ในวันนั้น ในห้องทาสใบ้พบจดหมายลับลั่วเยวี่ยอิงกระแทกจดหมายลับฉบับนั้นต่อหน้าทาสใบ้ “เจ้าช่างดีนัก! เจ้าถูกลั่วชิงยวนซื้อตัวไปตั้งแต่เมื่อใด?”ทาสใบ้ส่ายหัว นางมิรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และนางก็มิได้ถูกลั่วชิงยวนซื้อตัวไปน่าเสียดายที่นางมิอาจพูด หรือแก้ต่างให้ตัวเองได้เลยลั่วอวิ๋นสี่ที่อยู่ข้าง ๆ พูดอย่างเย็นชา “ข้ามิน่าแปลกใจแล้วว่าเหตุใดข้าจึงเห็นเจ้าออกไปข้างนอกในยามดึกเมื่อคืนนี้ เจ้าไปส่งข่าวให้ลั่วชิงยวนใช่หรือไม่?”ทาสใบ้รู้สึกคับแค้นใจและโกรธมาก นางทำได้เพียงส่ายหน้าให้กับลั่วเยวี่ยอิง นางมิรู้อะไรเลย!เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ลั่วเยวี่ยอิงกลับโกรธเป็นฟืนเป็นไฟนางด่าทออย่างโกรธเกรี้ยว “ลั่วชิงยวนบอกว่าจะรักษาตาของเจ้าให้หาย เจ้าเลยใจอ่อน ทรยศข้าใช่หรือไม่?”“ข้าดีกับเจ้าขนาดไหน! แต่เจ้ากลับปฏิบัติต่อข้าเช่นนี้!”“ใครก็ได้! เอาตัวทาสใบ้ไปโบยให้ตายเสีย!”ทาสใบ้ตกตะลึง น้ำตาคลอเบ้าลั่วอวิ๋นสี่รีบเรียกคนมาจับกุมทาสใบ้ทันที คนรับใช้โบยทาสใบ้ด้วยไม้อย่างเต็มแรงทาสใบ้พยายามหลบ แต่ยังคงถูกตีจนเลือดท่วมตัวขณะที่นางกำลังจะตาย ลั่วอวิ๋นสี่รีบตรวจลมหายใจของนางแล้วพูดว่า “คุณหนู น
จือเฉารู้สึกงุนงง “พระชายา แต่เหตุใดท่านมิเสนอเงื่อนไขและให้นางทำงานให้กับพระชายาต่อจากนี้เล่าเจ้าคะ?”ลั่วชิงยวนยิ้มและพูดว่า “หากข้าหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาเสียเอง นางจะคิดว่าข้ามีเจตนาแอบแฝง”“แค่ทำดีกับนาง ดีจนกระทั่งนางรู้สึกละอายใจไปเอง นางจะรู้สึกผิดหากนางมิทำอะไรตอบแทนความเมตตาของข้า”“นี่คือวิธีเอาชนะใจผู้คน”จือเฉาเข้าใจในทันทีและพยักหน้า “อย่างนี้นี่เอง! บ่าวเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ!”ต่อจากนั้นอีกหลายวัน ลั่วชิงยวนมิได้ไปเยี่ยมทาสใบ้อีกเลยจือเฉาแค่ส่งอาหารและยาทุกวัน โดยมิพูดอะไรเมื่อทาสใบ้เริ่มขยับตัวได้ นางเดินออกจากลานเรือนแล้วจึงได้พบว่าไม่มีใครเฝ้าดูนาง หรือขวางนางไว้เลยนางเดินออกจากลาน ก่อนจะเห็นลั่วชิงยวนกำลังอาบแดดอยู่ในสวนมิไกลลั่วชิงยวนลืมตาขึ้น เมื่อรู้สึกว่ามีคนเดินมาตรงหน้า“มีธุระอะไรหรือ?” ลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อยทาสใบ้ยืนนิ่ง มิรู้จะถามออกไปอย่างไรที่นี่ไม่มีปากกาและกระดาษลั่วชิงยวนเลิกคิ้วแล้วถามว่า “เห็นเจ้าเดินได้เช่นนี้ เจ้าจะไปแล้วหรือ? เดินออกจากประตูหลังได้เลย จะไม่มีใครขัดขวางเจ้าหรอก”เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทาสใบ้ก็สะดุ้งเล็กน้อยมองนางด้ว
