การต่อสู้กำลังจะปะทุขึ้นเดี๋ยวนั้นแต่ในตอนนั้นเอง ราชาเผ่านอกด่านผู้ทรงอ่อนแอก็เอ่ยปากขึ้น"หยุด..."ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ออกมา คนในกระโจมก็หยุดมือกันทันทีหล่างชิ่นขมวดคิ้ว ก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาพันรอบฝ่ามือที่มีเลือดออกของราชาเผ่านอกด่านแล้วพูดด้วยความเป็นห่วงว่า“เสด็จพ่อ ข้ารู้ว่าท่านห่วงใยหล่างมู่มาโดยตลอด แต่ครั้งนี้เขากลับพาลั่วชิงยวนมาที่นี่ และคิดประทุษร้ายท่าน เรื่องนี้มิอาจยกโทษให้ได้!”ราชาเผ่านอกด่านขมวดคิ้ว "ลั่วชิงยวน?"หล่างชิ่นตอบว่า "ใช่แล้ว นางมิเพียงแต่เป็นคนของแคว้นเทียนเชวียเท่านั้น แต่ยังเป็นแม่ทัพผู้ปกป้องเมืองผิงหนิงในครั้งนี้ หากไม่มีนาง พวกเราคงตีเมืองผิงหนิงแตกไปนานแล้ว"“สมาชิกของเผ่าเรานับมิถ้วนต้องตายไปด้วยน้ำมือของนาง!”“แม้แต่เฉียนคุนก็ยังถูกนางฆ่า!”หล่างชิ่นกล่าวและมองลั่วชิงยวนด้วยความเกลียดชังในดวงตาลั่วชิงยวนเห็นว่า คำพูดของราชาเผ่านอกด่านยังคงมีอำนาจอยู่ อย่างน้อยทหารที่นี่ก็ยังเชื่อฟังคำสั่งของราชาเผ่านอกด่านแม้แต่หล่างชิ่นก็ต้องแสร้งทำตัวเป็นลูกสาวผู้กตัญญูที่ห่วงใยราชาเผ่านอกด่าน“ราชาเผ่านอกด่าน ข้ามิใ
เลือดเต็มชามหนึ่งใบแล้วใบหน้าของราชาเผ่านอกด่านซีดมากแล้วแต่ลั่วชิงยวนเปลี่ยนเป็นชามเปล่า แล้วปล่อยเลือดออกมาอย่างต่อเนื่องทุกคนมองดูด้วยความตึงเครียด แม้แต่หล่างมู่ก็ยังอดระทึกใจมิได้ลั่วชิงยวนคงมิได้แกล้งพวกเขาหรอกกระมัง ยังมิเคยได้ยินวิธีรักษาด้วยการเจาะเลือดทิ้งมาก่อนเลย“ลั่วชิงยวน เจ้ารักษาคนอย่างไรกัน เสด็จพ่ออ่อนแอลงชัด ๆ!” หล่างชิ่นโกรธจัดนางชักดาบพุ่งเข้าหาหลั่วชิงยวนทันทีลั่วชิงยวนเพิกเฉยต่ออีกฝ่าย เมื่อเห็นว่าเลือดพิษเกือบจะถูกขับออกมาจนหมดสิ้นแล้ว นางจึงดึงเข็มบนร่างของราชาเผ่านอกด่านออกทันใดนั้น ราชาเผ่านอกด่านก็กดหน้าอกของตนทันทีทุกคนตกใจเป็นอย่างมาก“เสด็จพ่อ!” หล่างมู่ร้องอุทานหล่างชิ่นฉวยประโยชน์จากสถานการณ์ยกดาบขึ้นแทง "ลั่วชิงยวน! ตายซะเถอะ!"แต่ทว่าเมื่อดาบยาวพุ่งเข้าหาอีกฝ่าย กลับมีเสียงหนึ่งหยุดหล่างชิ่นเอาไว้"หยุด!"เป็นราชาเผ่านอกด่านที่เอ่ยปรามเขากุมหน้าอกแล้วพยุงตัวเองขึ้นหล่างมู่รีบไปช่วยประคองเขาด้วยความตกใจอย่างยิ่ง "เสด็จพ่อ ท่านขยับตัวได้แล้ว"ราชาเผ่านอกด่านหอบหายใจ ค่อย ๆ พูดว่า "ข้ารู้สึกว่าร่างกายเบาขึ้นมาก หล่างชิ่น ปล่อ
