หลังจากควันจางลง ชายคนนั้นก็ตื่นขึ้นและมองสถานการณ์ตรงหน้าด้วยความฉงนสงสัย "นี่มันเกิดอะไรขึ้น?""กลับไปที่ห้องของเจ้าซะ จงอยู่แต่ในนั้น คืนนี้อย่าได้ออกมาข้างนอกอีก" หลังจากที่ลั่วชิงยวนพูดจบนางก็ลุกขึ้นแล้วจากมา วิญญาณร้ายที่ถูกปล่อยออกมาจากอาคมชุมนุมปีศาจนี้มีพลังมหาศาล จนทำให้จิตใจผู้คนสับสนและทำให้พวกเขาเสียสติคลุ้มคลั่งราวกับถูกผีสิงแต่เมื่อนางมองลงไปในบ่อน้ำ นางก็ไม่คิดว่า เรื่องราวจะวุ่นวายได้ถึงขนาดนี้แม้ว่าพลังงานอันชั่วร้ายนั้นจะแข็งแกร่งไม่น้อยก็ตาม เป็นไปได้ไหมว่า… สิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนี้มีสาเหตุมาจากสิ่งอื่น?ที่ลานกว้างเกิดเสียงดังอึกทึกขึ้นหลังจากที่ลั่วชิงยวนจากไป ทั่วทั้งลานเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย ไม่เพียงแต่คนรับใช้เท่านั้นที่เสียสติ แต่องครักษ์ที่เข้ามาจับกุมคนพวกนั้นก็คลุ้มคลั่งตามไปด้วย พ่อครัวคนหนึ่งใช้มีดทำครัวเป็นอาวุธทำร้ายคนไปทั่วจนทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายต่อหลายคน กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วบริเวณประตูทางเข้าตำหนักถูกคนกลุ่มหนึ่งปิดตายเอาไว้ พวกเขาไม่กล้าเปิดมันออกไป และเซียวชูก็ง่วนอยู่กับการควบคุมผู้คนที่คุลุ้มคลั่งอยู่ที่เรือนชั้นในของ
สาวใช้กระซิบกระซาบกันแล้วกลับห้องของตนไปเมื่อแม่บ้านเติ้งได้ยินคำพูดเหล่านี้ นางก็อดมิได้ที่จะรู้สึกปลื้มปีติ ในที่สุดคนเหล่านี้ก็มีมุมมองที่ต่างออกไปต่อพระชายาเสียที แม่บ้านเติ้งและจือเฉาต่างกลับไปยังห้องพักของตัวเองด้วยเช่นกัน เซียวชูรีบวิ่งออกมาหลังจากรู้ว่า ลั่วชิงยวนปราบพวกที่คลุ้มคลั่งเหล่านั้นได้แล้ว เขาได้แต่ตกใจจนพูดไม่ออกลั่วชิงยวนเป็นฝ่ายที่ทำลายความเงียบขึ้นก่อน "เจ้าจับคนพวกนั้นได้กี่คน?"“นี่พ่ะย่ะค่ะ” เซียวชูให้คนพาคนที่กำลังคลุ้มคลั่งสองสามคนเข้ามาทันทีลั่วชิงยวนอดทนต่อความเจ็บปวดและวาดอักขระเวทย์ด้วยเลือดของตน ก่อนขับไล่วิญญาณชั่วร้ายออกไปอย่างสมบูรณ์ เซียวชูตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง สิ่งที่ทำให้เขาตกใจยิ่งกว่านั้นคือ คนที่ไม่ได้สติพวกนั้นตื่นขึ้นมาเป็นปกติได้ในทันทีตอนที่พวกเขาฟื้นคืนสติกลับมาได้ ลั่วชิงยวนก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง "ข้าเกรงว่า ยังมีคนที่คลุ้มคลั่งอยู่อีกมากในตำหนักอีก เราจำเป็นต้องหาพวกเขาให้พบ แล้วยิ่งปล่อยให้พวกเขาออกไปจากตำหนักนี้ไม่ได้อย่างเด็ดขาด ไม่อย่างนั้น หากเรื่องวุ่นวายนี้บานปลายออกไปนอกตำหนักแล้วล่ะก็ มันจะสร้างปัญหาใหญ่หลวงให้เรา!"“ให้