“ไปคุยกันในห้องของข้าดีกว่า” ลั่วชิงยวนพาทาสใบ้ไปที่ห้องนางนำกระดาษกองหนาไปให้ทาสใบ้โชคดีที่ทาสใบ้รู้หนังสือ มิเช่นนั้นคงสื่อสารกันลำบากลั่วชิงยวนรอทาสใบ้เขียนบนกระดาษอย่างอดทน นางเขียนลงบนกระดาษว่า : อัครเสนาบดีลั่วให้นักพรตเต๋ามาสะกดแม่ของท่านเอาไว้การแสดงออกของลั่วชิงยวนเปลี่ยนไป เมื่อได้เห็นข้อความนั้น “ว่ากระไรนะ?”ทาสใบ้ยังคงเขียนต่อ : ข้ามิรู้รายละเอียด รู้เพียงว่ามินานหลังจากที่ท่านกลับมา เขาขอให้นักพรตเต๋ามาสะกดนางเอาไว้ ข้าเองก็มิรู้ว่าอยู่ที่ใดจู่ ๆ ลั่วชิงยวนนึกย้อนไปว่าตอนที่นางขุดโลงศพของมารดาขึ้นมา ในโลงศพกลับว่างเปล่าตอนนี้ดูเหมือนว่าแม่ของนางมิได้ยังมีชีวิตอยู่ แต่ถูกลั่วไห่ผิงสะกดไว้ที่อื่น“เจ้าอยู่ในตระกูลลั่วมานานแล้ว เจ้ารู้จักแม่ของข้ามากน้อยเพียงใด?”ทาสใบ้เขียนว่า : ข้ามิรู้ ข้าถูกลั่วไห่ผิงซื้อมาเพื่อให้ปกป้องคุณหนูรอง บางครั้งเขาก็ถามข้าว่า คุณหนูรองทำอะไรบ้าง เรื่องอื่นเขามิได้บอกข้าลั่วชิงยวนขมวดคิ้ว “ลั่วไห่ผิงจัดให้เจ้าอยู่กับลั่วเยวี่ยอิง แล้วเซี่ยหว่านก่อนหน้านี้เล่า?”ทาสใบ้พยักหน้าและเขียนว่า : อัครเสนาบดีลั่วรู้เรื่องเซี่ยหว่านมาโดย
“กระหม่อมได้ยินพระชายาบอกว่า อย่าให้ท่านอ๋องรู้”“ว่ากันว่าใช้ทำยาที่ทำให้คนหยุดมิได้” ซูโหยวพูดพร้อมขมวดคิ้ว เขินอายอย่างหนักทันใดนั้นมือของฟู่เฉินหวนก็แข็งตัว ปลายนิ้วสั่นเล็กน้อยโดยมิได้ตั้งใจ“ยาอะไร?”ซูโหยวก้มหน้าลง “ยาที่ทำให้คนหยุดมิได้!”“นั่นคือสิ่งที่พระชายากล่าว! กระหม่อมเองก็มิรู้ว่าเป็นยาอะไรพ่ะย่ะค่ะ!”ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้วทันทีเมื่อเขาได้ยินสิ่งนี้ “เข้าใจแล้ว เจ้าไปได้”“พ่ะย่ะค่ะ” ซูโหยวรีบถอยออกไปฟู่เฉินหวนขมวดคิ้ว ใบหน้ามืดมน ลั่วชิงยวนคิดจะทำอะไรอีก?เขาอยากเห็นนักว่ามันจะทำให้คนหยุดมิได้ได้อย่างไร!…… ลั่วชิงยวนยุ่งจนหัวหมุนอยู่สองวันเต็ม ก่อนที่จะเตรียมขวดโอสถปรารถนานิรันดร์ในที่สุดไม่มีสีและไม่มีกลิ่น สามารถผสมลงในสุราและชาได้อย่างลงตัว ตรวจสอบมิพบเพื่อความปลอดภัย ลั่วชิงยวนได้เตรียมยาแก้พิษไว้ขวดหนึ่งด้วยโอสถปรารถนานิรันดร์มีหลากหลายสูตร ดังนั้นยาถอนพิษก็มีหลายแบบเช่นกัน หากใช้ยาแล้วจะไม่มีเวลาเตรียมยาถอนพิษได้ทันโอสถพร้อมแล้ว ตอนนี้เป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้นวันนี้อากาศดี ลั่วชิงยวนกำลังอาบแดดอยู่ที่สนามหญ้าอีกครั้ง นางถามแม่นมเติ้งว่
ลั่วชิงยวนมิสนใจ หลังจากดื่มแล้วก็คีบผักขึ้นมากิน และพูดว่า “ช่วงนี้ดูเหมือนจะไม่มีอะไรทำเลย”“อากาศก็ค่อนข้างดี ดอกไม้ก็เบ่งบาน”ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้ว ดูเหมือนหลังจากดื่มสุราจะไม่มีความรู้สึกแปลก ๆ แต่อย่างใด เขาพยักหน้าและตอบอย่างเฉยเมยว่า “อืม”ฟู่เฉินหวนมองไปที่จานกับข้าวบนโต๊ะอีกครั้ง หรือว่ายานั่นจะอยู่ในอาหาร?เขาจึงคีบผักขึ้นมาและเริ่มกินเข้าไปเขากินทีละจานลั่วชิงยวนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นฟู่เฉินหวนกินอาหารอย่างรีบร้อน “ท่านหิวมากหรือ?”ฟู่เฉินหวนตอบเบา ๆ “นิดหน่อย”นางนำจานอาหารมาวางไว้ข้างหน้าฟู่เฉินหวน “เช่นนั้นก็กินให้เยอะ ๆ เพคะ”ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้ว หรือว่ายาอยู่ในจานนี้?ฟู่เฉินหวนเริ่มคับกับข้างอีกครั้ง“หม่อมฉันได้ยินมาว่า ในวังมีงานชมบุปผา ท่านจะไปหรือไม่?” ลั่วชิงยวนเข้าประเด็นอันที่จริงแล้ว นางรู้ว่าฟู่เฉินหวนมิค่อยชอบเข้าร่วมงานเลี้ยงเช่นนี้แต่นางอยากไปหากนางมิไป แล้วจะเปิดโอกาสให้ลั่วเยวี่ยอิงทำร้ายนางได้อย่างไรเล่า?แต่งานนี้ไทเฮาเป็นคนจัดขึ้น นางมิได้รับเชิญก็ไปมิได้ฟู่เฉินหวนพูดอย่างใจเย็น “ข้ามิสนใจเรื่องพวกนี้”แน่นอนว่าเขามิอยากไ
ในอีกสองวันต่อมา ฟู่เฉินหวนก็จัดการงานราชการอยู่ในตำหนัก มิได้ออกไปข้างนอกแต่มันทำให้ลั่วชิงยวนมีโอกาสนางสืบทราบมาแล้วว่าอีกเจ็ดวันในวังจะมีงานชมบุปผาดังนั้นนางจึงต้องรีบทำให้ฟู่เฉินหวนตอบตกลงดังนั้นนางจึงนำอาหารมาให้ฟู่เฉินหวนอย่างขยันขันแข็ง วันหนึ่งไปห้องตำราของเขาสามหรือสี่ครั้ง เพราะต้องการเข้าร่วมในงานชมบุปผาเป็นอย่างมากแต่นางมิเข้าใจว่า เหตุใดฟู่เฉินหวนถึงสนใจอาหารและชาที่นางส่งไปนัก เขากินจนเกลี้ยงทุกครั้งไปแต่งานชมบุปผาเขากลับยังมิตอบตกลงยิ่งลั่วชิงยวนคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไร นางก็ยิ่งแปลกใจ เมื่อเข้าวันที่สามจึงมิส่งอาหารไปอีกมิคิดว่าฝูเฉินหวนจะเป็นฝ่ายมาหานางเองบอกว่ามาลองชิมอาหารในเรือนของนางคนครัวก็คนเดียวกัน จะต่างกันตรงไหน?ลั่วชิงยวนคิดไปว่าฟู่เฉินหวนคงเสียสติกะทันหันหรือไม่ก็คงป่วยหรืออย่างไร?หลังจากมากินอาหารที่นี่หนึ่งวันในวันรุ่งขึ้นฟู่เฉินหวนก็กลับมาอีก ลั่วชิงยวนขอให้จือเฉาเก็บอาหารและเครื่องดื่มทั้งหมดออกไปฟู่เฉินหวนนั่งอยู่ที่ลานเรือน ชาสักถ้วยก็มิได้ดื่มฟู่เฉินหวนเริ่มหมดความอดทน เขาให้โอกาสกับลั่วชิงยวนตั้งมากมาย เหตุใดนางถึงยังมิว