แต่เขาบอกหล่างมู่ว่าเป็นอาของเขางั้นหรือ?หล่างมู่ถาม “อา? ข้าเคยมีอาตั้งแต่เมื่อใดกัน? เสด็จพ่อ ท่านมิเคยพูดถึงเลยนี่”ราชาเผ่านอกด่านพูดอย่างจริงจัง "ตอนที่ข้าพบนาง นางยังเป็นเด็กสาว ย้อนกลับไปยามนั้น นางมาฝึกฝนตัวเองที่เผ่านอกด่านและบังเอิญติดกับดักล่าสัตว์ของข้า นางคิดว่าข้าจะจับนาง เราเลยประมือกันไปหนึ่งกระบวนท่า”“ด้วยเหตุนี้ การประมือกันครั้งนั้นทำให้เราได้รู้จักกัน จนได้กลายเป็นสหายสนิทกันตั้งแต่ครั้นเยาว์วัย”“ในเวลานั้น เผ่านอกด่านยังคงวุ่นวายมาก แต่ละเผ่าต่อสู้แย่งชิงอาหารกัน ชนเผ่าที่โหดร้ายถึงกับกินเนื้อคนของพวกเขาเองด้วยซ้ำ”“ข้าหัวเดียวกระเทียบลีบและยังต้องดูแลน้องชาย ข้ามีชีวิตที่ยากลำบากมากท่ามกลางเผ่านอกด่าน ข้าถูกขายให้เป็นทาสและเกือบเอาชีวิตมิรอด ต้องขอบใจลั่วอิง นางช่วยข้าไว้เสมอ”“นางยังช่วยให้ข้าก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำของเผ่าปีกอินทรี ทำให้เรามีชีวิตที่ค่อนข้างมั่นคงขึ้นมาบ้าง”“ต่อมา เพื่อขยายอาณาเขตและเพิ่มความแข็งแกร่งของเผ่า ข้าจึงแต่งงานกับแม่ของเจ้าซึ่งเป็นหัวหน้าของเผ่างูทะยานในเวลานั้น”"หากไม่มีลั่วอิง ข้าคงมิเป็นข้าอย่างในยามนี้"เมื่อได้ยินสิ่งนี้
"เป็นแม่ของข้า"ทันทีที่เขาได้ยินสิ่งนี้ ราชาเผ่านอกด่านก็ตกใจ เซถอยหลังไปหนึ่งก้าว“แม่ของเจ้ารึ? นางได้… แต่งงานกับน้องชายของข้ารึ?”ราชาเผ่านอกด่านละล่ำละลักด้วยเสียงสะอื้น น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกที่บอกมิถูกท่ามกลางความตกตะลึง ยังแฝงไปด้วยความรู้สึกสูญเสียเล็กน้อยแต่หลังจากที่สงบสติลงแล้ว ราชาเผ่านอกด่านก็เงยหน้าขึ้นและมองนางด้วยความตกใจอีกครั้ง "มิ! เจ้ามิใช่ลูกสาวของน้องชายข้า แต่เจ้าเป็นลูกสาวของข้า!"เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ลั่วชิงยวนก็ตัวแข็งทื่ออีกครั้ง“ว่ากระไรนะ ลูกสาวของท่าน? แม่ของข้ากับท่าน…” ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วจนแทบจะผูกเป็นปมแต่ทว่าความตกใจมิได้หายไปราชาเผ่านอกด่านคว้าแขนของนางไว้อย่างตื่นเต้นและกล่าวว่า "เจ้าคือลูกสาวของข้า! เจ้าคือลูกสาวคนโตของข้า!"“เจ้าคือหยวนหนิง!”"ดี มิต้องทำเงื่อนไขสองข้อที่ข้าเพิ่งพูดถึงก่อนหน้านี้แล้ว!""ข้าจะส่งต่อตำแหน่งราชาแห่งเผ่านอกด่านให้กับเจ้ายามนี้เลย!"“ข้าขอเพียงให้เจ้าสืบทอดตำแหน่งราชาเผ่านอกด่าน สิ่งอื่นใดข้ามิสน! มิว่าเจ้าอยากจะโจมตีเมืองผิงหนิงต่อไปหรือยุติสงคราม เจ้าตัดสินใจเอาเถอะ เจ้าเป็นผู้ชี้ชะตา!”ร
