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด สิ่งนี้ทำให้เขาหวาดกลัวถึงขีดสุดจริง ๆ คนย่อมมีจุดอ่อน ชื่อเสียงและความรู้สึกหวงแหนชีวิตก็คือจุดอ่อนของสวีฮว่าน เขาเอ่ยด้วยความร้อนรน “ข้าช่วยเจ้าได้! ข้าช่วยล้างมลทินให้ตระกูลของเจ้าได้ ตราบใดที่พวกเจ้ายอมให้ความร่วมมือ ความผิดนี้ ข้าสามารถโยนให้คนอื่นรับไว้ได้!” ใบหน้าของชีหยวนไร้ซึ่งความรู้สึก ทว่าความเยือกเย็นในดวงตากลับยิ่งลุ่มลึกขึ้นมา ปลายกริชที่นางกดเอาไว้บนลำคอของเขาขยับเล็กน้อย เพียงเสี้ยวพริบตาก็สร้างรอยแผลเลือดซิบเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งรอยให้เขาได้เรียบร้อย ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่เข้มข้นขึ้น “จะผลักความผิดให้แม่ทัพขุนศึกท่านอื่นที่บัดนี้ยังคงสู้รบในสมรภูมิอย่างซื่อสัตย์ภักดี พร้อมยอมพลีชีพเพื่อชาติได้อย่างนั้นหรือ? หรือคิดจะโยนความผิดให้บรรดาบุตรชายของครอบครัวทหารที่ต้องเข้าสู่สมรภูมิรบตั้งแต่วัยเพียงสิบสองสิบสามเหล่านั้นกัน พวกเขายังไม่ทันได้เติบโตด้วยซ้ำ ก็ต้องมาตายภายใต้อุบายชั่วช้าสามานย์ของพวกเจ้า”
หากว่ามี เช่นนั้นก็ต้องเลี้ยงดูให้ดี หากว่าไม่มี เช่นนั้นก็ต้องคิดหาหนทางเลือกเด็กสักคนในตระกูลมาเป็นบุตรบุญธรรมของเขา เพื่อจะได้เป็นทายาทสืบทอดวงศ์ตระกูล ขณะที่กำลังคิดสะระตะ เขาพลันได้ยินเสียงลมหายใจระลอกหนึ่งพัดผ่านข้างใบหู เสียงลมหายใจ! ทว่าในห้องมีเขาอยู่เพียงคนเดียว! เสี้ยวพริบตาเดียวสวีฮว่านพลันรู้สึกเส้นขนลุกชันไปทั่วทั้งตัว สติหลุดออกจากร่าง และทันใดนั้นก็คิดจะหมุนศีรษะกลับไปโดยสัญชาตญาณ ทว่าจังหวะที่เขากำลังคิดจะผินศีรษะกลับไป กริชเล่มหนึ่งก็ปักลงบนลำคอของเขาอย่างเงียบเชียบไร้เสียง หลังจากนั้นเขาได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ เสียงนี้ชัดเจนว่าเป็นเสียงของดรุณีน้อยงามเพริศพริ้งสดใส เหมือนกับเสียงของบุตรสาวของเขาที่เข้ามาออดอ้อนเขาในยามปกติ ทว่าในเสี้ยวขณะนี้เวลานี้ เขากลับไม่รู้สึกว่าเสียงนั่นกำลังออดอ้อนสักนิด! เพื่อแสดงออกถึงความซื่อสัตย์สุจริตของตนเองแล้ว เรือนของเขายังต้องเช่าอาศัย และในเมื่อเรือนยังต้องเช่าอาศัย ดังนั้นในเรือนย่อมไม่สามารถมีบ่าวรับใช้ที่มากเกินไปได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่สามารถมียามเฝ้าเรือนได้ด้วย ดังนั้นองครักษ์เหล่านั้นของเขา ล้วนแต่ถูกเลี
