หลังจากควันจางลง ชายคนนั้นก็ตื่นขึ้นและมองสถานการณ์ตรงหน้าด้วยความฉงนสงสัย "นี่มันเกิดอะไรขึ้น?""กลับไปที่ห้องของเจ้าซะ จงอยู่แต่ในนั้น คืนนี้อย่าได้ออกมาข้างนอกอีก" หลังจากที่ลั่วชิงยวนพูดจบนางก็ลุกขึ้นแล้วจากมา วิญญาณร้ายที่ถูกปล่อยออกมาจากอาคมชุมนุมปีศาจนี้มีพลังมหาศาล จนทำให้จิตใจผู้คนสับสนและทำให้พวกเขาเสียสติคลุ้มคลั่งราวกับถูกผีสิงแต่เมื่อนางมองลงไปในบ่อน้ำ นางก็ไม่คิดว่า เรื่องราวจะวุ่นวายได้ถึงขนาดนี้แม้ว่าพลังงานอันชั่วร้ายนั้นจะแข็งแกร่งไม่น้อยก็ตาม เป็นไปได้ไหมว่า… สิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนี้มีสาเหตุมาจากสิ่งอื่น?ที่ลานกว้างเกิดเสียงดังอึกทึกขึ้นหลังจากที่ลั่วชิงยวนจากไป ทั่วทั้งลานเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย ไม่เพียงแต่คนรับใช้เท่านั้นที่เสียสติ แต่องครักษ์ที่เข้ามาจับกุมคนพวกนั้นก็คลุ้มคลั่งตามไปด้วย พ่อครัวคนหนึ่งใช้มีดทำครัวเป็นอาวุธทำร้ายคนไปทั่วจนทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายต่อหลายคน กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วบริเวณประตูทางเข้าตำหนักถูกคนกลุ่มหนึ่งปิดตายเอาไว้ พวกเขาไม่กล้าเปิดมันออกไป และเซียวชูก็ง่วนอยู่กับการควบคุมผู้คนที่คุลุ้มคลั่งอยู่ที่เรือนชั้นในของ
สาวใช้กระซิบกระซาบกันแล้วกลับห้องของตนไปเมื่อแม่บ้านเติ้งได้ยินคำพูดเหล่านี้ นางก็อดมิได้ที่จะรู้สึกปลื้มปีติ ในที่สุดคนเหล่านี้ก็มีมุมมองที่ต่างออกไปต่อพระชายาเสียที แม่บ้านเติ้งและจือเฉาต่างกลับไปยังห้องพักของตัวเองด้วยเช่นกัน เซียวชูรีบวิ่งออกมาหลังจากรู้ว่า ลั่วชิงยวนปราบพวกที่คลุ้มคลั่งเหล่านั้นได้แล้ว เขาได้แต่ตกใจจนพูดไม่ออกลั่วชิงยวนเป็นฝ่ายที่ทำลายความเงียบขึ้นก่อน "เจ้าจับคนพวกนั้นได้กี่คน?"“นี่พ่ะย่ะค่ะ” เซียวชูให้คนพาคนที่กำลังคลุ้มคลั่งสองสามคนเข้ามาทันทีลั่วชิงยวนอดทนต่อความเจ็บปวดและวาดอักขระเวทย์ด้วยเลือดของตน ก่อนขับไล่วิญญาณชั่วร้ายออกไปอย่างสมบูรณ์ เซียวชูตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง สิ่งที่ทำให้เขาตกใจยิ่งกว่านั้นคือ คนที่ไม่ได้สติพวกนั้นตื่นขึ้นมาเป็นปกติได้ในทันทีตอนที่พวกเขาฟื้นคืนสติกลับมาได้ ลั่วชิงยวนก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง "ข้าเกรงว่า ยังมีคนที่คลุ้มคลั่งอยู่อีกมากในตำหนักอีก เราจำเป็นต้องหาพวกเขาให้พบ แล้วยิ่งปล่อยให้พวกเขาออกไปจากตำหนักนี้ไม่ได้อย่างเด็ดขาด ไม่อย่างนั้น หากเรื่องวุ่นวายนี้บานปลายออกไปนอกตำหนักแล้วล่ะก็ มันจะสร้างปัญหาใหญ่หลวงให้เรา!"“ให้
