ลั่วหลางหลางยิ้มและพูดอย่างถ่อมตัวว่า “ข้าแค่ทำเล่น ๆ ตอนมีอารมณ์ ยังไม่ถือว่าเชี่ยวชาญหรอก”หลังจากที่ทั้งสามคนทานอาหารแล้ว ลั่วหลางหลางก็พาพวกเขาไปเดินเที่ยวรอบเมืองซีหยางเมืองซีหยางไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก หอการค้าเฟิงตูยังครอบคลุมร้านค้าส่วนใหญ่ในเมืองซีหยางไว้ แต่ก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปกว่าจะรู้ตัวก็เป็นเวลาค่ำแล้วลั่วอวิ๋นสี่มายังสวนหลังบ้านอย่างเงียบ ๆ ในตอนกลางคืน เพราะนางที่จะปรากฏตัวในตอนกลางวัน ท้ายที่สุดแล้ว ในสายตาของคนทั่วไป ลั่วอวิ๋นสี่ถือว่าตายไปแล้วดังนั้นนางจึงสามารถมาที่บ้านของลั่วหลางหลางในตอนกลางคืนเพื่อพบกับลั่วหลางหลางเท่านั้นหลังอาหารเย็นเสร็จ พวกนางก็นั่งคุยกันที่สวนหลังบ้านหลังจากที่ทุกคนพักผ่อนแล้ว ลั่วหลางหลางก็เรียกลั่วชิงยวนไปที่ห้อง“นี่คือสมุดบัญชีของหอการค้าเฟิงตู”“เจ้ามาทันเวลาพอดี มีบางอย่างที่ข้าต้องคุยกับเจ้า”ลั่วหลางหลางเพิ่งเคยรับมือกับธุรกิจใหญ่เช่นนี้เป็นครั้งแรก มีหลายเรื่องที่นางตัดสินใจไม่ได้ และจำเป็นต้องหารือกับลั่วชิงยวนลั่วชิงยวนพยักหน้าและช่วยนางดูพลิกเปิดสมุดบัญชีเล่มหนึ่งโดยไม่ตั้งใจ ดูไปด้วยคุยไปด้วยกับลั่วหลางห
หรือว่าคนลึกลับผู้นั้นยังคงคิดถึงหอการค้าเฟิงตูในซีหยางอยู่?ลั่วหลางหลางอยู่ในสมาคมการค้าเฟิงตูและตอนนี้ลั่วชิงยวนเป็นประธานเบื้องหลังของสมาคมการค้าเฟิงตู คนลึกลับผู้นี้ไปหาซีหยางโดยไม่รู้ว่าจะทำอะไร แต่เขาต้องป้องกันเอาไว้ฟู่เฉินหวนลุกขึ้นยืนทันที “รวบรวมคน ออกเดินทางไปซีหยางคืนนี้เลย!”“พ่ะย่ะค่ะ!”…… วันแล้ววันเล่า ลั่วชิงยวนรอคอยอย่างกระวนกระวายใจในที่สุดห้าวัน เวลานั้นก็มาถึงหลังจากตกค่ำ ก็มีคนมารายงานว่าคาราวานเฟิงฮั่วได้เข้ามาในเมืองซีหยางแล้วลั่วชิงยวนรออย่างประหม่ารอคอยพวกเขานำสินค้ามายังหอการค้าเฟิงตูซ่งเชียนฉู่ก็รอกับนางอย่างกังวลเช่นกัน “พวกเขาจะไม่ถูกปล้นกลางทางหรอกใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนส่ายหัว “สนหิมะเขาฉีซานถูกขนส่งมาพร้อมกับสมุนไพรอื่น ๆ หากถูกปล้นกลางทางจะไม่สามารถขนไปได้ และจะไม่มีเวลาค้นหาสนหิมะเขาฉีซาน ความเสี่ยงจะมากเกินไป”“และมันถูกบันทึกไว้ในบัญชีตั้งแต่ก่อนแล้ว เราเพิ่งเข้าครอบครองหอการค้าเฟิงตู นางคงยังไม่รู้ว่าเราค้นพบสนหิมะเขาฉีซาน และไม่รู้ว่าเราหมายใจสนหิมะเขาฉีซานอยู่เช่นกัน”“นางคงจะแอบมาตามหามันหลังจากที่ถูกส่งมาแล้ว”ซ่งเชียนฉู่พ
