ในใจขององค์หญิงลั่วชวนเต็มไปด้วยคลื่นอารมณ์ที่ผสมปนเปนางใช้ชีวิตมาจนถึงวันนี้ เพิ่งจะเข้าใจความหมายของคำว่าอารมณ์หลากหลายผสมปนเปว่าเป็นเช่นไรเดิมทีนางเคยคิดว่าชีหยวนเป็นเพียงลูกกระต่ายน้อยที่ปล่อยให้ใครเชือดเฉือนได้ตามใจ แต่ตอนนี้เมื่อคิดย้อนกลับไป นางก็เข้าใจแล้ว กระต่ายน้อยอะไรกัน?นางคือหมาป่าชัด ๆ!แถมยังเป็นหมาป่าที่ดวงตาเปล่งแสงสีเขียวอำมหิตเมื่อนึกถึงตอนที่ชีหยวนแนะนำตัวบอกว่าจะประลองกับหลิ่วหมิงจูเป็นคนแรก คิดว่าคงวางแผนทุกอย่างไว้ล่วงหน้าแล้วนางไม่รู้ว่าหลิ่วหมิงจูและชีหยวนมีความแค้นใดต่อกันแต่ชีหยวนชนะอย่างสมบูรณ์แบบมุกล้ำค่าแห่งนครหลวง?ตั้งแต่วันนี้ไป ฉายานี้จะไม่มีวันถูกเอ่ยถึงอีกตลอดกาลชีหยวนได้ทำลายมุกล้ำค่าแห่งนครหลวงที่ตระกูลหลิ่วสร้างขึ้นด้วยน้ำมือของนางผลกระทบจากเหตุการณ์ในครั้งนี้จะไม่จบเพียงแค่นี้แน่นอนการที่หลิ่วหมิงจูแพ้ในการแข่งขัน จริง ๆ แล้วไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร การแข่งขันย่อมมีแพ้มีชนะเป็นเรื่องธรรมดา เพียงไม่นานก็จะไม่มีใครจดจำเรื่องนี้ได้อีกแต่หลิ่วหมิงจูรับความพ่ายแพ้ไม่ได้ แก้แค้นต่อหน้าผู้คนด้วยการตีขาม้าของชีหยวนจนหัก ทำให้ชีหยวนพ
เพราะนางรู้สึกชินชาไปหมดแล้วเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้เกินกว่าที่นางจะเข้าใจได้เมื่อมองไปยังชีหยวน ก็พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมฮูหยินผู้เฒ่าชีถึงมีสีหน้าอันซับซ้อนในวันนั้นการที่ให้นาง ‘ดูแล’ ชีหยวนนั้น ไม่ใช่การดูแลชีหยวนจริง ๆ...ชีหยวนพยักหน้า ก่อนจะคุกเข่าลงอย่างง่ายดาย พร้อมกับคำนับอ๋องโจว “ท่านอ๋องทรงปราดเปรื่องยิ่งนัก ท่านอ๋องทรงพระเจริญพันปี พันปี พันพันปี!” ......ไม่รู้เพราะอะไร อ๋องโจวกลับรู้สึกว่าการคำนับของชีหยวนดูง่ายเกินไปจากท่าทีของเด็กสาวที่เถียงผู้คนได้อย่างดุดัน เขาคิดว่านางคงพูดอะไรอย่างเช่น ‘ใต้เข่ามีทองไม่ควรคุกเข่าพร่ำเพรื่อ’ ออกมาเสียอีกแต่กลับกลายเป็นว่านางคุกเข่าลงได้ง่ายยิ่งกว่าผู้ใดจนเขาอดไม่ได้ที่จะลูบเคราของตนเองก่อนจะพยักหน้า “คุณหนูใหญ่ชี ไม่ต้องมากพิธี รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถิด”หวังฉานรีบวิ่งเข้ามา ดึงมือชีหยวนไว้ทันทีพอดึงมือไว้ นางถึงได้สังเกตว่าฝ่ามือของชีหยวนเปียกชื้นเหนียวเหนอะไปหมด เมื่อมองลงไป นางก็ร้องอุทานด้วยความตกใจ “พี่หญิง มือของท่านบาดเจ็บ!”บาดแผลนี้เพิ่งเกิดขึ้นตอนที่ชีหยวนดึงบังเหียนม้าและแล้ววิ่งจนแทบจะติดพื้นเม