“นี่เป็นเหตุผลว่าเหตุใดข้าจึงโจมตีเมืองผิงหนิง ข้าอยากไปยังแคว้นเทียนเชวียเพื่อตามหานาง และข้าอยากรู้ข่าวคราวสุดท้ายก่อนที่ข้าจะตาย”“แม้ว่าหยวนหนิงจะมิอาจฟื้นคืนชีพได้ ข้าก็จะยอมรับชะตากรรมนี้ แต่ข้าอยากรู้ว่าผลลัพธ์เป็นเช่นไร”หลังจากพูดอย่างนั้น ราชาเผ่านอกด่านก็หัวเราะและมองไปยังลั่วชิงยวน“วันนี้ข้ามาตระหนักได้ว่า นางสามารถคำนวณเจตจำนงของสวรรค์ได้จริง ๆ และจัดการทั้งหมดนี้อย่างชัดเจนเพื่อให้เจ้ามาหาข้าในวันนี้”“เพื่อให้ข้าได้เจอเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย”ลั่วชิงยวนตกใจเมื่อได้ยินสิ่งนี้ฟื้นคืนชีพ?นางฟื้นคืนชีพแล้ว แต่นางมิใช่หยวนหนิงแต่เป็นลั่วเหรา!นางเคยได้ยินเกี่ยวกับกระบี่งูวิญญาณ มีตำนานเล่าลือกันว่ากระบี่งูวิญญาณมีงูวิญญาณแฝงอยู่ มันเป็นสิ่งที่มีพลังหยินเย็นสุดขั้ว ดังนั้นจึงสามารถดูดซับวิญญาณและกักเก็บให้วิญญาณอาศัยอยู่ในนั้นได้นอกจากนี้ยังเป็นสมบัติที่ชาวแคว้นหลีมากมายต้องการท้ายที่สุดแล้ว สำหรับปรมาจารย์ฮวงจุ้ยในแคว้นหลี กระบี่งูวิญญาณนี้สามารถกักเก็บวิญญาณได้หลายพันดวง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทรงพลังมากทันใดนั้นนางก็รู้สึกว่าอาจารย์ดูเหมือนจะกำลังเดินหมากกระดานใหญ่อ
คำพูดนี้เจือด้วยการข่มขู่เล็กน้อย ลั่วชิงยวนหัวเราะเบา ๆ สมแล้วที่เป็นราชาเผ่านอกด่าน ยังมิดีใจจนหน้ามืดเพียงเพราะได้เจอลูกสาวใช่แล้ว นางยังต้องการช่วยฉินเชียนหลี่!"ตกลง ข้ารับปากกับท่าน""ตามแผนของท่าน ข้าจะขึ้นเป็นราชาเผ่านอกด่าน และจะยุติสงครามระหว่างเผ่านอกด่านและแคว้นเทียนเชวียโดยสิ้นเชิง!"“แต่ท่านต้องปล่อยฉินเชียนหลี่ไป”ราชาเผ่านอกด่านยิ้มด้วยความพึงพอใจ "เป็นอันตกลง"เมื่อพูดเช่นนั้น ราชาเผ่านอกด่านก็นอนลงบนเตียงอีกครั้งและพูดว่า "เจ้าคงรู้ทักษะทางการแพทย์ ข้ารู้สึกดีขึ้นแล้ว เจ้าช่วยรักษาข้าต่อเถอะ" “ลั่วชิงยวนก้าวไปข้างหน้าเพื่อฝังเข็มและเขียนใบเทียบยาให้เขาก่อนยื่นให้หล่างมู่ไปนำยามาหลังจากปรุงยาให้ราชาเผ่านอกด่าน อาการของราชาเผ่านอกด่านก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดคืนนั้น ราชาเผ่านอกด่านสั่งให้เรียกหัวหน้าเผ่าทั้งหลายให้มารวมตัวกันเมื่อเห็นราชาเผ่านอกด่านนั่งอยู่อย่างสง่าผ่าเผยบนเก้าอี้ทุกคนต่างก็ตกใจ “ฝ่าบาท ร่างกายของท่าน…”หล่างชิ่นก็ตกใจเช่นกัน สุขภาพของเสด็จพ่อของเขาดูดีขึ้นมาก ก่อนหน้านี้เขาไม่มีแรงที่จะลุกขึ้นมาด้วยซ้ำ!ลั่วชิงยวนคนนี้ ทักษะการแพทย