ตอนนี้ ลั่วฉิงมิกล้าปล่อยลั่วชิงยวนไป“ปล่อยข้าไป” ลั่วฉิงขู่อย่างเย็นชาฟู่เฉินหวนขมวดคิ้ว กำฝ่ามือของเขาแน่น“พูดอีกครั้ง ปล่อยข้าไป มิเช่นนั้นข้าจะฆ่านาง” มือของลั่วฉิงค่อย ๆ ออกแรงบีบลั่วชิงยวนมองตรงไปที่ฟู่เฉินหวน และเห็นท่าทางลังเลของฟู่เฉินหวน เขามิอยากให้นางมีชีวิตอยู่หรือ?“หลีกทาง” ฟู่เฉินหวนออกคำสั่งในที่สุดหลังจากหลีกทางแล้ว ลั่วฉิงก็คว้าลั่วชิงยวนไว้แล้วเหาะออกไปทันทีดวงตาของฟู่เฉินหวนเย็นชา สั่งให้เซียวชูและคนอื่น ๆ ติดตามไปอย่างเงียบ ๆลั่วฉิงมองย้อนกลับไปอย่างระมัดระวัง โดยมิกล้าหยุด ใช้วิชาตัวเบาหนีออกจากเมืองซีหยาง มุ่งหน้าเข้าสู่ป่าใหญ่นอกเมืองขณะใกล้จะถึงพื้น ลั่วฉิงก็ปล่อยลั่วชิงยวนไปลั่วชิงยวนล้มลงกับพื้นอย่างแรง กลิ้งไปสองตลบความเจ็บปวดรุนแรงมาก จนนางมิสามารถลุกขึ้นจากพื้นได้ลั่วฉิงร่อนลงเบา ๆ มองนาง และอดมิได้ที่จะหัวเราะ “ก่อนหน้านี้ข้าเห็นว่าวรยุทธของเจ้ามิได้อ่อนแอขนาดนี้ เจ้ากลายเป็นคนไร้ค่าไปเสียแล้ว”ก็ดีเหมือนกัน จะได้มิต้องเสียเวลามากลั่วฉิงชักกริชออกมา ก้มลงและแทงลั่วชิงยวนเข้าที่หน้าอกอย่างแรงแต่ในขณะนั้นเองรังสีสังหารที่แข็งแ
กล่องบรรจุสมุนไพรทั้งหมดถูกเปิดออก และสมุนไพรกระจายอยู่บนพื้นลั่วชิงยวนกระโดดลงจากหลังของเซียวชูอย่างร้อนรน และรีบวิ่งไปที่กองสมุนไพร “ท่านทำอะไร?!”นางคุกเข่าลงหาสนหิมะเขาฉีซานตอนนี้สนหิมะเขาฉีซาน สำคัญเท่าชีวิตของนางแต่เมื่อฟู่เฉินหวนเห็นท่าทางกังวลของนางเช่นนั้น เขาก็ดึงนางขึ้นมาด้วยสีหน้าโกรธขึ้งขมวดคิ้วมองนาง แล้วเริ่มตั้งคำถาม“เหตุใดเจ้าถึงอยู่ที่ซีหยางได้?!”“ข้าไล่ตามคนลึกลับมาที่นี่ เหตุใดเจ้าจึงอยู่ที่นี่ด้วย?”“เจ้าทำอะไรโดยมิบอกมิกล่าวข้า!”“วันนี้ข้าเกือบจะจับคนผู้นั้นได้แล้ว!”ในช่วงเวลานี้ แม้ว่าเขาจะมิได้ติดตามบุคคลลึกลับอย่างเปิดเผย แต่เขาก็ได้ส่งคนไปตามสืบและติดตามคนผู้นั้นอย่างลับ ๆ เขาใช้วิธีการไปมากมายจนพบโอกาสเช่นนี้ในวันนี้แต่เขามิคาดคิดว่าเขาจะได้พบลั่วชิงยวนที่นี่และนางก็เกือบต้องตายด้วยน้ำมือของคนลึกลับผู้นั้นนางทำสิ่งที่อันตรายในซีหยาง เหตุใดนางมาคนเดียวโดยมิพูดอะไรสักคำ?ลั่วชิงยวนเกิดความโกรธในใจ มองดูฟู่เฉินหวนด้วยสายตาที่เฉียบคม“เหตุใดรึ? ท่านกล่าวโทษหม่อมฉันว่าทำลายแผนของท่าน ทำให้จับคนชุดดำมิได้หรือ?”“ทว่าหากท่านมิทำลายวรยุทธขอ
หลังจากออกจากหอการค้าเฟิงตูแล้วลั่วชิงยวนและซ่งเชียนฉู่ก็เดินไปตามถนน ซ่งเชียนฉู่เอ่ยว่า “สนหิมะเขาฉีซานมิได้อยู่ในกล่อง”“มันอาจมิเคยถูกส่งมาตั้งแต่แรก”“หรือไม่ก็ถูกปล้นไประหว่างทางโดยคนอื่นที่รู้เรื่องนี้”“อย่างไรเสีย สนหิมะเขาฉีซานก็เป็นสมุนไพรที่ล้ำค่า หากมีข่าวรั่วออกไปผู้ที่รู้จักสมุนไพรก็จะมุ่งเป้าที่สนหิมะเขาฉีซาน”“แน่นอน