เงาดำพุ่งเข้ามาด้วยความรวดเร็ว เข้าถึงตัวชีหยวนในชั่วพริบตาชีหยวนที่มือบาดเจ็บในยามนี้อาศัยประสบการณ์อันโชกโชนของตนเอง หลบหลีกการโจมตีแรกด้วยการเบี่ยงไหล่หลบอย่างชำนาญ และนางก็ฉวยโอกาสหลบไปด้านข้างแต่คู่ต่อสู้กลับมีปฏิกิริยารวดเร็วไม่แพ้กัน เมื่อพลาดในครั้งแรก เขากลับตัวอย่างว่องไวและชักกระบี่อ่อนจากเอวออกมา ฟันไปที่ชีหยวนอย่างรุนแรงชีหยวนที่มือเปล่าย่อมไม่ปะทะตรง ๆ กับอีกฝ่าย นางกลั้นความเจ็บจากบาดแผลแล้วก้มเอวหลบ พร้อมกันนั้นก็ยกฉากกั้นผลักใส่คู่ต่อสู้เต็มแรงกระบี่อ่อนเฉือนฉากกั้นขาดเป็นสองท่อนในพริบตาช่างเป็นกระบี่ที่คมกริบยิ่งนัก!ชีหยวนถอยหลังไปสองสามก้าว แต่ปลายกระบี่อ่อนกลับตามมาแตะที่ลำคอของนางได้สำเร็จความเย็นเยียบของปลายกระบี่แนบอยู่ที่คอ ราวกับลิ้นของอสรพิษที่เย็นยะเยือกและเหนียวหนืดคนผู้นั้นแสะยิ้ม “ไฉนหลบไม่ได้แล้ว เจ้าเก่งนักไม่ใช่หรือ? ที่แท้ก็มีฝีมือเพียงแค่นี้!”ชีหยวนสงบอารมณ์ ก่อนจะยิ้มบางให้เขา “เจ้าเอ่ยเช่นนี้ ดูท่าคงจะรู้จักข้าเป็นอย่างดี ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ไยจึงคิดว่าข้าเป็นคนที่จะยอมจำนนง่ายๆ?”ทันทีที่พูดจบ มือขวาที่ซ่อนอยู่ด้านหลังของนางก็เหว
อ๋องฉีจ้องนางด้วยสายตาแข็งกร้าว พอเห็นนางเดินลอยหน้าลอยตาไปยังม่านเตียงข้าง ๆ โดยไม่สนใจอะไร ฉีกผ้าม่านมาพันมืออย่างไม่ใส่ใจ เขาก็กัดฟันเอ่ยถามอีกครั้ง “เพราะอะไร?!”ชีหยวนถามโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้ามอง “ท่านอ๋องหมายถึงเรื่องใดหรือ?”“ข้าถามเจ้า เหตุใดเจ้าต้องการสังหารข้า!” อ๋องฉีตะโกนลั่น ดวงตาแดงก่ำ: “ข้าสัญญาแล้วว่าเมื่อข้าขึ้นครองราชย์จะแต่งตั้งเจ้าเป็นกุ้ยเฟย ได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายตลอดไป ทำไมเจ้าจึงยังต้องการฆ่าข้า?!”ในใจเขารู้สึกไม่ยินยอมอย่างถึงที่สุดไม่ยินยอม!เขาฝ่าฟันอุปสรรคมามากมาย กว่าจะได้ตราประทับแผ่นดินไว้ในมือ อีกเพียงก้าวเดียวก็จะขึ้นสู่บัลลังก์แต่กลับมาตายด้วยน้ำมือของชีหยวน!นางคนชั้นต่ำผู้นี้!เสียแรงที่เขาดีกับชีหยวนขนาดนี้!ชีหยวนเงียบไปชั่วขณะแต่ความเงียบนั้น สำหรับอ๋องฉีกลับยาวนานนัก เขายกเกาทัณฑ์แขนเสื้อเล็งไปยังชีหยวนอย่างเย็นชา “ข้าถามเจ้า! ว่าเพราะอะไร!”ในที่สุด ชีหยวนก็เงยหน้าขึ้นมองอ๋องฉี “ท่านอ๋องต้องการรู้จริงหรือ?”เขาย่อมต้องการรู้!เขาสัญญาว่าจะให้ตำแหน่งกุ้ยเฟยแล้ว เหตุใดชีหยวนถึงยังต้องฆ่าเขาอีก?อ๋องฉีก้าวเข้าไปอีกสองก้าว “บอกมา...