อาภรณ์ชุดใหม่ในเรือนตัดเย็บเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว ปีนี้นับเป็นปีที่หาได้ยากที่เหล่าดรุณีสกุลสวีจะได้สวมเสื้อคลุมขนสัตว์ออกไปเที่ยวชมพระโพธิสัตว์ สกุลสวีทั้งเบื้องบนเบื้องล่างต่างปีติยินดี แม้แต่ฮูหยินสวีก็ยังแต่งกายด้วยอาภรณ์ชุดใหม่ทั้งตัว ในปีนี้นางสวมเสื้อนวมสองชั้นที่ทำจากผ้าไหมฝูกวงซึ่งเป็นแบบที่ทันสมัยที่สุด ข้างนอกคลุมด้วยเสื้อคลุมขนนกยูง มองแล้วดูหรูหราเจิดจ้าจับตา เดิมทีนางรู้สึกประหม่าอยู่เล็กน้อย ก่อนออกจากเรือนยังถึงขั้นถามสวีฮว่านขึ้นมาเป็นพิเศษว่า “วันนี้เป็นวันที่สาม ต้องขึ้นเขาไปกราบไหว้พระโพธิสัตว์ จุดธูปทอนน้ำมัน ทว่าก็มีบรรดาสตรีผู้มีหน้ามีตาในเมืองหลวงไปที่นั่นด้วยเช่นกัน พวกเราแต่งกายเช่นนี้ เหมาะสมแล้วหรือ?” หลายปีที่ผ่านมานี้ บรรดาสตรีในสกุลสวีได้ชื่อว่ามัธยัสถ์เรียบง่ายมาตลอด แต่กระนั้นก็ไม่มีใครดูถูกดูแคลนพวกนาง ใครต่างก็รู้ว่าในเมืองหลวงสวีฮว่านขึ้นชื่อว่าสุจริตมือสะอาด งานเลี้ยงของคนอื่น งานสังสรรค์สุราของคนอื่น เขาไม่เคยไปร่วมเลยสักครา เพราะไปกินของคนอื่น ย่อมเลี่ยงไม่ได้ต้องเชิญคนอื่นมากินเลี้ยงตอบแทนกลับในภายหลัง ใต้เท้าสวีเคร่งครัดในความสุจร
“ไม่!” ชีหยวนส่ายหน้า มองเซียวอวิ๋นถิงตรง ๆ พลางถามว่า “ท่านอ๋อง หากต้องให้คนอื่นมาพูดแทนท่านปู่และท่านพ่อของข้าน้อย ตรงกันข้าม ขอให้คนของท่านยื่นฎีกาไม่ไว้วางใจท่านพ่อและท่านปู่ของข้าน้อยด้วยดีกว่า!” เหล่าจ้าวคิดในใจ นี่เขาไม่ได้ฟังผิดไปกระมัง? คุณหนูใหญ่สกุลชีเสียสติไปแล้วหรือ?! ทว่าเซียวอวิ๋นถิงกลับเข้าใจความหมายของชีหยวนได้ในทันที การลักลอบค้าขายสิ่งของผิดกฎหมายและการสมรู้ร่วมคิดกับข้าศึกขายชาติให้อริศัตรูถือเป็นแผนการอันชั่วช้าเลวร้ายมากเกินไปจริง ๆ เหตุผลที่ผู่อู๋ย่งทำเช่นนี้ ก็เพราะรู้ดีว่าเรื่องนี้ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลวก็สามารถทำให้สกุลชีสูญเสียความน่าเชื่อถือในสายพระเนตรของฮ่องเต้หย่งชางนับจากนี้ไปตลอดกาล แม้ภายหลังจะหาตัวคนร้ายที่แท้จริงเจอแล้วก็ตาม ทว่าหากว่า หากว่าชีหยวนถูกลอบสังหารครั้งแล้วครั้งเล่า และคนในราชสำนักล้วนพากันรุมโจมตีสกุลชี หวังทำลายสกุลชีให้สิ้นซากไป ทว่าต่อมากลับได้ค้นพบความลับในภายหลังว่าเงินตำลึงจำนวนมหาศาลถูกซุกซ่อนไว้ในเรือนเช่าของสกุลสวี ไหนจะคนเหล่านั้นที่เซียวอวิ๋นถิงได้ส่งไปที่จี้โจวแล้วด้วย… เช่นนั้นในตอนนี้ยิ่งทำให้เรื่องราวใหญ่โตอื
