หานเยว่เอ๋อที่นั่งวางท่าอยู่ในรถตลอดก็ได้สติกลับมาเช่นกัน เมื่อเลิกม่านขึ้นแล้วเห็นเหลียนเอ๋อร์นอนแน่นิ่งอย่างไร้สุ้มเสียงไร้ลมหายใจอยู่ตรงนั้น สีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างไม่อาจควบคุมทันทีเหลียนเอ๋อร์เป็นสาวใช้ผู้ติดตามของนางที่เกิดในบ้าน เป็นคนที่นางเชื่อใจที่สุด!ในอนาคต เมื่อนางเป็นพระชายา ข้างกายไม่อาจขาดผู้ที่จงรักภักดี สั่งให้ไปที่ใดก็ไปนั่นเช่นนี้ แต่บัดนี้ กลับถูกชีหยวนทำร้ายจนตายเสียแล้ว!นังดาวหายนะนี่ ไม่ว่าเรื่องใดพบเจอกับนางก็ต้องกลายเป็นเรื่องร้ายจริงๆนางมองไปยังชีหยวนอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ในใจคิดว่านังบ้านนอกคอกนาคนนี้ ตอนอยู่ในจวนก็ไม่ได้รับความชื่นชอบจากนางหวัง ต้องยังไม่รู้เรื่องที่ตนได้รับพระราชทานสมรสให้แต่งกับฉีอ๋องเป็นแน่ จึงอดยิ้มออกมาอย่างเย้ยหยันไม่ได้นางกล่าวอย่างเย็นชาว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าผู้ที่เจ้าฆ่าเป็นผู้ใด?!”ยามนี้ ในห้องส่วนตัวห้องหนึ่งบนชั้นสามของหอไท่ไป๋ หน้าต่างถูกผลักออกแล้วปาเป่าเดาะลิ้นครั้งหนึ่ง จากนั้นหันศีรษะกลับมากล่าวกับเซียวอวิ๋นถิงว่า “ท่านอ๋อง ท่านอ๋อง! เป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลชีพ่ะย่ะค่ะ!”เรื่องที่ฉีอ๋องได้รับพระราชทานสมรสนั้น เซีย
ชีหยวนถอยหลังไปก้าวหนึ่ง แล้วตะโกนถามเสียงดังว่า “หานเยว่เอ๋อ เจ้าก็เป็นพระชายาเช่นนี้หรือ?! กลางวันแสกๆ บนแผ่นดินอันสุขสงบใต้ฝ่าพระบาทของโอรสสวรรค์ เจ้ากลับให้ท้ายข้ารับใช้ก่ออาชญากรรม เกือบเหยียบย่ำเด็กน้อยและชนชาวบ้านจนตาย เจ้า คู่ควรจะเป็นพระชายาของฉีอ๋องหรือ?! ” เด็กยังคงร้องไห้เสียงดัง เด็กน้อยที่ยังสูงไม่ถึงต้นขาของผู้ใหญ่ แหงนหน้าร้องไห้จนสุดเสียง ทำให้ผู้ที่พบเห็นปวดใจนัก เหล่าชาวบ้านตะลึงไปครู่หนึ่งก็เดือดดาลขึ้นมา มีคนอดพูดเสียงดังไม่ได้ว่า “นั่นสิ! พระชายาแล้วอย่างไร ถนนจูเชวี่ยไม่ใช่ที่จะมาควบม้าเร็วแบบนี้ได้! เหยียบแผงขายผักของข้าจะเละหมดแล้วเนี่ย!” ก็ราวกับน้ำหยดหนึ่งที่ตกลงสู่กระทะน้ำมันที่ต้มจนร้อน กระทะใบนั้นก็เกิดฟองปะทุปึงปังขึ้นมาทันที ทันใดนั้น ก็เกิดเสียงสนับสนุนต่างๆ นานา ขึ้นมา “พระชายาแล้วอย่างไร? พระชายายิ่งใหญ่นักหรือ? พวกเราเป็นราษฎรนะ!” “ผู้มีอำนาจเสวยสุข คนจนได้แต่ทุกข์ยาก ยังไม่ทันเป็นพระชายาด้วยซ้ำ ก็ลำพองจนลืมตน ให้ท้ายบริวารก่ออาชญากรรมเช่นนี้บนท้องถนน” ซุ่นจื่อหันศีรษะไปมองชีหยวนอย่างสั่นสะท้าน ในใจทั้งตื่นตระหนกทั้งกังวล ปากของคุณใ