และอาจเป็นไปได้ว่าพวกเขาทำมันหายหลังจากเปิดกล่องออก”“ส่งคนไปตามหาที่สมาการค้าอีกครั้งเถอะ”หัวใจของลั่วชิงยวนจมลง กำหมัดแน่น รู้สึกถึงข้อมือที่อ่อนแรง และถอนหายใจ“ข้าได้กลิ่นของสนหิมะเขาฉีซาน จากสมุนไพรนั้น”“ข้าเก็บสมุนไพรที่มีกลิ่นแรงไว้ชิ้นหนึ่ง รอให้ข้ากลับไปแล้วจะคำนวณตำแหน่งของสนหิมะเขาฉีซาน”มีบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับสนหิมะเขาฉีซานเป็นแนวทาง ก็จะมีโอกาสค้นหาที่ตำแหน่งของสนหิมะเขาฉีซานได้ซ่งเชียนฉู่ประหลาดใจ “นี่ก็คำนวณได้หรือ?”ลั่วชิงยวนพยักหน้า “ได้ แต่ใช้พลังงานมาก”เมื่อได้ยินเช่นนี้ซ่งเชียนฉู่ก็ถามอย่างลังเล “ถ้าอย่างนั้นร่างกายของท่านจะทนได้หรือ?”ดวงตาของลั่วชิงยวนเย็นชาเล็กน้อย “ไม่มีทางอื่น ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วครั้งนี้มีแต่
ใต้ถ้วยชามีสิ่งเล็ก ๆ ที่กำลังดีดดิ้นอยู่ลั่วชิงยวนกลั้นอาการอาเจียนไว้ และมิได้ส่งเสียงออกมาแต่เห็นฟู่เฉินหวนหยิบชาขึ้นมากำลังจะดื่มมันเจ้าของร้านและเสี่ยวเอ้อร์ที่อยู่ข้าง ๆ แอบมองพวกเขาลั่วชิงยวนรีบกุมท้องทันที “ข้าเจ็บท้อง เจ็บมาก…”ฟู่เฉินหวนมีสีหน้าเปลี่ยนไป เขาก็วางถ้วยชาลง “เป็นอะไรไป”ลั่วชิงยวนแสดงอาการสาหัสและบีบคอตัวเองราวกับว่าหายใจมิออกฟู่เฉินหวนอุ้มนางขึ้นมา พาออกมานอกจุดพักม้า และวางนางบนม้านั่งหินใต้ต้นไม้ใหญ่ “เกิดอันใดขึ้น คุณหนูซ่ง อาการของนางเป็นอย่างไร”เซียวชูยังนำผู้คนออกจากจุดพักและรวมตัวกันอยู่รอบ ๆ โดยมิรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นลั่วชิงยวนหยุดไอและกระซิบออกไปว่า “มีแมลงพิษอยู่ในชานั้น”“เจ้ามิได้ดื่มใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินเช่นนี้ เซียวชูและคนอื่น ๆ ก็รู้สึกมิสบายทันทีพวกเขารีบถามกันและกันว่ามีใครดื่มไปหรือไม่โชคดีที่เมื่อทุกคนได้ยินลั่วชิงยวนบ่นเรื่องที่นางปวดท้อง จึงวางถ้วยชาลงและไม่มีใครได้ดื่มอะไรฟู่เฉินหวนมองย้อนกลับไปที่จุดพักม้าแล้วพูดอย่างเย็นชา “เช่นนั้นมิควรอยู่ที่นี่นาน ๆ ไปกันเถอะ”ไม่มีใครกล้าอยู่อีก ขบวนออกเดินทางกันต่อแต่ในตอน
ลั่วชิงยวนเหลือบมองด้วยความสับสนฟู่เฉินหวนกล่าวเสริม “มันคือน้ำที่นำมาจากซีหยางมก่อนเดินทาง”ลั่วชิงยวนยังคงหลับตาต่อไป “หม่อมฉันมิกระหาย ท่านดื่มเองเถอะ”“ข้าดื่มแล้ว”ลั่วชิงยวนลืมตาขึ้นและมองดูเขา ริมฝีปากของเขาแห้งแตกจนเลือดออก ดูแล้วเหมือนมิได้ดื่มน้ำนางขยับร่างกาย หันหลังให้ฟู่เฉินหวนเขาพูดอย่างเย็นชา “อย่าทำเป็นใจดีเลยเพคะ หม่อมฉันมิต้องการ”ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้วและพูดว่า “บุคคลลึกลับอาจจะปรากฏตัวอีกครั้ง และเป้าหมายของนางคือเจ้า”“หากไม่มีแรงพอที่แล้วจับได้ทีหลัง ตัวข้าก็ต้องช่วยเจ้าอีก”ลั่วชิงยวนมิหันหน้ามามอง “หม่อมฉันบอกแล้วว่ามิดื่ม”“ท่านคิดว่าตบหัวแล้วมาลูบหลัง หม่อมฉันจะฟังท่านอีกหรือ?”