ลั่วชิงยวนตกตะลึง ดวงตาของนางพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงในทันใด“ว่ากระไรนะเพคะ?” ลั่วชิงยวนมิเข้าใจเสียงของฟู่เฉินหวนฟังดูอ่อนแรง แฝงด้วยความสะอื้นและสิ้นหวัง "ข้าขอโทษ ข้าควบคุมตัวเองมิได้"เสียงนั้นทำให้ลั่วชิงยวนรู้สึกปวดใจอย่างยิ่ง และทันใดนั้นนางก็เข้าใจทุกอย่างนางอดมิได้ที่จะกอดเขาไว้แน่น ๆ น้ำตาพลันไหลออกมา“หม่อมฉันรู้แล้ว หม่อมฉันรู้หมดทุกอย่างแล้ว”ฟู่เฉินหวนควบคุมตัวเองมิได้จริง ๆ และมิได้เป็นเช่นนี้เพราะเขารักลั่วเยวี่ยอิงก่อนหน้านี้ ฟู่เฉินหวนมาหานางเพื่อขอความช่วยเหลือหลายครั้ง เขาถามว่า ในใต้หล้านี้มีวิธีใดที่จะควบคุมจิตใจคนได้ นางมิรู้ว่าฟู่เฉินหวนถูกควบคุม ดังนั้นนางจึงเชื่อมาตลอดว่าฟู่เฉินหวนรักลั่วเยวี่ยอิงมากเกินไปวันนี้อาการปวดหัวและอาการอาเจียนเป็นเลือดของเขา แน่นอนว่ามิได้เกิดจากการเจ็บปวดที่ที่ลั่วเยวี่ยอิงถูกเฆี่ยนตีมีอะไรบางอย่างควบคุมฟู่เฉินหวนอยู่!ฟู่เฉินหวนเจ็บปวดเกินกว่าจะขยับได้ แต่เขาก็ยังพยายามอย่างเต็มที่ที่จะยกแขนขึ้นมากอดนางคางที่ไร้เรี่ยวแรงของเขาวางพาดลงบนไหล่ของนางพลางหลับตาลง แต่ริมฝีปากกลับมีรอยยิ้มจาง ๆ ที่ซีดเซียวปรากฏขึ้น“ความลั
ลั่วชิงยวนดึงลั่วเยวี่ยอิงไปข้างหลังนางอย่างระมัดระวังเมื่อไทเฮาเห็นฉากนี้ นางก็อดมิได้ที่จะหัวเราะ "เป็นเรื่องยากที่จะที่ได้เห็นเจ้าปกป้องลั่วเยวี่ยอิง เจ้ามิลืมใช่หรือไม่ว่า นางเคยปฏิบัติกับเจ้าเช่นไร"“มอบนางให้ข้าเถอะ ข้าจะมิปล่อยให้นางมีชีวิตที่ดีแน่”ลั่วเยวี่ยอิงคว้าแขนเสื้อของลั่วชิงยวนไว้อย่างประหม่าลั่วชิงยวนมองไปที่ไทเฮาอย่างเย็นชา หากไทเฮาจับลั่วเยวี่ยอิงไป ไม่มีทางที่ไทเฮาจะสังหารลั่วเยวี่ยอิงเป็นแน่ ไทเฮาจะต้องใช้นางควบคุมและทรมานฟู่เฉินหวน“มิว่าอย่างไรลั่วเยวี่ยอิงก็เป็นคนของตำหนักอ๋องผู้สำเร็จราชการ เหตุใดต้องส่งนางให้กับไทเฮาด้วยหรือเพคะ?”“หากจะฆ่านาง หม่อมฉันจะลงมือเอง”ใบหน้าของไทเฮาเปลี่ยนเป็นเย็นชา“ลั่วชิงยวน เจ้าเพียงแค่ต้องปกป้องฟู่เฉินหวนตามรับสั่งขององค์จักรพรรดิสูงสุด แต่นี่เจ้ายังมาปกป้องลั่วเยวี่ยอิงด้วย เจ้าคิดว่าตัวข้านั้นหลอกได้ง่าย ๆ รึ?”ลั่วชิงยวนมองไทเฮาด้วยสายตาเย็นชา ปราศจากความกลัวแม้แต่น้อย“มิสำคัญว่าไทเฮาจะทรงเชื่อหรือไม่ หากแย่ที่สุดก็เผชิญหน้ากับองค์จักรพรรดิสูงสุด สิ่งใดที่ไทเฮาทรงต้องการที่จะทราบ องค์จักรพรรดิสูงสุดจะทรงตอบท