บรรดาชาวบ้านที่อยู่บนท้องถนน ต่างพากันรุมล้อมรถม้าของจวนฉีอ๋องไว้ แรกเริ่มยังเป็นเพียงการด่าทอ ทว่าต่อมา ก็ไม่รู้เป็นผู้ใดเป็นผู้นำเริ่มขว้างปาสิ่งของ ผลก็คือท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยของประเภทใบผักที่เน่าเสียและก้อนหิน หานเยว่เอ๋อโมโหจนใบหน้าบิดเบี้ยวแล้ว บังอาจนัก! ช่างบังอาจเหลือเกิน! ชีหยวนเป็นเช่นนั้น พวกชาวบ้านโง่เขลาที่ถูกยุแยงก็เป็นเช่นนี้! เป็นพวกชาวบ้านที่โง่งมกลุ่มหนึ่งจริงๆ! นางตำหนิคนขับรถม้าและองครักษ์อย่างรุนแรง “พวกเจ้าตายแล้วหรืออย่างไร?! มีคนล่วงเกินขบวนรถของพระชายา สังหารสาวใช้ของข้า นี่เป็นความผิดสถานใดกัน ต้องให้ข้าสั่งสอนพวกเจ้าด้วยหรือ?!” พระชายาของชินอ๋อง เป็นตำแหน่งที่เหนือกว่าสตรีบรรดาศักดิ์ขั้นสูงสุด ต่อให้เหล่าขุนนางพบเห็น ขุนนางบุ๋นยังต้องลงจากเกี้ยว ขุนนางบู๊ยังต้องลงจากม้า แล้วนับประสาอะไรกับหญิงสาวไร้ศักดิ์ไร้ตำแหน่งที่ยังมิได้ออกเรือน? คนขับรถม้าลังเลไปชั่วขณะ ทว่าองครักษ์ที่อยู่ด้านข้างกับดึงดาบดังเคร้งออกมาทันที เหวอ! ถึงอย่างไรก็แสดงอาวุธออกมาแล้ว เหล่าราษฎรจึงพากันถอยหลังด้วยความหวาดกลัว ในชั่วขณะหนึ่ง ถือว่าสถานการณ์ได้ถูกสะกดไว้แล้ว
พลเมืองดี… หานเยว่เอ๋อด่า ‘มารดาเจ้าเถอะ’ อยู่ในใจ และในยามนี้เอง ชีหยวนก็ชี้ไปที่ตนเอง แล้วยิ้มออกมาบางๆ “หรือข้า มิใช่พลเมืองดีที่พบเห็นความอยุติธรรมหรือ?” บิดาของเด็กน้อยที่ได้รีบความช่วยเหลือรีบพูดเสียงดังทันทีว่า “ใช่! ย่อมใช่อย่างแน่นอน! หากมิใช่เพราะคนของคุณหนูช่วยเหลือคนด้วยคุณธรรม ลูกชายของข้าคงตายไปแล้ว! คุณหนูโปรดวางใจ ต่อให้เรื่องไปถึงศาล พวกเราก็จะเป็นพยานให้คุณหนูแน่ขอรับ!” ผู้ที่สูงส่งอยู่เบื้องบน ไม่มีทางรู้ถึงความทุกข์ยากของผู้ที่อยู่เบื้องล่าง ดังนั้น หานเยว่เอ๋อจึงไม่เห็นชีวิตของชนชั้นล่างเป็นชีวิต แต่หานเยว่เอ๋อไม่รู้ว่า น้ำสามารถหนุนเรือได้ ก็สามารถคว่ำเรือได้เช่นกัน ชนชั้นล่าง จึงจะเป็นคนส่วนใหญ่ของโลกใบนี้ ชีหยวนยิ้มให้กับหานเยว่เอ๋อจากระยะไกล หานเยว่เอ๋อรู้สึกเพียงว่า รอยยิ้มนั้นราวอาบด้วยยาพิษ ทำให้นางบังเกิดเหน็บหนาวไปทั่วร่าง เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?! และในเวลานี้เอง คนจากศาลซุ่นเทียนก็ได้มาถึงแล้ว เมื่อเจ้าหน้าที่ของศาล ที่รับผิดชอบการตรวจตราเห็นว่ามีคนตาย สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที และรอจนได้เห็นรถม้าของจวนฉีอ๋อง เบื้องหน้าก็ยิ่งมืดมิดลงไ
ยามนี้ สำหรับพวกไป๋จื่อแล้ว คำพูดของชีหยวนไม่ต่างอันใดกับราชโองการ เมื่อได้ยินนางกล่าวเช่นนี้ ไป๋จื่อก็ช่วยซุ่นจื่อประคองเหลียนเฉียวออกไปหาหมอโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ประตูห้องถูกเปิดออก ปาเป่าก็ยิ้มแย้มต้อนรับชีหยวนเข้าไป “ไอ้หยา คุณหนูใหญ่ชีขอรับ เมื่อครู่ท่านช่างองอาจเหลือเกิน!” ดวงตาของเขาเปล่งประกายสว่างไสว ขาดอีกเพียงนิดก็แทบจะสลักคำว่า “ยอมรับนับถือ” ไว้บนหน้าผากแล้ว ชีหยวนพยักหน้า เมื่อสาวเท้าเข้าไป ก็เห็นเซียวอวิ๋นถิงกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะในเวลานี้ เมื่อเห็นนาง เซียวอวิ๋นถิงก็เดาะลิ้นทีหนึ่ง “เหตุใดทุกครั้งที่พบเจ้า เจ้าล้วนกำลังฆ่าคนอยู่เล่า?” ปาเป่าอดเหลือบตามองท่านอ๋องของตนคราหนึ่งไม่ได้ ในใจรู้สึกร้อนใจขึ้นมาเล็กน้อย ดูท่านอ๋องทรงพูดเข้าสิ กล่าวกับแม่นางน้อยเขาเช่นนี้ได้อย่างไร? ชีหยวนกลับมิได้ใส่ใจ นางเดินไปนั่งลงตรงข้ามเซียวอวิ๋นถิง ถามอย่างสบายๆ ว่า “อย่างนั้นหรือ? ข้าจำได้ว่าห่างจากครั้งก่อนสักพักแล้วนี่นา” สักพักแล้ว…เจ็ดแปดวัน? เซียวอวิ๋นถิงเอนหลังลงบนพนักเก้าอี้ มองสำรวจชีหยวนขึ้นลงหนหนึ่ง “หลังจากวันนี้ เกรงว่าชื่อเสียงของคุณหนูใหญ่แห่งสกุลชีเจ้า คงจ
หากเขามองไม่ผิด สายตาของสตรีนางนี้เผยความเยาะหยันออกมาอย่างเต็มเปี่ยม นี่ตั้งข้อสงสัยต่อความสามารถของเขาขึ้นมาแล้วใช่หรือไม่? ช่าง…นัก เขาแค่นเสียงเย็นอย่างไม่สบอารมณ์ทีหนึ่ง “เรื่องนี้ก็ไม่รบกวนให้เจ้าต้องเป็นห่วง คนหนีไปไม่รอดหรอก” “เช่นนั้น ข้ายังต้องมีสิ่งใดให้กังวลเล่า?” ชีหยวนเลิกคิ้ว พอดีกับที่ประตูถูกเคาะดัง ปาเป่าเห็นว่าระหว่างพวกเขาคลับคล้ายจะมีกลิ่นควัน ขณะกำลังไม่รู้จะทำอย่างไรดี เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูจึงรีบไปเปิดประตูทันที ผลคือ เป็นพวกซุ่นจื่อกลับมาแล้ว สายตาของชีหยวนตกลงบนมือของเหลียนเฉียว นางถามเสียงหนักว่า “เป็นอย่างไรบ้าง หมอว่าอย่างไร?” สีหน้าของเหลียนเฉียวแดงเล็กน้อย นางก้มศีรษะตอบว่า “คุณหนูวางใจเถิดเจ้าค่ะ ท่านหมอบอกแล้วว่า ไม่ทำลายถูกเส้นเอ็นและกระดูก ขอแค่รักษาตัวสักช่วงหนึ่งก็หายดีแล้วเจ้าค่ะ” เห็นได้ชัดว่า นางโกหกไม่เก่งอย่างยิ่ง ชีหยวนเงียบงันไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็กล่าวเสียงต่ำว่า “อยู่ต่อหน้าข้าไม่จำเป็นต้องปิดบัง วันหลังยามติดตามอยู่ข้างกายข้า ข้าก็จะไม่มีทางให้พวกเจ้าได้รับความไม่เป็นธรรม!” ผู้ที่ติดตามนาง มิใช่มีไว้เพื่อถูกรังแกหรอ
ม่านประตูถูกเปิดออก นางเดินอ้อมฉากกั้นเข้าไปด้านใน ยังไม่ทันทำอะไร ก็เห็นนางหวังลุกพรวดขึ้นจากตั่ง แม้กระทั่งรองเท้าก็ยังไม่ได้สวม พุ่งตรงเข้ามาพร้อมง้างมือขึ้นและตบหน้านางไปอย่างจังหนึ่งฉาด “เจ้าลูกเวร!” ฝ่ามือนี้ทั้งรวดเร็วและรุนแรง ถึงขนาดที่ไป๋จื่อยังไม่ทันโผเข้าไปบังชีหยวนไว้ ชีหยวนก็ถูกตบหน้าไปหนึ่งฉาดแล้ว ใบหน้าด้านขวาของชีหยวนบวมขึ้นมา รอยฝ่ามือปรากฏให้เห็นชัดเจนบนใบหน้าของนาง ทุกคนต่างสะดุ้งด้วยความตกใจ นางหวังหยัดกายขึ้นมาหมายจะตบอีกฉาด กลับถูกเกาเจียและหลิวเจียรั้ง ๆ ลาก ๆ ขัดขวางไว้เสียก่อน “ฮูหยินท่านได้โปรดระงับโทสะเจ้าค่ะ!” เกาเจียนึกประหวั่นพรั่นพรึงในใจ ไม่รู้ด้วยเหตุผลใด นางรู้สึกได้ว่าชีหยวนมิใช่คนที่จะสามารถลงไม้ลงมือตบตีได้ตามใจ ชีอวิ๋นถิงที่ตบหน้าทำร้ายชีหยวนไปเมื่อครั้งก่อนถูกลงโทษซ้ำ จนตอนนี้ยังลุกจากเตียงไม่ได้ แต่นางหวังหรือจะยับยั้งโทสะได้อีก? นางชี้นิ้วใส่ชีหยวน ตัวสั่นเทิ้ม “เคราะห์กรรมอะไรของข้า เหตุใดถึงได้ให้กำเนิดเดรัจฉานสารเลวอย่างเจ้าออกมา?! ต้องทำลายพวกข้าทั้งตระกูลให้ย่อยยับให้ได้ก่อนใช่ไหมเจ้าถึงจะยอมหยุด?!” ไป๋จื่อกอดชีหยวนไว้สงส
