ชีหยวนถอยหลังไปก้าวหนึ่ง แล้วตะโกนถามเสียงดังว่า “หานเยว่เอ๋อ เจ้าก็เป็นพระชายาเช่นนี้หรือ?! กลางวันแสกๆ บนแผ่นดินอันสุขสงบใต้ฝ่าพระบาทของโอรสสวรรค์ เจ้ากลับให้ท้ายข้ารับใช้ก่ออาชญากรรม เกือบเหยียบย่ำเด็กน้อยและชนชาวบ้านจนตาย เจ้า คู่ควรจะเป็นพระชายาของฉีอ๋องหรือ?! ” เด็กยังคงร้องไห้เสียงดัง เด็กน้อยที่ยังสูงไม่ถึงต้นขาของผู้ใหญ่ แหงนหน้าร้องไห้จนสุดเสียง ทำให้ผู้ที่พบเห็นปวดใจนัก เหล่าชาวบ้านตะลึงไปครู่หนึ่งก็เดือดดาลขึ้นมา มีคนอดพูดเสียงดังไม่ได้ว่า “นั่นสิ! พระชายาแล้วอย่างไร ถนนจูเชวี่ยไม่ใช่ที่จะมาควบม้าเร็วแบบนี้ได้! เหยียบแผงขายผักของข้าจะเละหมดแล้วเนี่ย!” ก็ราวกับน้ำหยดหนึ่งที่ตกลงสู่กระทะน้ำมันที่ต้มจนร้อน กระทะใบนั้นก็เกิดฟองปะทุปึงปังขึ้นมาทันที ทันใดนั้น ก็เกิดเสียงสนับสนุนต่างๆ นานา ขึ้นมา “พระชายาแล้วอย่างไร? พระชายายิ่งใหญ่นักหรือ? พวกเราเป็นราษฎรนะ!” “ผู้มีอำนาจเสวยสุข คนจนได้แต่ทุกข์ยาก ยังไม่ทันเป็นพระชายาด้วยซ้ำ ก็ลำพองจนลืมตน ให้ท้ายบริวารก่ออาชญากรรมเช่นนี้บนท้องถนน” ซุ่นจื่อหันศีรษะไปมองชีหยวนอย่างสั่นสะท้าน ในใจทั้งตื่นตระหนกทั้งกังวล ปากของคุณใ
บรรดาชาวบ้านที่อยู่บนท้องถนน ต่างพากันรุมล้อมรถม้าของจวนฉีอ๋องไว้ แรกเริ่มยังเป็นเพียงการด่าทอ ทว่าต่อมา ก็ไม่รู้เป็นผู้ใดเป็นผู้นำเริ่มขว้างปาสิ่งของ ผลก็คือท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยของประเภทใบผักที่เน่าเสียและก้อนหิน หานเยว่เอ๋อโมโหจนใบหน้าบิดเบี้ยวแล้ว บังอาจนัก! ช่างบังอาจเหลือเกิน! ชีหยวนเป็นเช่นนั้น พวกชาวบ้านโง่เขลาที่ถูกยุแยงก็เป็นเช่นนี้! เป็นพวกชาวบ้านที่โง่งมกลุ่มหนึ่งจริงๆ! นางตำหนิคนขับรถม้าและองครักษ์อย่างรุนแรง “พวกเจ้าตายแล้วหรืออย่างไร?! มีคนล่วงเกินขบวนรถของพระชายา สังหารสาวใช้ของข้า นี่เป็นความผิดสถานใดกัน ต้องให้ข้าสั่งสอนพวกเจ้าด้วยหรือ?!” พระชายาของชินอ๋อง เป็นตำแหน่งที่เหนือกว่าสตรีบรรดาศักดิ์ขั้นสูงสุด ต่อให้เหล่าขุนนางพบเห็น ขุนนางบุ๋นยังต้องลงจากเกี้ยว ขุนนางบู๊ยังต้องลงจากม้า แล้วนับประสาอะไรกับหญิงสาวไร้ศักดิ์ไร้ตำแหน่งที่ยังมิได้ออกเรือน? คนขับรถม้าลังเลไปชั่วขณะ ทว่าองครักษ์ที่อยู่ด้านข้างกับดึงดาบดังเคร้งออกมาทันที เหวอ! ถึงอย่างไรก็แสดงอาวุธออกมาแล้ว เหล่าราษฎรจึงพากันถอยหลังด้วยความหวาดกลัว ในชั่วขณะหนึ่ง ถือว่าสถานการณ์ได้ถูกสะกดไว้แล้ว