“อย่ามาทำเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย มิอยู่กับร่องกับรอย อย่าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเช่นนี้ หม่อมฉันรับมือกับการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้มิไหวหรอก”“ความช่วยเหลือเล็ก ๆ น้อย ๆ สามารถชดเชยความเสียหายที่ท่านทำกับหม่อมฉันได้หรือ?”“อย่าทำสิ่งที่ไร้ความหมายเหล่านี้เลย”ลั่วชิงยวนหลับตา และเลิกให้ความสนใจคำพูดเหล่านั้นเหมือนกับมีดที่แทงเข้าไปในใจของฟู่เฉินหวนอย่างเจ็บปวดเมื่อนึกถึงวันที่ทำลายวรย
ลั่วชิงยวนพุ่งไปข้างหน้า ม่านตาของนางขยายออกเมื่อเห็นกริชที่คมกริบกำลังเคลื่อนเข้าใกล้หน้าอกของฟู่เฉินหวนทีละน้อยลั่วชิงยวนรู้สึกราวกับว่ามีคนบีบคอนาง เกิดความรู้สึกหายใจมิออกอย่างรุนแรงทันใดนั้นในสายตา มือที่มีข้อต่อชัดเจนและเส้นเลือดสีน้ำเงินโป่งชัด คว้ามือที่กำลังแทงลงไปของลั่วฉิงนั่นฟู่เฉินหวน!เขามิได้หมดสติ!ลั่วชิงยวนรีบวิ่งไปที่ด้านข้างของลั่วฉิง นางขมวดคิ้วและแทงกริชเข้าที่ด้านหลังของลั่วฉิงอย่างแรงลั่วฉิงรู้ว่านางอยู่ข้างหลัง อันตรายกำลังใกล้เข้ามา จึงกลิ้งตัว หลีกเลี่ยงการโจมตีของลั่วชิงยวนทันทีแต่ด้วยเหตุนี้ กริชในมือของลั่วฉิงจึงหล่นลงไป และเป็นฟู่เฉินหวนที่หยิบขึ้นมาฟู่เฉินหวนคว้ากริช ลุกขึ้นแทงไปที่ลั่วฉิงทั้งสองเริ่มต่อสู้อย่างดุเดือดลั่วชิงยวนมองอย่างประหม่า ตอนนี้นางมิสามารถทำอะไรได้ ทำได้แค่มิเป็นภาระ และหลบอยู่ในที่ปลอดภัยเท่านั้นนี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นลั่วฉิงและฟู่เฉินหวนประมือกันนางรู้ว่าฟู่เฉินหวนมีวรยุทธสูง แต่มิคาดคิดว่าจะเหนือกว่าลั่วฉิงเก่งที่เชี่ยวชาญในกลอุบาย หลายครั้ง มิใช่พิษก็เป็นสัตว์อันตราย หากเป็นคนธรรมดาคงรับมือได้ยากอย่าง
จั๋วฉ่างตงเดินออกมาจากห้องนัยน์ตาของลั่วชิงยวนฉายแววมุ่งสังหาร “ที่แท้เจ้าก็มิใช่เต่าหดหัวในกระดองนี่”จั๋วฉ่างตงจ้องมองนางด้วยสีหน้าดุดัน แล้วเดินลงมาอย่างช้า ๆ “ลั่วชิงยวน ข้าขอเตือนให้เจ้าสำรวมตนเสียบ้าง!”กล่าวพลางกวาดสายตามองไปยังคนที่นอนกองอยู่บนพื้น แล้วตวาดเสียงดัง “ปล่อยพวกเขา!”ลั่วชิงยวนบุกเข้ามาทำร้ายคนถึงเรือนของนาง นี่มิใช่การตบหน้านางต่อหน้าธารกำนัลหรอกหรือ!แม้จะพ่ายแพ้ให้แก่ลั่วชิงยวนที่หอรักษ์ดารา แต่ก็มิได้หมายความว่านางจะต้องหวาดกลัวลั่วชิงยวน!