ในคุกใต้ดิน ในที่สุดลั่วชิงยวนก็ปล่อยมือจากนักฆ่าผู้นั้น จากนั้นนางก็ปล่อยให้เขาหลบหนีไปนางไล่ตามเขาไปจนสุดทางออกจากคุกใต้ดิน กระทั่งผ่านสวน แต่เมื่อนางไปถึงสวนหลังตำหนัก ร่างนั้นก็หายไปแล้วเขากำลังหนีออกจากตำหนัก!ขณะนี้มีกำลังคนไม่มากนักในตำหนักอ๋อง และไม่มีที่ไหนที่จะไล่ตามเขาไปได้ทว่า ในขณะนี้ที่ลานหน้าตำหนัก ซูโหยวกำลังกลับมาพร้อมกับคนของเขา เมื่อเขารู้ว่ามีนักฆ่าบุกเข้าไปในคุกใต้ดิน เขาก็รีบไปที่นั่นพร้อมกับคนของเขาในทันทีเขารีบเร่งไปยังส่วนที่ลึกที่สุดของคุกใต้ดิน ซึ่งมีนักฆ่าสำนักเทียนอิงอยู่ในห้องขังนั้น นักฆ่าได้อาเจียนออกมาเป็นเลือด จากนั้นเขาก็ล้มลงกับพื้นสีหน้าของซูโหยวเปลี่ยนไปอย่างมากฟู่เฉินหวนกังวลเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในตำหนักอ๋อง เช่นนั้นจึงขอให้เขารีบกลับทันที ทว่า เขาก็ยังช้าเกินไปหนึ่งก้าว“ผู้ใดมันกล้าบุกเข้ามายังตำหนักอ๋องเพื่อก่อเหตุฆาตกรรมเช่นนี้!” ซูโหยวขมวดคิ้ว สีหน้าของเขาแฝงไปด้วยความโกรธแค้นจากนั้นเขาก็ถามองครักษ์ประจำคุกใต้ดินทันทีว่า “วันนี้มีอะไรผิดปกติในตำหนักอ๋องหรือไม่?”องครักษ์ประจำคุกใต้ดินส่ายหน้า ก่อนจะลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพู
“นักฆ่าผู้นี้ถูกวางยาพิษจริง ๆ ยากที่จะรักษาเขาได้ ข้าทำได้เพียงให้เขามีชีวิตอยู่ได้สองหรือสามวันเท่านั้น หากเจ้าต้องการพยาน ควรรีบลงมือโดยเร็วที่สุด!”“ข้าไม่มีเวลามากพอที่จะอธิบายเรื่องราวให้เจ้าได้ฟังอย่างละเอียด นักฆ่าที่มาในวันนี้สวมหน้าปิดบังใบหน้าไว้ เขามีทักษะการต่อสู้ซึ่งแตกต่างอย่างมากกับสำนักเทียนอิงและสำนักวรยุทธเจียงฮู๋ เป็นไปได้ว่าตัวตนของคนผู้นี้นั้นไม่ธรรมดาเลย”“ข้าไล่ตามเขาไปที่สวนหลังตำหนัก แต่แล้วเขาก็หายตัวไป เขาน่าจะหนีออกจากตำหนักไปแล้ว เขาคงคิดว่านักฆ่าสำนักเทียนอิงตายแล้ว เราจะใช้โอกาสนี้จับพวกเขาโดยมิทันให้ได้ตั้งตัว”“ข้าจะเข้าวัง”หลังจากการอธิบายเรื่องทั้งหมด ลั่วชิงยวนก็ก้าวเดินมุ่งหน้าออกจากคุกใต้ดินซูโหยวหยิบบันทึกพยานหลักฐานจำนวนมากขึ้นมาดู ทันใดนั้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างมากพระชายาอ๋อง นางสามารถถามหลักฐานมากมายจากปากของนักฆ่าสำนักเทียนอิงได้เช่นไร!เมื่อครู่นี้เขายังสงสัยนางด้วยซ้ำไป!เมื่อเขาฟื้นคืนสติได้ ร่างของลั่วชิงยวนก็เดินจากไปแล้วจู่ ๆ ซูโหยวก็กำฝ่ามือของเขาแน่น ราวกับในใจของเขารู้สึกผิดเป็นอย่างมากเขาไล่ตามนางไปทันทีแต่ลั