“องค์ชายห้า ท่านรู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่เพคะ?” ลั่วชิงยวนคิดว่า เขาคงได้รับผลกระทบจากวิญญาณร้ายเช่นกัน แต่เมื่อนางเข้าใกล้เขามากขึ้น นางก็ยังไม่เห็นวิญญาณชั่วร้ายอยู่รอบตัวเขาเลยแม้แต่น้อย“แค่ก แค่ก…” ฟู่อวิ๋นโจวไอเสียงแหบแห้งแล้วพูดว่า “มิใช่ข้าหรอก แต่เป็นหมอกู้ต่างหาก”“หมอกู้อย่างนั้นหรือ?” ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วฟู่อวิ๋นโจวยืนขึ้นและพานางไปอีกห้องหนึ่งในเรือนทิศใต้ เมื่ออีกฝ่ายเปิดประตูเข้าไปกลิ่นสมุนไพรเข้มข้นก็ตีกระทบจมูกของนางอย่างหนักหน่วง จนทำให้นางอึดอัดและรู้สึกไม่ดีนัก ประตูและหน้าต่างภายในห้องนั้นถูกปิดเอาไว้ อากาศภายในไม่ถ่ายเทเลยแม้แต่น้อยหมอกู้นอนอยู่บนเตียงอย่างโรยแรง เมื่อเห็นคนเดินเข้ามา เขาก็หยัดกายขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนเอ่ยปาก "องค์ชายห้า… พระชายา..."ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นยืนได้เต็มเท้า ร่างกายของเขาก็สั่นไหวและทำท่าจะล้มลงเด็กรับใช้รีบเข้าไปพยุงเขาอย่างรวดเร็ว“ท่านหมอกู้ เชิญนั่งลงก่อน ไม่ต้องมากพิธี ข้าเป็นคนขอให้พระชายามาดูอาการท่านเอง ดูเหมือนท่านจะถูกวิญญาณร้ายครอบงำอย่างไรอย่างนั้น” ฟู่อวิ๋นโจวกล่าวอย่างเคร่งขรึมถูกวิญญาณร้ายครอบงำอย่างนั้นหรือ?ลั
หลังออกจากเรือนทิศใต้มาแล้วลั่วชิงยวนก็ออกปากให้ฟู่อวิ๋นโจวส่งนางเท่านี้ ไม่ต้องถึงขั้นว่าอยู่ในห้องหับด้วยกันตามลำพังหรอก เพียงแค่เดินด้วยกันสองต่อสองยามค่ำคืนเช่นนี้หากว่ามีคนมาเห็นเข้าไม่แคล้วต้องโดนนำไปติฉินนินทาแน่ขณะที่เดินกลับเรือนตามลำพัง นางก็ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ ยิ่งคิดนางก็ยิ่งรู้สึกว่ามีบางอย่างเกี่ยวกับท่านหมอที่ผิดปกติไป ท่านหมอกู้นั้นมีสถานะสูงส่งในตำหนักนี้ นอกจากห้องตำราของฟู่เฉินหวนแล้ว เขาสามารถไปไหนมาไหนได้ทุกที่ การไปที่เรือนของนางก็ไม่มีใครสนใจเช่นกันยิ่งไปกว่านั้นเขานั้นมีทักษะทางการแพทย์สูงส่งซึ่งสามารถปรุงยาที่ทำให้คนคลุ้มคลั่งได้อย่างง่ายดายน่าสงสัยยิ่งนัก!นางไม่รู้ว่าเขามีเจตนาที่จะทดสอบนาง หรือเขาขอให้นางช่วยกำจัดวิญญาณร้ายในร่างเพื่อบรรเทาอาการจริง ๆนางใช้วิธีการวาดอักขระเวทย์ให้เขา ไม่ว่าจุดประสงค์ของท่านหมอคืออะไร ก็ไม่ควรเป็นปัญหาดูเหมือนว่าจากนี้ไปนางจะต้องคอยจับสังเกตท่านหมอกู้ให้มากขึ้นบางทีเขาอาจจะเป็นปราชญ์ฮวงจุ้ยที่เร้นกายอยู่ในตำหนักก็เป็นได้ขณะที่นางกำลังเดินไปตามทางเดิน จู่ ๆ ก็มีเงาร่างสีดำโผล่มาตรงหน้า ใจนางเต้นระรัวและกำหมัด
