กล่องบรรจุสมุนไพรทั้งหมดถูกเปิดออก และสมุนไพรกระจายอยู่บนพื้นลั่วชิงยวนกระโดดลงจากหลังของเซียวชูอย่างร้อนรน และรีบวิ่งไปที่กองสมุนไพร “ท่านทำอะไร?!”นางคุกเข่าลงหาสนหิมะเขาฉีซานตอนนี้สนหิมะเขาฉีซาน สำคัญเท่าชีวิตของนางแต่เมื่อฟู่เฉินหวนเห็นท่าทางกังวลของนางเช่นนั้น เขาก็ดึงนางขึ้นมาด้วยสีหน้าโกรธขึ้งขมวดคิ้วมองนาง แล้วเริ่มตั้งคำถาม“เหตุใดเจ้าถึงอยู่ที่ซีหยางได้?!”“ข้าไล่ตามคนลึกลับมาที่นี่ เหตุใดเจ้าจึงอยู่ที่นี่ด้วย?”“เจ้าทำอะไรโดยมิบอกมิกล่าวข้า!”“วันนี้ข้าเกือบจะจับคนผู้นั้นได้แล้ว!”ในช่วงเวลานี้ แม้ว่าเขาจะมิได้ติดตามบุคคลลึกลับอย่างเปิดเผย แต่เขาก็ได้ส่งคนไปตามสืบและติดตามคนผู้นั้นอย่างลับ ๆ เขาใช้วิธีการไปมากมายจนพบโอกาสเช่นนี้ในวันนี้แต่เขามิคาดคิดว่าเขาจะได้พบลั่วชิงยวนที่นี่และนางก็เกือบต้องตายด้วยน้ำมือของคนลึกลับผู้นั้นนางทำสิ่งที่อันตรายในซีหยาง เหตุใดนางมาคนเดียวโดยมิพูดอะไรสักคำ?ลั่วชิงยวนเกิดความโกรธในใจ มองดูฟู่เฉินหวนด้วยสายตาที่เฉียบคม“เหตุใดรึ? ท่านกล่าวโทษหม่อมฉันว่าทำลายแผนของท่าน ทำให้จับคนชุดดำมิได้หรือ?”“ทว่าหากท่านมิทำลายวรยุทธขอ
หลังจากออกจากหอการค้าเฟิงตูแล้วลั่วชิงยวนและซ่งเชียนฉู่ก็เดินไปตามถนน ซ่งเชียนฉู่เอ่ยว่า “สนหิมะเขาฉีซานมิได้อยู่ในกล่อง”“มันอาจมิเคยถูกส่งมาตั้งแต่แรก”“หรือไม่ก็ถูกปล้นไประหว่างทางโดยคนอื่นที่รู้เรื่องนี้”“อย่างไรเสีย สนหิมะเขาฉีซานก็เป็นสมุนไพรที่ล้ำค่า หากมีข่าวรั่วออกไปผู้ที่รู้จักสมุนไพรก็จะมุ่งเป้าที่สนหิมะเขาฉีซาน”“แน่นอน และอาจเป็นไปได้ว่าพวกเขาทำมันหายหลังจากเปิดกล่องออก”“ส่งคนไปตามหาที่สมาการค้าอีกครั้งเถอะ”หัวใจของลั่วชิงยวนจมลง กำหมัดแน่น รู้สึกถึงข้อมือที่อ่อนแรง และถอนหายใจ“ข้าได้กลิ่นของสนหิมะเขาฉีซาน จากสมุนไพรนั้น”“ข้าเก็บสมุนไพรที่มีกลิ่นแรงไว้ชิ้นหนึ่ง รอให้ข้ากลับไปแล้วจะคำนวณตำแหน่งของสนหิมะเขาฉีซาน”มีบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับสนหิมะเขาฉีซานเป็นแนวทาง ก็จะมีโอกาสค้นหาที่ตำแหน่งของสนหิมะเขาฉีซานได้ซ่งเชียนฉู่ประหลาดใจ “นี่ก็คำนวณได้หรือ?”ลั่วชิงยวนพยักหน้า “ได้ แต่ใช้พลังงานมาก”เมื่อได้ยินเช่นนี้ซ่งเชียนฉู่ก็ถามอย่างลังเล “ถ้าอย่างนั้นร่างกายของท่านจะทนได้หรือ?”ดวงตาของลั่วชิงยวนเย็นชาเล็กน้อย “ไม่มีทางอื่น ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วครั้งนี้มีแต่