หัวใจลั่วชิงยวนสั่นไหวอย่างรุนแรงไทเฮารู้ดีว่าบุคคลที่นางเชิญคือลั่วชิงยวน พระชายาอ๋องผู้สำเร็จราชการเห็นได้ชัดว่าไทเฮาก็รู้เรื่องนี้แล้วเช่นกันลั่วชิงยวนไม่ปิดบังอีกต่อไป “ใช่เพคะ!”ไทเฮายิ้มออกมาอย่างไม่อาจคาดเดาได้ จากนั้นนางจึงเงยหน้าขึ้นมองลั่วชิงยวน “เจ้ารู้หรือไม่พระชายาสถานะของเจ้าตอนนี้คืออะไร?”“ฟู่เฉินหวนเป็นผู้สืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์ และเมื่อเจ้าแต่งงานกับราชวงศ์ ทุกสิ่งที่เจ้าพูดไปจนถึงทุกการกระทำล้วนเป็นหน้าเป็นตาของราชวงศ์ ทว่า เจ้ากับไปที่หอนางโลมเพื่อเป็นนางรำ”“หากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป เกียรติยศและศักดิ์ศรีของราชวงศ์เทียนเชวียจะต้องเสื่อมเสียเพราะเจ้าใช่หรือไม่?”เสียงของไทเฮาเริ่มเย็นลงเรื่อย ๆ เต็มไปด้วยน้ำเสียงอันน่าเกรงขามในห้องโถงอันเงียบสงบแห่งนี้ และทำให้ผู้คนที่ได้ยินสั่นสะท้านด้วยความกลัวลั่วชิงยวนคุกเข่าลงบนพื้นพร้อมกับก้มศีรษะลงทันที คิ้วของนางขมวดมุ่น นางมิอาจเอื้อนเอ่ยคำพูดใดได้เลยไทเฮามองดูนางอย่างเย็นชา “เจ้าจะไม่พูดสิ่งใดเลยหรือ? เช่นนั้นแล้วเจ้าก็คงเข้าใจดีถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ใช่หรือไม่?”“ข้าควรลงโทษเจ้าเช่นไรกับความผิดเยี่ยงน
เมื่อเห็นนางรับขวดยา ไทเฮาก็เลิกคิ้วแล้วพูดว่า “นั่งลง”“จิ่นชู วันนี้ฝ่ายห้องเครื่องทำขนมหรือไม่? มอบให้ชิงหยวนได้ลิ้มลองสักชามสิ”“เพคะไทเฮา”คำสั่งอย่างกะทันหันของไทเฮาทำให้ลั่วชิงยวนรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยในไม่ช้า จิ่นชูก็นำขนมมา ลั่วชิงยวนจึงรับขนมแล้วกินเข้าไปสองสามคำแล้วพูดว่า “ไทเฮาเพคะ หม่อมฉันต้องกลับไปหาทางจัดการกับเรื่องนี้ แล้วเหตุใดจึงมิให้หม่อมฉันออกไปเพคะ?”ไทเฮาพยักหน้าเล็กน้อยลั่วชิงยวนจึงยืนขึ้นและทำความเคารพ ก่อนจะหันหลังกลับเพื่อจากไปทว่า ทันทีที่นางยืนขึ้น ขันทีก็รีบเข้ามาหาไทเฮาทันที ลั่วชิงยวนเหลือบมองไปด้านข้างจึงเห็นว่าขันทีพูดอะไรบางอย่างข้างหูของไทเฮาสีหน้าของไทเฮาเปลี่ยนไปกะทันหันจู่ ๆ ลั่วชิงยวนก็รู้สึกกังวลใจ นางจึงเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นในทันทีทว่า ทันทีที่นางไปถึงประตู จู่ ๆ เสียงของไทเฮาก็ดังขึ้นมาจากด้านหลัง “ชิงยวน”เสียงอันสง่างามนั้นทำให้หัวใจของลั่วชิงยวนสั่นสะท้าน“ตัวข้ามีอีกเรื่องจะบอกเจ้า มานี่สิ”เมื่อได้ยินเช่นนี้ ลั่วชิงยวนจึงกำขวดยาซึ่งอยู่ในฝ่ามือใต้แขนเสื้อไว้แน่นจิ่นชูกำลังเดินเข้ามาทันใดนั้น บรรยากาศก็ตึงเครียดทันทีลั่