ในผลการทำนายแสดงให้เห็นว่า ดาวหมาป่าสวรรค์แห่งแคว้นได้ตกลงมา และจะเกิดสงครามในแคว้นเทียนเชวียเปลวไฟแห่งสงครามนั้นจะกลืนกินดินแดนครึ่งหนึ่งของแคว้นเทียนเชวียนี่เป็นมหาภัยพิบัติสำหรับแคว้นเทียนเชวีย แต่ก็เป็นโอกาสในการพลิกสถานการณ์ของพวกเขาด้วยจู่ ๆ ลั่วชิงยวนก็คิดถึงพวกนอกด่านฉับพลันนั้นก็นึกถึงฉินเชียนหลี่ขึ้นมาทันใดนั้น นางก็เริ่มกังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับฉินเชียนหลี่หรือไม่แต่ก่อนหน้านี้ คนของฟู่เฉินหวนที่ส่งไปบอกว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีอีกทั้งลั่วอวิ๋นสี่ก็มิได้ส่งข่าวใด ๆ ให้นางมาเป็นเวลานาน ดังนั้นก็หมายความว่าไม่มีอะไรผิดปกติทุกอย่างดูเหมือนจะสงบสุขดีแต่การทำนายนี้ย่อมมิหลอกลวง!เช่นนั้นหลังจากรุ่งสาง ลั่วชิงยวนจึงส่งคนไปเชิญจักรพรรดิมา เพื่อถามเกี่ยวกับพวกนอกด่านที่ชายแดนฟู่จิ่งหานตอบว่า "ทุกอย่างที่นั่นดูเหมือนจะสงบสุขดี จนถึงตอนนี้ข้ามิได้ยินข่าวร้ายใด ๆ เลย"ลั่วชิงยวนพยักหน้า "ก่อนหน้านี้พวกนอกด่านหายตัวไปอย่างลึกลับ หม่อมฉันคิดว่าอาจมีบางอย่างเกิดขึ้นที่อีกด้านหนึ่งของชายแดน"“หากในอีกมิกี่วันมีหนังสือราชการจากทางนั้นส่งมา ฝ่าบาทจะต้องตรวจสอบอย่างละเอียด
ลั่วชิงยวนมองแผนที่แล้วพูดว่า "แม้ว่าอู่จิ้นจะมีความสำคัญ แต่อู่จิ้นก็มีแนวป้องกันตามธรรมชาติซึ่งก็คือเทือกเขาด้านหลัง แม้ว่าศัตรูจะมีเจตนาชั่วร้ายและต้องการทำลายอู่จิ้น แต่ก็มิอาจผ่านภูเขาไปได้ในเวลาสั้น ๆ”“ในทางกลับกัน หากพ่ายแพ้ พวกนอกด่านจะสามารถเข้าสู่แคว้นเทียนเชวียได้โดยไม่มีสิ่งใดขัดขวาง”ดวงตาของฟู่จิ่งหานเป็นประกาย "แม่ทัพใหญ่ฉินก็พูดเช่นนี้"“แต่มหาราชาจารย์เหยียนกลับพยายามขัดขวางอย่างหนัก โดยบอกว่าแม่ทัพใหญ่ฉินเป็นห่วงลูกชายของเขาก็เท่านั้น”“มิได้พิจารณาอย่างยุติธรรม”ลั่วชิงยวนขมวดคิ้ว "ตระกูลเหยียนเป็นบ้าไปแล้วหรือ? พวกเขาจะมีประโยชน์อะไรหากพวกนอกด่านบุกแคว้นเทียนเชวีย"ทันทีที่คำพูดออกมาจากปากของเขา ลั่วชิงยวนก็คิดถึงผลประโยชน์ขึ้นมาได้นางหรี่ตาลงเล็กน้อย ดวงตาส่องประกายเย็นชา“ฟู่เฉินหวนถูกจำคุก หากพวกนอกด่านบุกเข้ามา ตระกูลเหยียนก็สามารถแย่งชิงอำนาจทางทหารจากฟู่เฉินหวนไปได้อย่างมีเหตุอันสมควร และสามารถต่อต้านพวกนอกด่านได้เต็มกำลัง”"นับว่าเป็นแผนที่ชาญฉลาดจริง ๆ"เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ฟู่จิ่งหานก็ขมวดคิ้ว "มิได้เด็ดขาด!"“หากอำนาจทางทหารทั้งหมดอยู่ในมือของมห