พลเมืองดี… หานเยว่เอ๋อด่า ‘มารดาเจ้าเถอะ’ อยู่ในใจ และในยามนี้เอง ชีหยวนก็ชี้ไปที่ตนเอง แล้วยิ้มออกมาบางๆ “หรือข้า มิใช่พลเมืองดีที่พบเห็นความอยุติธรรมหรือ?” บิดาของเด็กน้อยที่ได้รีบความช่วยเหลือรีบพูดเสียงดังทันทีว่า “ใช่! ย่อมใช่อย่างแน่นอน! หากมิใช่เพราะคนของคุณหนูช่วยเหลือคนด้วยคุณธรรม ลูกชายของข้าคงตายไปแล้ว! คุณหนูโปรดวางใจ ต่อให้เรื่องไปถึงศาล พวกเราก็จะเป็นพยานให้คุณหนูแน่ขอรับ!” ผู้ที่สูงส่งอยู่เบื้องบน ไม่มีทางรู้ถึงความทุกข์ยากของผู้ที่อยู่เบื้องล่าง ดังนั้น หานเยว่เอ๋อจึงไม่เห็นชีวิตของชนชั้นล่างเป็นชีวิต แต่หานเยว่เอ๋อไม่รู้ว่า น้ำสามารถหนุนเรือได้ ก็สามารถคว่ำเรือได้เช่นกัน ชนชั้นล่าง จึงจะเป็นคนส่วนใหญ่ของโลกใบนี้ ชีหยวนยิ้มให้กับหานเยว่เอ๋อจากระยะไกล หานเยว่เอ๋อรู้สึกเพียงว่า รอยยิ้มนั้นราวอาบด้วยยาพิษ ทำให้นางบังเกิดเหน็บหนาวไปทั่วร่าง เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?! และในเวลานี้เอง คนจากศาลซุ่นเทียนก็ได้มาถึงแล้ว เมื่อเจ้าหน้าที่ของศาล ที่รับผิดชอบการตรวจตราเห็นว่ามีคนตาย สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที และรอจนได้เห็นรถม้าของจวนฉีอ๋อง เบื้องหน้าก็ยิ่งมืดมิดลงไ
ยามนี้ สำหรับพวกไป๋จื่อแล้ว คำพูดของชีหยวนไม่ต่างอันใดกับราชโองการ เมื่อได้ยินนางกล่าวเช่นนี้ ไป๋จื่อก็ช่วยซุ่นจื่อประคองเหลียนเฉียวออกไปหาหมอโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ประตูห้องถูกเปิดออก ปาเป่าก็ยิ้มแย้มต้อนรับชีหยวนเข้าไป “ไอ้หยา คุณหนูใหญ่ชีขอรับ เมื่อครู่ท่านช่างองอาจเหลือเกิน!” ดวงตาของเขาเปล่งประกายสว่างไสว ขาดอีกเพียงนิดก็แทบจะสลักคำว่า “ยอมรับนับถือ” ไว้บนหน้าผากแล้ว ชีหยวนพยักหน้า เมื่อสาวเท้าเข้าไป ก็เห็นเซียวอวิ๋นถิงกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะในเวลานี้ เมื่อเห็นนาง เซียวอวิ๋นถิงก็เดาะลิ้นทีหนึ่ง “เหตุใดทุกครั้งที่พบเจ้า เจ้าล้วนกำลังฆ่าคนอยู่เล่า?” ปาเป่าอดเหลือบตามองท่านอ๋องของตนคราหนึ่งไม่ได้ ในใจรู้สึกร้อนใจขึ้นมาเล็กน้อย ดูท่านอ๋องทรงพูดเข้าสิ กล่าวกับแม่นางน้อยเขาเช่นนี้ได้อย่างไร? ชีหยวนกลับมิได้ใส่ใจ นางเดินไปนั่งลงตรงข้ามเซียวอวิ๋นถิง ถามอย่างสบายๆ ว่า “อย่างนั้นหรือ? ข้าจำได้ว่าห่างจากครั้งก่อนสักพักแล้วนี่นา” สักพักแล้ว…เจ็ดแปดวัน? เซียวอวิ๋นถิงเอนหลังลงบนพนักเก้าอี้ มองสำรวจชีหยวนขึ้นลงหนหนึ่ง “หลังจากวันนี้ เกรงว่าชื่อเสียงของคุณหนูใหญ่แห่งสกุลชีเจ้า คงจ