ขณะที่ลั่วชิงยวนยังคงคิดว่าจะเข้าร่วมงานชมบุปผาได้อย่างไร ซูโหยวก็มาบอกนางว่า ฟู่เฉินหวนจะเข้าร่วมงานชมบุปผาด้วยยามนี้ลั่วชิงยวนจึงคลายใจได้แล้วนางรีบติดต่อลั่วอวิ๋นสี่ทันทีและมอบขวดโอสถปรารถนานิรันดร์ให้กับลั่วอวิ๋นสี่“บอกลั่วเยวี่ยอิงว่าข้าจะไปงานชมบุปผา”ลั่วอวิ๋นสี่หยิบขวดยาแล้วออกไปทันทีเมื่อข่าวนี้ไปถึงหูของลั่วเยวี่ยอิง ลั่วเยวี่ยอิงก็เริ่มลงมือทันทีก่อนอื่น นางต้องไปพบเหยียนผิงเซียวเมื่อมินานมานี้ เพื่อปกป้องลั่วฉิง เหยียนผิงเซียวถูกคนของฟู่เฉินหวนไล่ล่าไปตามถนนเหมือนกับหนูตัวหนึ่ง ซึ่งนับว่าวุ่นวายมากและตอนนี้ลั่วฉิงได้รับบาดเจ็บสาหัสและต้องเปลี่ยนที่หลบซ่อนตัวไปเรื่อย ๆ มิได้พักผ่อนอย่างสงบ นั่นทำให้เหยียนผิงเซียวโกรธยิ่งกว่าเดิมดังนั้นพวกเขาทั้งสองจึงสมรู้ร่วมคิดกันว่าจะโจมตีฟู่เฉินหวนในงานชมบุปผานี้ให้หนัก!และทำให้ลั่วชิงยวนเสียชื่อเสียงด้วย!…… งานชมบุปผากำลังจะเริ่มแล้วงานชมบุปผาในครั้งนี้ ลั่วชิงยวนสืบทราบมาว่า ตัวเอกของงานน่าจะเป็นเหยียนซุยซินน้องสาวแท้ ๆ ของเหยียนหน่ายซินเรื่องของเหยียนหน่ายซินกลายเป็นเรื่องใหญ่โต ดังนั้นนางย่อมมิอาจเป็นฮองเ
เว่ยอวิ๋นเซี๋ยเร่งเร้า “หยุดพูดเรื่องไร้สาระ! มิซื้อก็ออกไปเสีย!"เป็นผลให้แขกทุกคนในศาลารุ้งเมฆาถูกขับออกไปอย่างรวดเร็วศาลารุ้งเมฆาทั้งหมดถูกยึดครองโดยลั่วเยวี่ยอิงและพรรคพวกแล้วเมื่อลั่วชิงยวนมาที่ศาลารุ้งเมฆาอีกครั้ง เถ้าแก่ก็บอกกับนางอย่างช่วยมิได้ว่า “ขออภัยด้วยจริงๆ พระชายา อาภรณ์ทั้งหมดในร้านตอนนี้ขายหมดแล้ว”“ชุดที่ข้าชอบล่ะ?”“ขายไปแล้วเหมือนกัน”“ขายไปแล้วรึ? ข้าเลือกก่อนแท้ๆ! เจ้าทำการค้าเช่นนี้ได้อย่างไร?!”“ข้าขออภัยจริง ๆ เจ้าค่ะ พระชายา” เถ้าแก่เอ่ยปากขอโทษลั่วชิงยวนจากไปด้วยความโกรธเมื่อลั่วเยวี่ยอิงรู้เรื่องนี้ นางก็ยิ้มอย่างพอใจ มองดูอาภรณ์อันงดงามตรงหน้านาง และยิ้มเยาะ“ลั่วชิงยวน คนตายอย่างเจ้ามิจำเป็นต้องสวมอาภรณ์ดี ๆ พวกนี้หรอก”…… ตอนกลางคืนหลังอาหารเย็นจือเฉากลับมาอย่างเร่งรีบ “พระชายา คุณหนูลั่วเอ๋อร์ได้จัดการประมูลเล็ก ๆ ที่ภัตตาคารหงเฟิงเพื่อประมูลอาภรณ์ที่ซื้อที่ศาลารุ้งเมฆาไปวันนี้ในราคาสูงเจ้าค่ะ”ลั่วชิงยวนหัวเราะเบา ๆ “นางช่างรู้วิธีหาเงินจริง ๆ”จือเฉาพยักหน้า “งานชมบุปผากำลังจะเริ่มแล้ว ต้องมีคนจำนวนมากที่ยอมจ่ายแพงเพื่อซื้อ นี่ม
เหตุใดแคว้นหลีจึงส่งกองทัพมากะทันหันฟู่อวิ๋นโจวเอ่ยถาม “ท่านมหาปราชญ์ ท่านเชี่ยวชาญด้านนี้ พอจะทำนายผลลัพธ์ได้หรือไม่?”“ควรจะรับมืออย่างไร”ขุนนางทั้งหลายต่างมองไปที่ลั่วฉิง ลั่วฉิงไม่มีทางเลือก จึงได้แต่กัดฟันกล่าวว่า “เรื่องนี้... ทำนายได้ แต่หม่อมฉันต้องการเวลาเพคะ”ฟู่อวิ๋นโจวมีสีหน้ากังวล และถามว่า “ท่านมหาปราชญ์ต้องการเวลานานเพียงใด?”ลั่วฉิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงกล่าวว่า “สามวันเพคะ!”