นางพยายามกลั้นสะอื้นและกล่าวว่า “แล้วอย่างไร? ท่านอ๋องวางแผนจะจัดการกับหม่อมฉันเช่นไร?”ฟู่เฉินหวนสีหน้ามืดครึ้ม “ลั่วชิงยวน อย่ารนหาเรื่อง”“ข้าบอกตอนไหนว่าจะทำข้อตกลงกับเจ้า?”ลั่วชิงยวนสงบจิตใจลง แววตานางกลับเป็นเย็นชา นางมองเขาและถามเรียบ ๆ “ทำไมท่านอ๋องต้องแสร้งทำเป็นโง่ด้วย? ท่านรู้ดีอยู่แล้วมิใช่หรือว่าหม่อมฉันต้องการอะไร?”“นอกจากของของท่านแม่ หม่อมฉันก็ไม่ต้องการอย่างอื่น”ฟู่เฉินหวนนิ่วหน้า เขาเงียบไปชั่วครู่ก่อนที่จะเห็นด้วย “ตกลง”“แต่ข้าเองก็มีเงื่อนไข”ลั่วชิงยวนเลิกคิ้วอย่างเฉยชา ฟู่เฉินหวนพูดเสียงต่ำ ๆ ว่า “ประการแรก กำจัดค่ายกลชุมนุมปีศาจซะ”“สอง ห้ามจ้องเล่นงานเยวี่ยอิงอีก”“ตราบใดที่เจ้าทำตัวดี ข้าก็จะให้ถุงหอมเจ้า”เมื่อได้ยินเช่นนี้ลั่วชิงยวนก็กำมือแน่น นี่มันไม่ต่างกับมาทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจกันโดยที่นางไม่มีโอกาสได้ตอบโต้เลยใช่หรือไม่?“เงื่อนไขนี้ต้องดำเนินไปนานแค่ไหน?” นางถามพร้อมกัดฟันแน่น“ไม่มีเวลาแน่ชัด และข้าก็ไม่แน่ใจว่าจะให้ถุงหอมเจ้าตอนไหน” ขณะที่ฟู่เฉินหวนพูดเช่นนี้ สีหน้าเขาก็จริงจัง“ท่าน!” ลั่วชิงยวนผุดลุกขึ้นทันทีนี่มันจะมากเกิน
ลั่วชิงยวนกำมือแน่นจนเล็บแทบจิกเข้าไปในเนื้อเพราะความขุ่นเคือง“องค์ชายห้ากับหม่อมฉันบริสุทธิ์ใจ! ระหว่างเราไม่เคยทำอะไรเกินเลยที่ไม่เหมาะสม”นางถามเสียงเย็น “ท่านอ๋องสิ พลอดรักกับลั่วเยวี่ยอิงทั้งต่อหน้าและลับหลังผู้คน เหตุใดท่านถึงไม่กลัวว่าจะโดนติฉินนินทาเรื่องนั้นบ้าง?”เส้นเลือดบนหน้าผากของฟู่เฉินหวนยิ่งเต้นกระตุกแรงขึ้น ดวงตาเขาเต็มไปด้วยโทสะและมือที่วางบนโต๊ะก็กำเป็นหมัดแน่น เขาเงยหน้าขึ้นมองด้วยแววตาเปี่ยมโทสะ “ตอนนี้เจ้ากล้ามาวิจารณ์ความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับเยวี่ยอิงเช่นนั้นรึ? หากว่าไม่มีเจ้าตอนนี้เราก็ต้องได้ครองคู่กันแล้ว”“ลั่วชิงยวน ข้าหวังว่าเจ้าจะเจียมตัวกว่านี้นะ”ทันใดนั้นใจของนางก็บีบรัดจนแทบหายใจไม่ออก นางกำมือแน่นพยายามเก็บกลั้นความรู้สึกในใจใช่แล้ว การสวมรอยแต่งงานของนางนี้ทำลายการแต่งงานดี ๆ ของพวกเขาไปแต่นางไม่ควรต้องโดนกล่าวหาเช่นนี้หลังจากที่กล้ำกลืนความขมฝาดในใจลงไป นางก็มองเขานิ่ง ๆ ด้วยสายตาเย็นชาและเอ่ยว่า “หากเช่นนั้นได้โปรดคืนถุงหอมหม่อมฉันมาโดยเร็ว เพื่อที่หม่อมฉันจะได้มอบการแต่งงานที่ดีนี้คืนให้แก่พวกท่าน”หลังจากพูดจบนางก็หันหลังเดินออกไ
ลั่วเยวี่ยอิงยกมือขึ้นแตะปากที่ยังคงบวมอยู่แม้ว่าจะทายาไปแล้ว นางเจ็บแค้นจนดวงตาวาวโรจน์ไปด้วยโทสะ ลั่วเยวี่ยอิงกัดฟันกรอดด้วยความเดียดฉันท์ “แล้วท่านอ๋องมิได้ลงโทษนางรึ?”เฉียงเวยพยักหน้า “นางได้ขับไล่ปีศาจ ดังนั้นแทนที่จะลงโทษนาง ดูเหมือนท่านอ๋องจะให้รางวัลนาง ทรงเรียกให้นางเข้าไปพบที่ห้องตำราแล้วอยู่ในนั้นกันนานเลยเจ้าค่ะ”ดวงตาของลั่วเยวี่ยอิงแดงฉาน เล็บมือจิกแน่นเข้าไปในเนื้อจนเลือดออกเพราะทั้งโทสะและความเกลียดชังเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไรกันท่านอ๋องปล่อยนางสารเลวลั่วชิงยวนไป ทั้ง ๆ ที่นางต้องเจ็บตัวขนาดนี้! ท่านอ๋องไม่เจ็บแค้นเอาคืนแทนนางเลยเหรอ?เฉียงเวยเห็นว่าสีหน้าของลั่วเยวี่ยอิงไม่ดี จึงรีบเอ่ยปลอบ “คุณหนูรองไม่ต้องเป็นกังวลหรอกเจ้าค่ะ ในใจท่านอ๋องมีแค่คุณหนูเท่านั้น แต่ตอนนี้นางฉกฉวยโอกาสสร้างความดีความชอบท่านอ๋องก็เลยลงโทษนางมิได้ ตอนนี้เราเองก็คงทำอะไรมิได้เจ้าค่ะ”“แต่ถึงอย่างไรท่านอ๋องก็ต้องยังคงจดจำถึงความลำบากที่คุณหนูรองต้องเผชิญได้ เรามาหาทางทำให้ท่านอ๋องรับรู้ดีกว่า บ่าวว่าท่านอ๋องต้องทำโทษนางแน่เจ้าค่ะ” ดวงตาเฉียงเวยฉายแววชั่วร้ายเมื่อได้ยินเช่นนี้ ลั่วเยวี่
ลั่วชิงยวนนอนหลับไปจนถึงบ่าย ตะวันโด่งฟ้าส่องแสงเจิดจ้า นางฝืนร่างกายที่เหนื่อยล้าให้ลุกขึ้นและตั้งใจจะออกไปนั่งอาบแดดแม่นมเติ้งนำอาหารและยาเข้ามาให้ “พระชายาเจ้าคะ ตื่นได้แล้ว กินอะไรสักหน่อยแล้วกินยา ยานี้เป็นโอสถบำรุงโลหิตที่ทางเรือนโอสถจ่ายมาให้เจ้าค่ะ”“โอสถบำรุงโลหิตงั้นรึ?” คนอย่างเขาก็มีจิตสำนึกเหมือนกันนะลั่วชิงยวนลุกนั่งและหยิบชามยาขึ้นมาดื่ม แต่หลังจากจิบไปอึกใหญ่ก็รู้สึกได้ว่า ยานั้นมีบางอย่างผิดปกติและรีบพ่นออกมานางนิ่วหน้าและวางชามยาลง อาการบวมและความเจ็บปวดของแผลบนแขนนางเกิดขึ้นมาทันที และเลือดก็ดูเหมือนจะเดือดพล่านซึมออกมาจากแผล“พระชายา เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ?” แม่นมเติ้งตกใจดวงตาลั่วชิงยวนเย็นเยียบ นางปรายตามองไปที่ยาในชาม นี่ไม่ใช่ยาบำรุงเลยแม้แต่น้อย ตัวยาที่อยู่ในนี้มีแต่จะทำให้บาดแผลอาการเลวร้ายลงและเลือดไหลออกมาได้อีกโดยเฉพาะเมื่อมีการเพิ่มแมลงเก้ากลิ่นซึ่งถือว่ารุนแรงมากเข้าไปด้วยหากว่านางกินน้ำแกงยาชามนี้เข้าไป ไม่เพียงแต่พลังชี่และเลือดของนางจะปั่นป่วน แต่บาดแผลของนางก็จะเปิดออกและเลือดจะไหลทะลักไม่หยุด ด้วยสภาพของร่างกายนางในตอนนี้หากไม่ตายก็คงจวนเจ
ภายในห้องบรรทมอันโอ่อ่าฉินอี้เดินมาที่ข้างเตียงด้วยร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลยามนี้เกาเหมียวเหมี่ยวได้ทำแผลและกินโอสถเรียบร้อยแล้ว แต่ใบหน้าของนางยังคงซีดอยู่เล็กน้อยเมื่อเห็นฉินอี้เดินมาหาด้วยใบหน้าฟกช้ำและเปื้อนเลือด เกาเหมียวเหมี่ยวจึงมองเขาด้วยความมิอยากเชื่อ“ท่านแพ้ลั่วชิงยวนรึ?”ฉินอี้ขมวดคิ้วเป็นปม พลางมองบาดแผลของเกาเหมียวเหมี่ยวด้วยความกังวลและพูดว่า “เหมียวเหมี่ยว บาดแผลเจ้าสาหัสมาก ช่วงสองวันนี้เจ้าควรพักผ่อนให้ดีก่อน อย่าเพิ่งเดินไปไหนมาไหนเลย”ทว่าเกาเหมียวเหมี่ยวกลับมิได้สนใจในความห่วงใยของฉินอี้นางจ้องมองฉินอี้ด้วยความโมโหแล้วยกฝ่ามือฟาดไปหนึ่งฉาดฉินอี้มิประหลาดใจแม้แต่น้อย แต่กลับมองเกาเหมียวเหมี่ยวด้วยสีหน้าจริงจังและเป็นห่วง“เหมียวเหมี่ยว...”