เดิมก็ไร้ซึ่งความผูกพันแม่ลูกอยู่แล้ว บัดนี้ยิ่งเหมือนหมอกควันจางหายมลายไปหมด นางขึงตาจ้องชีหยวนอย่างอำมหิต คล้ายกับกำลังจ้องมองศัตรูคู่อาฆาตอย่างไรอย่างนั้น ชีหยวนหันศีรษะเดินจากไปทันที นางหวังยังคงตะโกนโวยวายสั่งให้คนจับตัวชีหยวนไว้และพาไปขอขมาที่จวนอ๋องฉี เกาเจียยกมือขึ้นกุมหน้ายิ้มเจื่อนพลางถอนหายใจออกมา “ฮูหยิน ท่านโหวผู้เฒ่าและท่านโหวกำลังออกไปสืบความจริง แต่ดูท่านสิ เหตุใดท่านจึงอดทนข่มโทสะไว้ไม่ได้ถึงเพียงนี้เจ้าคะ?” ขณะที่กำลังพูด หลิวจงรีบวิ่งเข้ามาด้วยความรวดเร็ว “ฮูหยิน ฮูหยิน! เกิดเรื่องแล้วขอรับ พระชายาอ๋องฉี…” เห็นไหมล่ะ นางหวังแค่นเสียงหัวเราะเย็นเยียบออกมาอย่างเคียดแค้น “ไม่ต้องมาพบข้า! ไปหานางเด็กชั่วช้าสารเลวที่เอาแต่แส่หาเรื่องนั่นเถิด! หากพระชายาอ๋องฉีต้องการสังหารนางก็จัดการให้นางสิ้นใจตายไปเสีย เรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวกับข้า!” หลิวจงผงะไป เอ่ยอย่างอดไม่ไหว “ไม่ใช่ขอรับฮูหยิน คือว่า พระชายาอ๋องฉีสิ้นพระชนม์แล้วขอรับ!” ว่าอย่างไรนะ?! ทั้งห้องเงียบสนิท เงียบจนแม้แต่เข็มหล่นในห้องยังได้ยินเสียง เกาเจียยกมือปิดหน้าเสียงโครมครามดังขึ้นในใจ เครียดจนหัวใ
กลับกัน นางมีความเก่งกาจโดดเด่นมาโดยตลอดจนเรียกว่าแข่งกับองค์หญิงลั่วชวนในทุก ๆ เรื่อง แม้กระทั่งการเล่นตีคลีก็เช่นกัน งานแข่งตีคลีครั้งนี้ นับเป็นการลงสนามแข่งขันอย่างเป็นทางการหลังพิธีปักปิ่นของพวกนางสองคน ทั้งคู่ต่างแบ่งกลุ่มมาก่อนเรียบร้อยแล้ว บัดนี้หลิ่วหมิงจูกำเริบเสิบสานไร้ความยำเกรง ในสายตาขององค์หญิงลั่วชวนมองแล้วชัดเจนว่าจงใจยั่วโทสะอย่างไม่ต้องสงสัย หลิ่วหมิงจูกลั้วหัวเราะเสียงเบา: “ชนะข้า? องค์หญิง หากท่านคิดอยากจะชนะข้า…ชนะคนอื่นให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากันเถิด” สีหน้าของนางดูราบเรียบ เอ่ยด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม: “ได้ยินว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลชีแห่งจวนหย่งผิงโหว ได้รับการชี้แนะอบรมโดยตรงจากองค์หญิงใหญ่ ฝีมือการขี่อาชาเรียกว่าโดดเด่นไม่เป็นรอง หากองค์หญิงสามารถเอาชนะนางได้ ข้าก็จะยอมรับความพ่ายแพ้ โดยที่ไม่ต้องแข่งขัน เช่นนั้นเป็นอย่างไร?” แต่ไหนแต่ไรมาองค์หญิงใหญ่โปรดปรานการเล่นตีคลีเป็นที่สุด แม้แต่บรรดาพระเชษฐาอย่างอ๋องโจวและอ๋องอู๋ยังไม่สามารถเอาชนะนางได้ ดังนั้นได้ยินหลิ่วหมิงจูเอ่ยเช่นนี้ขึ้น องค์หญิงลั่วชวนก็ขมวดคิ้วขึ้นและโพล่งถามออกไปทันใด: “ใครกัน?