รองเท้าคู่นั้นที่พบในตู้เสื้อผ้าดูเหมือนว่าจะเป็นวัสดุชนิดเดียวกันระดับการสึกหรอของพื้นรองเท้าดูเหมือนที่ด้านในจะสึกหรอมากกว่าเช่นกันมินาน ขันทีหลิวก็จากไปลั่วชิงยวนลุกขึ้นจากพื้นดิน เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ นางจึงรีบไปที่สวนด้านหลังเมื่อเปิดประตูเข้าไป ฉากภายในก็ดูเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยผ้าห่มบนเตียงเคยถูกพับไว้ ตอนนี้กลับยุ่งเหยิง ดูเหมือนมีคนเพิ่งนอนที่นี่นางเดินเข้าไปสัมผัสใต้ผ้าห่ม ปรากฏว่ามันยังอุ่นอยู่!ลั่วชิงยวนตกใจมาก ชายคนนั้นอาศัยอยู่ที่นี่งั้นหรือ?นางเปิดตู้เสื้อผ้าออก แต่ภายในตู้เสื้อผ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเพียงแค่ในกาน้ำชาบนโต๊ะมีน้ำร้อนเพิ่มขึ้น และมีถ้วยชาที่ใช้แล้วเพิ่มเข้ามาเท่านั้นเมื่อนึกถึงว่า ขันทีหลิวออกไปจากทางนี้ เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาคือคนที่อาศัยอยู่ที่นี่?เขาเป็นคนรักของต่งชูหรือไม่?แต่นั่นมิถูกต้อง แม้ว่าขันทีหลิวจะเป็นขันที แต่เขาก็มิควรอาศัยอยู่ด้านหลังห้องบรรทมของไทเฮาเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ นางก็เริ่มค้นภายในห้องทันทีตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วน หวังว่าจะพบเบาะแสเพิ่มเติมสุดท้ายก็พบทางลับอยู่บนเตียง เมื่อเปิดแผ่นไม้ขึ้นมา ด้านล่
“หัวหน้าหมอหลวงมู่ ใบเทียบยาทั้งสองนี้มาจากสำนักหมอหลวงของท่านหรือไม่?”หัวหน้าหมอหลวงมู่มองดูและพยักหน้า “มันเป็นใบเทียบยาที่สำนักหมอหลวงจัดทำขึ้น แต่นี่ดูมิเหมือนกับใบเทียบยาที่ออกตอนตรวจรักษา น่าจะเป็นใบเทียบยาที่ออกในระหว่างการทดสอบตามปกติของสำนักหมอหลวง”“เช่นนั้น หัวหน้าสำนักหมอหลวงมู่จำลายมือในใบเทียบยานี้ได้หรือไม่?”หัวหน้าสำนักหมอหลวงมู่ตอบอย่างมิลังเลแม้แต่น้อยว่า "นี่น่าจะเป็นลายมือของเซิ่งไป่ชวน"เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ลั่วชิงยวนก็ตกตะลึง“เป็นเขาหรือ?”หัวหน้าสำนักหมอหลวงมู่สับสนมาก "พระชายา ท่านถามเรื่องนี้ด้วยเหตุใด? อีกทั้งใบเทียบยาที่ใช้ในการทดสอบเหล่านี้ก็ควรถูกเก็บไว้ในสำนักหมอหลวง เหตุใดจึงมาอยู่กับท่าน?"“เซิ่งไป่ชวนมิได้ก่อเรื่องอะไรมิดีใช่หรือไม่?”มู่หรูไห่รู้สึกประหม่าเล็กน้อยลั่วชิงยวนเปลี่ยนหัวข้อและถามว่า "ผู้ดูแลสำนักหมอหลวง ข้าขอถามสักคำ ท่านจัดการเจิ้งหวู่เหลียงแห่งสำนักหมอหลวงแล้วหรือยัง?"มู่หรูไห่มีสีหน้าเคร่งขรึม “มิต้องห่วง ข้าจะจะจัดการเอง แต่ต้องค่อยเป็นค่อยไปลั่วชิงยวนพยักหน้า แล้วนางก็พูดถึงใบเทียบยา นางถามอย่างสงสัย "ผู้ดูแลสำนักหมอหลว