ตอนที่นางกลับมาถึงหอหมิงเยว่ เซียวอวิ๋นถิงคอยอยู่บนชั้นสองแล้ว เขาคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้ราวกับเดินกลับเรือนของตนเอง ชีหยวนขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่เมื่อคิดได้ว่ามีเรื่องสำคัญ ก็มิได้พูดอะไรมาก เพียงแต่นั่งลง และเอ่ยขึ้นอย่างตรงประเด็น “ข้าน้อยจัดการสังหารสวีซินเฉียวแล้ว เขามิได้เปิดเผยข้อมูลใดที่เป็นประโยชน์” หนนี้เหล่าจ้าวแอบติดตามมาด้วย วิชายุทธ์ของเหล่าจ้าวนับว่าเลิศล้ำ ดังนั้นต่อให้จะอยู่ห่างไกล เขาก็สามารถได้ยินบทสนทนาของคุณหนูใหญ่สกุลชี มิหนำซ้ำ… ยังพูดอย่างฉะฉานมั่นใจในเหตุผลมากเสียด้วย ทว่าเซียวอวิ๋นถิงกลับไม่รู้สึกถึงความผิดปกติแม้แต่น้อย เขามุ่นหัวคิ้วขึ้น พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “มีคนแอบติดตามเจ้า” อำนาจของขันทีผู้ใหญ่ประจำกรมขันทีราชพิธีมิใช่เล่น ๆ ยิ่งไปกว่านั้นองครักษ์เสื้อแพรยังแทรกซึมเข้าไปได้ทุกที่ กล่าวได้ว่า นับแต่เสี้ยวขณะที่ชีหยวนถูกลอบสังหาร ทุกการเคลื่อนไหวของนางอยู่ในกำมือของพวกเขาหมดแล้ว ชีหยวนเปล่งเสียงรับคำเบา ๆ สีหน้าท่าทางสงบสุขุมยิ่งนัก “ข้าน้อยทราบแล้ว ดังนั้นหลังจากข้าน้อยสังหารสวีซินเฉียว พวกเขาจะคิดว่าอย่างไร?” จะคิดว่าอย่างไรหร
คนเรายามที่ตกอยู่ในภาวะตื่นตระหนกอย่างรุนแรง ก็มักจะเผลอใช้ความคิดฟุ้งซ่านมากลบเกลื่อนความหวาดกลัวและความตกใจของตนเองเสมอ ชีหยวนเผากริชด้วยไฟจนร้อนจัด ก่อนจะดึงหน้านิ่งและเสียบมันเข้าไปที่กระดูกสะบักซ้ายของสวีซินเฉียว จนแทงทะลุไปอีกด้านหนึ่งของเขา ทว่าหนนี้สวีซินเฉียวแม้แต่เสียงร้องก็ยังเปล่งออกมาไม่ได้ ทรุดลงกับพื้นทั้งร่างสั่นเทาและชักกระตุก ดวงตาฉายประกายหวาดกลัว ชีหยวนหยัดกายขึ้นยืน ก่อนจะหมุนตัวกลับไปอย่างเรียบเฉยและส่งยิ้มให้สวีซินเฉียวพลางเอ่ยว่า “ใต้เท้าสวี ท่านจะไม่พูดก็ย่อมได้ ข้าเข้าใจ ว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันกับชีวิตของคนในสกุล ท่านจะไม่พูดก็เป็นเรื่องธรรมดา เช่นนั้นพวกเราค่อยพบกันอีกครั้งในยุทธจักรเถิด” นางเอ่ยพลาง ก็ส่ายเทียนไขในมือของตนเองไปมา “ข้าจะส่งท่านเดินทางครั้งสุดท้าย เผาท่านไม่ให้เหลือซาก จะได้ประหยัดแม้กระทั่งโลงศพด้วย ถือเป็นการทำประโยชน์เล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อชาวบ้านจี้โจวไปด้วย” ชาวหว่าล่ารุกรานเข้ามาทุกปี ชาวบ้านในที่แห่งนั้นเผชิญหายนะทุกข์ทรมานกันไปแล้วตั้งเท่าใด?! พวกเขาโหดร้ายป่าเถื่อน บุรุษถูกสังหารทันที ส่วนสตรีและเด็กก็กวาดต้อนกลับไปยังทุ่งหญ