ใต้ถ้วยชามีสิ่งเล็ก ๆ ที่กำลังดีดดิ้นอยู่ลั่วชิงยวนกลั้นอาการอาเจียนไว้ และมิได้ส่งเสียงออกมาแต่เห็นฟู่เฉินหวนหยิบชาขึ้นมากำลังจะดื่มมันเจ้าของร้านและเสี่ยวเอ้อร์ที่อยู่ข้าง ๆ แอบมองพวกเขาลั่วชิงยวนรีบกุมท้องทันที “ข้าเจ็บท้อง เจ็บมาก…”ฟู่เฉินหวนมีสีหน้าเปลี่ยนไป เขาก็วางถ้วยชาลง “เป็นอะไรไป”ลั่วชิงยวนแสดงอาการสาหัสและบีบคอตัวเองราวกับว่าหายใจมิออกฟู่เฉินหวนอุ้มนางขึ้นมา พาออกมานอกจุดพักม้า และวางนางบนม้านั่งหินใต้ต้นไม้ใหญ่ “เกิดอันใดขึ้น คุณหนูซ่ง อาการของนางเป็นอย่างไร”เซียวชูยังนำผู้คนออกจากจุดพักและรวมตัวกันอยู่รอบ ๆ โดยมิรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นลั่วชิงยวนหยุดไอและกระซิบออกไปว่า “มีแมลงพิษอยู่ในชานั้น”“เจ้ามิได้ดื่มใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินเช่นนี้ เซียวชูและคนอื่น ๆ ก็รู้สึกมิสบายทันทีพวกเขารีบถามกันและกันว่ามีใครดื่มไปหรือไม่โชคดีที่เมื่อทุกคนได้ยินลั่วชิงยวนบ่นเรื่องที่นางปวดท้อง จึงวางถ้วยชาลงและไม่มีใครได้ดื่มอะไรฟู่เฉินหวนมองย้อนกลับไปที่จุดพักม้าแล้วพูดอย่างเย็นชา “เช่นนั้นมิควรอยู่ที่นี่นาน ๆ ไปกันเถอะ”ไม่มีใครกล้าอยู่อีก ขบวนออกเดินทางกันต่อแต่ในตอน
ลั่วชิงยวนเหลือบมองด้วยความสับสนฟู่เฉินหวนกล่าวเสริม “มันคือน้ำที่นำมาจากซีหยางมก่อนเดินทาง”ลั่วชิงยวนยังคงหลับตาต่อไป “หม่อมฉันมิกระหาย ท่านดื่มเองเถอะ”“ข้าดื่มแล้ว”ลั่วชิงยวนลืมตาขึ้นและมองดูเขา ริมฝีปากของเขาแห้งแตกจนเลือดออก ดูแล้วเหมือนมิได้ดื่มน้ำนางขยับร่างกาย หันหลังให้ฟู่เฉินหวนเขาพูดอย่างเย็นชา “อย่าทำเป็นใจดีเลยเพคะ หม่อมฉันมิต้องการ”ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้วและพูดว่า “บุคคลลึกลับอาจจะปรากฏตัวอีกครั้ง และเป้าหมายของนางคือเจ้า”“หากไม่มีแรงพอที่แล้วจับได้ทีหลัง ตัวข้าก็ต้องช่วยเจ้าอีก”ลั่วชิงยวนมิหันหน้ามามอง “หม่อมฉันบอกแล้วว่ามิดื่ม”“ท่านคิดว่าตบหัวแล้วมาลูบหลัง หม่อมฉันจะฟังท่านอีกหรือ?”“อย่ามาทำเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย มิอยู่กับร่องกับรอย อย่าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเช่นนี้ หม่อมฉันรับมือกับการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้มิไหวหรอก”“ความช่วยเหลือเล็ก ๆ น้อย ๆ สามารถชดเชยความเสียหายที่ท่านทำกับหม่อมฉันได้หรือ?”“อย่าทำสิ่งที่ไร้ความหมายเหล่านี้เลย”ลั่วชิงยวนหลับตา และเลิกให้ความสนใจคำพูดเหล่านั้นเหมือนกับมีดที่แทงเข้าไปในใจของฟู่เฉินหวนอย่างเจ็บปวดเมื่อนึกถึงวันที่ทำลายวรย