งานแข่งตีคลีของจวนอ๋องโจวมิได้จัดขึ้นที่จวนอ๋องโจวจริง ๆ ทว่าจัดที่เรือนพักนอกเมืองของจวนอ๋องโจว ซึ่งอยู่นอกเขตเมืองหลวง และต่อให้จวนในเมืองหลวงจะใหญ่โตกว้างขวางสักเพียงใด ทว่าจะสร้างสนามตีคลีขึ้นสักหนึ่งสนามนั้นก็ค่อนข้างลำบากเกินไปอยู่ดี แต่กับนอกเขตเมืองหลวงนั้นแตกต่างกัน สนามตีคลีของจวนอ๋องโจวใหญ่จนน่าอัศจรรย์ใจ อีกทั้งรอบข้างยังสร้างที่นั่งซึ่งมีลักษณะเป็นขั้นบันไดไล่ขึ้นไปจากต่ำไปสูง เพื่อให้ผู้ชมสามารถมองเห็นเหตุการณ์ในสนามแข่งขันได้จากทุกทิศทาง ตอนที่ฮูหยินรองชีพาชีหยวนไปถึง บรรยากาศในงานยังไม่เร่าร้อนคึกคัก นางพาชีหยวนไปกล่าวทักทายพระชายาโจวก่อน พระชายาโจวกำลังยุ่ง อันที่จริงเหตุผลที่ส่งเทียบเชิญให้ตระกูลชี พูดตามตรงแล้วก็เป็นเพราะว่าเห็นแก่หน้าฮูหยินซื่อจื่อฉู่กั๋วกงซึ่งเป็นพี่สาวผู้พี่ของนางต่างหาก และแน่นอนว่านางไม่มีความจำเป็นจะต้องลดเกียรติลงไปสนทนากับชีหยวนด้วยตนเอง ด้วยเหตุนี้เองกระทั่งฮูหยินรองชีทำความเคารพแล้ว นางไม่แม้แต่มองให้ชัดเจนด้วยซ้ำว่าชีหยวนรูปโฉมโนมพรรณเป็นอย่างไร เพียงแต่อมยิ้มพลางเอ่ยกับฮูหยินรองชีว่า: “พวกเด็ก ๆ ต่างอยู่ในตำหนักเถาฮวาอู้ที่ลาน
เซียวอวิ๋นถิงจ้องมองชีหยวนอยู่ครู่ใหญ่: “ไฉนชีวิตเจ้าจะต้องต่ำต้อยไร้ค่า?” ในน้ำเสียงของเขาเจือด้วยโทสะที่ปกปิดไม่มิด นั่นกลับทำให้ชีหยวนที่ตอนแรกยังอยู่ในความตื่นเต้นฮึกเหิมสงบลง นางลูบปอยผมของตนเองที่หลุดลงมาอย่างสุขุมเยือกเย็น: “ข้าน้อยพูดผิดไปแล้ว ขอบคุณท่านอ๋องที่ชี้แนะ ข้าน้อยจะจดจำใส่ใจเจ้าค่ะ” นางสำนึกผิดรวดเร็วเพียงนี้ ทว่าไม่รู้ด้วยเหตุผลใดโทสะแต่เดิมที่ไม่รู้มาจากไหนของเซียวอวิ๋นถิงกลับยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นมา ไม่รู้ด้วยเหตุผลใด ประโยคนั้นที่ว่าชีวิตต่ำต้อยหนึ่งชีวิตของข้า กลับทำให้สายใยบางอย่างในใจของเขาสั่นไหวขึ้นมา ความรู้สึกอึดอัดแล่นพล่านอยู่ภายในใจของเขา ลูกกระเดือกของเขาขยับขึ้นลง พลางจ้องชีหยวนและกล่าวว่า: “เจ้าอย่าเอาตัวไปเสี่ยงอันตราย หากมีเรื่องอันใด ข้าสามารถช่วยเหลือเจ้าได้” ชีหยวนไม่ตอบกลับ เรื่องราวในชาตินี้ไม่มีอะไรแน่นอน พึ่งพิงขุนเขาขุนเขาก็อาจจะถล่มลงมา สิ่งเดียวที่สามารถพึ่งพิงได้ มีเพียงตนเอง เพียงแต่เรื่องแบบนี้ ไม่มีความจำเป็นจะต้องไปโต้เถียงกับผู้ใดอีกแล้ว นางยิ้มพลางกล่าวขอบคุณในน้ำใจและความหวังดีของเซียวอวิ๋นถิง จากนั้นค่อยเล่าข้อ