หากเขามองไม่ผิด สายตาของสตรีนางนี้เผยความเยาะหยันออกมาอย่างเต็มเปี่ยม นี่ตั้งข้อสงสัยต่อความสามารถของเขาขึ้นมาแล้วใช่หรือไม่? ช่าง…นัก เขาแค่นเสียงเย็นอย่างไม่สบอารมณ์ทีหนึ่ง “เรื่องนี้ก็ไม่รบกวนให้เจ้าต้องเป็นห่วง คนหนีไปไม่รอดหรอก” “เช่นนั้น ข้ายังต้องมีสิ่งใดให้กังวลเล่า?” ชีหยวนเลิกคิ้ว พอดีกับที่ประตูถูกเคาะดัง ปาเป่าเห็นว่าระหว่างพวกเขาคลับคล้ายจะมีกลิ่นควัน ขณะกำลังไม่รู้จะทำอย่างไรดี เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูจึงรีบไปเปิดประตูทันที ผลคือ เป็นพวกซุ่นจื่อกลับมาแล้ว สายตาของชีหยวนตกลงบนมือของเหลียนเฉียว นางถามเสียงหนักว่า “เป็นอย่างไรบ้าง หมอว่าอย่างไร?” สีหน้าของเหลียนเฉียวแดงเล็กน้อย นางก้มศีรษะตอบว่า “คุณหนูวางใจเถิดเจ้าค่ะ ท่านหมอบอกแล้วว่า ไม่ทำลายถูกเส้นเอ็นและกระดูก ขอแค่รักษาตัวสักช่วงหนึ่งก็หายดีแล้วเจ้าค่ะ” เห็นได้ชัดว่า นางโกหกไม่เก่งอย่างยิ่ง ชีหยวนเงียบงันไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็กล่าวเสียงต่ำว่า “อยู่ต่อหน้าข้าไม่จำเป็นต้องปิดบัง วันหลังยามติดตามอยู่ข้างกายข้า ข้าก็จะไม่มีทางให้พวกเจ้าได้รับความไม่เป็นธรรม!” ผู้ที่ติดตามนาง มิใช่มีไว้เพื่อถูกรังแกหรอ
ม่านประตูถูกเปิดออก นางเดินอ้อมฉากกั้นเข้าไปด้านใน ยังไม่ทันทำอะไร ก็เห็นนางหวังลุกพรวดขึ้นจากตั่ง แม้กระทั่งรองเท้าก็ยังไม่ได้สวม พุ่งตรงเข้ามาพร้อมง้างมือขึ้นและตบหน้านางไปอย่างจังหนึ่งฉาด “เจ้าลูกเวร!” ฝ่ามือนี้ทั้งรวดเร็วและรุนแรง ถึงขนาดที่ไป๋จื่อยังไม่ทันโผเข้าไปบังชีหยวนไว้ ชีหยวนก็ถูกตบหน้าไปหนึ่งฉาดแล้ว ใบหน้าด้านขวาของชีหยวนบวมขึ้นมา รอยฝ่ามือปรากฏให้เห็นชัดเจนบนใบหน้าของนาง ทุกคนต่างสะดุ้งด้วยความตกใจ นางหวังหยัดกายขึ้นมาหมายจะตบอีกฉาด กลับถูกเกาเจียและหลิวเจียรั้ง ๆ ลาก ๆ ขัดขวางไว้เสียก่อน “ฮูหยินท่านได้โปรดระงับโทสะเจ้าค่ะ!” เกาเจียนึกประหวั่นพรั่นพรึงในใจ ไม่รู้ด้วยเหตุผลใด นางรู้สึกได้ว่าชีหยวนมิใช่คนที่จะสามารถลงไม้ลงมือตบตีได้ตามใจ ชีอวิ๋นถิงที่ตบหน้าทำร้ายชีหยวนไปเมื่อครั้งก่อนถูกลงโทษซ้ำ จนตอนนี้ยังลุกจากเตียงไม่ได้ แต่นางหวังหรือจะยับยั้งโทสะได้อีก? นางชี้นิ้วใส่ชีหยวน ตัวสั่นเทิ้ม “เคราะห์กรรมอะไรของข้า เหตุใดถึงได้ให้กำเนิดเดรัจฉานสารเลวอย่างเจ้าออกมา?! ต้องทำลายพวกข้าทั้งตระกูลให้ย่อยยับให้ได้ก่อนใช่ไหมเจ้าถึงจะยอมหยุด?!” ไป๋จื่อกอดชีหยวนไว้สงส
เดิมก็ไร้ซึ่งความผูกพันแม่ลูกอยู่แล้ว บัดนี้ยิ่งเหมือนหมอกควันจางหายมลายไปหมด นางขึงตาจ้องชีหยวนอย่างอำมหิต คล้ายกับกำลังจ้องมองศัตรูคู่อาฆาตอย่างไรอย่างนั้น ชีหยวนหันศีรษะเดินจากไปทันที นางหวังยังคงตะโกนโวยวายสั่งให้คนจับตัวชีหยวนไว้และพาไปขอขมาที่จวนอ๋องฉี เกาเจียยกมือขึ้นกุมหน้ายิ้มเจื่อนพลางถอนหายใจออกมา “ฮูหยิน ท่านโหวผู้เฒ่าและท่านโหวกำลังออกไปสืบความจริง แต่ดูท่านสิ เหตุใดท่านจึงอดทนข่มโทสะไว้ไม่ได้ถึงเพียงนี้เจ้าคะ?” ขณะที่กำลังพูด หลิวจงรีบวิ่งเข้ามาด้วยความรวดเร็ว “ฮูหยิน ฮูหยิน! เกิดเรื่องแล้วขอรับ พระชายาอ๋องฉี…” เห็นไหมล่ะ นางหวังแค่นเสียงหัวเราะเย็นเยียบออกมาอย่างเคียดแค้น “ไม่ต้องมาพบข้า! ไปหานางเด็กชั่วช้าสารเลวที่เอาแต่แส่หาเรื่องนั่นเถิด! หากพระชายาอ๋องฉีต้องการสังหารนางก็จัดการให้นางสิ้นใจตายไปเสีย เรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวกับข้า!” หลิวจงผงะไป เอ่ยอย่างอดไม่ไหว “ไม่ใช่ขอรับฮูหยิน คือว่า พระชายาอ๋องฉีสิ้นพระชนม์แล้วขอรับ!” ว่าอย่างไรนะ?! ทั้งห้องเงียบสนิท เงียบจนแม้แต่เข็มหล่นในห้องยังได้ยินเสียง เกาเจียยกมือปิดหน้าเสียงโครมครามดังขึ้นในใจ เครียดจนหัวใ
และทันทีที่ชีหยวนเอ่ยประโยคดังกล่าวนี้จบ ทั้งห้องก็จมดิ่งสู่ความเงียบงันราวกับอยู่ในห้วงความตาย ท่านโหวผู้เฒ่าและชีเจิ้นต่างเงียบลงพร้อมกันอย่างน่าประหลาด จริงด้วย องครักษ์ของจวนอ๋องฉีที่ถูกคัดสรรมาเป็นอย่างดี พวกเขามีคนจำนวนมากเพียงนั้น จะอารักขาชีวิตพระชายาอ๋องของตนเองไม่ได้เชียวหรือ? นอกเสียจากว่า นอกเสียจากว่าพวกเขามิได้จะไปอารักขาหานเยว่เอ๋อตั้งแต่แรกแล้ว ก็เหมือนเมื่อคราวนั้นที่ชีหยวนเอ่ยคำพูดยั่วยุปลุกปั่นอารมณ์ของชาวบ้านขึ้นมา เดิมที่นางไม่มีโอกาสจะได้เอ่ยคำนั้นออกมาเสียด้วยซ้ำ แต่เหตุใดพวกองครักษ์เหล่านั้นกลับปล่อยให้ชีหยวนพูดจนจบประโยคได้? ริมฝีปากของชีเจิ้นขยับเล็กน้อย มองชีหยวนด้วยสีหน้าซับซ้อน “เช่นนั้นแล้วเจ้า…เจ้ารู้อยู่แล้วหรือว่าอ๋องฉีมีเจตนาจะสังหารหานเยว่เอ๋อตั้งแต่แรก เหตุใด เหตุใดเจ้ายังช่วยอ๋องฉีให้ทำสำเร็จ?” ก็เมื่อวันก่อน ชีหยวนพูดกับพวกเขาว่า ต้องปลิดชีพอ๋องฉีทิ้งเสียถึงจะสามารถแก้ไขปัญหาทั้งหมดได้ ชีหยวนยกจอกชาขึ้นมาจิบหนึ่งคำ เอ่ยอย่างนิ่งเฉยไม่แยแส “นางดูหมิ่นสาวใช้ของข้า บดขยี้นิ้วของสาวใช้ข้าจนเกือบแตก ฉะนั้นก็ฆ่านางทิ้งก่อน แค่ยืมแรงผู้อื่
สวีฮว่านเหงื่อเย็นไหลพลั่ก ตอนที่ได้ยินชีหยวนนับหนึ่ง สอง สาม ท้ายที่สุดเขาก็ทนไม่ไหว ร้องเสียงดังออกไป “ข้าให้เจ้าก็ได้! ข้าให้เจ้าก็ได้! สาส์นลับอยู่ใน…อยู่ในชั้นวางลับหลังโต๊ะหนังสือในห้องหนังสือของข้า!” ชีหยวนเปล่งเสียงอุทานออกมาหนึ่งคำ ก่อนจะเก็บกริชและปิ่นทองคำกลับมา แล้วใช้มือข้างหนึ่งคว้าคอเสื้อด้านหลังของเขาฉุดเขาขึ้นมา และผลักให้เขาเดินไปที่ชั้นหนังสือ พร้อมเอ่ยเสียงเข้มว่า “เปิดมัน” สวีฮว่านลังเลเล็กน้อย ทันใดนั้นชีหยวนก็เตะข้อพับขาของเขาอย่างแรงไปหนึ่งที “เปิดออก!” สวีฮว่านดึงจี้หยกที่ห้อยอยู่ข้างเอวของตนเองออกมาด้วยมือที่สั่นเทา