ลั่วชิงยวนพุ่งไปข้างหน้า ม่านตาของนางขยายออกเมื่อเห็นกริชที่คมกริบกำลังเคลื่อนเข้าใกล้หน้าอกของฟู่เฉินหวนทีละน้อยลั่วชิงยวนรู้สึกราวกับว่ามีคนบีบคอนาง เกิดความรู้สึกหายใจมิออกอย่างรุนแรงทันใดนั้นในสายตา มือที่มีข้อต่อชัดเจนและเส้นเลือดสีน้ำเงินโป่งชัด คว้ามือที่กำลังแทงลงไปของลั่วฉิงนั่นฟู่เฉินหวน!เขามิได้หมดสติ!ลั่วชิงยวนรีบวิ่งไปที่ด้านข้างของลั่วฉิง นางขมวดคิ้วและแทงกริชเข้าที่ด้านหลังของลั่วฉิงอย่างแรงลั่วฉิงรู้ว่านางอยู่ข้างหลัง อันตรายกำลังใกล้เข้ามา จึงกลิ้งตัว หลีกเลี่ยงการโจมตีของลั่วชิงยวนทันทีแต่ด้วยเหตุนี้ กริชในมือของลั่วฉิงจึงหล่นลงไป และเป็นฟู่เฉินหวนที่หยิบขึ้นมาฟู่เฉินหวนคว้ากริช ลุกขึ้นแทงไปที่ลั่วฉิงทั้งสองเริ่มต่อสู้อย่างดุเดือดลั่วชิงยวนมองอย่างประหม่า ตอนนี้นางมิสามารถทำอะไรได้ ทำได้แค่มิเป็นภาระ และหลบอยู่ในที่ปลอดภัยเท่านั้นนี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นลั่วฉิงและฟู่เฉินหวนประมือกันนางรู้ว่าฟู่เฉินหวนมีวรยุทธสูง แต่มิคาดคิดว่าจะเหนือกว่าลั่วฉิงเก่งที่เชี่ยวชาญในกลอุบาย หลายครั้ง มิใช่พิษก็เป็นสัตว์อันตราย หากเป็นคนธรรมดาคงรับมือได้ยากอย่าง
ขณะที่ดื่ม น้ำที่มีกลิ่นหอมของหญ้าและดอกไม้ชุ่มชื่นผ่านลำคอลงไป ลั่วชิงยวนก็ตกใจทันใดนั้น นางก็เข้าใจว่าน้ำมาจากที่ใดนี่คือน้ำค้างจากกิ่งก้านของดอกไม้นางจ้องมองคนข้าง ๆ ที่มิแสดงอารมณ์อะไรอย่างนิ่งงันด้วยความรู้สึกซับซ้อน เขาเดินไปไกลขนาดนั้นในป่าเพื่อเก็บน้ำค้างนี่เองน้ำเยอะขนาดนี้ เขาต้องใช้เวลาเก็บนานเท่าใด กว่าจะรู้ตัว ก็เดินกลับเข้ากลุ่มไปแล้วเซียวชูตื่นขึ้นมา มองหาพวกเขาอยู่และรู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นพวกเขาออกมา“ท่านอ๋อง พระชายา พวกท่านหายไปที่ใดมา กระหม่อมก็นึกว่า...”เซียวชูรู้สึกกังวลอย่างมากลั่วชิงยวนนำถุงใส่น้ำเปล่า เทบางส่วนให้ซ่งเชียนฉู่ และมอบที่เหลือให้กับเซียวชู“เอาไปแบ่งให้คนอื่นเถอะ”เมื่อเห็นสิ่งนี้ เซียวชูก็ประหลาดใจ “ท่านไปเอาสิ่งนี้มาจากที่ใดหรือขอรับ?”ลั่วชิงยวนมองไปที่ฟู่เฉินหวนซึ่งกำลังเตรียมม้าสำหรับการเดินทาง “ท่านอ๋องของเจ้าหามาน่ะสิ”เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เซียวชูก็รู้สึกตื่นเต้นมากเขารีบจิบ และมอบที่เหลือให้คนอื่นทันทีเซียวชูตะโกน “ดื่มเสร็จแล้ว ทุกคนเตรียมตัวเดินทางกลับเมืองหลวง!”ตลอดทางหลังจากนั้น ก็ไม่มีเหตุการณ์แปลก ๆ เกิดขึ้นอี