อ๋องโจวและเซียวอวิ๋นถิงต่างก็มาถึงโดยเร็วเดิมทีฮูหยินรองตระกูลชีแค่อยากเชิญอ๋องโจวและเซียวอวิ๋นถิงมา แต่ใครจะรู้ว่าฮูหยินใหญ่หลิ่วก็ตามมาด้วยเมื่อเห็นฮูหยินใหญ่หลิ่วก็มาด้วย ฮูหยินรองตระกูลชีเม้มปากเอ่ยด้วยความกล้า “ฮูหยินซื่อจื่อ วันนี้หยวนหยวนของเรามิได้ทำอะไรผิดเลน ถ้าจะว่าด้วยเรื่องการแข่งขัน ก็เป็นบุตรีของท่านที่ปลุกปั่นก่อน ส่วนเรื่องแพ้ชนะ บุตรหลานของเราเองก็ชนะอย่างโปร่งใส…...”ฮูหยินใหญ่หลิ่วมีสีหน้าถมึงทึง ไม่อยากฟังคำพูดไร้สาระของนางและเมื่อพวกนางตามอ๋องโจวและเซียวอวิ๋นถิงไปถึงตำหนักเถาฮวาอู้ที่ชีหยวนเปลี่ยนชุด ก็ต้องตกตะลึงกับสภาพเละเทะภายในห้อง ตำหนักเถาฮวาอู้แทบจะถูกรื้อจนพังพินาศ ใครที่ไม่รู้ คงนึกว่าที่นี่ถูกโจรปล้นมา!ฮูหยินใหญ่หลิ่วขมวดคิ้ว เดิมทีนางตั้งใจมาสอบสวน นางไม่มีทางที่จะถูกคำพูดไม่กี่คำของชีหยวนทำให้จนมุมได้ เรื่องในวันนี้ ชีหยวนต้องชดใช้ในสิ่งที่นางทำ!ทว่านางไม่คิดว่าจะได้มาเห็นภาพเช่นนี้ในขณะเดียวกัน อ๋องโจวก็ถามด้วยความตกใจ “นี่มันเกิดอะไรขึ้น? คุณหนูใหญ่ชี นี่เจ้า……”หนังตาข้างขวาของเซียวอวิ๋นถิงกระตุก รู้สึกถึงลางร้ายจะเกิดขึ้นชีหยวนพ
ฮูหยินใหญ่หลิ่วหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา: “คนอย่างเจ้าที่เป็นตัวก่อภัย ผู้ที่อยากฆ่าเจ้าก็คงมีมากมายเหมือนปลาไนที่ข้ามแม่น้ำ ใครจะไปรู้ว่าใครเป็นผู้ลงมือ!”คิดแล้วนางก็กล่าวเย้ยหยัน: “หรือว่า ต่อไปถ้าเจ้ามีเคราะห์ร้ายอะไร ก็จะโทษว่าเป็นพวกเราทั้งหมดให้ได้?!”“ใช่แล้วเจ้าค่ะ!” ชีหยวนตอบกลับอย่างหน้าตาเฉย: “เช่นนั้น ฮูหยินใหญ่หลิ่วควรภาวนาให้ข้ารอดชีวิตไปจนแก่เฒ่า มิอย่างนั้น ข้าเคยมีปัญหากับพวกท่านเท่านั้น คนที่อยากฆ่าข้าก็มีแต่พวกท่าน ถ้าข้าตายขึ้นมา ผู้ต้องสงสัยที่สุดก็ต้องเป็นพวกท่านนั่นแหละเจ้าค่ะ!”……นางชั้นต่ำ! ช่างชั้นต่ำเสียจริง!เซียวอวิ๋นถิงที่ไม่ได้พูดอะไร กระแอมออกมาเบาๆ ทำให้ทุกคนสนใจเขาสำหรับพระราชนัดดาองค์โตที่กำลังเริ่มโดดเด่นในสายพระเนตรของฮ่องเต้หย่งชาง ทุกคนย่อมไม่กล้าล่วงเกินเขาอ๋องโจวหันมองเซียวอวิ๋นถิง น้ำเสียงอ่อนลงเล็กน้อย: “เรื่องนี้ ข้าจะให้คนตรวจสอบให้ชัดเจน ถึงเวลานั้นก็จะให้คำตอบที่เหมาะสมแก่คุณหนูใหญ่ชี”เซียวอวิ๋นถิงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ: “ท่านปู่น้อย การแข่งตีคลีที่ดีๆ ซึ่งเป็นงานสำคัญประจำปีในเมืองหลวง ควรจะตรวจสอบอย่างจริงจัง มิฉะนั้น หากเกิด