“องค์ชายห้า ท่านรู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่เพคะ?” ลั่วชิงยวนคิดว่า เขาคงได้รับผลกระทบจากวิญญาณร้ายเช่นกัน แต่เมื่อนางเข้าใกล้เขามากขึ้น นางก็ยังไม่เห็นวิญญาณชั่วร้ายอยู่รอบตัวเขาเลยแม้แต่น้อย“แค่ก แค่ก…” ฟู่อวิ๋นโจวไอเสียงแหบแห้งแล้วพูดว่า “มิใช่ข้าหรอก แต่เป็นหมอกู้ต่างหาก”“หมอกู้อย่างนั้นหรือ?” ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วฟู่อวิ๋นโจวยืนขึ้นและพานางไปอีกห้องหนึ่งในเรือนทิศใต้ เมื่ออีกฝ่ายเปิดประตูเข้าไปกลิ่นสมุนไพรเข้มข้นก็ตีกระทบจมูกของนางอย่างหนักหน่วง จนทำให้นางอึดอัดและรู้สึกไม่ดีนัก ประตูและหน้าต่างภายในห้องนั้นถูกปิดเอาไว้ อากาศภายในไม่ถ่ายเทเลยแม้แต่น้อยหมอกู้นอนอยู่บนเตียงอย่างโรยแรง เมื่อเห็นคนเดินเข้ามา เขาก็หยัดกายขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนเอ่ยปาก "องค์ชายห้า… พระชายา..."ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นยืนได้เต็มเท้า ร่างกายของเขาก็สั่นไหวและทำท่าจะล้มลงเด็กรับใช้รีบเข้าไปพยุงเขาอย่างรวดเร็ว“ท่านหมอกู้ เชิญนั่งลงก่อน ไม่ต้องมากพิธี ข้าเป็นคนขอให้พระชายามาดูอาการท่านเอง ดูเหมือนท่านจะถูกวิญญาณร้ายครอบงำอย่างไรอย่างนั้น” ฟู่อวิ๋นโจวกล่าวอย่างเคร่งขรึมถูกวิญญาณร้ายครอบงำอย่างนั้นหรือ?ลั
หลังออกจากเรือนทิศใต้มาแล้วลั่วชิงยวนก็ออกปากให้ฟู่อวิ๋นโจวส่งนางเท่านี้ ไม่ต้องถึงขั้นว่าอยู่ในห้องหับด้วยกันตามลำพังหรอก เพียงแค่เดินด้วยกันสองต่อสองยามค่ำคืนเช่นนี้หากว่ามีคนมาเห็นเข้าไม่แคล้วต้องโดนนำไปติฉินนินทาแน่ขณะที่เดินกลับเรือนตามลำพัง นางก็ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ ยิ่งคิดนางก็ยิ่งรู้สึกว่ามีบางอย่างเกี่ยวกับท่านหมอที่ผิดปกติไป ท่านหมอกู้นั้นมีสถานะสูงส่งในตำหนักนี้ นอกจากห้องตำราของฟู่เฉินหวนแล้ว เขาสามารถไปไหนมาไหนได้ทุกที่ การไปที่เรือนของนางก็ไม่มีใครสนใจเช่นกันยิ่งไปกว่านั้นเขานั้นมีทักษะทางการแพทย์สูงส่งซึ่งสามารถปรุงยาที่ทำให้คนคลุ้มคลั่งได้อย่างง่ายดายน่าสงสัยยิ่งนัก!นางไม่รู้ว่าเขามีเจตนาที่จะทดสอบนาง หรือเขาขอให้นางช่วยกำจัดวิญญาณร้ายในร่างเพื่อบรรเทาอาการจริง ๆนางใช้วิธีการวาดอักขระเวทย์ให้เขา ไม่ว่าจุดประสงค์ของท่านหมอคืออะไร ก็ไม่ควรเป็นปัญหาดูเหมือนว่าจากนี้ไปนางจะต้องคอยจับสังเกตท่านหมอกู้ให้มากขึ้นบางทีเขาอาจจะเป็นปราชญ์ฮวงจุ้ยที่เร้นกายอยู่ในตำหนักก็เป็นได้ขณะที่นางกำลังเดินไปตามทางเดิน จู่ ๆ ก็มีเงาร่างสีดำโผล่มาตรงหน้า ใจนางเต้นระรัวและกำหมัด