“สนหิมะเขาฉีซาน!”จือเฉาสะดุ้งและพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “ใช่ ๆ ๆ นั่นแหละเจ้าค่ะ!”“นี่คือสิ่งที่หมอหลวงพูด!”ลั่วชิงยวนตกตะลึง สีหน้าเคร่งเครียด ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปยังเรือนของลั่วเยวี่ยอิงทันทีรวดเร็วอะไรปานนี้ ลั่วเยวี่ยอิงตาบอดแล้วต้องการสนหิมะเขาฉีซานอีกต่างหากนี่มิใช่เรื่องบังเอิญแล้ว มันเป็นเพียงกลอุบายของลั่วฉิงเท่านั้นลั่วฉิงน่ากลับมาที่เมืองหลวงเร็วกว่าพวกเขา และขอให้เหยียนผิงเซียวมาขอให้ลั่วเยวี่ยอิงถามฟู่เฉินหวนเรื่องสนหิมะเขาฉีซานนางรีบไปที่เรือนของอีกฝ่ายยังมิทันเข้าไปในเรือน ก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของลั่วเยวี่ยอิง ร้องจนหายใจมิทัน ดูสิ้นหวังอย่างยิ่งฟู่เฉินหวนปลอบใจ “หยุดร้องไห้ได้แล้ว ดวงตาของเจ้าเป็นแบบนี้แล้ว หากเจ้ายังร้องไห้ต่อไปก็จะรักษามิหายเข้าจริง ๆ”ลั่วเยวี่ยอิงหยุดร้องไห้เล็กน้อย พลางจับมือฟู่เฉินหวนพูดทั้งน้ำตา “ท่านอ๋อง ท่านจะมิทิ้งหม่อมฉันใช่หรือไม่เพคะ?”ฟู่เฉินหวนตบมือของนางเบา ๆ “มิทิ้งหรอก”ท่าทางที่ใกล้ชิดนั้น สะท้อนอย่างชัดเจนในดวงตาของลั่วชิงยวนดวงตาของนางเย็นชา พลันเดินเข้าไปมองไปที่หมอหลวงที่กำลังเขียนใบเทียบยาหมอหลวงเขียนใบเทีย
หลังจากคิดอยู่นาน ลั่วชิงยวนก็กลับมาสนใจเครื่องยาสมุนไพรชุดนั้นอีกครั้งสนหิมะเขาฉีซานอาจจะยังอยู่ในนั้นนางต้องหามันอีกครั้ง!นางต้องไปอย่างเงียบ ๆ มิเช่นนั้นลั่วเยวี่ยอิงอาจจะเข้าใกล้ไปอีกขั้น และฟู่เฉินหวนจะไม่มีวันมอบสนหิมะเขาฉีซานให้นางเมื่อเปิดประตู จือเฉาก็รีบนำอาหารมา และก็ต้องตกใจเมื่อเห็นหน้านาง“พระชายา เหตุใดท่านจึงอิดโรยเช่นนี้เล่าเจ้าคะ?”ลั่วชิงยวนอดมิได้ที่จะมองในกระจกใบหน้านางซีดเซียว ไม่มีชีวิตชีวา ใต้ตาดำคล้ำ เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าลั่วชิงยวนมีลางสังหรณ์มิดีก่อนหน้านี้มิเคยอิดโรยเท่านี้มาก่อน“พระชายา บางทีท่านอาจมิได้กินอาหารมานานแล้วมาทานอะไรหน่อยเถิดเจ้าค่ะ”ลั่วชิงยวนนั่งที่โต๊ะเพื่อกินอาหารนางถาม “ท่านอ๋องเป็นอย่างไรบ้าง? เขามิได้ไปแคว้นหลีใช่หรือไม่?”จือเฉาส่ายหัว “สองวันมานี้ท่านอ๋องงานล้นมือ ตอนกลางคืนก็มิอยู่ในตำหนักเจ้าค่ะ”“บ่าวถามซูโหยวแล้ว เขาบอกว่าท่านอ๋องยังมิได้สั่งการให้ไปแคว้นหลีเจ้าค่ะ”“คิดว่าท่านอ๋องคงจะมิเสด็จไป”ดวงตาของลั่วชิงยวนเป็นประกาย ฟู่เฉินหวนในเวลากลางคืนอยู่นอกตำหนัก เพื่อหลีกเลี่ยงลั่วเยวี่ยอิงนี่มิใช่โอกาสที