น้ำตาของฮูหยินใหญ่หลิ่วยังเกาะอยู่บนใบหน้า นางกำหมัดแน่น กัดฟันพูดอย่างโกรธแค้นว่า: “ข้าไม่เคยเห็นคนที่ไร้ยางอายถึงขนาดนี้มาก่อน!”เสียงของนางสั่นเล็กน้อย: “นางเด็กคนนั้นมันช่างเป็นคนที่ดื้อด้าน ไม่มีความละอายใจเลยสักนิด! พูดจาเสียดแทงก็ไม่สะทกสะท้าน สาดน้ำใส่ก็ไม่ขยับ!”หนาหน้าเหมือนกำแพงเมืองก็ไม่ปาน!ถ้าเป็นเด็กสาวที่ยังไม่ได้แต่งงานคนอื่น แม้คำพูดรุนแรงแค่คำเดียวก็แทบรับไม่ไหวแล้วแต่ชีหยวนนั้นกลับไม่ใช่เช่นนั้น ใครด่านางคำหนึ่ง นางก็สวนกลับไปอีกคำ ไม่ว่าจะพูดอย่างมีหลักการหรือด่าอย่างไม่เลือกถ้อยคำ นางก็ตอบโต้ได้แบบเจ็บแสบฮูหยินใหญ่หลิ่วไม่เคยได้รับความอัปยศอดสูเช่นนี้มาก่อน!หลิ่วจิงหงมองดูภรรยา เห็นนางที่เอ่ยถึงเรื่องนี้ก็ยังตัวสั่นเล็กน้อย ก็รู้ทันทีว่านางโกรธจนทนไม่ไหวแล้วเขาหรี่ตาลงเล็กน้อย: “ยากรับมือขนาดนั้นเชียวหรือ?”ฮูหยินใหญ่หลิ่วสะอื้น: “ยากกว่าทุกคนที่ข้าเคยเจอ! จะว่าอย่างไรดี…... อย่างไรเสียนางไม่มีความละอายใจเลย และไม่ยอมอยู่ในกฎเกณฑ์…...”กล้าพูดทุกสิ่ง กล้าทำทุกอย่างในใจฮูหยินใหญ่หลิ่วเริ่มเสียใจ ทำไมต้องช่วยองค์หญิงระบายความโกรธจนทำให้ลูกสาวต้องมาเผช
พูดไปแล้ว ชีหยวนคนนี้นับว่าเป็นผู้เล่นการเมืองที่เหมาะสมทีเดียวทั้งหน้าหนาและพลิกสถานการณ์เก่ง ขุนนางอาวุโสในราชสำนักอีกตั้งหลายคนก็ยังไม่หน้าหนาเท่านางแต่ถึงจะชื่นชมในจุดนี้ มันก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้อยู่ดีเขาพูดปลอบใจลูกสาวไม่กี่คำ แล้วหันไปพูดกับฮูหยินใหญ่หลิ่วว่า: “ไป ไปพบกับคุณหนูใหญ่ชีผู้นี้สักหน่อย”ชีหยวนกำลังพูดคุยอยู่กับเซียวอวิ๋นถิงอันที่จริงอาการบาดเจ็บของนางนั้นหนักมากตอนที่ตกจากหลังม้า นางกระแทกเข้าที่หลังเต็มๆ เมื่อครู่หมอหลวงหูเพิ่งตรวจดู อดเดาะปากไม่ได้ ไม่รู้ว่านางทนมาถึงตอนนี้ได้อย่างไรจนกระทั่งตอนนี้ที่นั่งอยู่ตรงข้ามเซียวอวิ๋นถิง สีริมฝีปากของนางยังดูซีดขาวเล็กน้อยเซียวอวิ๋นถิงทำหน้าตึงมองดูนางที่ยังทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พร้อมดื่มชาหมดถ้วยรวดเดียว ในที่สุดก็อดถามไม่ได้: “เจ้าไม่มีอะไรอยากจะพูดกับข้าบ้างเลยหรือ?”ชีหยวนมองเขาอย่างแปลกใจ:“แน่นอนว่ามี ท่านอ๋อง เมื่อครู่นักฆ่าที่แอบซ่อนในห้องมิใช่คนของฮูหยินใหญ่หลิ่วพวกนาง ท่านทราบหรือไม่ว่าเป็นใคร?”......ช่างไม่ตรงประเด็นเลยจริงๆ!เซียวอวิ๋นถิงอดไม่ได้ที่จะลดเสียงลงด้วยถามความโกรธ: “ข้าไม่ได้ถ
เหล่าจ้าวพาหลีฮวาไปส่งให้คนที่ไว้ใจได้รับผิดชอบต่อ ไม่นานนักตนเองก็กลับมาอยู่ข้างกายเซียวอวิ๋นถิง : “ท่านอ๋อง ให้ข้าน้อยไปเองเถิด” หลีฮวายอมเผยคำสั่งของชีหยวนแล้ว หากว่าหวงเหวินจวิ้นคิดทรยศและไปแจ้งข่าว ตามวิธีการอันเด็ดขาดไร้ความปรานีของจวนฉู่กั๋วกงแล้ว จะต้องส่งองครักษ์ลับในเงามืดมาไล่ล่าสังหารนางแน่ และบัดนี้ ก็เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมจะลงมือที่สุดแล้ว