นางพยายามกลั้นสะอื้นและกล่าวว่า “แล้วอย่างไร? ท่านอ๋องวางแผนจะจัดการกับหม่อมฉันเช่นไร?”ฟู่เฉินหวนสีหน้ามืดครึ้ม “ลั่วชิงยวน อย่ารนหาเรื่อง”“ข้าบอกตอนไหนว่าจะทำข้อตกลงกับเจ้า?”ลั่วชิงยวนสงบจิตใจลง แววตานางกลับเป็นเย็นชา นางมองเขาและถามเรียบ ๆ “ทำไมท่านอ๋องต้องแสร้งทำเป็นโง่ด้วย? ท่านรู้ดีอยู่แล้วมิใช่หรือว่าหม่อมฉันต้องการอะไร?”“นอกจากของของท่านแม่ หม่อมฉันก็ไม่ต้องการอย่างอื่น”ฟู่เฉินหวนนิ่วหน้า เขาเงียบไปชั่วครู่ก่อนที่จะเห็นด้วย “ตกลง”“แต่ข้าเองก็มีเงื่อนไข”ลั่วชิงยวนเลิกคิ้วอย่างเฉยชา ฟู่เฉินหวนพูดเสียงต่ำ ๆ ว่า “ประการแรก กำจัดค่ายกลชุมนุมปีศาจซะ”“สอง ห้ามจ้องเล่นงานเยวี่ยอิงอีก”“ตราบใดที่เจ้าทำตัวดี ข้าก็จะให้ถุงหอมเจ้า”เมื่อได้ยินเช่นนี้ลั่วชิงยวนก็กำมือแน่น นี่มันไม่ต่างกับมาทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจกันโดยที่นางไม่มีโอกาสได้ตอบโต้เลยใช่หรือไม่?“เงื่อนไขนี้ต้องดำเนินไปนานแค่ไหน?” นางถามพร้อมกัดฟันแน่น“ไม่มีเวลาแน่ชัด และข้าก็ไม่แน่ใจว่าจะให้ถุงหอมเจ้าตอนไหน” ขณะที่ฟู่เฉินหวนพูดเช่นนี้ สีหน้าเขาก็จริงจัง“ท่าน!” ลั่วชิงยวนผุดลุกขึ้นทันทีนี่มันจะมากเกิน
ลั่วชิงยวนกำมือแน่นจนเล็บแทบจิกเข้าไปในเนื้อเพราะความขุ่นเคือง“องค์ชายห้ากับหม่อมฉันบริสุทธิ์ใจ! ระหว่างเราไม่เคยทำอะไรเกินเลยที่ไม่เหมาะสม”นางถามเสียงเย็น “ท่านอ๋องสิ พลอดรักกับลั่วเยวี่ยอิงทั้งต่อหน้าและลับหลังผู้คน เหตุใดท่านถึงไม่กลัวว่าจะโดนติฉินนินทาเรื่องนั้นบ้าง?”เส้นเลือดบนหน้าผากของฟู่เฉินหวนยิ่งเต้นกระตุกแรงขึ้น ดวงตาเขาเต็มไปด้วยโทสะและมือที่วางบนโต๊ะก็กำเป็นหมัดแน่น เขาเงยหน้าขึ้นมองด้วยแววตาเปี่ยมโทสะ “ตอนนี้เจ้ากล้ามาวิจารณ์ความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับเยวี่ยอิงเช่นนั้นรึ? หากว่าไม่มีเจ้าตอนนี้เราก็ต้องได้ครองคู่กันแล้ว”“ลั่วชิงยวน ข้าหวังว่าเจ้าจะเจียมตัวกว่านี้นะ”ทันใดนั้นใจของนางก็บีบรัดจนแทบหายใจไม่ออก นางกำมือแน่นพยายามเก็บกลั้นความรู้สึกในใจใช่แล้ว การสวมรอยแต่งงานของนางนี้ทำลายการแต่งงานดี ๆ ของพวกเขาไปแต่นางไม่ควรต้องโดนกล่าวหาเช่นนี้หลังจากที่กล้ำกลืนความขมฝาดในใจลงไป นางก็มองเขานิ่ง ๆ ด้วยสายตาเย็นชาและเอ่ยว่า “หากเช่นนั้นได้โปรดคืนถุงหอมหม่อมฉันมาโดยเร็ว เพื่อที่หม่อมฉันจะได้มอบการแต่งงานที่ดีนี้คืนให้แก่พวกท่าน”หลังจากพูดจบนางก็หันหลังเดินออกไ