เซียวอวิ๋นถิงขมวดคิ้วพลางจ้องมองชีหยวนซึ่งอยู่ตรงหน้า เห็นนางยังผงกศีรษะ ก็รู้สึกร้อนใจขึ้นมาอย่างอดไม่ได้: “ที่แห่งนั้นไม่เหมาะกับเจ้า!” กลัวว่าชีหยวนจะคิดเรื่องนี้ง่ายดายเกินไป เซียวอวิ๋นถิงจึงเอ่ยปากแนะนำด้วยเสียงเคร่งขรึม: “พูดถึงอ๋องโจว ก็เป็นท่านปู่น้อยของข้า เขาเป็นพี่น้องร่วมครรภ์มารดาเดียวกับเสด็จปู่ของข้า ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองแน่นแฟ้นยิ่งนัก และด้วยเหตุผลนี้ พระธิดาของเขาจึงได้รับความรักความโปรดปรานเป็นที่สุด นับแต่เยาว์วัยก็ได้รับแต่งตั้งเป็นองค์หญิงลั่วชวนแล้ว อีกทั้งยังได้รับการเลี้ยงดูในวังหลวงโดยไทเฮาด้วย” ชีหยวนเพียงส่งเสียงอืมรับคำ นางรู้อยู่แล้ว “องค์หญิงที่ถูกเลี้ยงดูให้เติบโตมาอย่างสูงศักดิ์เลิศล้ำเช่นนี้ ในสายตาในหัวใจยอมรับได้เพียงแค่พวกนางกันเองเท่านั้น” เซียวอวิ๋นถิงกลัวว่าชีหยวนจะไม่เข้าใจ ก็อธิบายคำพูดเมื่อครู่ให้ชัดเจนกระจ่างขึ้นอีกหน่อย: “ข้าบอกเจ้าง่าย ๆ แล้วกัน บรรดาดรุณีผู้สูงศักดิ์ในเมืองหลวง สามารถแบ่งคร่าว ๆ ออกมาได้ห้าลำดับขั้น ลำดับขั้นแรก แน่นอนว่าต้องเป็นเหล่าองค์หญิงของราชสำนักอย่างเช่นองค์หญิงลั่วชวน องค์หญิงเสียนหนิงกลุ่มนั้น ส่วนอั
นางไม่พูดมากไปกว่านี้แล้ว เพียงแต่บอกให้พวกชีเจิ้นและท่านโหวผู้เฒ่าวางใจ มีลูกหลานที่มีความสามารถเก่งกาจเกินไปก็มิใช่เรื่องน่ายินดีอะไรนัก เพราะเมื่อใดที่เราอยากเป็นผู้ตัดสินใจบ้างก็เป็นเรื่องที่ยากมากเกินไปจริง ๆ ทั้งท่านโหวผู้เฒ่าและชีเจิ้นต่างไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกมาดี หนนี้กลับเป็นฮูหยินผู้เฒ่าที่รู้สึกยินดีอย่างถึงที่สุด: “ให้น้าสะใภ้รองของเจ้าพาเจ้าไปสิ! ข้าจะให้คนไปตัดอาภรณ์ชุดใหม่มาให้เจ้า เมื่อถึงยามนั้นเจ้าจงเที่ยวเล่นให้เบิกบานใจ” เที่ยวเล่นให้เบิกบานใจ… ชีเจิ้นคล้ายจะเอ่ยบางอย่างแต่ชะงักไป ชีหยวนกลับผุดยิ้มพลางกล่าวขอบคุณฮูหยินผู้เฒ่าชี จากนั้นก็หยัดกายขึ้นและกลับไปที่หอหมิงเยว่ ครั้นกลับมาถึงหอหมิงเยว่ เหลียนเฉียวมารออยู่หน้าประตูเรือนได้พักหนึ่งแล้ว เมื่อเห็นนางก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ก่อนจะสืบเท้าเดินเข้าไปหาอย่างรีบร้อน: “คุณหนู ท่านกลับมาแล้ว!” จากนั้นก็กดเสียงลงเอ่ยว่า: “ท่านอ๋องอยู่ด้านในเจ้าค่ะ” นางแทบจะตกใจตายให้ได้เลยจริง ๆ ก่อนหน้าตอนที่นางเข้าไปในห้อง ครั้นเห็นเซียวอวิ๋นถิงนั่งอยู่ข้างหน้าต่างในตอนนั้น ก็เกือบจะตกใจตายแล้ว ช่วงนี้มันอย่าง