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน
คนของถูหมิงตายไปหมดแล้ว เหลือเพียงฉีเสวี่ยเวยเท่านั้นในขณะที่พวกเขาเดินทางไปยังถ้ำแห่งที่หกในคืนนั้นผลลัพธ์ที่ได้กลับน่าผิดหวังเพราะในถ้ำว่างเปล่า“ดูเหมือนว่าพวกเราจะมาช้าไปก้าวหนึ่ง”ถูหมิงขมวดคิ้ว “เหลืออีกหนึ่งชิ้น ทำอย่างไรดี? หรือว่าความพยายามทั้งหมดของเราจะสูญเปล่า?”พวกเขาวุ่นวายมาหลายวัน เดินทางไปเกือบทั่วทั้งภูเขาแล้วหากสมบัติหายไปเช่นนี้ เขาคงต้องฆ่าสตรีผู้นี้เป็นแน่!ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วครุ่นคิด แล้วกล่าวว่า “เหลืออีกหนึ่งชิ้นก็เหลืออีกหนึ่งชิ้น”“หาที่ปลอดภัยก่อน”จากนั้นพวกเขาก็มายังป่าที่ค่อนข้างสะอาด ไม่มีพุ่มไม้หรือวัชพืชหนาแน่นบนพื้นมากนัก ค่อนข้างโปร่งโล่งหีบทั้งห้าใบวางอยู่บนพื้นลั่วชิงยวนกล่าวว่า “เปิดหีบกันเถิด”ทันใดนั้นดวงตาของถูหมิงก็เป็นประกาย “เปิดได้หรือ?”เขาเห็นว่าบนหีบมีแต่อักขระสีเลือดปกคลุมอยู่ จึงยั้งมือไว้หลายครั้งแม้จะอยากเปิดก็ตามเมื่อได้ยินเช่นนี้จึงรีบเปิดหีบทันทีแต่เมื่อเปิดออกแล้ว ร่างกายของเขาก็แข็งทื่อไปศพ?!ทั้งยังเป็นศพที่ถูกชำแหละอีกด้วย?ฉีเสวี่ยเวยก็ตกใจกลัวลั่วชิงยวนกลับสงบสติอารมณ์ สั่งให้โฉวสือชีและคนใบ้ช่วย
“ใครกัน?!”ลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วตอบเสียงแผ่ว “ซูเซียง”“แต่ตอนนี้ควรเรียกนางว่าโหยวเซียง”“ภารกิจที่พวกเจ้าได้รับก็เป็นเพียงการละเล่นของนางเท่านั้น”“นางต้องการให้พวกเจ้าฆ่ากันเอง”และภารกิจหนังหน้าของหญิงงามที่ฉีเสวี่ยเวยได้รับ ก็คงเป็นการล่อลวงให้ฉีเสวี่ยเวยมาฆ่านางหากสามารถยืมมือคนอื่นฆ่าคนได้ โหยวเซียงก็มิจำเป็นต้องเปิดเผยตัวตนเพียงแต่โหยวเซียงคาดมิถึงว่าฉีเสวี่ยเวยจะฆ่านางมิได้ กระทั่งโหยวเซียงเองก็ฆ่านางมิได้“โหยวเซียงหรือ? นางเป็นคนของเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้หรือ?” ฉีเสวี่ยเวยมองนางอย่างมิเชื่อสายตา“มิแปลกใจเลย… นางท้องแก่ถึงเพียงนั้นยังกล้ามาที่นี่ได้”ลั่วชิงยวนเห็นว่าใกล้รุ่งสางแล้ว จึงให้โฉวสือชีแก้เชือกที่มัดฉีเสวี่ยเวยไว้“ข้าจะยังมิฆ่าเจ้าตอนนี้”“มิว่าเรื่องที่เจ้ากล่าวมาจะเป็นจริงหรือไม่ก็มิสำคัญ ข้าก็มิกลัวว่าเจ้าจะไปบอกเรื่องนี้กับถูหมิง”“หากเจ้าไปบอก เรื่องเดียวที่จะเป็นผลเสียต่อพวกข้าก็คือต้องแบกหีบเพิ่มอีกมิกี่ใบ”“เพียงเท่านั้น”มิใช่เรื่องคอขาดบาดตายที่นางทำเป็นร่วมมือกับถูหมิง ก็เพียงต้องการใช้คนของเขาไปขวางทางศพชายที่ถูกผนึกไว้ในถ้ำ