จากนั้นนางจึงติดตามหัวหน้าหมอหลวงมู่ไปยังสำนักหมอหลวง และยังปลอมตัวเป็นหมอหลวงหนุ่มเพื่อความสะดวกในการเข้าออก มิให้เป็นที่สะดุดตาหัวหน้าหมอหลวงมู่พานางไปยังหอจดหมายเหตุตามหาม้วนหนังสือเก่า ๆ ที่ถูกฝุ่นจับหนาอยู่บนชั้นหนังสือหลังจากค้นหาอยู่นาน ในที่สุดหัวหน้าสำนักหมอหลวงมู่ก็หยิบหนังสือหนา ๆ สองเล่มออกมา"น่าจะเป็นเล่มนี้แล้ว"ลั่วชิงยวนเปิดหนังสือ และตรวจดูทีละหน้านางอ่านบันทึกการวินิจฉัยชีพจรหนึ่งปีก่อนเกิดกลียุคในวัง นางสนมทั้งหมดได้รับการวินิจฉัยชีพจรโดยหมอหลวงเป็นประจำ แต่บันทึกการวินิจฉัยชีพจรของไทเฮากลับมีการเปลี่ยนหมอหลวงกลางคัน“หัวหน้าสำนักหมอหลวง หมอหลวงสวี่ซิงเต๋อยังอยู่หรือไม่?”หัวหน้าสำนักหมอหลวงมู่ส่ายหน้า “เขาเสียชีวิตไปหลายปีแล้ว”ลั่วชิงยวนมองกลับไปกลับมาที่บันทึกไปมา คิ้วขมวดมุ่น“มีอะไรหรือ? มีอะไรผิดปกติหรือไม่?”ลั่วชิงยวนกล่าวว่า "ดูสิ ต้นเดือนสาม ไทเฮามีอาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้และง่วงนอน แต่มิได้จับชีพจร เพียงแค่สั่งยาให้ทานเท่านั้น"“ในเดือนสี่ หมอหลวงผู้วินิจฉัยชีพจรถูกแทนที่ด้วยสวี่ซิงเต๋อ”“ในอีกสิบเดือนต่อจากนั้น หมอหลวงสวี่ซิงเต๋อเป็นผู้ต
ลั่วชิงยวนจะมิเป็นกังวลได้เช่นไร การเคลื่อนไหวของตระกูลเหยียนครั้งนี้ก็เพื่อจะกลืนอำนาจทหารในมือของฟู่เฉินหวน ดังนั้นย่อมมิอาจปล่อยให้พวกเขาสมหวังได้“วันนี้ตอนที่เข้าไปในพระตำหนักโช่วสี่ หม่อมฉันพบเบาะแสบางอย่าง แต่มิพบหลักฐานที่เพียงพอ ดังนั้นหม่อมฉันคิดว่าจะต้องล่อให้บุคคลนั้นปรากฏตัวออกมาอีกครั้ง”นางค่อย ๆ เดินไปที่เตียงและเห็นว่าจักรพรรดิสูงสุดก็มิได้หลับไปเช่นกัน และกำลังตั้งใจฟังคำพูดของนางนางคุกเข่าลงและถามว่า “ฝ่าบาท หม่อมฉันต้องการใช้กลอุบายเก่า ๆ อีกครั้ง และหม่อมฉันต้องการความร่วมมือจากพระองค์ พระองค์ทรงเต็มใจหรือไม่เพคะ?”เพราะการฝังเข็มอย่างรุนแรงเพื่อให้ร่างกายของจักรพรรดิสูงสุดเคลื่อนไหวได้ จะทำให้เกิดความเสียหายต่อร่างกาย นางจึงต้องขอความยินยอมจากองค์จักรพรรดิสูงสุดก่อนแต่จักรพรรดิสูงสุดก็พยักหน้าอย่างมิลังเลทั้งยังส่งสายตาให้กับนางอย่างแรงกล้าด้วยลั่วชิงยวนตกตะลึง "ท่านทรงอยากให้หม่อมฉันฝังเข็มตอนนี้เลยหรือ?"จักรพรรดิสูงสุดพยักหน้า“แต่การฝังเข็มเสียตั้งแต่ตอนนี้ ในวันพรุ่งคงไม่มีผลมากนัก”แต่จักรพรรดิสูงสุดดูวิตกกังวลมาก และตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะให
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน
คนของถูหมิงตายไปหมดแล้ว เหลือเพียงฉีเสวี่ยเวยเท่านั้นในขณะที่พวกเขาเดินทางไปยังถ้ำแห่งที่หกในคืนนั้นผลลัพธ์ที่ได้กลับน่าผิดหวังเพราะในถ้ำว่างเปล่า“ดูเหมือนว่าพวกเราจะมาช้าไปก้าวหนึ่ง”ถูหมิงขมวดคิ้ว “เหลืออีกหนึ่งชิ้น ทำอย่างไรดี? หรือว่าความพยายามทั้งหมดของเราจะสูญเปล่า?”พวกเขาวุ่นวายมาหลายวัน เดินทางไปเกือบทั่วทั้งภูเขาแล้วหากสมบัติหายไปเช่นนี้ เขาคงต้องฆ่าสตรีผู้นี้เป็นแน่!ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วครุ่นคิด แล้วกล่าวว่า “เหลืออีกหนึ่งชิ้นก็เหลืออีกหนึ่งชิ้น”“หาที่ปลอดภัยก่อน”จากนั้นพวกเขาก็มายังป่าที่ค่อนข้างสะอาด ไม่มีพุ่มไม้หรือวัชพืชหนาแน่นบนพื้นมากนัก ค่อนข้างโปร่งโล่งหีบทั้งห้าใบวางอยู่บนพื้นลั่วชิงยวนกล่าวว่า “เปิดหีบกันเถิด”ทันใดนั้นดวงตาของถูหมิงก็เป็นประกาย “เปิดได้หรือ?”เขาเห็นว่าบนหีบมีแต่อักขระสีเลือดปกคลุมอยู่ จึงยั้งมือไว้หลายครั้งแม้จะอยากเปิดก็ตามเมื่อได้ยินเช่นนี้จึงรีบเปิดหีบทันทีแต่เมื่อเปิดออกแล้ว ร่างกายของเขาก็แข็งทื่อไปศพ?!ทั้งยังเป็นศพที่ถูกชำแหละอีกด้วย?ฉีเสวี่ยเวยก็ตกใจกลัวลั่วชิงยวนกลับสงบสติอารมณ์ สั่งให้โฉวสือชีและคนใบ้ช่วย
“ใครกัน?!”ลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วตอบเสียงแผ่ว “ซูเซียง”“แต่ตอนนี้ควรเรียกนางว่าโหยวเซียง”“ภารกิจที่พวกเจ้าได้รับก็เป็นเพียงการละเล่นของนางเท่านั้น”“นางต้องการให้พวกเจ้าฆ่ากันเอง”และภารกิจหนังหน้าของหญิงงามที่ฉีเสวี่ยเวยได้รับ ก็คงเป็นการล่อลวงให้ฉีเสวี่ยเวยมาฆ่านางหากสามารถยืมมือคนอื่นฆ่าคนได้ โหยวเซียงก็มิจำเป็นต้องเปิดเผยตัวตนเพียงแต่โหยวเซียงคาดมิถึงว่าฉีเสวี่ยเวยจะฆ่านางมิได้ กระทั่งโหยวเซียงเองก็ฆ่านางมิได้“โหยวเซียงหรือ? นางเป็นคนของเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้หรือ?” ฉีเสวี่ยเวยมองนางอย่างมิเชื่อสายตา“มิแปลกใจเลย… นางท้องแก่ถึงเพียงนั้นยังกล้ามาที่นี่ได้”ลั่วชิงยวนเห็นว่าใกล้รุ่งสางแล้ว จึงให้โฉวสือชีแก้เชือกที่มัดฉีเสวี่ยเวยไว้“ข้าจะยังมิฆ่าเจ้าตอนนี้”“มิว่าเรื่องที่เจ้ากล่าวมาจะเป็นจริงหรือไม่ก็มิสำคัญ ข้าก็มิกลัวว่าเจ้าจะไปบอกเรื่องนี้กับถูหมิง”“หากเจ้าไปบอก เรื่องเดียวที่จะเป็นผลเสียต่อพวกข้าก็คือต้องแบกหีบเพิ่มอีกมิกี่ใบ”“เพียงเท่านั้น”มิใช่เรื่องคอขาดบาดตายที่นางทำเป็นร่วมมือกับถูหมิง ก็เพียงต้องการใช้คนของเขาไปขวางทางศพชายที่ถูกผนึกไว้ในถ้ำ