เกาเหมียวเหมี่ยวโมโหมากจนเอามือฟาดเขาสองครั้งติดต่อกันและแสดงความเกรี้ยวกราดออกมา “ขยะไร้ค่า! ขยะไร้ค่า!”“ท่านเป็นถึงองค์ชายผู้สูงส่ง แต่กลับถูกลั่วชิงยวนจัดการจนมีสภาพเช่นนี้ อับอายจนมิรู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ใด!”เกาเหมียวเหมี่ยวโกรธจนแทบอยากจะฉีกลั่วชิงยวนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยดวงตาของฉินอี้หรี่ลง แต่กลับมิได
แต่ขณะที่ทั้งสองคนกำลังต่อสู้กันอย่างสูสีวิชาฝ่ามือที่จู่โจมเข้ามาอย่างฉับพลันของลั่วชิงยวนทำให้ฉินอี้มิทันตั้งตัว เขาถูกรัวหมัดใส่อย่างต่อเนื่องจนลอยกระเด็นออกไป และกระอักเลือดออกมาการต่อสู้สิ้นจบลงในพริบตาเดียวหลายคนที่อยู่รอบด้านล้วนเห็นมิชัด“เมื่อครู่เกิดกระไรขึ้น?”“ต่อสู้กันอยู่มิใช่หรือ? เหตุใดจู่ ๆ ฉินอี้ถึงแพ้ได้เล่า?”ลั่วชิงยวนมองฉินอี้ด้วยสายตาเย็นชา “ดูเหมือนวรยุทธ์ขององค์ชายใหญ่จะเป็นอย่างที่คนเขาลือกันนะเพคะ”เทียบกับคนทั่วไปแล้ว วรยุทธ์ของฉินอี้ก็ถือว่ามิได้อ่อนด้อยเลยแต่สำหรับคนที่เป็นถึงองค์ชายนั้นช่างดูอ่อนแอนักเมื่อครู่ที่ลั่วชิงยวนลองทดสอบ ดูเหมือนว่าเขายังคงมีทักษะวรยุทธ์แบบเดียวกับที่เคยเรียนมาเมื่อก่อน และมิได้มีความก้าวหน้ามากนักเป็นเช่นนี้ได้อย่างไรหากฉินอี้เพียรพยายามมากกว่านี้ ผลลัพธ์ก็คงมิเป็นเช่นนี้ฉินอีจ้องนางด้วยโทสะ ดูเหมือนจะเจ็บใจที่วรยุทธ์ของตนอ่อนด้อยเกินไป ทำให้เสียงวิพากษ์วิจารณ์รอบข้างยิ่งบาดหูมากขึ้นไปอีกเขากัดฟันพลางกำหมัดแน่น และพุ่งเข้าหาลั่วชิงยวนอย่างดุร้ายเขามิยอมพ่ายแพ้เช่นนี้หรอกแต่เขากลับมิสามารถเอาชนะลั่วชิงย
ลั่วชิงยวนตกตะลึง อารมณ์ความรู้สึกของนางดำดิ่งเป็นไปตามที่นางคาดเดาเอาไว้ว่ามิเหลือแม้แต่ศพอย่างนั้นหรือ?“มิพบศพด้วยซ้ำ” อวี๋โหรวกล่าวเสียงขรึมดวงตาของลั่วชิงยวนหม่นลง ดูเหมือนว่าร่างนั้นจะถูกกำจัดไปแล้วจริง ๆ ส่วนจะกำจัดอย่างไรและทิ้งไว้ที่ไหน บางทีอาจมีเพียงฆาตกรเท่านั้นที่รู้“น่าเสียดายจริง ๆ” ลั่วชิงยวนทอดถอนใจด้วยความเสียดายอวี๋โหรวจ้องนางด้วยสายตาจริงจังและพูดอย่างหนักแน่น “มิน่าเสียดายหรอก ข้าเชื่อว่าเจ้าจะกลายเป็นนางคนต่อไป!”ทันใดนั้น สายตาที่จริงจังของอวี๋โหรวก็ทำให้ลั่วชิงยวนรู้สึกเย็นวาบไปถึงสันหลังและยังสงสัยด้วยว่าอวี๋โหรวจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่างหรือไม่ทว่าแม้แต่ศิษย์น้องหญิงก็จำนางมิได้ อีกทั้งอวี๋โหรวก็มิได้สนิทสนมกับนาง แล้วจะจำนางได้อย่างไรลั่วชิงยวนยิ้มและกล่าวว่า “ข้าจะถือว่านั่นคือคำปลอบใจก็แล้วกัน”อวี๋โหรวพูดอย่างจริงจัง “ข้ามิได้ปลอบใจเจ้า ข้าพูดจริง”หลังจากนั้น อวี๋โหรวก็ยิ้มอีกครั้งและพูดว่า “ทางข้ายังพอมียาอยู่บ้าง หากเจ้าต้องการอะไรก็บอกข้าได้เลย”ลั่วชิงยวนมิค่อยเข้าใจว่า เหตุใดอวี๋โหรวถึงทำดีกับนางนางมิค่อยรู้จักอวี๋โหรวมากนัก ในภาพจ