“แม้จะต้องยอมตายไปพร้อมกับถูหมิง ข้าก็ยินดี!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ตกตะลึง แต่ก็ยังคงสงสัยอยู่บ้าง“แต่เจ้าสนิทสนมกับถูหมิงถึงเพียงนั้น น่าจะมีโอกาสฆ่าเขาได้นับครั้งมิถ้วน”ฉีเสวี่ยเวยขมวดคิ้วแน่น ดวงตาแดงก่ำ “แท้จริงแล้วคนผู้นั้นระแวดระวังตัวมาก หากมิใช่เพราะต้องการลดความระแวดระวังของเขา ข้ากับชายมากหน้าหลายตาก็คงมิ...”เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ฉีเสวี่ยเวยก็เม้มริมฝีปากแน่นหลังจากกล้ำกลืนความรู้สึกแล้ว จึงกล่าวต่อ “ในป่าครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่เขาใกล้ชิดข้า เดิมทีตอนนั้นข้ามีโอกาสที่จะฆ่าเขาได้!”“แต่เจ้าปีศาจฝูเหมิ่งนั่นบังเอิญมาขวาง!”“หากมิใช่เพราะเขา ข้าคงทำสำเร็จไปแล้ว!”ฉีเสวี่ยเวยกัดฟันพูด เต็มไปด้วยความเคียดแค้นลั่วชิงยวนรู้สึกประหลาดใจ เมื่อเห็นสีหน้าของฉีเสวี่ยเวย ในดวงตาของนางเต็มไปด้วยความแค้น ดูมิเหมือนคนโกหกทำให้นางเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อฉีเสวี่ยเวยไปบ้างขณะที่ลั่วชิงยวนยังคงครุ่นคิด ฉีเสวี่ยเวยก็มองมาที่นาง “เจ้ายังมิเชื่อข้าหรือ?”“ขอเพียงเจ้าฆ่าถูหมิงได้ ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อเจ้า! ข้าจะบอกสิ่งที่เจ้าอยากรู้ทุกอย่าง!”ลั่วชิงยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ลั่วชิงยวนนอนนิ่งอยู่บนเตียง มิกล้าขยับกายทว่างูตัวนั้นกลับกัดข้อเท้านางอย่างแรงหนึ่งครั้ง จากนั้นก็รีบเลื้อยหนีไปรออยู่ครู่หนึ่ง ฉีเสวี่ยเวยเห็นว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ จึงเปิดประตูเข้ามานางมิอาจมั่นใจได้ว่าพวกคนใบ้จะกลับมาเมื่อใด จึงมิกล้าเสียเวลานานหลังจากปิดประตูอย่างระแวดระวังแล้ว นางก็มายังปลายเตียง จ้องมองข้อเท้าของลั่วชิงยวนอย่างละเอียด ปรากฏว่าถูกงูกัดจริง ๆ นางต้องตายเพราะพิษนี้แน่นอน!ทันใดนั้นเอง ฉีเสวี่ยเวยก็ชักกริชออกมาแล้วเดินไปยังหัวเตียง ค่อย ๆ จรดใบมีดลงบนใบหน้าของลั่วชิงยวนแต่ในพริบตานั้นเอง ลั่วชิงยวนก็ลืมตาขึ้นมาจ้องมองนางด้วยสายตาอาฆาตแค้นฉีเสวี่ยเวยพลันตกใจ แต่ก็มิได้หนีในทันที เพราะนางคิดว่าลั่วชิงยวนโดนพิษงูเข้าไปแล้ว อย่างไรก็ต้องตายอยู่ดีลั่วชิงยวนรีบคว้าข้อมือของฉีเสวี่ยเวยไว้เพื่อแย่งชิงกริชมาจากนางฉีเสวี่ยเวยก็ลงมือโจมตีเช่นกัน เพียงแต่นางคาดมิถึงว่าสตรีผู้นี้ที่ถูกพิษแล้วจะยังมีพละกำลังมากมายถึงเพียงนี้หลังจากทั้งสองต่อสู้กันครู่หนึ่งในห้อง ฉีเสวี่ยเวยก็พ่ายแพ้ ถูกลั่วชิงยวนจับกดไว้บนโต๊ะฉีเสวี่ยเวยตกใจมาก “เจ้า