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ออกมา ทุกคนก็เริ่มสงสัยหล่างชิ่นอย่างที่คาดไว้องค์หญิงชิงหวยถามเสียงเย็นชา "หล่างชิ่น ท่านเป็นคนติดต่อและให้ความร่วมมือกับตระกูลเหยียน เหตุใดป่านนี้จึงยังไม่มีข่าวจากตระกูลเหยียนเลยเล่า?"“หรือท่านปิดบังอะไรจากพวกเราไว้?”“ใช่ ท่านกำลังซ่อนอะไรบางอย่างไว้หรือไม่? ในเมื่อร่วมมือกัน เหตุใดตระกูลเหยียนมิยื่นมือมาช่วยเราเล่า?”“ถูกต้อง กองทัพของอู่จิ้นมิใช่ว่าเชื่อฟังคำสั่งของตระกูลเหยียนหรอกหรือ เหตุใดพวกเขามิช่วยเราตีเมือง?”คำถามเหล่านี้ทำให้แววตาของหล่างชิ่นเต็มไปด้วยความเกลียดชังอย่างรุนแรง นางมองลั่วชิงยวนด้วยสายตาเฉียบคม“ไม่มีข่าวอะไรจากตระกูลเหยียนเลย ข้ามิได้ปกปิดอะไรทั้งนั้น!”“เสด็จพ่อ ท่านอย่าได้เชื่อคำพูดเหลวไหลของลั่วชิงยวน!”ในที่สุดราชาเผ่านอกด่านก็พูดว่า "หยุดเถียงได้แล้ว" “วันนี้ข้าเรียกพวกเจ้ามาที่นี่ เพียงแค่อยากบอกว่าข้าจะให้ลั่วชิงยวนอยู่ที่นี่”“จนกว่าข้าจะหายดี ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้โจมตีเมืองอีก”“จงสงวนกำลังเอาไว้ และอย่าตกหลุมอุบายของผู้อื่น”ประโยคสุดท้ายนี้ทำให้หล่างชิ่นตะลึงลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจเช่นกันเหตุใดคำเหล่านี้ดู
ลั่วชิงยวนมิได้หลบเลยแม้แต่น้อย กลับจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาคมกริบ“คนที่ฆ่าพี่ชายเจ้าคือหล่างชิ่นต่างหาก!”“เจ้าคิดว่านางเพียงส่งพวกเจ้าไปโจมตีเมืองจริง ๆ หรือ? นางกำลังใช้การโจมตีเมืองเพื่อกำจัดพวกเจ้าต่างหาก!”กริชหยุดที่หน้าอกของลั่วชิงยวน โดยมิแทงลงไปชิงหวยสบตากับนาง "เจ้าหมายความว่าอย่างไร?"ลั่วชิงยวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงมิรีบร้อน "หล่างมู่เกือบตายเพราะหล่างชิ่น หลอกให้เขาบุกโจมตีจนตกหลุมพรางในเมือง"“หลังจากที่หล่างมู่ติดกับดัก นางรีบถอนตัวออกไปทันที ปล่อยโอกาสที่ดีที่สุดในการช่วยชีวิตหล่างมู่ไป”ลั่วชิงยวนเลิกคิ้ว “หากนางต้องการฆ่าหล่างมู่ นางย่อมต้องการฆ่าพวกเจ้าด้วยเช่นกัน มิเช่นนั้นนางจะทำข้อตกลงกับตระกูลเหยียนได้อย่างไร”ชิงหวยตกใจมากเมื่อได้ยินสิ่งนี้ "ว่ากระไรนะ? เจ้าว่าอะไรกับตระกูลเหยียนนะ? เจ้ารู้อะไรบางอย่างใช่หรือไม่?"“พูดมาเร็ว!”ลั่วชิงยวนมิรีบร้อนที่จะพูด นางขยับตัวเล็กน้อยแล้วพูดว่า "ปล่อยข้าก่อนสิ"ชิงหวยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นลุกขึ้นและขยิบตาให้ผู้คนรอบตัวมีคนเข้ามาปลดโซ่ให้ลั่วชิงยวนทันทีลั่วชิงยวนลูบข้อมือเบา ๆ แล้วค่อย ๆ ลุกขึ้นนางพูดอย่างใจ