ก่อนจะฝังมันเข้าไปในตำแหน่งที่เป็นช่องเว้าบนชั้นวางหนังสือ และหมุนมันหนึ่งรอบ ทันใดนั้นชั้นหนังสือก็เปิดออกอย่างช้า ๆ ทว่าเสี้ยวพริบตาเดียวนี้ สวีฮว่านรีบสะบัดตัวออกจากชีหยวนหวังว่าจะหลบหนี เขารู้ดี โดยปกติคนเราเมื่อตกอยู่ในเสี้ยวขณะที่ได้รับสิ่งของที่ตนเองต้องการมากเป็นอย่างยิ่ง ก็จะเผลอไผลไปได้ง่ายดายที่สุด เขาเฝ้ารอจังหวะนี้มาโดยตลอด ทว่าน่าเสียดาย เขาเพิ่งจะกลิ้งตัวไปกับพื้น กลับเห็นชีหยวนใช้มือปัดลูกธนูที่พุ่งออกมาจากชั้นวางลับ
สวีฮว่านรู้สึกอึดอัดกับแรงกดของกริชเล่มนั้น และไม่รู้ว่าเป็นเพราะผลกระทบทางจิตใจหรือไม่ เขารู้สึกอยู่ตลอดว่ารอยแผลที่ชีหยวนกรีดไปนั้นยังคงมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด สิ่งนี้ทำให้เขาหวาดกลัวถึงขีดสุดจริง ๆ คนย่อมมีจุดอ่อน ชื่อเสียงและความรู้สึกหวงแหนชีวิตก็คือจุดอ่อนของสวีฮว่าน เขาเอ่ยด้วยความร้อนรน “ข้าช่วยเจ้าได้! ข้าช่วยล้างมลทินให้ตระกูลของเจ้าได้ ตราบใดที่พวกเจ้ายอมให้ความร่วมมือ ความผิดนี้ ข้าสามารถโยนให้คนอื่นรับไว้ได้!” ใบหน้าของชีหยวนไร้ซึ่งความรู้สึก ทว่าความเยือกเย็นในดวงตากลับยิ่งลุ่มลึกขึ้นมา ปลายกริชที่นางกดเอาไว้บนลำคอของเขาขยับเล็กน้อย เพียงเสี้ยวพริบตาก็สร้างรอยแผลเลือดซิบเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งรอยให้เขาได้เรียบร้อย ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่เข้มข้นขึ้น “จะผลักความผิดให้แม่ทัพขุนศึกท่านอื่นที่บัดนี้ยังคงสู้รบในสมรภูมิอย่างซื่อสัตย์ภักดี พร้อมยอมพลีชีพเพื่อชาติได้อย่างนั้นหรือ? หรือคิดจะโยนความผิดให้บรรดาบุตรชายของครอบครัวทหารที่ต้องเข้าสู่สมรภูมิรบตั้งแต่วัยเพียงสิบสองสิบสามเหล่านั้นกัน พวกเขายังไม่ทันได้เติบโตด้วยซ้ำ ก็ต้องมาตายภายใต้อุบายชั่วช้าสามานย์ของพวกเจ้า”
หากว่ามี เช่นนั้นก็ต้องเลี้ยงดูให้ดี หากว่าไม่มี เช่นนั้นก็ต้องคิดหาหนทางเลือกเด็กสักคนในตระกูลมาเป็นบุตรบุญธรรมของเขา เพื่อจะได้เป็นทายาทสืบทอดวงศ์ตระกูล ขณะที่กำลังคิดสะระตะ เขาพลันได้ยินเสียงลมหายใจระลอกหนึ่งพัดผ่านข้างใบหู เสียงลมหายใจ! ทว่าในห้องมีเขาอยู่เพียงคนเดียว! เสี้ยวพริบตาเดียวสวีฮว่านพลันรู้สึกเส้นขนลุกชันไปทั่วทั้งตัว สติหลุดออกจากร่าง และทันใดนั้นก็คิดจะหมุนศีรษะกลับไปโดยสัญชาตญาณ ทว่าจังหวะที่เขากำลังคิดจะผินศีรษะกลับไป กริชเล่มหนึ่งก็ปักลงบนลำคอของเขาอย่างเงียบเชียบไร้เสียง หลังจากนั้นเขาได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ เสียงนี้ชัดเจนว่าเป็นเสียงของดรุณีน้อยงามเพริศพริ้งสดใส เหมือนกับเสียงของบุตรสาวของเขาที่เข้ามาออดอ้อนเขาในยามปกติ ทว่าในเสี้ยวขณะนี้เวลานี้ เขากลับไม่รู้สึกว่าเสียงนั่นกำลังออดอ้อนสักนิด! เพื่อแสดงออกถึงความซื่อสัตย์สุจริตของตนเองแล้ว เรือนของเขายังต้องเช่าอาศัย และในเมื่อเรือนยังต้องเช่าอาศัย ดังนั้นในเรือนย่อมไม่สามารถมีบ่าวรับใช้ที่มากเกินไปได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่สามารถมียามเฝ้าเรือนได้ด้วย ดังนั้นองครักษ์เหล่านั้นของเขา ล้วนแต่ถูกเลี
อาภรณ์ชุดใหม่ในเรือนตัดเย็บเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว ปีนี้นับเป็นปีที่หาได้ยากที่เหล่าดรุณีสกุลสวีจะได้สวมเสื้อคลุมขนสัตว์ออกไปเที่ยวชมพระโพธิสัตว์ สกุลสวีทั้งเบื้องบนเบื้องล่างต่างปีติยินดี แม้แต่ฮูหยินสวีก็ยังแต่งกายด้วยอาภรณ์ชุดใหม่ทั้งตัว ในปีนี้นางสวมเสื้อนวมสองชั้นที่ทำจากผ้าไหมฝูกวงซึ่งเป็นแบบที่ทันสมัยที่สุด ข้างนอกคลุมด้วยเสื้อคลุมขนนกยูง มองแล้วดูหรูหราเจิดจ้าจับตา เดิมทีนางรู้สึกประหม่าอยู่เล็กน้อย ก่อนออกจากเรือนยังถึงขั้นถามสวีฮว่านขึ้นมาเป็นพิเศษว่า “วันนี้เป็นวันที่สาม ต้องขึ้นเขาไปกราบไหว้พระโพธิสัตว์ จุดธูปทอนน้ำมัน ทว่าก็มีบรรดาสตรีผู้มีหน้ามีตาในเมืองหลวงไปที่นั่นด้วยเช่นกัน พวกเราแต่งกายเช่นนี้ เหมาะสมแล้วหรือ?” หลายปีที่ผ่านมานี้ บรรดาสตรีในสกุลสวีได้ชื่อว่ามัธยัสถ์เรียบง่ายมาตลอด แต่กระนั้นก็ไม่มีใครดูถูกดูแคลนพวกนาง ใครต่างก็รู้ว่าในเมืองหลวงสวีฮว่านขึ้นชื่อว่าสุจริตมือสะอาด งานเลี้ยงของคนอื่น งานสังสรรค์สุราของคนอื่น เขาไม่เคยไปร่วมเลยสักครา เพราะไปกินของคนอื่น ย่อมเลี่ยงไม่ได้ต้องเชิญคนอื่นมากินเลี้ยงตอบแทนกลับในภายหลัง ใต้เท้าสวีเคร่งครัดในความสุจร
“ไม่!” ชีหยวนส่ายหน้า มองเซียวอวิ๋นถิงตรง ๆ พลางถามว่า “ท่านอ๋อง หากต้องให้คนอื่นมาพูดแทนท่านปู่และท่านพ่อของข้าน้อย ตรงกันข้าม ขอให้คนของท่านยื่นฎีกาไม่ไว้วางใจท่านพ่อและท่านปู่ของข้าน้อยด้วยดีกว่า!” เหล่าจ้าวคิดในใจ นี่เขาไม่ได้ฟังผิดไปกระมัง? คุณหนูใหญ่สกุลชีเสียสติไปแล้วหรือ?! ทว่าเซียวอวิ๋นถิงกลับเข้าใจความหมายของชีหยวนได้ในทันที การลักลอบค้าขายสิ่งของผิดกฎหมายและการสมรู้ร่วมคิดกับข้าศึกขายชาติให้อริศัตรูถือเป็นแผนการอันชั่วช้าเลวร้ายมากเกินไปจริง ๆ เหตุผลที่ผู่อู๋ย่งทำเช่นนี้ ก็เพราะรู้ดีว่าเรื่องนี้ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลวก็สามารถทำให้สกุลชีสูญเสียความน่าเชื่อถือในสายพระเนตรของฮ่องเต้หย่งชางนับจากนี้ไปตลอดกาล แม้ภายหลังจะหาตัวคนร้ายที่แท้จริงเจอแล้วก็ตาม ทว่าหากว่า หากว่าชีหยวนถูกลอบสังหารครั้งแล้วครั้งเล่า และคนในราชสำนักล้วนพากันรุมโจมตีสกุลชี หวังทำลายสกุลชีให้สิ้นซากไป ทว่าต่อมากลับได้ค้นพบความลับในภายหลังว่าเงินตำลึงจำนวนมหาศาลถูกซุกซ่อนไว้ในเรือนเช่าของสกุลสวี ไหนจะคนเหล่านั้นที่เซียวอวิ๋นถิงได้ส่งไปที่จี้โจวแล้วด้วย… เช่นนั้นในตอนนี้ยิ่งทำให้เรื่องราวใหญ่โตอื