สิ้นคำพูดของนาง หลายคนก็แสดงความมิพอใจ“สามวันหรือ? ซีหลิงอยู่ห่างจากเมืองหลวงราวพันลี้ สามวันกว่าจะบอกผลลัพธ์ จะทันการณ์ได้อย่างไร”“ก่อนหน้านี้พระชายาอ๋องผู้สำเร็จราชการก็มิได้ใช้เวลานานถึงเพียงนั้น”“ใช่ ท่านมหาปราชญ์คงจะมิค่อยมีความสามารถมากถึงเพียงนั้นกระมัง”คำพูดนี้ทำให้ลั่วฉิงหน้าซีดเผือด“สองวัน อย่างเร็วที่สุดก็ต้องสองวัน!” ลั่วฉิงกัดฟันกล่าวในตอนนี้ ฟู่เฉินหวนกล่าวอย่างใจเย็น “แคว้นหลีส่งกองทัพมาโดยมิทราบสาเหตุ ข้าคิดว่าตอนนี้ควรส่งคนไปเจรจากับแคว้นหลีโดยด่วน”“ระหว่างนั้นก็ส่งกองกำลังไปเสริมอย่างลับ ๆ ด้วย อย่าได้พึ่งพาแต่ผลการทำนายของท่านมหาปราชญ์”“หากผลลัพธ์ออกมาแล้ว
เมื่อเฉินชีได้ยินดังนั้นก็หยุดชะงักแล้วยกยิ้มมุมปาก เดินมาที่หน้าต่าง พิงกำแพงพลางกอดอก “เจ้าจะให้ข้าช่วยเจ้าในฐานะที่เจ้าเป็นใคร?”ลั่วชิงยวนมองเขาด้วยสายตาเย็นชา “นักบวชระดับสูง”ดวงตาของเฉินชีลุกโชนด้วยประกายร้อนแรง “อาเหลา ในที่สุดเจ้าก็ตัดสินใจจะไปกับข้าแล้วหรือ?”ลั่วชิงยวนมองเขาด้วยสายตาเย็นชาและเย่อหยิ่ง “กลับแคว้นหลีก็ได้ ข้าบอกแล้วว่าให้เจ้าช่วยข้าเรื่องหนึ่ง”“แคว้นหลีจะมีนักบวชระดับสูงได้เพียงผู้เดียวเท่านั้น”เฉินชียกยิ้มมุมปากแล้วหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนจะคุกเข่าลงข้างหนึ่งอย่างนอบน้อม “อย่าว่าแต่เรื่องเดียวเลย สิบเรื่อง ร้อยเรื่อง เฉินชีก็ยินดีทำเพื่อนักบวชระดับสูงทั้งสิ้น!”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองเขาด้วยแววตาที่ลึกล้ำถึงแม้เฉินชีจะบ้าแต่ก็มิใช้คนโง่เขลา เขาทำอะไรตามอำเภอใจแต่ก็คงมิยอมสยบต่อนางง่าย ๆ เช่นนี้การเปลี่ยนท่าทีเช่นนี้ทำให้นางมิค่อยเชื่อถือ“เจ้าฟังเรื่องที่ข้าจะให้เจ้าทำก่อนค่อยตอบรับก็ยังมิสาย”เฉินชีลุกขึ้นมองนางด้วยแววตาเป็นประกาย “ท่านนักบวชต้องการให้ข้าทำสิ่งใด?”“ข้าต้องการให้เจ้ายกทัพไปตีซีหลิง”“แต่ห้ามสู้รบกันจริง ๆ ห้ามทำร้ายราษฎร”เฉ
ใจของลั่วชิงยวนร้อนรุ่มดั่งไฟสุม นางพยายามดิ้นรนสุดแรง “ปล่อยข้านะ!”“ฟู่เฉินหวน ท่านช่างไร้หัวใจอะไรเยี่ยงนี้!”ทว่าฟู่เฉินหวนยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย มิสะทกสะท้านแม้แต่น้อยเมื่อเห็นแม่นมเติ้งใกล้จะทนมิไหวแล้ว น้ำตาลั่วชิงยวนก็เอ่อคลอ“หม่อมฉันจะมิออกจากเรือนแล้ว หม่อมฉันจะมิออกจากห้องแล้ว ได้หรือไม่!”นางมองฟู่เฉินหวนด้วยดวงตาแดงก่ำ พยายามวิงวอนขอร้องในที่สุดนางก็ยอมก้มหน้าลง“ขอท่านไว้ชีวิตนางด้วยเถิดเพคะ!” ลั่วชิงยวนคุกเข่าลงอย่างอ่อนแรงแววตาฟู่เฉินหวนมืดมนเดิมทีลั่วชิงยวนคิดว่าเมื่อนางขอร้องแล้ว ฟู่เฉินหวนคงจะไว้ชีวิตแม่นมเติ้งแต่ฟู่เฉินหวนกลับมีแววตาเย็นชา “นางเป็นบ่าวของตำหนัก มิใช่บ่าวของเจ้า นางขัดคำสั่งข้า สำหรับข้าแล้ว ไม่มีคำว่ายกโทษ”น้ำเสียงเย็นเยียบของเขาเป็นดั่งหนามแหลมทิ่มแทงหัวใจของลั่วชิงยวนลั่วชิงยวนตกตะลึงนางโกรธจนตะโกนลั่น “ฟู่เฉินหวน!”ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้ว นัยน์ตาฉายแววหงุดหงิดขณะกล่าวเสียงเย็น “พาตัวนางไป”องครักษ์จับตัวลั่วชิงยวนแล้วลากออกไปฟู่เฉินหวนมองนางเป็นครั้งสุดท้ายด้วยสายตาเย็นชา “หากเจ้ายังท้าทายข้าอีก จะต้องมีคนตายมา่กกว่านี้แน่”แ
ครั้นลั่วชิงยวนถูกพากลับมายังเรือนพวกองครักษ์ก็ปล่อยตัวนาง นางจึงทรุดกายลงคุกเข่ากับพื้นด้วยความอ่อนล้า“พระชายา! พระชายา!”จือเฉารีบรุดเข้ามาประคอง แต่พลั้งมือไปโดนแขนนางเข้า จึงสะดุ้งโหยงรีบชักมือกลับ “พระชายา แขนของท่าน...”ลั่วชิงยวนยันกายลุกขึ้นโดยอาศัยจือเฉาพยุงเดินเข้าห้องไปอย่างเชื่องช้าเมื่อนั่งลงบนเก้าอี้ นางก็จับแขนข้างที่หักนั้นไว้พลางกัดฟันแน่นก่อนจะออกแรงดันกระดูกให้เข้าที่ความเจ็บปวดแล่นริ้วราวกับจะขาดใจ น้ำตาของนางแทบไหลรินจือเฉากลั้นน้ำตาไว้มิอยู่ “พระชายา... เหตุใดท่านอ๋องจึงโหดเหี้ยมเช่นนี้ ลงพระหัตถ์หนักหนาเกินไปแล้ว...”ทันใดนั้นลั่วชิงยวนก็รู้สึกเจ็บแปลบที่อกพลันไอออกมามิหยุด จือเฉารีบยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ เมื่อไอเสร็จ ลั่วชิงยวนก็พบว่าผ้าเช็ดหน้าเต็มไปด้วยเลือด...จือเฉาตกใจมาก “บ่าวจะไปตามซูโหยวให้ไปเชิญหมอหลวงมาเจ้าค่ะ”แต่ลั่วชิงยวนกลับบอกว่า “มิต้อง อย่าทำให้เขาเดือดร้อนเลย”หากฟู่เฉินหวนรู้ว่าซูโหยวช่วยนางคงจะโกรธมากเป็นแน่“แล้วแผลของพระชายาเล่าเจ้าคะ?”ลั่วชิงยวนรินน้ำชา “ยังมีสมุนไพรเหลืออยู่มิใช่หรือ แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว”จากนั้นนางก็หยิบส
ในชั่วพริบตา ลั่วชิงยวนก็รู้สึกเจ็บแปลบที่หลังเพราะถูกกดลงบนกำแพงเท้าของนางลอยขึ้นจากพื้นความรู้สึกหายใจมิออกทำให้นางดิ้นรนสุดกำลัง“ใครอนุญาตให้เจ้าเข้ามา! ใครอนุญาตให้เจ้าแตะต้องของของข้า!”ลั่วชิงยวนพยายามพูด “ฟู่เฉินหวน...”นางหายใจมิออกแล้วนัยน์ตาของฟู่เฉินหวนฉายแววเย็นชาขณะจับนางเหวี่ยงออกไปร่างลั่วชิงยวนตกกระแทกพื้นเสียงดังสนั่นกลิ้งไปหลายตลบแล้วกระอักเลือดออกมาอวัยวะภายในสั่นสะเทือน ปวดร้าวไปทั่วร่าง“ฟู่เฉินหวน ลั่วฉิงกับไทเฮาร่วมมือกัน สิ่งที่ไทเฮาให้ท่านอาจถูกลั่วฉิงปลอมแปลง จดหมายนั้นอาจเป็นของปลอมก็ได้!”ลั่วชิงยวนรีบอธิบายความคิดของตนเองฟู่เฉินหวนเดินเข้ามาด้วยความโกรธ เขาจับนางขึ้นมาแล้วมองนางด้วยสายตาเหี้ยมโหด “ถึงตอนนี้แล้วยังจะมาหลอกลวงข้าอีกรึ?”“ลายมือท่านแม่ของข้า ข้าจะจำมิได้เชียวหรือ!”พูดจบ ลั่วชิงยวนก็ถูกเหวี่ยงออกจากห้องร่างกระแทกพื้นหิมะแขนข้างหนึ่งถูกทับจนเกิดเสียงดังกร๊อบแขนหลุดจากข้อต่อแล้ว“โอ๊ย...” ลั่วชิงยวนร้องเสียงหลง หน้าซีดเผือดด้วยความเจ็บปวด เหงื่อเย็นผุดขึ้นเต็มไปหน้านางใช้มือข้างเดียวพยุงตัว พยายามลุกขึ้นอย่างยากล