ลั่วเยวี่ยอิงยกมือขึ้นแตะปากที่ยังคงบวมอยู่แม้ว่าจะทายาไปแล้ว นางเจ็บแค้นจนดวงตาวาวโรจน์ไปด้วยโทสะ ลั่วเยวี่ยอิงกัดฟันกรอดด้วยความเดียดฉันท์ “แล้วท่านอ๋องมิได้ลงโทษนางรึ?”เฉียงเวยพยักหน้า “นางได้ขับไล่ปีศาจ ดังนั้นแทนที่จะลงโทษนาง ดูเหมือนท่านอ๋องจะให้รางวัลนาง ทรงเรียกให้นางเข้าไปพบที่ห้องตำราแล้วอยู่ในนั้นกันนานเลยเจ้าค่ะ”ดวงตาของลั่วเยวี่ยอิงแดงฉาน เล็บมือจิกแน่นเข้าไปในเนื้อจนเลือดออกเพราะทั้งโทสะและความเกลียดชังเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไรกันท่านอ๋องปล่อยนางสารเลวลั่วชิงยวนไป ทั้ง ๆ ที่นางต้องเจ็บตัวขนาดนี้! ท่านอ๋องไม่เจ็บแค้นเอาคืนแทนนางเลยเหรอ?เฉียงเวยเห็นว่าสีหน้าของลั่วเยวี่ยอิงไม่ดี จึงรีบเอ่ยปลอบ “คุณหนูรองไม่ต้องเป็นกังวลหรอกเจ้าค่ะ ในใจท่านอ๋องมีแค่คุณหนูเท่านั้น แต่ตอนนี้นางฉกฉวยโอกาสสร้างความดีความชอบท่านอ๋องก็เลยลงโทษนางมิได้ ตอนนี้เราเองก็คงทำอะไรมิได้เจ้าค่ะ”“แต่ถึงอย่างไรท่านอ๋องก็ต้องยังคงจดจำถึงความลำบากที่คุณหนูรองต้องเผชิญได้ เรามาหาทางทำให้ท่านอ๋องรับรู้ดีกว่า บ่าวว่าท่านอ๋องต้องทำโทษนางแน่เจ้าค่ะ” ดวงตาเฉียงเวยฉายแววชั่วร้ายเมื่อได้ยินเช่นนี้ ลั่วเยวี่
ลั่วชิงยวนนอนหลับไปจนถึงบ่าย ตะวันโด่งฟ้าส่องแสงเจิดจ้า นางฝืนร่างกายที่เหนื่อยล้าให้ลุกขึ้นและตั้งใจจะออกไปนั่งอาบแดดแม่นมเติ้งนำอาหารและยาเข้ามาให้ “พระชายาเจ้าคะ ตื่นได้แล้ว กินอะไรสักหน่อยแล้วกินยา ยานี้เป็นโอสถบำรุงโลหิตที่ทางเรือนโอสถจ่ายมาให้เจ้าค่ะ”“โอสถบำรุงโลหิตงั้นรึ?” คนอย่างเขาก็มีจิตสำนึกเหมือนกันนะลั่วชิงยวนลุกนั่งและหยิบชามยาขึ้นมาดื่ม แต่หลังจากจิบไปอึกใหญ่ก็รู้สึกได้ว่า ยานั้นมีบางอย่างผิดปกติและรีบพ่นออกมานางนิ่วหน้าและวางชามยาลง อาการบวมและความเจ็บปวดของแผลบนแขนนางเกิดขึ้นมาทันที และเลือดก็ดูเหมือนจะเดือดพล่านซึมออกมาจากแผล“พระชายา เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ?” แม่นมเติ้งตกใจดวงตาลั่วชิงยวนเย็นเยียบ นางปรายตามองไปที่ยาในชาม นี่ไม่ใช่ยาบำรุงเลยแม้แต่น้อย ตัวยาที่อยู่ในนี้มีแต่จะทำให้บาดแผลอาการเลวร้ายลงและเลือดไหลออกมาได้อีกโดยเฉพาะเมื่อมีการเพิ่มแมลงเก้ากลิ่นซึ่งถือว่ารุนแรงมากเข้าไปด้วยหากว่านางกินน้ำแกงยาชามนี้เข้าไป ไม่เพียงแต่พลังชี่และเลือดของนางจะปั่นป่วน แต่บาดแผลของนางก็จะเปิดออกและเลือดจะไหลทะลักไม่หยุด ด้วยสภาพของร่างกายนางในตอนนี้หากไม่ตายก็คงจวนเจ