ตอนที่นางกลับมาถึงหอหมิงเยว่ เซียวอวิ๋นถิงคอยอยู่บนชั้นสองแล้ว เขาคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้ราวกับเดินกลับเรือนของตนเอง ชีหยวนขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่เมื่อคิดได้ว่ามีเรื่องสำคัญ ก็มิได้พูดอะไรมาก เพียงแต่นั่งลง และเอ่ยขึ้นอย่างตรงประเด็น “ข้าน้อยจัดการสังหารสวีซินเฉียวแล้ว เขามิได้เปิดเผยข้อมูลใดที่เป็นประโยชน์” หนนี้เหล่าจ้าวแอบติดตามมาด้วย วิชายุทธ์ของเหล่าจ้าวนับว่าเลิศล้ำ ดังนั้นต่อให้จะอยู่ห่างไกล เขาก็สามารถได้ยินบทสนทนาของคุณหนูใหญ่สกุลชี มิหนำซ้ำ… ยังพูดอย่างฉะฉานมั่นใจในเหตุผลมากเสียด้วย ทว่าเซียวอวิ๋นถิงกลับไม่รู้สึกถึงความผิดปกติแม้แต่น้อย เขามุ่นหัวคิ้วขึ้น พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “มีคนแอบติดตามเจ้า” อำนาจของขันทีผู้ใหญ่ประจำกรมขันทีราชพิธีมิใช่เล่น ๆ ยิ่งไปกว่านั้นองครักษ์เสื้อแพรยังแทรกซึมเข้าไปได้ทุกที่ กล่าวได้ว่า นับแต่เสี้ยวขณะที่ชีหยวนถูกลอบสังหาร ทุกการเคลื่อนไหวของนางอยู่ในกำมือของพวกเขาหมดแล้ว ชีหยวนเปล่งเสียงรับคำเบา ๆ สีหน้าท่าทางสงบสุขุมยิ่งนัก “ข้าน้อยทราบแล้ว ดังนั้นหลังจากข้าน้อยสังหารสวีซินเฉียว พวกเขาจะคิดว่าอย่างไร?” จะคิดว่าอย่างไรหร
คนเรายามที่ตกอยู่ในภาวะตื่นตระหนกอย่างรุนแรง ก็มักจะเผลอใช้ความคิดฟุ้งซ่านมากลบเกลื่อนความหวาดกลัวและความตกใจของตนเองเสมอ ชีหยวนเผากริชด้วยไฟจนร้อนจัด ก่อนจะดึงหน้านิ่งและเสียบมันเข้าไปที่กระดูกสะบักซ้ายของสวีซินเฉียว จนแทงทะลุไปอีกด้านหนึ่งของเขา ทว่าหนนี้สวีซินเฉียวแม้แต่เสียงร้องก็ยังเปล่งออกมาไม่ได้ ทรุดลงกับพื้นทั้งร่างสั่นเทาและชักกระตุก ดวงตาฉายประกายหวาดกลัว ชีหยวนหยัดกายขึ้นยืน ก่อนจะหมุนตัวกลับไปอย่างเรียบเฉยและส่งยิ้มให้สวีซินเฉียวพลางเอ่ยว่า “ใต้เท้าสวี ท่านจะไม่พูดก็ย่อมได้ ข้าเข้าใจ ว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันกับชีวิตของคนในสกุล ท่านจะไม่พูดก็เป็นเรื่องธรรมดา เช่นนั้นพวกเราค่อยพบกันอีกครั้งในยุทธจักรเถิด” นางเอ่ยพลาง ก็ส่ายเทียนไขในมือของตนเองไปมา “ข้าจะส่งท่านเดินทางครั้งสุดท้าย เผาท่านไม่ให้เหลือซาก จะได้ประหยัดแม้กระทั่งโลงศพด้วย ถือเป็นการทำประโยชน์เล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อชาวบ้านจี้โจวไปด้วย” ชาวหว่าล่ารุกรานเข้ามาทุกปี ชาวบ้านในที่แห่งนั้นเผชิญหายนะทุกข์ทรมานกันไปแล้วตั้งเท่าใด?! พวกเขาโหดร้ายป่าเถื่อน บุรุษถูกสังหารทันที ส่วนสตรีและเด็กก็กวาดต้อนกลับไปยังทุ่งหญ