หรือเป็นเพราะเขาเชื่อมั่นในพลังความแข็งแกร่งของลั่วชิงยวน?แต่เมื่อมาครุ่นคิดดูตอนนี้ สตรีที่สามารถทำให้เซินฉีหลงใหลได้ถึงเพียงนี้คงไม่มีทางที่จะเป็นขยะไร้ค่าแม้จะมิได้แข็งแกร่งกว่าเฉินชี แต่ก็เป็นคนที่สามารถต่อกรกับเขาได้อย่างสูสีเพราะเช่นนี้เขาจึงมิแลเกาเหมียวเหมี่ยวเลยด้วยซ้ำ……เมื่อกลับมาถึงห้องลั่วชิงยวนก็นั่งลงพักผ่อนเฉินชีเดินตามเข้ามาและนั่งลงข้าง ๆ นาง พร้อมกับรินชาสองจอก“สมแล้วที่เป็นอาเหลา มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่กล้าทำให้เกาเหมียวเหมี่ยวตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น! ข้าชอบ!” มีแสงประกายเจิดจ้าส่องสว่างในดวงตาของเฉินชีสายตาของเขาดูเหมือนอยากจะกลืนกินลั่วชิงยวนเข้าไปทั้งตัวลั่วชิงยวนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เกาเหมียวเหมี่ยวได้รับบาดเจ็บสาหัส ฝ่าบาทกับฮองเฮาคงมิยอมปล่อยข้าไปแน่ คงต้องให้เจ้าช่วยออกหน้าให้แล้ว”เฉินชียิ้มมุมปาก “วางใจได้ มีข้าอยู่ทั้งคน”ลั่วชิงยวนที่ยังกังวลอยู่เล็กน้อยกำชับด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เฉินชี ครั้งนี้เจ้าจะยืนนิ่งดูดายอีกมิได้แล้ว เพราะหากข้าตาย แผนทั้งหมดของเจ้าก็จะสูญเปล่า”“ใต้หล้านี้ไม่มีลั่วเหลาคนที่สองหรอกนะ”เฉินชีพยักหน้าอย่างจริงจ
เลือดสด ๆ ยังคงไหลมิหยุด ไหลนองไปตามร่องลึกของลวดลายวงเวทบนพื้นดินคาดมิถึงว่ามันจะค่อย ๆ ทำให้อักษรเวทของวงเวทส่องแสงขึ้นจากนั้นหมอกสีเขียวจาง ๆ ก็กระจายฟุ้งอยู่รอบตัวลั่วชิงยวนสิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นไอโอสถทั้งสิ้นหอรักษ์ดาราแห่งนี้ยังเป็นสถานที่ที่สามารถกลั่นไอโอสถจากเลือดได้ และไอโอสถเหล่านี้ก็สามารถรักษาร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสได้ลั่วชิงยวนหลับตาและสูดลมหายใจด้วยความเพลิดเพลิน ทำให้ร่างกายที่ปวดร้าวของนางดูเหมือนจะผ่อนคลายลงนี่อาจจะเป็นความหมายของการมีอยู่ของแท่นประลองหอรักษ์ดาราแต่ไอโอสถนี้ก็จางลงอย่างรวดเร็วลั่วชิงยวนปล่อยเกาเหมียวเหมี่ยว นางยืนขึ้นพร้อมกับยืดเส้นยืดสาย และเดินลงจากแท่นประลองคนอื่นที่อยู่รอบ ๆ ต่างมองมาที่นางด้วยสายตาที่หวาดกลัวมากขึ้น และพวกเขาก็มิกล้าพูดจาดูถูกเหยียดหยามนางเหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไปแล้วลั่วชิงยวนกวาดตามองอย่างเรียบเฉย จากนั้นก็มองไปที่เฉินชีด้วยสายตาลึกซึ้งแล้วเดินจากไปเกาเหมียวเหมี่ยวที่ได้รับบาดเจ็บถูกปลดแส้ออกอย่างรวดเร็วและถูกช่วยลงจากแท่นประลอง นางกัดฟันแน่นพลางจ้องตามหลังลั่วชิงยวนที่กำลังเดินออกไปครู่ต่อมา นางก็เห