หล่างมู่ชกเข้าที่ใบหน้าของฟู่เฉินหวนจนฟู่เฉินหวนถอยหลังไปหลายก้าวหล่างมู่แสดงสีหน้าโกรธแค้น “ข้าขอเตือนท่านเลยว่าถ้าท่านทำเช่นนี้กับพี่หญิงของข้าอีก ข้าจะฆ่าท่านเสีย!”ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้วพลางเช็ดเลือดที่มุมปาก “ลั่วชิงยวนอยู่ที่ใด ข้าจะพบกับนาง”“นางอยู่ที่ใด แล้วท่านเกี่ยวอะไรด้วย!” หล่างมู่แสดงสีหน้ามิพอใจ เขายังคงจำได้ว่าในวันคล้ายวันพระราชสมภพของจักรพรรดิ อ๋องผู้สำเร็จราชการยินดีที่จะมอบลั่วชิงยวนให้เขาชายคนนี้ช่างน่ารังเกียจ!เขามิเข้าใจว่าเหตุใดพี่หญิงจึงยังคงอยู่กับชายผู้นี้วันนี้กลับนิ่งเฉยมองดูคนอื่นทำร้ายพี่หญิงอย่างมิแยแสอีก!หล่างมู่มิพอใจอย่างยิ่งเมื่อทั้งสองสบตากัน ความเป็นปรปักษ์ก็ปะทุขึ้นบรรยากาศตึงเครียด ในวินาทีต่อมาดูเหมือนว่าจะต้องต่อสู้กันแน่แล้วลั่วชิงยวนเพิ่งเข้ามาในลานก็เห็นเหตุการณ์นี้ จึงรีบเข้าไปขวางไว้“พวกท่านกำลังทำอะไรกัน!”“แค่ก แค่ก แค่ก...” เมื่อนางร้อนใจก็กุมอกด้วยความเจ็บปวดสีหน้าของทั้งสองเปลี่ยนไปอย่างมากแล้วเข้าไปพยุงนางพร้อมกัน ลั่วชิงยวนปัดมือของทั้งสองออก แล้วหันไปมองหล่างมู่ “พี่บอกเจ้าว่าอย่างไร!”ความโกรธของหล่างมู่หา
ฟู่จิ่งหานมิได้ใส่ใจเรื่องนี้ แต่กลับรู้สึกผิดเล็กน้อยที่พระราชโองการนั้นทำให้ลั่วชิงยวนได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ จึงพูดว่า “มิเป็นอะไร การประลองครั้งนี้ก็มิได้ห้ามมิให้แคว้นเพื่อนเรือนเคียงเข้าร่วม”“พระชายาอ๋องผู้สำเร็จราชการสามารถเอาชนะองค์ชายเผ่านอกด่าน แล้วยกให้เป็นน้องชายได้ นับว่าความสามารถเป็นที่ประจักษ์แก่ข้าแล้ว!”“พระชายามีบาดแผล อนุญาตให้พระชายาและองค์ชายหล่างมู่ออกไปก่อนได้”ลั่วชิงยวนก้มหน้าลงเล็กน้อย “ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ”แล้วหล่างมู่ก็พยุงลั่วชิงยวนออกไปเนื่องจากหอฝูเสวี่ยอยู่มิไกลและสามารถมองเห็นการประลองจากชั้นสามได้ ลั่วชิงยวนจึงพาหล่างมู่ไปพักผ่อนที่หอฝูเสวี่ยก่อนซิ่งอวี่ต้มยามาให้นางกินลั่วชิงยวนนั่งข้างหน้าต่าง มองดูการประลองที่ยังคงดำเนินต่อไป เมื่อเห็นฟู่อวิ๋นโจวเอาชนะทุกคนได้ นางก็รู้ว่าเขากำลังจะเข้าสู่ราชสำนักแล้ว“พี่หญิง ยังเจ็บบาดแผลอยู่หรือไม่ขอรับ?” หล่างมู่ยกชามาให้หนึ่งถ้วยลั่วชิงยวนส่ายหน้า “มิเป็นอะไรแล้ว บาดแผลมิสาหัส พักสักสองสามวันก็หาย”“หล่างมู่ เจ้ามาเมืองหลวงได้อย่างไร? ในเผ่านอกด่านเกิดเรื่องใหญ่อันใดหรือไม่? รีบร้อนมาเช่นนี้เลยหรือ?