ลั่วฉิงใช้เข็มทิศอาณัติสวรรค์มิเป็นด้วยฐานะของนาง เป็นไปมิได้ที่จะใช้มิเป็นลั่วชิงยวนเบิกตากว้างลั่วฉิงมิได้ใช้มิเป็น แต่ใช้มิได้ต่างหาก!นางพกเข็มทิศนี้ติดตัวมาตั้งแต่เด็ก อาจารย์บอกว่าเป็นของที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษของนางหลังจากที่นางตายแล้วเกิดใหม่เข็มทิศนี้ก็ยังคงติดตัวนางมา ย่อมมิใช่ของธรรมดาสามัญแน่นอนดังนั้น เข็มทิศนี้อาจจะยอมรับนางเป็นเจ้าของแล้ว คนอื่นจึงใช้มิได้เมื่อคิดได้ดังนั้น ลั่วชิงยวนก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้างลั่วฉิงได้เข็มทิศไปก็ไร้ประโยชน์ฟู่เฉินหวนถาม “หากไม่มีเข็มทิศนี้ เจ้าก็ทำนายอะไรมิได้เลยหรือ?”ลั่วฉิงยกยิ้ม “แน่นอนว่ามิใช่เช่นนั้น”“เช่นนั้นก็มิเห็นเป็นอะไร เจ้าแค่ทำนายสิ่งที่เจ้าทำนายได้ แล้วก็จะค่อย ๆ ได้รับความไว้วางใจเอง”ฟู่เฉินหวนมีสีหน้าเคร่งขรึม ขณะกล่าวเสียงเย็น “ข้าทะเลาะกับนางไปแล้ว หากจะหลอกลวงนางอีกก็ต้องแสร้งทำดีด้วย”“ข้ามิอยากทำเรื่องน่ารังเกียจเช่นนั้น”หัวใจของลั่วชิงยวนพลันเจ็บแปลบเขาบอกว่าการทำดีกับนางเป็นเรื่องน่ารังเกียจ...ลั่วชิงยวนรู้สึกเจ็บปวด นางกำเสื้อแน่น มิกล้าส่งเสียงแล้วค่อย ๆ เดินจากไปคำพูดเหล่านั้นดังก้อ
ลั่วชิงยวนที่ถูกขังไว้สองวันเริ่มรู้สึกอึดอัดราวกับถูกจองจำในคุกหิมะตกหนักติดต่อกันหลายวันยิ่งทำให้นางรู้สึกหดหู่เมื่อหิมะเริ่มเบาบางลงนางจึงออกมานั่งที่เก้าอี้ในเรือนสัมผัสกับความเย็นยะเยือกที่โปรยปรายลงบนใบหน้า“พระชายา ระวังจะเป็นหวัดนะเจ้าคะ”จือเฉานำกาน้ำชาอุ่นมาวางไว้บนโต๊ะข้าง ๆ แล้วรินใส่ถ้วยให้นางไอร้อนจากน้ำชาช่วยเพิ่มความอบอุ่นในวันหิมะตกอันหนาวเหน็บจือเฉานั่งอยู่ข้าง ๆ เหม่อมองท้องฟ้าด้วยความกังวล “พระชายา เหตุใดท่านอ๋องจึงใจร้ายกับท่านเช่นนี้เจ้าคะ”“ก่อนหน้านี้เป็นเพราะมีลั่วเยวี่ยอิงที่คอยยุแยง บัดนี้ลั่วเยวี่ยอิงก็ตายไปแล้ว เหตุใดท่านอ๋องจึงยังเป็นเช่นนี้ ระหว่างท่านอ๋องกับพระชายามีเรื่องเข้าใจผิดกันหรือเจ้าคะ?”ลั่วชิงยวนก็มิอาจเข้าใจได้เริ่มเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อใดกันตั้งแต่ที่นางถูกเฉินชีจับตัวไปบนเขาหรือไม่สิ น่าจะเริ่มตั้งแต่เรื่องของฟู่จิ่งหานตอนที่ฟู่เฉินหวนตัดสินใจจัดการกับฟู่อวิ๋นโจว เขาเข้าวังไปหลายวันแล้วเมื่อกลับมาก็หย่ากับนางแต่เกิดเรื่องอะไรขึ้นในวัง แม้แต่จักรพรรดิสูงสุดก็มิยอมบอกนางหรือบางทีอาจจะมิรู้เหมือนกันวันนี้แม่นมเติ้งเป