ร่างที่เดินออกมาจากฝูงชนนั้นมีท่าทางคุกคามยิ่งนักลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย นั่นคือสตรีที่นางเห็นในความทรงจำของอวี๋ตันเฟิ่งต่งอวิ๋นซิ่ว!โหยวเซียงดิ้นรนพลางเงยหน้ามองต่งอวิ๋นซิ่วด้วยดวงตาแดงก่ำ “ท่านแม่… เป็นความผิดของลูกเองที่ปล่อยให้พวกมันขึ้นเขามาได้”หากมิใช่เพราะลั่วชิงยวนรู้ทางลับของวัดร้างแห่งนั้น พวกนางคงไม่มีทางขึ้นเขามาได้ง่ายดายถึงเพียงนี้!ต่งอวิ๋นซิ่วมองด้วยความเจ็บปวดแล้วตวาดใส่ลั่วชิงยวน “ปล่อยลูกสาวข้าเดี๋ยวนี้! มิเช่นนั้นข้าจะทำให้พวกเจ้าตายเยี่ยงไร้ที่ฝัง!”ลั่วชิงยวนหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม “เมื่อคืนยังพยายามทำลายวิญญาณที่เหลือของอวี๋ตันเฟิ่งอยู่เลย วันนี้เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าศัตรูของเจ้าคือใคร?”“ใครกันแน่ที่จะตายแบบไร้ที่ฝัง ยังบอกมิได้หรอก”เมื่อได้ยินดังนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็สะดุ้งเฮือก สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากท่าทางของนางดูตึงเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังพยายามซ่อนไว้ได้ดีนางมองลั่วชิงยวนอย่างใจเย็น แล้วกล่าวว่า “ในเมื่อพวกเจ้ามาถึงเมืองแห่งภูตผี ก็คงต้องการของล้ำค่าของเมืองแห่งภูตผีสินะ”“พวกเจ้าอยากได้อะไร ข้าสามารถให้เจ
นางปฏิเสธอย่างหนักแน่นลั่วชิงยวนกลับยกยิ้มอย่างพึงพอใจแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้น “พานางไปด้วย ไปวัดร้าง!”พวกเนางมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ โหยวเซียงดิ้นรนตลอดทาง แต่โฉวสือชีและคนใบ้จ้องมองทุกการกระทำของนางอย่างใกล้ชิด มิเปิดโอกาสให้นางหลบหนีไปได้แม้แต่น้อยเมื่อเดินไปได้ไกลมากพอสมควร เสียงไก่ขันยามรุ่งอรุณก็ดังขึ้นแล้วในที่สุดพวกเขาก็มาถึงวัดร้างแห่งนั้นในวัดร้างมีพระพุทธรูปที่เป็นซากปรักหักพังล้มลงบนพื้น ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่มีใครมานานแล้วเมื่อมองหาอย่างละเอียดก็พบรอยเท้าบนพื้นลั่วชิงยวนมั่นใจยิ่งขึ้น นี่คือสถานที่ที่ถูกต้อง!โหยวเซียงจ้องมองทุกการกระทำของลั่วชิงยวนอย่างกระวนกระวาย เกรงว่าลั่วชิงยวนจะพบกลไกเข้าแต่ลั่วชิงยวนกลับสังเกตปฏิกิริยาของโหยวเซียง ค่อย ๆ เดินไปในแต่ละที่โดยอาศัยการสังเกตปฏิกิริยาโหยวเซียงสุดท้ายลั่วชิงยวนจึงเพ่งเล็งไปที่ผนังด้านหนึ่งแล้วเริ่มค้นหากลไกเสียงเปิดกลไกดังแกร๊กดังขึ้นประตูบานหนึ่งบนพื้นพลันเปิดออกหลังจากที่ลั่วชิงยวนเปิดประตูแล้วก็พบว่าด้านล่างยังมีประตูอีกบานหนึ่ง และบนนั้นก็มีกลไกเช่นกันแต่สำหรับลั่วชิงยวนแล้วเรื่องนี้ง่ายมากเมื่อประต