และทันทีที่ผ้าขี้ริ้วถูกดึงออกมาจากในปาก สวีซินเฉียวไม่แม้แต่จะหยุดชะงักก็อ้าปากหมายจะตะโกนร้องขอความช่วยเหลือทันที แต่ชัดเจนว่าความรวดเร็วของชีหยวนยังเร็วกว่าเขามาก เขายังไม่ทันได้อ้าปากส่งเสียง ชีหยวนก็จัดการยัดผ้าขี้ริ้วกลับเข้าไปในปากของเขาอีกครั้งด้วยความรวดเร็วแล้ว และที่ยัดเข้าไปคราวนี้ก็ลึกยิ่งกว่าคราวก่อน แทบจะจุกเข้าไปถึงด้านในลำคอของสวีซินเฉียว ทำให้สวีซินเฉียวถึงขั้นพะอืดพะอมพยายามสำรอกออกมาหลายครั้ง ระดับความตื่นรู้ของคนหนึ่งคน เทียบเท่ากับระดับความเจ็บปวดทั้งหมดที่เขาได้รับ สำหรับสวีซินเฉียวในยามนี้ก็นับเป็นเช่นนี้ ในที่สุดเขาก็ตระหนักได้ว่า เมื่อใดที่สตรีตรงหน้าเอื้อนเอ่ยวาจาน้ำลายหนึ่งหยดของนางคือตะปูหนึ่งดอก หากไม่เชื่อฟังคำพูดของนางแล้ว นางจะแสดงความน่ากลัวอย่างถึงที่สุดออกมา ชีหยวนผุดยิ้มเล็กน้อยพลางหยิบปิ่นปักผมขึ้นมาและปักกลับไปที่มวยผมดังเดิม จากนั้นค่อยแค่นเสียงหัวเราะออกมาเบา ๆ พลางขยับข้อมือไปมา “ใต้เท้าสวี ดูท่านสิ เหตุใดท่านจึงไม่เชื่อฟังกันบ้างเจ้าคะ? คนที่ไม่เชื่อฟัง จะต้องถูกลงโทษนะเจ้าคะ” เอ่ยพลาง นางก็เลื่อนมือข้างหนึ่งไปปิดปากสวีซินเฉียวไว
แต่ยิ่งเป็นเช่นนั้น สวีฮว่านก็ยิ่งระมัดระวังในการกระทำมากขึ้นไปอีกที่จวนไม่เคยจัดงานเลี้ยงหรืองานมหรสพใด ๆ เลยแม้แต่ในงานเลี้ยงวันเกิดของหญิงชรา ก็แค่ให้คนในครอบครัวทานข้าวด้วยกันมื้อเดียวแล้วก็จบกันไปเงินทองในบ้านกองเป็นภูเขา ผ้าไหมผ้าแพรก็มีมากมาย แต่ก็ไม่เคยเอาออกมาใช้แค่เห็นแต่ใช้ไม่ได้ นี่แหละถึงเป็นเรื่องที่อึดอัดใจและกลัดกลุ้มใจที่สุด!นางยังคิดว่าสวีฮว่านคงจะเป็นแบบนี้ไปทั้งชีวิตแล้ว ใครจะรู้ว่าเขาเหมือนจะคิดตกได้ในทันทีสวีฮว่านยิ้มบาง ๆ พูดอย่างมีนัยยะว่า “เมื่อก่อนใช้ไม่ได้ แต่หลังจากนี้จะใช้ได้แล้ว”ฮูหยินสวีฟังไม่เข้าใจว่าเขาหมายความว่าอะไร แต่ก็ดีใจยิ่งนัก รีบเปิดคลังเอาหนังสัตว์ออกมา ตัดเสื้อผ้าใหม่ให้เด็ก ๆ ในบ้านกันคนละชุดที่แห่งนี้เต็มไปด้วยความชื่นมื่นสวีซินเฉียวออกจากบ้านสวีก็ยิ้มแย้มมีความสุขเช่นกันแน่นอนว่ามีความสุขอยู่แล้ว!สิ่งที่เขาทำ เขาก็รู้ตัวดีว่าเป็นความผิดมหันต์ถึงขั้นถูกตัดหัวและฆ่าล้างเก้าชั่วโคตร แต่ตอนนี้ไม่ต้องกลัวแล้ว เพราะมีตระกูลชีเป็นแพะรับบาปไปแล้ววันขึ้นปีใหม่ บังเอิญมีเรื่องมงคล เขาดีใจจนเดินตรงไปที่หอหงเฟิ่นจินที่ค้าขายดีท