เขามีสีหน้าเย็นชาขณะกล่าวเสียงเรียบ “กลับตำหนักกับข้า”ลั่วชิงยวนนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งแล้วจึงให้จือเฉาเก็บข้าวของตามฟู่เฉินหวนออกจากวังเมื่อขึ้นรถม้า ฟู่เฉินหวนก็สั่งสารถีให้กลับตำหนักทันทีทั้งยังเร่งให้รีบกลับด้วยคิ้วที่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อยดูเหมือนจะหงุดหงิดอยู่รถม้าแล่นไปอย่างรวดเร็ว ลั่วชิงยวนถูกเขย่าโคลงเคลงจนตัวแทบปลิว แต่ก็ยังพยายามทรงตัว มิเอ่ยคำใดจนกระทั่งรถม้ามาถึงหน้าตำหนักลั่วชิงยวนจึงสังเกตเห็นรอยแดงบนใบหน้าของฟู่เฉินหวนนางยกมือขึ้น แตะใบหน้าเขาเบา ๆ “ใบหน้าของท่านเป็นอะไรไป?”ฟู่เฉินหวนคว้าข้อมือของนางไว้แล้วจ้องมองด้วยสายตาคมกริบ “มิใช่เพราะเจ้าหรอกรึ!”ลั่วชิงยวนชะงักไปชั่วพริบตานั้น ฟู่เฉินหวนก็กระชากนางลงจากรถม้าอย่างแรง ทำให้นางเกือบล้มนางเดินเซ แต่ก็ยังถูกฟู่เฉินหวนลากเข้าไปในตำหนักฟู่เฉินหวนเดินอย่างรวดเร็ว ทั้งร่างเต็มไปด้วยโทสะราวกับพยายามอดกลั้นมานานลั่วชิงยวนจึงตระหนักได้ว่าเขาคงถูกจักรพรรดิสูงสุดลงโทษมิเช่นนั้นรอยแดงบนใบหน้าเขาจะมาจากไหนเมื่อมาถึงลานด้านใน นางก็สะบัดตัวหลุดจากฟู่เฉินหวน“ท่านจะทำอะไร!”ทันใดนั้น ฟู่เฉินหวนก็บีบคางน
ผ่านไปครู่หนึ่ง เซิ่งไป่ชวนก็มาถึงลั่วชิงยวนพยุงตัวลุกขึ้นนั่งเซิ่งไป่ชวนเห็นเหงื่อเม็ดเล็ก ๆ บนหน้าผากนาง จึงเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “พระชายารู้สึกหนาวหรือไม่ขอรับ?”ลั่วชิงยวนกล่าวอย่างแผ่วเบา “ข้ามิเป็นอะไร มิต้องตรวจชีพจรแล้ว ข้าจะเขียนใบเทียบยาให้ เจ้าช่วยไปหยิบยาให้หน่อย”เซิ่งไป่ชวนพยักหน้า เขาย่อมเชื่อมั่นในฝีมือแพทย์ของลั่วชิงยวนจึงมิฝืนใจเพียงแต่กล่าวว่า “เห็นอาการของพระชายาทรงทรุดลงทุกวัน เกรงว่าจะเป็นเพราะความวิตกกังวล พระชายาควรปล่อยวางบ้าง”“เพื่อรักษาพระวรกายให้แข็งแรงขอรับ”ลั่วชิงยวนพยักหน้า “ขอบคุณหมอหลวงเซิ่ง”“ข้าจะระมัดระวัง”ขณะที่กำลังสนทนากัน ก็พลันได้ยินเสียงตวาดดังมาจากด้านนอก“ว่ากระไรนะ! สั่งลงไป ผู้ใดกล้าพูดถึงเรื่องนี้อีกให้ตัดหัวได้เลย!”ลั่วชิงยวนตกใจเล็กน้อยด้วยความสงสัย นางจึงสวมรองเท้าเดินออกไปจือเฉานำผ้าคลุมมาสวมให้นางเห็นจักรพรรดิสูงสุดกำลังโมโหอยู่ใต้ชายคา“เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือเพคะ?” ลั่วชิงยวนถามด้วยความอยากรู้จักรพรรดิสูงสุดกล่าวว่า “ไม่มีอะไร เจ้าไปพักผ่อนเถิด ข้ามิได้ดุใครมานานแล้วเลยลองฝึกฝนดู”จากนั้นจักรพรรดิสูงสุด