ครั้นได้รับเทียบเชิญ คนทั้งตระกูลชีต่างรู้สึกประหลาดใจและไม่มั่นใจเล็กน้อย สาเหตุเพราะเกิดเหตุร้ายแรงขึ้นในสกุลโจว ดังนั้นระยะนี้ชีฟางอวิ๋นจึงต้องพำนักอยู่ที่เรือนมารดามาตลอด พอได้ยินข่าวนี้ก็เผลอมองชีหยวนหลายครั้งอย่างอดไม่ได้ จากนั้นก็แอบกระซิบถามฮูหยินผู้เฒ่าชีว่า: “ท่านแม่ พี่หยวนนางเป็น…” เป็นใครมาจากไหนกันแน่? เรื่องที่ทำไมตอนนี้ทุกคนในตระกูลชีถึงยอมรับกลาย ๆ ว่านางเป็นผู้นำบังไม่เท่าไร ทว่าเหตุใดแม้กระทั่งบรรดาบุคคลผู้มีชื่อเสียงนอกเรือนยังพากันให้ความสำคัญกับนางมากถึงเพียงนี้อีก? งานแข่งตีคลีของจวนอ๋องโจว ใช่ว่าจวนหย่งผิงโหวจะไม่เคยได้รับเทียบเชิญมาก่อนเสียเมื่อไร ทว่าแต่ไหนแต่ไรมา ก็ไม่เคยระบุเจาะจงชัดเจนว่าเชิญผู้ใดอย่างเช่นตอนนี้ แบบนี้จะไม่แปลกเกินไปหน่อยหรือ? ชีหยวนเพิ่งจะกลับมาได้เพียงไม่นาน ตระกูลบุญหนักศักดิ์ใหญ่ในเมืองหลวงมีใครบ้างเกรงว่ายังรู้จักไม่ครบเสียด้วยซ้ำไป นับดูให้ดีแล้วที่ออกไปเยี่ยมเยียนเป็นแขกก็มีเพียงตระกูลเซี่ยงตระกูลเดียวเท่านั้น มิหนำซ้ำยังเป็นการไปที่มิใช่เรื่องน่ายินดี แวะไปเพียงครู่เดียวก็กลับแล้ว จวนอ๋องโจวมีเหตุผลใดถึงต้องเจาะจ
เมื่อเห็นเช่นนี้ ฮูหยินใหญ่หลิ่วก็โกรธจัด: “งานแข่งตีคลีของจวนอ๋องโจว เจ้าไม่ต้องไป!”หลิ่วหมิงจูกังวลใจทันที: “ทำไมล่ะ?! ข้าเตรียมตัวมาครึ่งปีแล้ว ข้าต้องไปให้ได้!”ทุกปีในฤดูหนาว นอกจากงานชุมนุมดอกไม้ของบรรดาจวนขุนนางแล้ว งานแข่งตีคลีของจวนอ๋องโจว เป็นงานที่ผู้คนในเมืองหลวงเฝ้ารอมากที่สุดราชวงศ์นี้ยกย่องทักษะด้านการต่อสู้ ย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่ฮ่องเต้หย่งชางยังเป็นอ๋องอยู่ พระองค์ก็โปรดปรานการเล่นตีคลีอย่างมาก นายว่าขี้ข้าพลอย หลังจากขึ้นครองราชย์แล้ว บรรดาอ๋องทั้งหลายก็เล่นตีคลีคล้อยตามพระองค์ การแข่งตีคลีจึงกลายเป็นกระแสนิยมอย่างมาก โดยเฉพาะในหมู่ชนชั้นสูงหญิงชาย การได้แสดงฝีมือและโดดเด่นในสนามแข่งของจวนอ๋องโจวถือเป็นความภาคภูมิใจที่สุดหลิ่วหมิงจูเริ่มฝึกขี่ม้าตั้งแต่อายุสิบสองปี และฝึกฝนการเล่นตีคลีมาโดยตลอด ทว่าสองปีที่ผ่านมา นางยังอายุน้อย จึงได้เล่นอย่างไม่เต็มที่ เป็นแค่ตัวสำรอง ปีนี้นางรอคอยมานานจนกระทั่งอายุครบวัยปักปิ่น และนางยังได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้เล่นที่ยอดเยี่ยมในกลุ่มบุตรสาวขุนนาง นางจะพลาดงานนี้ไปได้อย่างไร?ฮูหยินใหญ่หลิ่วกำลังจะพูดต่อ แต่หลิ่วจิง