“แน่นอน”“อีกอย่าง เมื่อหาของเหล่านี้ครบแล้วเมืองแห่งภูตผีทั้งเมืองก็จะเป็นของพวกเรา แล้วยังต้องขึ้นเขาไปเอาของเล็ก ๆ น้อย ๆ นั่นหาปะไร”คำพูดนี้กระตุ้นความโลภในใจของทุกคนที่อยู่ตรงนั้นอย่างมิต้องสงสัยพวกเขาจึงมิลังเลอีกต่อไป รีบติดตามลั่วชิงยวนไปยังเส้นทางเดิมตลอดทางยังมีงูมากมาย ลั่วชิงยวนก็หาสมุนไพรบางชนิดตลอดทางแล้วมอบให้ทุกคนผูกติดไว้บนตัวและทาตามเท้า เพื่อให้กลิ่นของสมุนไพรนั้นช่วยไล่งูดังนั้นการเดินทางของพวกเขาจึงราบรื่นดี เมื่อยามค่ำคืนมาเยือนพวกเขาก็ออกมาจากบ่อน้ำพุร้อนนั้นอีกครั้งพวกเขากลับมายังหมู่บ้านเดิมในช่วงกลางดึกสงัดในหมู่บ้านยังมีอาหารหลงเหลืออยู่ ดังนั้นทุกคนจึงหยุดพักกินอาหารกันก่อนเมื่อฟื้นฟูพละกำลังได้แล้วคนทั้งหมดก็ออกเดินทางต่อมาถึงสุสานเดิม ยามนี้วิญญาณอาฆาตเต็มไปทั่วทั้งภูเขา พลังหยินแผ่ซ่านไปทั่วเมื่อลั่วชิงยวนมาถึงที่แห่งนั้นก็พบว่าปากถ้ำเปิดออกแล้วมีคนกล่าวขึ้นว่า “วันนั้นฝูเหมิ่งก็มาที่นี่!”ลั่วชิงยวนตกใจเล็กน้อยเมื่อเข้าไปในถ้ำแล้ว ภาพที่ปรากฏด้านในนั้นมิเปลี่ยนแปลงมากนัก สิ่งที่เปลี่ยนไปเพียงอย่างเดียวคือโลงศพที่ถูกล่ามโซ่นั้นระเบ
เมื่อได้ยินดังนั้น ความโลภก็ปรากฏในดวงตาของถูหมิง ใครเล่าจะมิปรารถนาสมบัติของเมืองแห่งภูตผี เขาตอบตกลงในทันที “ได้”ลั่วชิงยวนกล่าวต่อว่า “แต่การนำของสิ่งนี้มาจะต้องเผชิญกับอันตรายบ้าง ดังนั้นอาจจะต้องมีคนของเจ้าสละชีวิต”“แต่คนมากก็แบ่งกันได้น้อย คนตายไปบ้างก็มิจำเป็นต้องสนใจความเป็นความตายของพวกเขา”“ความลับนี้ข้าบอกเพียงเจ้าเท่านั้น เจ้าอย่าได้แพร่งพรายให้ผู้ใดรู้เชียว”“โดยเฉพาะฉีเสวี่ยเวย”เมื่อได้ยินดังนั้นถูหมิงก็หันกลับไปมอง แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็มิเคยสนใจความเป็นความตายของคนเหล่านั้นอยู่แล้ว“หาได้มีปัญหาไม่!”ถูหมิงรับปากอย่างง่ายดาย แต่ลั่วชิงยวนกลับยังคงระแวดระวัง “ยังมีเรื่องที่ต้องบอกเจ้าอีกอย่าง กองทัพของเมืองแห่งภูตผีถูกพวกข้าปลุกปั่นแล้ว คาดว่าอีกมินานคงไล่ตามมา”“ก่อนที่จะหาของทั้งหกชิ้นพบ อย่าได้คิดที่จะทำสิ่งใดนอกเหนือจากนี้ ท้ายที่สุดแล้ว พวกเราต้องร่วมมือกันต่อสู้กับศัตรู หากถูกพวกมันจับได้คงไม่มีใครมีจุดจบที่ดี”สีหน้าของถูหมิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย มิคาดคิดว่าสตรีผู้นี้จะเก่งกาจมากถึงเพียงนี้ กระทั่งปลุกกองทัพของเมืองแห่งภูตผีขึ้นมาได้ดูเหมือนว่าสิ่งที่นางต้