ลั่วชิงยวนเตะไปที่คนเหล่านั้น แล้วยอมปล่อยพวกเขาให้เป็นอิสระคนเหล่านั้นกลิ้งตัวลงบนพื้นทีละคนก่อนจะรีบลุกขึ้นยืนอย่างลนลาน หมายจะหลบไปอยู่ด้านหลังจั๋วฉ่างตงทว่าในเวลานี้เอง ริมฝีปากของลั่วชิงยวนก็ยกยิ้มเย็นเยียบ กระโจนเข้าหาจั๋วฉ่างตงอย่างรวดเร็วแล้วใช้มือคว้าจับที่คอเสื้อของนางจั๋วฉ่างตงขัดขืนโดยสัญชาตญาณ แต่นางได้รับบาดเจ็บ จะเป็นสู้ลั่วชิงยวนได้อย่างไรทันใดนั้นก็ถูกลั่วชิงยวนเหวี่ยงลงกับพื้น แล้วตบหน้าอย่างแรงจนผมเผ้าของจั๋วฉ่างตงยุ่งเหยิงขณะที่ตั้งตัวมิทันเสียงฝ่ามือกระทบใบหน้านั้นหนักแน่น เสียงดังสนั
“ดังนั้น...”“เรื่องเช่นนี้มิได้เกิดขึ้นเพียงครั้งหรือสองครั้ง”“นักบวชระดับสูงไว้วางใจนาง ข้าก็ทำได้เพียงทนรับมือ เมื่อก่อนยังพอขัดขืนได้บ้าง แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้าก็เลิกขัดขืนเพราะเสียแรงเปล่า”น้ำเสียงของอวี๋โหรวราบเรียบ ทว่าลั่วชิงยวนได้ฟังแล้วกลับรู้สึกหดหู่ใจ“เป็นเช่นนี้มานานแล้วหรือ? กี่ปีแล้ว?”หรือว่าในตอนที่นางยังอยู่ อวี๋โหรวต้องทนทุกข์ทรมานกับเรื่องเหล่านี้?อวี๋โหรวกลับส่ายหน้า “ข้าก็จำมิได้แล้วว่ากี่ปี”“อาจารย์ของข้าจากไปเสียนานแล้ว ไม่มีผู้ใดคอยช่วยเหลือข้า”“ดังนั้นข้าจึงต้องใช้บัวถวายรักษาอาการบาดเจ็บมาตลอด เพียงแต่ช่วงนี้หาซื้อมิได้แล้ว ข้าจึงเหลือเพียงดอกสุดท้าย”เมื่อลั่วชิงยวนได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกปวดร้าวใจหลายปีมานี้ นางมิเคยสังเกตเห็นความทุกข์ทรมานของอวี๋โหรวเลยเพราะอวี๋โหรวมิเคยปริปากบอกผู้ใด ในสถานที่ที่คนอ่อนแอต้องพ่ายแพ้แก่ผู้แข็งแกร่งเช่นนี้ ดูเหมือนนางจะรู้ดีว่าบอกผู้ใดไปก็ไร้ประโยชน์หลายปีมานี้นางอดทนมาได้อย่างไรก็มิอาจรู้ได้“จั๋วฉ่างตงบาดเจ็บอยู่แท้ ๆ ยังอุตส่าห์มาหาเรื่องเจ้าอีก ข้าว่านางคงเบื่อหน่ายการมีชีวิตเต็มทีแล้ว”แววตาของลั่
ชายหลายคนก้าวเข้ามารุมทำร้ายอวี๋โหรวในทันทีจั๋วฉ่างตงเปิดกล่องใบหนึ่งออก หมอกดำทมิฬพลันลอยออกมาแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “เจ้ายังกล้าสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องของลั่วชิงยวนอีก เห็นทีจะยังมีเรี่ยวแรงอยู่ ข้าคงทรมานเจ้ายังมิพอ”“วันนี้เจ้าจงลิ้มรสภูตผีร้ายแห่งหุบเขาฝังศพให้สาสม”จั๋วฉ่างตงใช้ยันต์แผ่นหนึ่งควบคุมหมอกดำทมิฬให้รวมตัวกันกลางอากาศ แล้วพุ่งเข้าโจมตีอวี๋โหรวอย่างรุนแรงอวี๋โหรวกำลังต้านทานการโจมตีของบุรุษเหล่านั้นอยู่ในชั่วขณะต่อมา หมอกดำทมิฬก็พุ่งเข้าใส่ กระแทกเข้าที่ท้องของนางราวกับจะฉีกร่างนางออกเป็นชิ้น ๆ ความเจ็บปวดรุนแรงแล่นปราดเข้าจู่โจมหมอกดำทมิฬนั้นทะลุผ่านร่างของนางไปอวี๋โหรวร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ล้มลงกระแทกพื้นอย่างแรง