“แม้จะต้องยอมตายไปพร้อมกับถูหมิง ข้าก็ยินดี!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ตกตะลึง แต่ก็ยังคงสงสัยอยู่บ้าง“แต่เจ้าสนิทสนมกับถูหมิงถึงเพียงนั้น น่าจะมีโอกาสฆ่าเขาได้นับครั้งมิถ้วน”ฉีเสวี่ยเวยขมวดคิ้วแน่น ดวงตาแดงก่ำ “แท้จริงแล้วคนผู้นั้นระแวดระวังตัวมาก หากมิใช่เพราะต้องการลดความระแวดระวังของเขา ข้ากับชายมากหน้าหลายตาก็คงมิ...”เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ฉีเสวี่ยเวยก็เม้มริมฝีปากแน่นหลังจากกล้ำกลืนความรู้สึกแล้ว จึงกล่าวต่อ “ในป่าครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่เขาใกล้ชิดข้า เดิมทีตอนนั้นข้ามีโอกาสที่จะฆ่าเขาได้!”“แต่เจ้าปีศาจฝูเหมิ่งนั่นบังเอิญมาขวาง!”“หากมิใช่เพราะเขา ข้าคงทำสำเร็จไปแล้ว!”ฉีเสวี่ยเวยกัดฟันพูด เต็มไปด้วยความเคียดแค้นลั่วชิงยวนรู้สึกประหลาดใจ เมื่อเห็นสีหน้าของฉีเสวี่ยเวย ในดวงตาของนางเต็มไปด้วยความแค้น ดูมิเหมือนคนโกหกทำให้นางเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อฉีเสวี่ยเวยไปบ้างขณะที่ลั่วชิงยวนยังคงครุ่นคิด ฉีเสวี่ยเวยก็มองมาที่นาง “เจ้ายังมิเชื่อข้าหรือ?”“ขอเพียงเจ้าฆ่าถูหมิงได้ ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อเจ้า! ข้าจะบอกสิ่งที่เจ้าอยากรู้ทุกอย่าง!”ลั่วชิงยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ลั่วชิงยวนนอนนิ่งอยู่บนเตียง มิกล้าขยับกายทว่างูตัวนั้นกลับกัดข้อเท้านางอย่างแรงหนึ่งครั้ง จากนั้นก็รีบเลื้อยหนีไปรออยู่ครู่หนึ่ง ฉีเสวี่ยเวยเห็นว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ จึงเปิดประตูเข้ามานางมิอาจมั่นใจได้ว่าพวกคนใบ้จะกลับมาเมื่อใด จึงมิกล้าเสียเวลานานหลังจากปิดประตูอย่างระแวดระวังแล้ว นางก็มายังปลายเตียง จ้องมองข้อเท้าของลั่วชิงยวนอย่างละเอียด ปรากฏว่าถูกงูกัดจริง ๆ นางต้องตายเพราะพิษนี้แน่นอน!ทันใดนั้นเอง ฉีเสวี่ยเวยก็ชักกริชออกมาแล้วเดินไปยังหัวเตียง ค่อย ๆ จรดใบมีดลงบนใบหน้าของลั่วชิงยวนแต่ในพริบตานั้นเอง ลั่วชิงยวนก็ลืมตาขึ้นมาจ้องมองนางด้วยสายตาอาฆาตแค้นฉีเสวี่ยเวยพลันตกใจ แต่ก็มิได้หนีในทันที เพราะนางคิดว่าลั่วชิงยวนโดนพิษงูเข้าไปแล้ว อย่างไรก็ต้องตายอยู่ดีลั่วชิงยวนรีบคว้าข้อมือของฉีเสวี่ยเวยไว้เพื่อแย่งชิงกริชมาจากนางฉีเสวี่ยเวยก็ลงมือโจมตีเช่นกัน เพียงแต่นางคาดมิถึงว่าสตรีผู้นี้ที่ถูกพิษแล้วจะยังมีพละกำลังมากมายถึงเพียงนี้หลังจากทั้งสองต่อสู้กันครู่หนึ่งในห้อง ฉีเสวี่ยเวยก็พ่ายแพ้ ถูกลั่วชิงยวนจับกดไว้บนโต๊ะฉีเสวี่ยเวยตกใจมาก “เจ้า