หลิ่วจิงหงพยักหน้า ยิ้มพร้อมกล่าวให้บิดาของตนวางใจ: “ลูกมีแผนการในใจแล้วขอรับ”ต่างจากลูกหลานขุนนางทั่วไป ส่วนใหญ่พอรุ่นที่สองก็มักอาศัยเกียรติยศของบรรพบุรุษกินสมบัติเก่า แต่สำหรับหลิ่วจิงหง เขายืนหยัดอยู่ในแวดวงขุนนางด้วยความสามารถของตนเองตระกูลหลิ่วของพวกเขาเป็นขุนนาง และยังเป็นพระญาติชั้นนอก เพราะเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยได้รับความโปรดปรานอย่างมาก สถานะของตระกูลหลิ่วจึงสูงส่งยิ่งขึ้นกล่าวโดยทั่วไปแล้ว ตำแหน่งขุนนางที่ได้มาจากพระมาหกรุณาธิคุณ ล้วนใช้คำว่าเฉิงเอิน (รับพระมหากรุณาธิคุณ) เป็นคำนำหน้าตำแหน่ง เช่น ตระกูลของฮองเฮาเฝิงก็มีตำแหน่ง “เฉิงเอินโหว”แต่ตระกูลหลิ่วกลับได้เป็นจวนฉู่กั๋วกง สาเหตุหนึ่งมาจากพระสนมหลิ่วได้รับความโปรดปรานอย่างมาก และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือเพราะความสามารถของหลิ่วจิงหงเอง หลิ่วจิงหงเป็นคนมีพรสวรรค์ เขาสามารถทำดินปืนได้ ในอดีตเมื่อครั้งอยู่ฝูเจี้ยน เขาเติบโตเข้าออกจวนอ๋อง เรียกอ๋องหมิ่น ซึ่งก็คือฮ่องเต้หย่งชางในปัจจุบันว่า “พี่เขย” ตั้งแต่เด็กเรียกได้ว่าหลิ่วจิงหงมีทั้งความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น กับฮ่องเต้หย่งชาง และความสามารถอันโดดเด่นดังนั้น ตอนนี้เขาจ
เมื่อเขาเดินออกไป คนเฝ้าประตูก็เข้าไปรายงานท่านผู้เฒ่าหลิ่วทำเสียงฮึดฮัด: “ไร้ประโยชน์สิ้นดี มีแต่ทำเรื่องเสียหาย! เจ้าเองก็เถอะ ไฉนถึงเลียนแบบสตรีไปได้?”คนที่เขาหมายถึงย่อมไม่พ้นบุตรชายของตน ผู้สืบทอดของจวนฉู่กั๋วก๋ง หลิ่วจิงหงหลิ่วจิงหงหัวเราะเบาๆ นั่งอยู่ตรงข้ามเขาอย่างสง่างาม: “ก็คิดว่าอย่างไรเสียก็เป็นคนเคยใช้งานมาก่อน อีกอย่างเขาก็เป็นญาติเกี่ยวดองกับจวนหย่งผิงโหว เลยช่วยพูดแทนสักสองสามคำ ใครจะไปรู้ว่าเขาจะไร้ความสามารถเพียงนี้?”ไม่เพียงแต่จะไม่สามารถสร้างปัญหาให้จวนหย่งผิงโหวได้ ยังทำอะไรตระกูลชีไม่ได้เลยสักนิด ซ้ำร้ายยังทำให้ตัวเองต้องเดือดร้อนเสียอีกท่านผู้เฒ่าหลิ่วสีหน้าไม่ค่อยสู้ดี: “เจ้าต้องระวังให้มาก คนประเภทนี้ พบเจอเรื่องราวมามากจึงไม่กลัวอะไรทั้งนั้น หากตระกูลโจวเกิดเรื่องขึ้นจริง ก็จะพูดอะไรไม่ควรพูดออกมา”นี่คือกำลังเตือนเขาถึงเรื่องราวในตอนนั้นหลิ่วจิงหงเข้าใจดี ยื่นมือรินน้ำชาให้ท่านผู้เฒ่า: “ท่านก็วางใจเถิด ลูกไม่ใช่คนโง่เยี่ยงนั้น เขาไม่มีโอกาสอีกแล้ว”กล่าวจบก็หัวเราะเยาะ: “พูดไปท่านอาจไม่เชื่อ ไอ้คนโง่นี่ ตอนเราปูทางให้เข้าไปทำงานในกรมทหารม้าในตอน