เจ็บปวดจนร่างกายสั่นเทา มิอาจลุกขึ้นได้บุรุษเหล่านั้นจับแขนของนางแล้วกระชากให้นางลุกขึ้นหมอกดำทมิฬนั้นพุ่งเข้ากระแทกท้องของนางอีกครั้ง แล้วทะลุผ่านไปอย่างรุนแรงอวัยวะภายในสั่นสะท้านก่อให้เกิดความเจ็บปวดรุนแรง ทำให้อวี๋โหรวสั่นไปทั้งร่าง เจ็บปวดจนริมฝีปากสั่นระริก ใบหน้าซีดเผือดนางไม่มีเรี่ยวแรงที่จะตอบโต้ได้เลยเป็นเช่นนี้ซ้
นางมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความมิพอใจนางเป็นถึงองค์หญิง ความรักของนางนั้นสูงส่งยิ่งนัก เฉินชีควรจะคุกเข่ารับมันไว้ แต่น่าเสียดายที่เขาปฏิเสธนางอย่างเย็นชา! มิหนำซ้ำยังทำให้นางอับอายขายหน้าอีกด้วย!นางมิพอใจและมิเต็มใจอย่างยิ่งเฉินชียิ่งเป็นแบบนี้ นางก็ยิ่งอยากเอาชนะเขาให้ได้!เฉินชีมองนางด้วยความประหลาดใจ แววตาของเขาเต็มไปด้วยความรังเกียจแต่เขาก็ยังคงแย่งกระบี่ในมือเกาเหมียวเหมี่ยวมา แล้วกดศีรษะของนางลง ก่อนจะจุมพิตลงบนริมฝีปากของนางอย่างมิลังเลหัวใจของเกาเหมียวเหมี่ยวเต้นแรงราวกับจะกระโดดออกมาจากอกของนางจูบของเฉินชีนั้นเร่าร้อนและรุนแรงอย่างมิอาจต้านทานได้เกาเหมียวเหมี่ยวถูกจูบจนหมดแรง แทบจะทรุดตัวลงแต่ในขณะที่นางคิดว่าเฉินชีจะทำอะไรต่อไป เฉินชีกลับผลักนางออกอย่างแรงไร้ซึ่งความปรานีก่อนเดินจากไปอย่างสง่างามโดยมิแม้แต่จะหันมามองนางด้วยซ้ำเกาเหมียวเหมี่ยวล้มลงนั่งกับพื้นพลางมองแผ่นหลังของเฉินชีด้วยความตกตะลึงเสียงเย็นชาของเฉินชีดังขึ้นว่า “สิ่งที่ท่านให้ข้าทำ ข้าทำแล้ว เรื่องนี้จบแค่นี้”“หากท่านยังคงใช้เรื่องนี้มาขู่ข้าอีก ข้าจะมิเกรงใจท่านแน่”เฉินชีเดิ
ลั่วชิงยวนมองอวี๋โหรวด้วยความประหลาดใจ อวี๋โหรวกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “คราวก่อนเจ้ามิได้ถามข้าหรอกหรือว่ามีสิ่งนี้หรือไม่ นี่เป็นดอกสุดท้ายที่ข้าเหลืออยู่”“คราวนี้เจ้าถูกฮองเฮาทำร้ายบาดเจ็บสาหัส ข้าคิดว่าเจ้าย่อมต้องการสิ่งนี้เป็นแน่ จึงได้นำมาให้”ลั่วชิงยวนได้ฟังก็รู้สึกตื้นตันใจยิ่งนัก นางมิคาดคิดว่าอวี๋โหรวจะมอบสิ่งนี้แก่นางด้วยว่ายามนี้ ต่อให้หาทั่วทั้งเมืองหลวงก็หาสิ่งนี้มิได้แล้ว“ขอบคุณ” ลั่วชิงยวนกล่าวอย่างซาบซึ้งใจยามนี้นางต้องการสิ่งนี้ยิ่งนัก“มิต้องเกรงใจ” อวี๋โหรวแย้มยิ้มจากนั้นทั้งสองก็เข้าวังไปด้วยกัน กลับไปยังที่พำนักของสำนักนักบวชของพวกนางการใช้บัวถวายนั้นจำต้องใช้สมุนไพรอื่นร่วมด้วย อวี๋โหรวจึงไปยังคลังโอสถเพื่อนำสมุนไพรมามากมายลั่วชิงยวนจึงก่อไฟต้มยาในลานหลังจากกินยาเข้าไป ลั่วชิงยวนก็รู้สึกถึงกระแสความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วร่างสิ่งนี้มีสรรพคุณหลักในการรักษาบาดแผลภายในและฟื้นฟูลมปราณ แต่เมื่อบาดแผลภายในหายดีแล้วย่อมส่งผลดีต่อบาดแผลภายนอกด้วยเช่นกันอวี๋โหรวเห็นว่าหลังจากนางกินยาแล้วสีหน้าของนางก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด“ดูเหมือนว่ายานี้จะได้ผลดีกับเจ้าย