“โอ้สวรรค์ ข้าคงมิได้ตาลายใช่หรือไม่?”“นางไปเอาความกล้ามาจากที่ใดกัน!”ทุกคนในเมืองหลวงต่างรู้ดีว่าเกาเหมียวเหมี่ยวคือใครนางมิเพียงมีสถานะองค์หญิงที่สูงส่งเท่านั้น แต่ยังมีโอกาสที่จะได้สืบราชบัลลังก์ในภายภาคหน้าอีกด้วยเนื่องจากองค์ชายใหญ่มีความสามารถปานกลาง จึงมิเป็นที่โปรดปรานขององค์จักรพรรดิและฮองเฮา ทว่าองค์หญิงผู้นี้กลับแข็งแกร่งและไร้ความปรานี จึงได้รับความโปรดปรานจากพวกเขาไม่มีใครในเมืองหลวงกล้าขัดใจนางเว้นเสียแต่ เฉินชีเพราะนางชอบเขาทว่าแม้จะเป็นเฉินชี แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่นเขาก็ให้เกียรตินางมากลั่วชิงยวนผู้นี้กล้ามากถึงขั้นเหยียบย่ำองค์หญิงต่อหน้าธารกำนัลมากมายเช่นนี้!เกาเหมียวเหมี่ยวพยายามดิ้นพร้อมกับก่นด่าไปด้วย “ลั่วชิงยวน ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้! หากเจ้ามิปล่อยข้า ข้าจะทำให้เจ้าตายจนหาที่ฝังมิได้เลยคอยดู!”“ท่านนี่พูดมากนัก เงียบเสีย!”ลั่วชิงยวนมองนางด้วยสายตาเย็นชา พลางคว้าแส้แล้วดึงมันอย่างแรงทันใดนั้นแส้ที่คอของเกาเหมียวเหมี่ยวก็รัดแน่นขึ้นบังคับให้เกาเหมียวเหมี่ยวต้องเชิดหน้าขึ้นสูงแต่ยังคงถูกแส้รั้งไว้จนหน้าแดงนางหายใจมิออกจนเส้นเลือดแตกและตา
ลั่วชิงยวนถูกแส้ฟาดจนกระอักเลือด ทำให้อาภรณ์ชุดขาวของนางมีรอยเปื้อนสีแดงมีรอยแส้ที่น่าสะเทือนใจพาดอยู่บนหลังของนางเป็นเส้น ๆทุกคนที่อยู่รอบนอกต่างรู้สึกหวาดกลัวมีคนที่อดมิได้ที่จะกระซิบขึ้นว่า “มิยุติธรรมเลย คนหนึ่งมีอาวุธ แต่อีกคนไม่มี นี่มันจงใจแกล้งกันชัด ๆ มิใช่หรือ”“ชู่! พระนางเป็นองค์หญิง ถึงพระนางจะจงใจฆ่าลั่วชิงยวน แล้วใครจะพูดอะไรได้ ระวังไว้เถิด หากนางจับได้ เจ้าได้เดือดร้อนแน่”ทุกทิศมีแต่ความเงียบงันไม่มีใครกล้าพูดอะไรใครใช้ให้เกาเหมียวเหมี่ยวเป็นองค์หญิงเล่า?นางคือองค์หญิงที่ได้รับความโปรดปรานมาตั้งแต่ยังเล็กนางกลายเป็นคนเย่อหยิ่งบ้าอำนาจ และวิธีการของนางเลวทรามมิน้อยไปกว่าเฉินชีเลยทุกคนในที่นี้ล้วนไม่มีใครกล้าขัดทว่ามีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถช่วยลั่วชิงยวนได้ แต่คนผู้นั้นกลับนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ พลางมองลั่วชิงยวนที่ถูกฟาดบนพื้นจนร่างกายเต็มไปด้วยเลือดมีแสงประกายเจิดจ้าอยู่ในดวงตาของเขาและเจือไปด้วยความยินดีปรีดาลั่วชิงยวนกลิ้งไปบนพื้นและทันใดนั้นก็กระอักเลือดออกมาเต็มปากนางเงยหน้าขึ้นมาและเห็นสายตาที่แสดงถึงความตื่นเต้นดีใจของเฉินชี เขาม