ฟู่อวิ๋นโจว!หล่างมู่กำหมัดแน่น แล้วกระโจนเข้าไปอีกครั้งผู้คนมากมายต่างเป็นห่วงฟู่อวิ๋นโจว หล่างมู่เป็นคนเผ่านอกด่าน ฝีมือของเขาเป็นที่ประจักษ์ของทุกคนแล้วร่างกายที่อ่อนแอของฟู่อวิ๋นโจวจะรับมือได้อย่างไรแต่ลั่วชิงยวนรู้ดีว่าเวลาที่ฟู่อวิ๋นโจวปรากฏตัวนั้นเหมาะสม นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดสำหรับเขาที่จะแสดงความสามารถฟู่อวิ๋นโจวรับหมัดของหล่างมู่ได้อย่างแน่นอนจากนั้นทั้งสองก็ต่อสู้กันอย่างดุเดือดหลายสิบกระบวนท่าทำให้ผู้คนในที่นั้นต่างตกตะลึง“นี่คือองค์ชายห้าหรือ?”“ฝีมือของเขาแข็งแกร่งเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด?”“ใช่แล้ว มิใช่ว่าเขาป่วยอยู่หรอกหรือ?”ขณะที่ผู้คนต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ ฟู่อวิ๋นโจวก็พบจุดอ่อนของหล่างมู่แล้ว จึงเหวี่ยงหล่างมู่ลงไปกับพื้น แล้วชกเข้าที่ใบหน้าของหล่างมู่ลั่วชิงยวนรีบวิ่งเข้าไปห้าม “หยุดนะ!”ฟู่อวิ๋นโจวสะดุ้งแล้วลดมือลงหล่างมู่ลุกขึ้นยืนและกำลังจะตอบโต้ แต่ถูกลั่วชิงยวนดึงไว้“หล่างมู่แพ้แล้ว” ลั่วชิงยวนประกาศผลทันทีสายตาของนางมองฟู่อวิ๋นโจวด้วยอารมณ์ซับซ้อน “ขอแสดงความยินดีกับองค์ชายห้าเพคะ”เขายังคงมิได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระและเรียบง่าย แต่กลั
ฟู่เฉินหวนใจตึงเครียดจนฝ่ามือชุ่มไปด้วยเหงื่อลั่วชิงยวนพยายามยันตัวลุกขึ้น แต่กลับไร้เรี่ยวแรงที่จะตอบโต้เหยียนผิงเซียวชกเข้าที่ท้องของลั่วชิงยวนอีกครั้ง เลือดสีแดงฉานพุ่งออกมาจากปากนางเหยียนผิงเซียวจิกผมของนางแล้วกระซิบข้างหูอย่างร้ายกาจว่า “เจ้าเก่งนักมิใช่หรือ! ทำให้ท่านพ่อของข้าต้องลาออกจากตำแหน่งกลับไปยังเมืองฉิน เจ้าเป็นผู้มีพระคุณใหญ่หลวงของตำหนักอ๋องนี่!”“เจ้าลองเดาดูสิว่าฟู่เฉินหวนจะช่วยเจ้าหรือไม่?”“แต่มิสำคัญแล้ว เพราะข้าต้องการเพียงให้เจ้าตายเท่านั้น!”เหยียนผิงเซียวใช้ร่างของลั่วชิงยวนบังสายตาของผู้คนส่วนมืออีกข้างที่กำหมัดแน่นมีแผ่นเหล็กแหลมคมติดอยู่ แล้วกระแทกลงไปที่ท้องของลั่วชิงยวนอย่างแรงลั่วชิงยวนเห็นอาวุธลับนั้นแล้วก็ตึงเครียดมากฟู่เฉินหวนแทบขาดใจ ความรู้สึกมิสบายใจอย่างรุนแรงถาโถมเข้ามาฟู่อวิ๋นโจวผู้นั่งอยู่มุมห้องใต้หลังคาก็กำมือแน่นด้วยความตึงเครียดเช่นกันแม้ว่าฝีมือของลั่วชิงยวนจะสู้เหยียนผิงเซียวมิได้ แต่ก็มิควรจะไร้เรี่ยวแรงที่จะตอบโต้เช่นนี้จะลงมือช่วยนางตอนนี้เลยดีหรือไม่!ฟู่อวิ๋นโจวลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่แล้วในวินาทีนั้นเองเงาร่