นางจ้องมองไปยังเฉินชีพลางเอ่ยว่า “โอสถนี้ก็แค่บำรุงรักษาร่างกายทั่วไป มิได้มีผลอะไรต่อข้าในยามนี้”เฉินชีกลับกล่าวตอบ “ร่างกายของเจ้าในยามนี้มิอาจกินยาแรงได้ ตำรับยานี้สามารถรักษาบาดแผลภายนอกของเจ้าได้”ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วมุ่นมองเขา “แต่ยามนี้ข้าต้องการโอสถรักษาบาดแผลภายใน”“โอสถของเจ้าเพียงรักษาที่ปลายเหตุ มิได้รักษาที่ต้นเหตุ!” เฉินชียังคงยืนกรานในความคิดของตน “วางใจเถิดอาเหลา โอสถที่ข้าให้เจ้ากินนั้นย่อมเหมาะสมแก่เจ้าที่สุด”“เจ้าพักผ่อนให้ดี ข้ายังต้องเข้าวังไปอีกครั้ง”“เรื่องของเกาเหมียวเหมี่ยวยังมิได้สะสาง”“เจ้าพักอยู่ที่นี่ให้สบายใจ ไม่มีผู้ใดกล้าทำร้ายเจ้าหรอก”กล่าวจบ เฉินชีก็จากไปอีกทั้งยังจัดแจงให้คนมาส่งโอสถแก่ลั่วชิงยวนด้วยลั่วชิงยวนพักรักษาตัวอยู่ที่เรือนของเฉินชีสองวันแล้ว ทุกวันจะมีนางรับใช้มาเปลี่ยนผ้าพันแผลและเสื้อผ้าให้ตรงเวลาโอสถที่นำมาให้ก็ล้วนเป็นไปตามตำรับของเฉินชีทว่าลั่วชิงยวนรู้ซึ้งถึงอาการของตนดีว่า ร่างกายของตนนั้นจำต้องได้รับการรักษาด้วยโอสถใดตำรับยาของเฉินชีนั้นเป็นเพียงยาบำรุงร่างกายและให้สารอาหารแก่ร่างกายนี้ แต่การบำรุงเพียงอย่างเดีย
ขณะพูด เฉินชีก็รีบหยิบขวดโอสถขวดหนึ่งออกมา พลางเทโอสถลูกกลอนหนึ่งเม็ดส่งให้ลั่วชิงยวนกินมันสามารถปกป้องหัวใจของนางได้รถม้าโคลงเคลงไปตลอดทาง เร่งมุ่งหน้าไปยังจวนของเฉินซีอย่างรวดเร็วหลานจีได้ยินเสียงจึงเดินมาที่ลาน นางสงสัยมากว่ามีเรื่องอะไรที่ทำให้ท่านแม่ทัพต้องรีบร้อนออกไปอย่างกะทันหันทว่านางกลับเห็นเฉินชีลงจากรถม้าพร้อมกับอุ้มลั่วชิงยวนที่ได้รับบาดเจ็บ“ท่านแม่ทัพ… นางคือ...” หลานจีรีบสาวเท้าเข้ามาแต่นางกลับถูกเฉินชีผลักออกไปอย่างไร้ความเมตตา “อย่ามาขวางข้า!”หลานจีต้องถอยหลังไปสองก้าวถึงจะทรงตัวไว้ได้เมื่อได้สติ เฉินชีก็เดินไปไกลพร้อมกับสตรีในอ้อมแขนแล้วหลานจีตกตะลึงเหตุใดท่านแม่ทัพถึงต้องเป็นห่วงสตรีนางนั้นถึงเพียงนี้?นางเป็นใครกัน?หลานจีเกิดอาการตื่นตระหนกขึ้นมาอย่างกะทันหันนางตามไปดูด้วยความมิพอใจเฉินชีอุ้มลั่วชิงยวนเข้ามาที่ห้องของตน เขาวางนางลงบนเตียงแล้วเรียกนางรับใช้มาเปลี่ยนอาภรณ์ให้ลั่วชิงยวนนางรับใช้พากันสาละวนเข้า ๆ ออก ๆ เรือนกันยกใหญ่ยามนี้หลั่วชิงยวนหลับไปแล้วจากนั้นเฉินชีก็ออกจากห้องไป และมิรู้ว่าเขาไปที่ใดหลังจากที่นางรับใช้เปลี่ยนอา