อ๋องฉีและจวนฉู่กั๋วกงใช้ความพยายามและเงินทองไปมากมายมหาศาลเพื่อเลี้ยงดูฝึกฝนเหล่านักฆ่ากลุ่มนี้ เพื่อดูแลพวกคนเหล่านี้ เงินที่ทุ่มไปในทุกปีล้วนมีมากจนนับไม่ถ้วน จนถึงทำให้ท่านอ๋องผู้สูงศักดิ์ต้องกระเสือกกระสนเปิดหอคณิกาเพื่อหารายได้ การทำลายองครักษ์ลับเหล่านี้ ทำให้พวกเขาเจ็บใจเสียยิ่งกว่าฆ่าพวกเขาให้ตายเสียอีก เขาอาสาออกศึกนี้ด้วยตนเอง และคิดว่าหากสังหารคนเหล่านี้ได้แล้ว จะไปตามหาปาเป่าลิ่วจิน และจากนั้นค่อยดูไปทีละขั้นว่าคุณหนูใหญ่สกุลชีคนนี้จะสามารถทำอะไรได้อีก และคิดจะลงมืออย่างไรต่อไปอีก ช่างเป็นคนที่มหัศจรรย์ยิ่งนัก ทว่าเซียวอวิ๋นถิงกลับส่ายหน้า: “ไม่ เจ้าไม่ต้อง ข้าไปเอง” เหล่าจ้าวคัดค้านทันควัน: “ท่านอ๋อง เ
ใบมีดแหลมคมเปล่งประกายวาววับสะท้อนลำแสงอันเยือกเย็นภายใต้แสงตะวันเจิดจ้า ลมหนาวของเหมันต์ฤดูพัดพาทำให้หิมะบนกิ่งไม้ร่วงหล่นลงมา หวงเหวินจวิ้นนอนขดตัวอยู่บนพื้น เมื่อเห็นคมมีดเล่มนั้นฟาดลงมา ก็หลับตาลงด้วยความสิ้นหวัง ไกลออกไป มีสายตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องทุกสิ่งอย่างถี่ถ้วน กระทั่งคนของจวนฉู่กั๋วกงจัดการเก็บกวาดร่างไร้วิญญาณอย่างใจเย็นจนเรียบร้อยแล้ว ผู้เฒ่าจ้าวถึงจะเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ท่านอ๋อง เขาตายสนิทแล้วขอรับ” เซียวอวิ๋นถิงเลิกคิ้ว นัยน์ตาดอกท้อบนใบหน้าหล่อเหลากำลังสะท้อนประกายวาววับ เอียงศีรษะมองไปทางหลีฮวาที่กำลังตัวสั่นเทิ้มอยู่ด้านข้าง: “ใช่คนนี้หรือไม่?” หลีฮวาผงกศีรษะรัว นัยน์ตาเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก: “ใช่เพคะ! เป็นเขาแน่นอน! คุณหนูให้หม่อมฉันมาบอกท่านอ๋องว่า คนผู้นี้มีท่าทีไม่ชอบมาพากลตั้งแต่แรก ตอนใช้เขา เขาก็พยายามทำผิดสัญญาอยู่หลายครั้ง มิใช่คนที่น่าไว้วางใจ ฉะนั้น…” เหล่าจ้าวซึ่งยืนอยู่ด้านข้างถึงกับตกใจจนพูดไม่ออก คนที่ติดต่อกับคุณหนูใหญ่สกุลชีคนนี้ ปกติแล้วจะเป็นปาเป่าและลิ่วจิน ดังนั้น ทุกครั้งที่ปาเป่าและลิ่วจินพูดถึงชีหยวนขึ้นมา น้ำเสียงจะฟังด
เขาอดไม่ได้ที่จะโทษตัวเองที่โลภมากเกินไปได้มาแล้วสองพันตำลึง ก็ยังอยากได้ถึงหมื่นตำลึง สองหมื่นตำลึง หรือแม้แต่ใฝ่ฝันจะได้รับความไว้วางใจจากจวนฉู่กั๋วกง กลายเป็นคนใหญ่คนโตในอนาคตจวนกั๋วกงระดมกำลังองครักษ์ลับที่เหลือจากจวนฉีอ๋องในคืนนั้นทันทีสำหรับเรื่องนี้เลขาธิการเวินที่ปรึกษาของจวนกั๋วกงกลับไม่เห็นด้วย: “ท่านกั๋วกง แม้จวนกั๋วกงจะสนิทสนมกับท่านอ๋อง แต่ก็ยังมีคำกล่าวหนึ่งที่ว่าคนนอกไม่อาจแทรกกลางระหว่างคนที่สนิทกันได้…...”