“สตรีนางนี้ตอบสนองได้รวดเร็วยิ่งนัก”“การตอบสนองเร็วเป็นเรื่องหนึ่ง แต่การเอาชนะคู่ต่อสู้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง”“พลังความสามารถของจั๋วฉ่างตงนั้นสูงมาก แม้แต่บรรดาคนที่อยู่ที่นี่ก็ยังมีเพียงมิกี่คนเท่านั้นที่สามารถเอาชนะนางได้”ผลลัพธ์ของการประลองครั้งนี้ ไม่มีอะไรให้ต้องลุ้นแล้วทว่าขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกัน ทันใดนั้นจั๋วฉ่างตงก็ล้มลงอย่างแรงเมื่อทุกคนจ้องมองไปและแน่ใจว่าคนที่ลอยตกลงมาคือจั๋วฉ่างตง พวกเขาก็พากันตกตะลึงงัน“ข้าเห็นมิชัดเลย จั๋วฉ่างตงกระเด็นออกไปได้อย่างไรกัน?”ทุกคนต่างสงสัยจั๋วฉ่างตงกระอักเลือดและเงยหน้ามองคนผู้นั้นด้วยความตกตะลึง ดวงตาของนางเยือกเย็นจนน่าหวาดกลัวเป็นไปได้อย่างไรกันนางเป็นขยะไร้ค่ามิใช่รึคราวก่อนที่ส่งคนไปทดสอบ ก็เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าไม่มีพลังที่จะรับมือได้เลย เป็นไปมิได้ที่จู่ ๆ นางจะเปลี่ยนมาร้ายกาจถึงเพียงนี้!จั๋วฉ่างตงมิยอมรับ นางดีดตัวขึ้นและพุ่งไปหาลั่วชิงยวนอีกครั้งดวงตาของลั่วชิงยวนเปลี่ยนเป็นเย็นชา ร่างกายของนางเคลื่อนไหวรวดเร็วจนกลายเป็นภาพลวงตา พลางปล่อยหมัดออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าลั่วชิงยวนต่อยจั๋วฉ่างตงอย่างรุนแรงจนกระเด็น จากน
“ได้ยินมาว่านางจะประลองกับจั๋วฉ่างตงที่หอรักษ์ดาราในวันพรุ่ง”แม้หลายปีมานี้จั๋วฉ่างตงจะมิได้ดำรงตำแหน่งขุนนางใด ๆ แต่กำลังความสามารถของนางก็ถือว่าโดดเด่นที่สุดในบรรดาคนรุ่นเดียวกันอย่างแน่นอน“แล้วเจ้ามิช่วยนางเล่า? เหตุใดจึงปล่อยให้นางขโมยโอสถทะลวงปราณไป?”ขณะนี้ เฉินชีที่อยู่ในห้องเดินออกมาอย่างช้า ๆ พร้อมมองไปยังทิศทางที่ลั่วชิงยวนหนีไปด้วยดวงตาที่เป็นประกายริมฝีปากของเขาเผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา“ข้าชอบที่เห็นนางอยู่ในสภาพบาดเจ็บเลือดตกยางออก”“ยิ่งนางจนมุมข้าก็ยิ่งปรีดา”เฒ่าโอสถขมวดคิ้วและส่ายหัวด้วยอารมณ์ซับซ้อน “สตรีบ้านไหนได้เจอเจ้า ถือว่าโชคร้ายที่สุดจริง ๆ”……หลังจากกลับมาถึงห้องอย่างปลอดภัยแล้ว ลั่วชิงยวนก็รีบเปลี่ยนอาภรณ์และนั่งขัดสมาธิบนตั่งนุ่มข้างหน้าต่างนางหยิบโอสถทะลวงปราณ และนำเข็มทิศอาณัติแห่งสวรรค์ออกมาทำการบำเพ็ญตนแค่คืนเดียวก็เพียงพอที่จะนำเอาประสิทธิภาพสูงสุดของโอสถทะลวงปราณออกมาได้แม้จะมิสามารถฟื้นฟูพลังยุทธได้อย่างสมบูรณ์ แต่ก็สามารถฟื้นคืนมาได้อย่างน้อยเจ็ดถึงแปดในสิบส่วนเพียงแค่จัดการกับจั๋วฉ่างตงได้ก็พอแล้ว……วันต่อมาเวลารุ่งสางบริเวณร