"ตอนนี้มิว่าท่านจะตรัสอะไรไปก็ไร้ประโยชน์”“ไม่มีใครสนใจหรอกเพคะ”ทันทีที่พูดคำเหล่านี้ออกมา สีหน้าของฉินอี้และฮองเฮาเกาก็เปลี่ยนไปฮองเฮาเกาจ้องนางด้วยสายตาดุร้ายนางยิ้มเยาะ “ในที่สุดก็ยอมเอ่ยปากแล้วรึ? อย่าลืมที่ข้าพูดไว้สิว่า หากเจ้าพูดข้าจะตัดลิ้นเจ้าทิ้งเสีย!”จากนั้นนางก็ส่งสายตาเป็นนัยให้องครักษ์องครักษ์สองคนก้าวไปข้างหน้า คนหนึ่งจับไหล่ของลั่วชิงยวน อีกคนหยิบมีดขึ้นมาเตรียมตัวพร้อมลงมือฉินอี้ตกใจและครุ่นคิดอย่างรวดเร็วว่าจะทำอย่างไรดีลั่วชิงยวนยังมิยอมแพ้ รอยยิ้มเย็นชาผุดขึ้นบนใบหน้าของนาง “องค์ชายใหญ่ทรงเคยคิดหรือไม่เพคะว่าเหตุใดวรยุทธ์ของท่านถึงหยุดนิ่งมิพัฒนาไปไหน?”“เหตุใดถึงเรียนรู้ได้ช้า แม้จะทุ่มเทความพยายามมากกว่าคนทั่วไปหลายสิบเท่า แต่ก็ยังมิสามารถเรียนรู้ได้เท่ากับที่คนอื่นทำได้”“นั่นมีเหตุผลอยู่เพคะ”“ที่จริงแล้ว ทั้งหมดมิใช่เป็นเพราะพรสวรรค์ที่ธรรมดาเพคะ”“แต่มีพิษชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า…”เมื่อเขาได้ยินเช่นนั้น ฉินอี้ก็ตกใจเป็นอย่างมากฮองเฮาเการีบกระชับเสื้อของนางด้วยความกังวล สีหน้าของนางเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงและขณะที่ลั่วชิงยวนกำลังจะพูดออกมาน
ทันทีที่คำกล่าวเหล่านี้หลุดออกมาร่างกายของฟู่เฉินหวนก็แข็งทื่อดวงตาของฉินอี้เต็มไปด้วยความคาดหวังอันร้อนแรงตั้งแต่เล็กจนโต แม้เขาจะเป็นองค์ชาย แต่ก็มีเพียงมิกี่คนที่ให้ความเคารพเขาแม้กระทั่งน้องสาวของเขาเองก็มักจะลงมือทำร้ายเขาบ่อย ๆ โดยมิไว้หน้ากันเลยแม้แต่น้อยส่วนคนที่อยู่ตรงหน้าเขาคืออ๋องผู้เป็นเทพสงครามเทพแห่งแคว้นเทียนเชวียและผู้สำเร็จราชการผู้ยิ่งใหญ่ในใต้หล้าเขาจึงตั้งตารอที่จะได้เห็นฟู่เฉินหวนคุกเข่าด้วยความเคารพฟู่เฉินหวนกำหมัดแน่นซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่จริงเขาสามารถเจรจากับฉินอี้ได้ และมีเงื่อนไขต่าง ๆ มากมายที่เขาสามารถพูดคุยกับอีกฝ่ายได้ทว่าการเจรจาต้องอาศัยยุทธวิธีและที่สำคัญกว่านั้นคือ ต้องมีจิตใจที่สงบมั่นคงแต่ในเวลานี้ ฟู่เฉินหวนมิสามารถทำเช่นนั้นได้เขาแทบจะรอมิไหวแล้วดวงตาของเขาขรึมลง พลางยกเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงเสียงดังตึงเมื่อเข่ากระทบพื้นนั้นเจือไปด้วยความอึดอัดกลัดกลุ้ม แต่เป็นเสียงที่ฉินอี้ฟังแล้วรู้สึกสบายหูเป็นอย่างยิ่งมิอาจปฏิเสธได้ว่าตอนนี้เขาพอใจอย่างถึงที่สุดนี่เป็นความรู้สึกที่เขาพยายามเสาะหามาตลอดหลายปีแต่ก็มิเคยได้มันมาโดยเฉพา