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน
คนของถูหมิงตายไปหมดแล้ว เหลือเพียงฉีเสวี่ยเวยเท่านั้นในขณะที่พวกเขาเดินทางไปยังถ้ำแห่งที่หกในคืนนั้นผลลัพธ์ที่ได้กลับน่าผิดหวังเพราะในถ้ำว่างเปล่า“ดูเหมือนว่าพวกเราจะมาช้าไปก้าวหนึ่ง”ถูหมิงขมวดคิ้ว “เหลืออีกหนึ่งชิ้น ทำอย่างไรดี? หรือว่าความพยายามทั้งหมดของเราจะสูญเปล่า?”พวกเขาวุ่นวายมาหลายวัน เดินทางไปเกือบทั่วทั้งภูเขาแล้วหากสมบัติหายไปเช่นนี้ เขาคงต้องฆ่าสตรีผู้นี้เป็นแน่!ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วครุ่นคิด แล้วกล่าวว่า “เหลืออีกหนึ่งชิ้นก็เหลืออีกหนึ่งชิ้น”“หาที่ปลอดภัยก่อน”จากนั้นพวกเขาก็มายังป่าที่ค่อนข้างสะอาด ไม่มีพุ่มไม้หรือวัชพืชหนาแน่นบนพื้นมากนัก ค่อนข้างโปร่งโล่งหีบทั้งห้าใบวางอยู่บนพื้นลั่วชิงยวนกล่าวว่า “เปิดหีบกันเถิด”ทันใดนั้นดวงตาของถูหมิงก็เป็นประกาย “เปิดได้หรือ?”เขาเห็นว่าบนหีบมีแต่อักขระสีเลือดปกคลุมอยู่ จึงยั้งมือไว้หลายครั้งแม้จะอยากเปิดก็ตามเมื่อได้ยินเช่นนี้จึงรีบเปิดหีบทันทีแต่เมื่อเปิดออกแล้ว ร่างกายของเขาก็แข็งทื่อไปศพ?!ทั้งยังเป็นศพที่ถูกชำแหละอีกด้วย?ฉีเสวี่ยเวยก็ตกใจกลัวลั่วชิงยวนกลับสงบสติอารมณ์ สั่งให้โฉวสือชีและคนใบ้ช่วย
“ใครกัน?!”ลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วตอบเสียงแผ่ว “ซูเซียง”“แต่ตอนนี้ควรเรียกนางว่าโหยวเซียง”“ภารกิจที่พวกเจ้าได้รับก็เป็นเพียงการละเล่นของนางเท่านั้น”“นางต้องการให้พวกเจ้าฆ่ากันเอง”และภารกิจหนังหน้าของหญิงงามที่ฉีเสวี่ยเวยได้รับ ก็คงเป็นการล่อลวงให้ฉีเสวี่ยเวยมาฆ่านางหากสามารถยืมมือคนอื่นฆ่าคนได้ โหยวเซียงก็มิจำเป็นต้องเปิดเผยตัวตนเพียงแต่โหยวเซียงคาดมิถึงว่าฉีเสวี่ยเวยจะฆ่านางมิได้ กระทั่งโหยวเซียงเองก็ฆ่านางมิได้“โหยวเซียงหรือ? นางเป็นคนของเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้หรือ?” ฉีเสวี่ยเวยมองนางอย่างมิเชื่อสายตา“มิแปลกใจเลย… นางท้องแก่ถึงเพียงนั้นยังกล้ามาที่นี่ได้”ลั่วชิงยวนเห็นว่าใกล้รุ่งสางแล้ว จึงให้โฉวสือชีแก้เชือกที่มัดฉีเสวี่ยเวยไว้“ข้าจะยังมิฆ่าเจ้าตอนนี้”“มิว่าเรื่องที่เจ้ากล่าวมาจะเป็นจริงหรือไม่ก็มิสำคัญ ข้าก็มิกลัวว่าเจ้าจะไปบอกเรื่องนี้กับถูหมิง”“หากเจ้าไปบอก เรื่องเดียวที่จะเป็นผลเสียต่อพวกข้าก็คือต้องแบกหีบเพิ่มอีกมิกี่ใบ”“เพียงเท่านั้น”มิใช่เรื่องคอขาดบาดตายที่นางทำเป็นร่วมมือกับถูหมิง ก็เพียงต้องการใช้คนของเขาไปขวางทางศพชายที่ถูกผนึกไว้ในถ้ำ