ระยะหลังมานี้ ดูเหมือนอ๋องฉีจะเริ่มตีตัวออกห่างจากจวนกั๋วกงอย่างชัดเจนไม่นับเรื่องอื่นๆ แค่ครั้งนี้อ๋องฉีออกไล่ล่าชีหยวนไปถึงฝูเจี้ยน กลับไม่บอกกล่าวกับตระกูลหลิวเลยแม้แต่น้อย ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ไม่ปกติเอาเสียเลยหากตอนนี้ยังขืนสั่งการให้หน่วยองครักษ์ลับของอ๋องฉีเคลื่อนไหวโดยพลการ เกรงว่าเมื่ออ๋องฉีรู้เข้าความรู้สึกที่มีต่อตระกูลหลิวอาจจะยิ่งแย่ลงกว่าเดิมทว่าหากเป็นเมื่อก่อนพูดเช่นนี้ ฉู่กั๋วกงยังพอรับฟังได้แต่ในเวลานี้ เขากำลังจมอยู่ในความโศกเศร้าและตกตะลึงกับความเป็นไปได้ที่บุตรชายของตนอาจตายไปแล้ว ยังจะฟังคำเตือนเช่นนี้ได้อีกหรือ?ทันใดนั้นเขาก็ห
ถึงกระนั้น ฉู่กั๋วกงก็ยังไม่อาจเชื่อได้ว่าลูกชายคนหนึ่งของตนที่ยังมีชีวิตอยู่จริงๆ จะจากไปเช่นนี้เขาเม้มริมฝีปากพลางมองหวงเหวินจวิ้นที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะเปลี่ยนท่านั่งบนเก้าอี้แล้วถามเขาเสียงเย็นชา: “แล้วศพของลูกชายข้าอยู่ที่ไหน?”เมื่อเอ่ยคำว่าศพออกมา แก้มของเขาก็ยังรู้สึกเจ็บแปลบลูกชายคนนี้ได้มาอย่างยากลำบาก เขาทะนุถนอมอย่างดีเสมอ แม้กระทั่งเพื่อให้เขามีอนาคตที่สดใส ยอมให้ลูกชายถูกยกไปอยู่ในนามของภรรยาเอก เพียงเพื่อให้เขาได้รับการยอมรับและสืบทอดตำแหน่งแห่งจวนกั๋วกงอย่างสมศักดิ์ศรีแต่การลงทุนทั้งชีวิตกลับพังทลายลงในชั่วพริบตา สำหรับเขาแล้ว ไม่มีเรื่องใดจะเจ็บปวดยิ่งไปกว่านี้อีกแล้วขณะเดียวกัน หวงเหวินจวิ้นเริ่มรู้สึกเสียใจที่มาที่จวนกั๋วกงบ้างแล้ว เขาทำงานเป็นผู้คุ้มกันมาก็หลายปีแล้ว ตามหลักแล้วเขาควรได้เลื่อนเป็นหัวหน้าสาขาย่อยของกลุ่ม แต่เหล่าผู้คุ้มกันที่มารุ่นเดียวกันกับเขา บางคนก็ตั้งสำนักของตัวเอง บางคนที่ไปไม่รอดก็ยังได้เป็นคนสำคัญในสาขาย่อยไปแล้ว มีแต่เขา สามารถเป็นหัวหน้าผู้คุ้มกัน ก็ยังต้องพึ่งประสบการณ์ของตัวเอง ไต่เต้าทีละขั้นแม้ภายนอกเขาจะแสร้งใจเย็นไม่ใส่ใ
ผู้คนที่อยู่ใต้การนำของฉู่กั๋วกง ล้วนเป็นคนที่เด็ดเดี่ยวและดุดัน แต่ก็ผ่านการรบมานับครั้งไม่ถ้วน มีประสบการณ์สูง และน่าไว้วางใจอย่างมากในทุกเรื่องที่ทำเมื่อได้ยินพ่อบ้านรายงานเช่นนี้ ฉู่กั๋วกงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ แล้วก้าวเดินไปข้างหน้า: “ดี พาข้าไปดูหน่อย”เขากล่าวพลางก้าวเดินด้วยความเร็ว พ่อบ้านรีบก้าวตามหลังไป เปิดประตูห้องเก็บฟืนที่ขังหวงเหวินจวิ้นไว้ ก็เห็นหวงเหวินจวิ้นที่นอนราบกับพื้นที่ด้านใน แทบสิ้นลมหายใจด้วยความโกรธโทสะของฮูหยินผู้เฒ่าหลิ่ว ทำให้คนข้างล่างไม่กล้าลงมือเบาๆ ดังนั้นจึงโบยหวงเหวินจวิ้นจนเกือบเอาชีวิตไปกว่าครึ่งกั๋วกงเดินไปดึงเก้าอี้มานั่งลงอย่างสง่างาม ก่อนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วถามเสียงเข้มว่า “เจ้าเป็นใคร? เหตุใดถึงมาแอบอ้างเที่ยวหลอกลวงต้มตุ๋นถึงที่นี่?”