และทันทีที่ผ้าขี้ริ้วถูกดึงออกมาจากในปาก สวีซินเฉียวไม่แม้แต่จะหยุดชะงักก็อ้าปากหมายจะตะโกนร้องขอความช่วยเหลือทันที แต่ชัดเจนว่าความรวดเร็วของชีหยวนยังเร็วกว่าเขามาก เขายังไม่ทันได้อ้าปากส่งเสียง ชีหยวนก็จัดการยัดผ้าขี้ริ้วกลับเข้าไปในปากของเขาอีกครั้งด้วยความรวดเร็วแล้ว และที่ยัดเข้าไปคราวนี้ก็ลึกยิ่งกว่าคราวก่อน แทบจะจุกเข้าไปถึงด้านในลำคอของสวีซินเฉียว ทำให้สวีซินเฉียวถึงขั้นพะอืดพะอมพยายามสำรอกออกมาหลายครั้ง ระดับความตื่นรู้ของคนหนึ่งคน เทียบเท่ากับระดับความเจ็บปวดทั้งหมดที่เขาได้รับ สำหรับสวีซินเฉียวในยามนี้ก็นับเป็นเช่นนี้ ในที่สุดเขาก็ตระหนักได้ว่า เมื่อใดที่สตรีตรงหน้าเอื้อนเอ่ยวาจาน้ำลายหนึ่งหยดของนางคือตะปูหนึ่งดอก หากไม่เชื่อฟังคำพูดของนางแล้ว นางจะแสดงความน่ากลัวอย่างถึงที่สุดออกมา ชีหยวนผุดยิ้มเล็กน้อยพลางหยิบปิ่นปักผมขึ้นมาและปักกลับไปที่มวยผมดังเดิม จากนั้นค่อยแค่นเสียงหัวเราะออกมาเบา ๆ พลางขยับข้อมือไปมา “ใต้เท้าสวี ดูท่านสิ เหตุใดท่านจึงไม่เชื่อฟังกันบ้างเจ้าคะ? คนที่ไม่เชื่อฟัง จะต้องถูกลงโทษนะเจ้าคะ” เอ่ยพลาง นางก็เลื่อนมือข้างหนึ่งไปปิดปากสวีซินเฉียวไว
แต่ยิ่งเป็นเช่นนั้น สวีฮว่านก็ยิ่งระมัดระวังในการกระทำมากขึ้นไปอีกที่จวนไม่เคยจัดงานเลี้ยงหรืองานมหรสพใด ๆ เลยแม้แต่ในงานเลี้ยงวันเกิดของหญิงชรา ก็แค่ให้คนในครอบครัวทานข้าวด้วยกันมื้อเดียวแล้วก็จบกันไปเงินทองในบ้านกองเป็นภูเขา ผ้าไหมผ้าแพรก็มีมากมาย แต่ก็ไม่เคยเอาออกมาใช้แค่เห็นแต่ใช้ไม่ได้ นี่แหละถึงเป็นเรื่องที่อึดอัดใจและกลัดกลุ้มใจที่สุด!นางยังคิดว่าสวีฮว่านคงจะเป็นแบบนี้ไปทั้งชีวิตแล้ว ใครจะรู้ว่าเขาเหมือนจะคิดตกได้ในทันทีสวีฮว่านยิ้มบาง ๆ พูดอย่างมีนัยยะว่า “เมื่อก่อนใช้ไม่ได้ แต่หลังจากนี้จะใช้ได้แล้ว”ฮูหยินสวีฟังไม่เข้าใจว่าเขาหมายความว่าอะไร แต่ก็ดีใจยิ่งนัก รีบเปิดคลังเอาหนังสัตว์ออกมา ตัดเสื้อผ้าใหม่ให้เด็ก ๆ ในบ้านกันคนละชุดที่แห่งนี้เต็มไปด้วยความชื่นมื่นสวีซินเฉียวออกจากบ้านสวีก็ยิ้มแย้มมีความสุขเช่นกันแน่นอนว่ามีความสุขอยู่แล้ว!สิ่งที่เขาทำ เขาก็รู้ตัวดีว่าเป็นความผิดมหันต์ถึงขั้นถูกตัดหัวและฆ่าล้างเก้าชั่วโคตร แต่ตอนนี้ไม่ต้องกลัวแล้ว เพราะมีตระกูลชีเป็นแพะรับบาปไปแล้ววันขึ้นปีใหม่ บังเอิญมีเรื่องมงคล เขาดีใจจนเดินตรงไปที่หอหงเฟิ่นจินที่ค้าขายดีท