ในมิช้าการประลองก็เริ่มขึ้นโชคดีที่ลั่วเยวี่ยอิงมิได้ก่อเรื่องวุ่นวายอีก นางเฝ้าดูการประลองอย่างสงบลั่วชิงยวนใช้โอกาสนี้ทำความเข้าใจกฎเกณฑ์ ดาบและกระบี่นั้นไร้ตา ดังนั้นการประลองครั้งนี้จึงห้ามใช้ดาบและอาวุธลับแต่เมื่อปรมาจารย์ต่อสู้กันก็อาจจะควบคุมมือมิทัน เพื่อให้ทุกคนได้ทุ่มเทอย่างเต็มที่ การประลองครั้งนี้ ความเป็นความตายจึงเป็นเรื่องของชะตาฟ้าลิขิตชัยชนะครั้งสุดท้ายมิใช่ผลลัพธ์ที่สำคัญที่สุดสิ่งสำคัญคือการแสดงผลงานในระหว่างการประลอง ฟู่เฉินหวนจะคัดเลือกผู้ที่มีความสามารถโดดเด่นบางคนสำหรับฟู่จิ่งหาน การประลองครั้งนี้มิใช่เพียงการคัดเลือกผู้ที่มีความสามารถโดดเด่นเท่านั้น แต่ยังเป็นการชมการประลองที่น่าตื่นเต้นด้วย ดังนั้นจึงมีความอิสระสูงทุกคนสามารถขึ้นไปท้าทายได้ หนึ่งรอบมีผู้แข่งขันสิบคน ผู้ชนะจะได้พักแล้วเข้าสู่รอบที่สองดังนั้นผู้ชนะในแต่ละรอบจะสามารถท้าทายคู่ต่อสู้ที่ตนคิดว่าแข็งแกร่งกว่าได้อย่างอิสระการประลองรอบแรกจบลงอย่างรวดเร็ว ฟู่เฉินหวนกับฟู่จิ่งหานวิเคราะห์ผู้ที่เหมาะสมในรอบนี้อย่างจริงจังฟู่จิ่งหานพยักหน้าให้ขันทีที่ยืนอยู่ด้านข้างจดบันทึกชื่อทุกอย่าง
“พระชายา เหตุใดมิลงไปหามาให้ข้าเล่า? หากขุดพบรากบัวได้สองหัว ข้าจะเมตตาตกรางวัลให้อย่างงาม!”น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเยาะเย้ยและหยิ่งผยองนั้น มิใช่ปฏิบัติต่อลั่วชิงยวนดุจพระชายา หากแต่ปฏิบัติเสมือนทาสบริวารเหล่าผู้คนโดยรอบต่างตกตะลึงพรึงเพริดตำแหน่งของลั่วชิงยวนในตำหนักอ๋องนั้นต่ำต้อยถึงเพียงนี้เชียวหรือ?ฟู่เฉินหวนอดรนทนมิไหวอีกต่อไป จึงพูดเสียงเย็นเยียบว่า “ฤดูกาลนี้จะมีรากบัวอยู่ได้อย่างไร มิต้องลำบากเช่นนั้นเลย”ลั่วเยวี่ยอิงกลับคว้าแขนฟู่เฉินหวนพลางทำท่าทางออดอ้อน“ไม่เพคะ ท่านอ๋อง เผื่อว่าจะมีก็ได้! โปรดให้พระชายาลงไปค้นหาดูเถิดเพคะ!”นางกล่าวจบก็ถอดกำไลหยกที่ข้อมือ แล้วขว้างลงไปในบึงจากนั้นเชิดหน้าพูดกับลั่วชิงยวนว่า “ไปสิ กำไลหยกวงนี้เป็นรางวัลของเจ้า!”ท่าทางเช่นนี้ประหนึ่งว่ากำลังสั่งการสุนัขตัวหนึ่งฟู่เฉินหวนกำมือแน่น รู้สึกปวดร้าวที่ศีรษะอย่างยิ่งลั่วชิงยวนเห็นดังนั้นก็กังวลเพราะอาการของฟู่เฉินหวน นัยน์ตานางฉายแววเย็นชาขณะมองหน้าลั่วเยวี่ยอิง แล้วหันหลังกระโดดลงไปในสระน้ำเมื่อเสียงน้ำกระเพื่อมดังขึ้น เสียงฮือฮาต่างก็ดังมาจากทั่วบริเวณ“นางกระโดดลงไปจริง ๆ
“องค์จักรพรรดิทรงมีรับสั่งว่าการประลองยุทธ์ครั้งนี้ ต้องการให้ท่านอ๋องคัดเลือกผู้มีความสามารถ จึงอนุญาตให้ท่านอ๋องพาพระชายาทั้งสองไปชมการประลองได้พ่ะย่ะค่ะ!”ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วฟู่เฉินหวนรับพระราชโองการมาดู แล้วพบว่าเป็นพระราชโองการจริงจิ่นชูมองแล้วถามด้วยรอยยิ้ม “ครั้งนี้องค์จักรพรรดิทรงรับสั่งให้ท่านอ๋องพาพระชายาทั้งสองไปด้วย เหตุใดจึงมิเห็นพระชายารองหรือเพคะ?”ยามนี้ลั่วเยวี่ยอิงรู้ข่าวการประลองยุทธ์แล้ว นางส่งเสียงโวยวายอยากไปด้วยอยู่หน้าประตู “ท่านอ๋อง! ท่านอ๋องเพคะ! พาหม่อมฉันไปด้วยเถิดเพคะ!”จิ่นชูได้ยินเสียงนี้แล้วก็ยิ้มอย่างมีเลศนัย “ท่านอ๋องอย่าลืมพระชายารองนะเพคะ”ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้ว “การประลองยุทธ์มิเกี่ยวกับนาง นางมิจำเป็นต้องไปก็ได้”จิ่นชูถามด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นท่านอ๋องจะขัดต่อพระราชโองการหรือเพคะ?”คำพูดนี้ทำให้ฟู่เฉินหวนจำต้องพาลั่วเยวี่ยอิงไปด้วยเพราะสุดท้ายแล้วนั่นก็คือพระราชโองการมหาราชาจารย์เหยียนเพิ่งลาออก ตระกูลเหยียนกำลังตกต่ำ หากเขาขัดพระราชโองการในเวลานี้ก็จะดูเหมือนอวดดี มิเคารพองค์จักรพรรดิฟู่เฉินหวนสบตากับลั่วชิงยวน ทั้งสองต่างก็รู้สึกว่าครั้