หวงเหวินจวิ้นไม่รู้ว่าผู้มีบรรดาศักดิ์เหล่านี้จะมองว่าเขามาหลอกลวงต้มตุ๋นแต่เขาก็รู้ว่า หากเขาไม่แสดงหลักฐานอะไรออกมา จุดจบก็คือถูกตีตายทั้งเป็นผู้มีบรรดาศักดิ์เหล่านี้ไม่มีวันมองว่าชีวิตของคนชนชั้นล่างอย่างเขามีค่าเลยก่อนหน้านี้เขายังคิดจะฉวยโอกาสขึ้นราคา ข่มขู่จวนฉู่กั๋วกงอยู่ แต่ตอนนี้ความคิดเ
ฮูหยินผู้เฒ่าหลิ่วรู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจ ชี้ไปที่หวงเหวินจวิ้นซึ่งคุกเข่าอยู่กับพื้น พลางออกคำสั่งเสียงเข้มกับพ่อบ้าน: “กล้ากุเรื่องใส่ร้ายผู้สืบทอด! ลากตัวออกไปโบย! โบยให้หนัก!”นางถูกทำให้โกรธเป็นอย่างมาก มือที่ชี้เขายังรู้สึกเหมือนถูกไฟลวก ร่างทั้งร่างสั่นเทิ้มไม่หยุดช่างเป็นเรื่องตลก! ลูกชายของนางจะตายไปได้อย่างไร?!จิงหงเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมาตั้งแต่เล็กจนโต เป็นเสาหลักของนางมาโดยตลอดพูดได้เลยว่า ก็เพราะนางคลอดลูกชายคนนี้ มีลูกชายที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ นางถึงสามารถบดบังคนตายคนก่อน และสามารถโค่นล้มพระชายาหลิ่วที่สมควรตายลงได้เขาจะตายได้อย่างไรกัน?!พ่อบ้านเห็นสีหน้าของนางแดงคล้ำเหมือนจะขาดอากาศหายใจในทุกเมื่อ จึงรีบตอบรับคำสั่ง แล้วลากตัวหวงเหวินจวิ้นออกไปทันทีหวงเหวินจวิ้นถึงกับตื่นตระหนกอย่างสับสนคนที่อยู่สูงพวกนี้ต่างไร้เหตุผลเช่นนี้หรือ?เขาอุตส่าห์มาแจ้งข่าวด้วยความหวังดี ทำไมหญิงชราคนนี้กลับเอ่ยปากจะโบยเขาให้ตายเสียแล้ว?!เมื่อเห็นเหล่าพ่อบ้านลากตัวเขาออกไปดุร้ายเหมือนหมาป่าเหมือนเสือ แทบไม่รู้ว่าจะโดนลงโบยเป็นสภาพไหน เขาก็ลนลานทันที: “ท่านผู้เฒ่า! ลูกชายของท่านตายไป
หลิ่วหมิงจูเงียบโดยไม่พูดอะไรฮูหยินผู้เฒ่าหลิ่วก็หรี่ตาลง: “ตอนนี้แค่เด็กรากหญ้าต่ำต้อยคนหนึ่งก็สามารถทำให้เจ้าว้าวุ่นจนเสียความสงบและหมดกำลังใจได้! แล้วต่อไปเจ้าจะเป็นพระชายาของอ๋องฉีได้อย่างไร? หรือกระทั่งก้าวขึ้นเป็นมารดาของแผ่นดินในอนาคต! เมื่อเข้าไปในวังหลวง ซึ่งเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยเล่ห์กลอุบาย หากเจ้าไม่สามารถยืนหยัดด้วยตัวเองได้ คนอื่นจะช่วยเจ้าได้นานแค่ไหนกัน?”เมื่อพูดจบ นางก็มองหลิ่วหมิงจูด้วยความผิดหวัง: “ออกไป! ไปคิดทบทวนตัวเองให้ดี! เรื่องเล็กแค่นี้เอง เด็กรากหญ้าคนนั้นบางทีอาจจะถูกพ่อของเจ้าฆ่าตายในที่นั้นไปแล้วก็เป็นไปได้ คนแบบนั้นยังมีคุณค่าอะไรให้เจ้าต้องใส่ใจอีก?”ภายในห้องเงียบสงัด หลิ่วหมิงจูใช้มือปิดหน้ามองฮูหยินผู้เฒ่าหลิ่วอย่างสับสน ก่อนจะคุกเข่าลงแล้วก้มคำนับ “ขอโทษเจ้าค่ะท่านย่า ทั้งหมดเป็นความผิดของหลานเอง หลานทำให้ท่านต้องผิดหวัง หลานรู้แล้วว่าควรทำอย่างไร”เงียบไปชั่วครู่ นางก็เอ่ยถามด้วยความลังเลว่า: “แต่ หมอหลวงบอกว่าตอนนี้ร่างกายของหลานได้รับบาดเจ็บจนพลังชีวิตเสียหายหนัก และในอนาคตอาจจะไม่มีทายาทได้อีก เช่นนี้แล้ว หลานจะยังสามารถเป็นชายาอ๋องฉีได้