“แน่นอน”“อีกอย่าง เมื่อหาของเหล่านี้ครบแล้วเมืองแห่งภูตผีทั้งเมืองก็จะเป็นของพวกเรา แล้วยังต้องขึ้นเขาไปเอาของเล็ก ๆ น้อย ๆ นั่นหาปะไร”คำพูดนี้กระตุ้นความโลภในใจของทุกคนที่อยู่ตรงนั้นอย่างมิต้องสงสัยพวกเขาจึงมิลังเลอีกต่อไป รีบติดตามลั่วชิงยวนไปยังเส้นทางเดิมตลอดทางยังมีงูมากมาย ลั่วชิงยวนก็หาสมุนไพรบางชนิดตลอดทางแล้วมอบให้ทุกคนผูกติดไว้บนตัวและทาตามเท้า เพื่อให้กลิ่นของสมุนไพรนั้นช่วยไล่งูดังนั้นการเดินทางของพวกเขาจึงราบรื่นดี เมื่อยามค่ำคืนมาเยือนพวกเขาก็ออกมาจากบ่อน้ำพุร้อนนั้นอีกครั้งพวกเขากลับมายังหมู่บ้านเดิมในช่วงกลางดึกสงัดในหมู่บ้านยังมีอาหารหลงเหลืออยู่ ดังนั้นทุกคนจึงหยุดพักกินอาหารกันก่อนเมื่อฟื้นฟูพละกำลังได้แล้วคนทั้งหมดก็ออกเดินทางต่อมาถึงสุสานเดิม ยามนี้วิญญาณอาฆาตเต็มไปทั่วทั้งภูเขา พลังหยินแผ่ซ่านไปทั่วเมื่อลั่วชิงยวนมาถึงที่แห่งนั้นก็พบว่าปากถ้ำเปิดออกแล้วมีคนกล่าวขึ้นว่า “วันนั้นฝูเหมิ่งก็มาที่นี่!”ลั่วชิงยวนตกใจเล็กน้อยเมื่อเข้าไปในถ้ำแล้ว ภาพที่ปรากฏด้านในนั้นมิเปลี่ยนแปลงมากนัก สิ่งที่เปลี่ยนไปเพียงอย่างเดียวคือโลงศพที่ถูกล่ามโซ่นั้นระเบ
เมื่อได้ยินดังนั้น ความโลภก็ปรากฏในดวงตาของถูหมิง ใครเล่าจะมิปรารถนาสมบัติของเมืองแห่งภูตผี เขาตอบตกลงในทันที “ได้”ลั่วชิงยวนกล่าวต่อว่า “แต่การนำของสิ่งนี้มาจะต้องเผชิญกับอันตรายบ้าง ดังนั้นอาจจะต้องมีคนของเจ้าสละชีวิต”“แต่คนมากก็แบ่งกันได้น้อย คนตายไปบ้างก็มิจำเป็นต้องสนใจความเป็นความตายของพวกเขา”“ความลับนี้ข้าบอกเพียงเจ้าเท่านั้น เจ้าอย่าได้แพร่งพรายให้ผู้ใดรู้เชียว”“โดยเฉพาะฉีเสวี่ยเวย”เมื่อได้ยินดังนั้นถูหมิงก็หันกลับไปมอง แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็มิเคยสนใจความเป็นความตายของคนเหล่านั้นอยู่แล้ว“หาได้มีปัญหาไม่!”ถูหมิงรับปากอย่างง่ายดาย แต่ลั่วชิงยวนกลับยังคงระแวดระวัง “ยังมีเรื่องที่ต้องบอกเจ้าอีกอย่าง กองทัพของเมืองแห่งภูตผีถูกพวกข้าปลุกปั่นแล้ว คาดว่าอีกมินานคงไล่ตามมา”“ก่อนที่จะหาของทั้งหกชิ้นพบ อย่าได้คิดที่จะทำสิ่งใดนอกเหนือจากนี้ ท้ายที่สุดแล้ว พวกเราต้องร่วมมือกันต่อสู้กับศัตรู หากถูกพวกมันจับได้คงไม่มีใครมีจุดจบที่ดี”สีหน้าของถูหมิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย มิคาดคิดว่าสตรีผู้นี้จะเก่งกาจมากถึงเพียงนี้ กระทั่งปลุกกองทัพของเมืองแห่งภูตผีขึ้นมาได้ดูเหมือนว่าสิ่งที่นางต้