ฟู่เฉินหวนตกใจเมื่อได้ฟังถ้อยคำของลั่วชิงยวนลั่วชิงยวนอธิบาย “หม่อมฉันได้คำนวณดูแล้ว เหตุการณ์วุ่นวายในแคว้นเทียนเชวียกำลังจะอุบัติขึ้น เริ่มต้นจากทางทิศใต้เพคะ”“และเมืองฉินก็ตั้งอยู่ทางทิศใต้พอดี!”“ตระกูลเหยียนรุ่งเรืองมาจากเมืองฉิน มีอิทธิพลสูงส่งยิ่งนัก การที่มหาราชาจารย์เหยียนลาออกจากตำแหน่งแล้วกลับไปยังเมืองฉินอย่างเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ เกรงว่าจะมีอำนาจมืดใหญ่หลวงซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังเพคะ”เมื่อฟู่เฉินหวนก็ได้ฟังดังนั้นก็ขมวดคิ้วแน่น สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นกว่าเดิม“เช่นนั้นก็แสดงว่าตาแก่ผู้นี้จะเริ่มแผนการแล้วสินะ”กล่าวจบ ฟู่เฉินหวนก็คว้ามือของลั่วชิงยวนไว้ “ชิงยวน ขอบใจเจ้ามาก”ลั่วชิงยวนถึงกับตะลึงงันไป “ขอบใจหม่อมฉันเรื่องอะไรเพคะ?”“ขอบใจเจ้าที่บอกเรื่องสำคัญเช่นนี้แก่ข้า”ลั่วชิงยวนถามด้วยความสงสัย “แล้วท่านจะทำอย่างไรเพคะ?”ฟู่เฉินหวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาฉายแววเย็นชา “เมื่อเขาลาออกจากตำแหน่งแล้วออกจากเมืองหลวง เช่นนั้นก็อย่าให้เขากลับมาได้อีกเลย!”ลั่วชิงยวนก็เห็นด้วยกับวิธีการนี้มีเพียงมหาราชาจารย์เหยียนสิ้นชีพลงเท่านั้น ทุกอย่างจึงจะสงบลงได้“หม่อมฉันจะ
ฟู่เฉินหวนเก็บขนมกุ้ยฮวาไปด้วยความผิดหวัง แล้วพูดปลอบโยน “มิเป็นอะไร รอชิมฝีมือหัวหน้าพ่อครัวเถิด”ดูเหมือนจะมิถูกใจ ถึงแม้เขาจะเรียนรู้จากหัวหน้าพ่อครัว แต่รสชาติก็ยังแตกต่างออกไป ดูเหมือนต้องฝึกฝนให้มากขึ้นลั่วชิงยวนเห็นความผิดหวังในสายตาของเขา จึงยกยิ้มหวานแล้วพูดว่า “หวานมาก! อร่อยมากเพคะ!”ฟู่เฉินหวนตกตะลึงเมื่อเห็นรอยยิ้มที่เย้ายวนใจ ใจชายหนุ่มก็รู้สึกหวั่นไหว จึงอดมิได้ที่จะประคองหน้าลั่วชิงยวนแล้วจุมพิตถึงแม้จะรู้ว่านางอาจจะปลอบใจเขา แต่เพียงเห็นรอยยิ้มของนางเขาก็สุขใจมากแล้วหัวหน้าพ่อครัวมองไปทางอื่น ทำเป็นมิเห็นในมิช้า อาหารและขนมก็ถูกยกมาอย่างต่อเนื่องทั้งสองกินข้าวด้วยกันอย่างมีความสุขจนดึกดื่นเมื่อออกจากหอหมื่นสุข ลั่วชิงยวนอิ่มจนแทบจะเดินมิไหวฟู่เฉินหวนจับมือลั่วชิงยวนเดินไปข้างหน้า “เดินเล่นสักหน่อย แล้วเดี๋ยวข้าค่อยส่งเจ้ากลับ”ลั่วชิงยวนเรอเบา ๆ “ท่านตั้งใจจะทำให้หม่อมฉันอ้วนขึ้นหรือเไร หากหม่อมฉันอ้วนเหมือนเดิม ท่านก็จะดีใจใช่หรือไม่เพคะ?”ฟู่เฉินหวนอุ้มนางขึ้น แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าฉลาดมาก”“ท่าน!” ลั่วชิงยวนยกมือขึ้นฟู่เฉินหวนจับมือน