ฮูหยินผู้เฒ่าหลิ่วพักนี้กินอิ่มนอนหลับ อันที่จริงแล้ว นางก็อยู่ในสภาพแบบนี้มาเป็นเวลานานแล้วตั้งแต่พระชายาหลิ่วเสียชีวิตไป นางก็ได้ถูกกล่าวขานให้เป็นภรรยารองอย่างถูกต้องตามธรรมเนียม และได้เข้าสู่จวนฉู่กั๋วกงโดยปริยาย ได้แต่งงานกับชายที่นางรักที่สุดสมใจนางปรารถนา ถึงแม้ในนามหลิ่วจิงหงและหลิ่วกุ้ยเฟย จะเป็นเพียงลูกบุญธรรมของนางแต่ในความเป็นจริงเป็นเยี่ยงไร คนในตระกูลหลิ่วรู้อยู่แก่ใจดังนั้นหลังจากที่พระชายาหลิ่วเสียชีวิตไป ฉู่กั๋วกงก็ยังเคยรู้สึกผิด จนถึงขั้นให้พระจากวัดหวงเจวี๋ยจัดพิธีกรรมหลายครั้ง อ้างว่าฝันร้ายทุกคืนจนไม่สามารถนอนหลับได้แต่นางกลับไม่ได้รับความทุกข์ใจใดๆ เช่นนี้แม้แต่น้อยตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็สู้นางไม่ได้ ถูกนางเล่นงานจนอยู่หมัด พอตายไปแล้วกลายเป็นผี แล้วจะทำอะไรนางได้อย่างนั้นหรือ?ผีน่ะมันหลอกลวงทั้งนั้น ในโลกนี้มีผีที่ไหนกัน! ตราบใดที่ตัวนางไม่รู้สึกผิดใจกับตัวเอง ใครก็อย่าหวังว่าจะมาควบคุมนางได้จนกระทั่งต่อมา ได้ยินข่าวลือว่าพระชายาหลิ่วอาจจะยังไม่ตาย ฮ่องเต้หย่งชางก็ทรงมีรับสั่งให้ชีเจิ้นไปตามหาตัวนางฮูหยินผู้เฒ่าหลิ่วถึงได้เริ่มมีอาการลนลานทว
แสงจันทร์ลาลับ ดวงอาทิตย์ทอแสง เป็นวันใหม่อีกครั้งหวงเหวินจวิ้นจัดการงานเรียบร้อยแล้ว อดรนทนไม่ไหวรีบกลับบ้านไปหาภรรยาและลูกชายภายใต้แสงแดดสดใส ในลานบ้านมีเสื้อผ้าและผ้าห่มตากอยู่ ภรรยากำลังตากสมุนไพรใต้ราวไม้ ส่วนลูกชายก็กำลังจับก้อนอิฐที่กองไว้ตรงมุมกำแพงเพื่อพยายามหัดเดินเมื่อเห็นภาพนี้ เขายิ้มจนตาหยี พร้อมทั้งหัวเราะร่าแล้วร้องออกมา: “ลูกพ่อ!”เด็กน้อยวัยเพียงขวบกว่าๆ เห็นเขาแล้วก็ส่งเสียงอ้อแอ้อย่างดีใจ พยายามจะเดินไปหา แต่ก็ล้มลงกับพื้นด้วยเสียงดังตุบ แล้วร้องไห้จ้าออกมาทันทีหวงเหวินจวิ้นรีบเดินเข้าไปอุ้มเขาขึ้นมา ยิ้มพร้อมทั้งลูบจมูกเขาเบาๆ : “ลูกผู้ชายล้มแค่นี้ไม่เห็นเป็นอะไรเลย!”ภรรยาเหลือบมองเขาด้วยสายตาตำหนิ “ลูกผู้ชายอะไรกัน? ยังเป็นเด็กน้อยที่เพิ่งหัดเดินไม่กี่วันเอง!”หวงเหวินจวิ้นหัวเราะเบาๆ วางลูกชายลง แล้วหยิบตั๋วเงินสองใบออกมาจากอกเสื้อส่งให้ภรรยาภรรยามองเขาอย่างสงสัย “นี่อะไร?”เมื่อนางเห็นจำนวนเงินบนตั๋วเงิน นางก็ตกตะลึงจนเบิกตาโพลง ร้องออกมาเสียงดังด้วยความตกใจ: “สวรรค์! ทำไมถึงมีเงินมากมายเยี่ยงนี้ได้?!”แม้ผู้คุ้มกันหวงเป็นหัวหน้ากองคุ้มกันจริง แต