“แม้จะต้องยอมตายไปพร้อมกับถูหมิง ข้าก็ยินดี!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ตกตะลึง แต่ก็ยังคงสงสัยอยู่บ้าง“แต่เจ้าสนิทสนมกับถูหมิงถึงเพียงนั้น น่าจะมีโอกาสฆ่าเขาได้นับครั้งมิถ้วน”ฉีเสวี่ยเวยขมวดคิ้วแน่น ดวงตาแดงก่ำ “แท้จริงแล้วคนผู้นั้นระแวดระวังตัวมาก หากมิใช่เพราะต้องการลดความระแวดระวังของเขา ข้ากับชายมากหน้าหลายตาก็คงมิ...”เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ฉีเสวี่ยเวยก็เม้มริมฝีปากแน่นหลังจากกล้ำกลืนความรู้สึกแล้ว จึงกล่าวต่อ “ในป่าครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่เขาใกล้ชิดข้า เดิมทีตอนนั้นข้ามีโอกาสที่จะฆ่าเขาได้!”“แต่เจ้าปีศาจฝูเหมิ่งนั่นบังเอิญมาขวาง!”“หากมิใช่เพราะเขา ข้าคงทำสำเร็จไปแล้ว!”ฉีเสวี่ยเวยกัดฟันพูด เต็มไปด้วยความเคียดแค้นลั่วชิงยวนรู้สึกประหลาดใจ เมื่อเห็นสีหน้าของฉีเสวี่ยเวย ในดวงตาของนางเต็มไปด้วยความแค้น ดูมิเหมือนคนโกหกทำให้นางเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อฉีเสวี่ยเวยไปบ้างขณะที่ลั่วชิงยวนยังคงครุ่นคิด ฉีเสวี่ยเวยก็มองมาที่นาง “เจ้ายังมิเชื่อข้าหรือ?”“ขอเพียงเจ้าฆ่าถูหมิงได้ ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อเจ้า! ข้าจะบอกสิ่งที่เจ้าอยากรู้ทุกอย่าง!”ลั่วชิงยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ลั่วชิงยวนนอนนิ่งอยู่บนเตียง มิกล้าขยับกายทว่างูตัวนั้นกลับกัดข้อเท้านางอย่างแรงหนึ่งครั้ง จากนั้นก็รีบเลื้อยหนีไปรออยู่ครู่หนึ่ง ฉีเสวี่ยเวยเห็นว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ จึงเปิดประตูเข้ามานางมิอาจมั่นใจได้ว่าพวกคนใบ้จะกลับมาเมื่อใด จึงมิกล้าเสียเวลานานหลังจากปิดประตูอย่างระแวดระวังแล้ว นางก็มายังปลายเตียง จ้องมองข้อเท้าของลั่วชิงยวนอย่างละเอียด ปรากฏว่าถูกงูกัดจริง ๆ นางต้องตายเพราะพิษนี้แน่นอน!ทันใดนั้นเอง ฉีเสวี่ยเวยก็ชักกริชออกมาแล้วเดินไปยังหัวเตียง ค่อย ๆ จรดใบมีดลงบนใบหน้าของลั่วชิงยวนแต่ในพริบตานั้นเอง ลั่วชิงยวนก็ลืมตาขึ้นมาจ้องมองนางด้วยสายตาอาฆาตแค้นฉีเสวี่ยเวยพลันตกใจ แต่ก็มิได้หนีในทันที เพราะนางคิดว่าลั่วชิงยวนโดนพิษงูเข้าไปแล้ว อย่างไรก็ต้องตายอยู่ดีลั่วชิงยวนรีบคว้าข้อมือของฉีเสวี่ยเวยไว้เพื่อแย่งชิงกริชมาจากนางฉีเสวี่ยเวยก็ลงมือโจมตีเช่นกัน เพียงแต่นางคาดมิถึงว่าสตรีผู้นี้ที่ถูกพิษแล้วจะยังมีพละกำลังมากมายถึงเพียงนี้หลังจากทั้งสองต่อสู้กันครู่หนึ่งในห้อง ฉีเสวี่ยเวยก็พ่ายแพ้ ถูกลั่วชิงยวนจับกดไว้บนโต๊ะฉีเสวี่ยเวยตกใจมาก “เจ้า