ในที่สุดฟู่เฉินหวนก็เดินออกจากราชสำนัก ก่อนจะเห็นว่าซูโหยวยังคงรออยู่ข้างนอก เขาออกคำสั่งทันทีว่า “ไปตรวจสอบตามเนื้อหาคำให้การเหล่านี้ จะต้องได้รับหลักฐานการกระทำผิดทั้งหมด!”ซูโหยวพยักหน้า “กระหม่อมขอให้เซียวชูจัดการเรื่องนี้ไว้ก่อนที่จะเข้าวังหลวงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ฟู่เฉินหวนซึ่งกำลังอารมณ์ดีจึงเอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้าซักถามเบาะแสมากมายได้เช่นไรในเวลาอันสั้นเช่นนี้?”ในขณะที่ซูโหยวกำลังจะพูด ทันใดนั้น เขาก็สังเกตเห็น มหาราชาจารย์เหยียนเดินผ่านมา เขาจึงยกมือขึ้นปิดปากของตนเอาไว้เมื่อเขาและฟู่เฉินหวนเดินเข้าไปยังมุมร้าง ซูโหยวก็พูดอย่างรีบเร่งว่า “ท่านอ๋อง คำให้การเหล่านี้ล้วนได้มาจากพระชายา!”“ก่อนที่กระหม่อมจะเข้าไปในพระราชวัง ไทเฮาได้เรียกพบพระชายา จากนั้นก็ให้จิ่นชูจากพระตำหนักโช่วสี่มารับนางไป!”เมื่อได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าของฟู่เฉินหวนก็เปลี่ยนไปทันที “ว่ากระไรนะ! ไฉนเจ้ามิบอกข้าก่อนหน้านี้เล่า?!”ทันทีที่พูดจบ ฟู่เฉินหวนก็รีบมุ่งหน้าไปยังพระตำหนักโช่วสี่อย่างรวดเร็วเมื่อฟู่เฉินหวนมาถึงพระตำหนักโช่วสี่โดยเร็ว เขาก้าวเดินเข้าไปในห้องโถงอย่างแข็งกร้าว ทันใดนั้น เขาก็เห็นฉากกรอกยาพิ
ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้วพร้อมกับเหลือบมองซูโหยวทันที เช่นนั้นซูโหยวจึงรีบขอให้หมอออกไปก่อน จากนั้นก็พูดว่า “กระหม่อมจะไปเชิญหมอเพิ่มอีกสองสามคน”ซูโหยวเชิญหมอมาอีกหลายคน แต่ผลลัพธ์ก็เกือบจะเหมือนเดิมมีพิษอยู่ในร่างกาย แต่ในขณะนี้ ดูเหมือนจะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต ทว่าอาการบาดเจ็บนั้นร้ายแรงมากและจำเป็นต้องได้รับยา นอกจากนี้ นางยังต้องนอนอยู่บนเตียงเป็นเวลาครึ่งเดือนก่อนจึงจะเคลื่อนไหวได้ อีกทั้งยังต้องได้รับการดูแลอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษเช่นนั้นแล้วนอกจากยาที่หมอสั่งให้ในวันนี้ เหล่านางรับใช้ก็ยังนำสมุนไพรต่าง ๆ มากมายเข้ามาพร้อมทั้งตักน้ำมาขัดผิวปรนนิบัติให้นางเดิมทีลั่วชิงยวนต้องการลุกขึ้น แต่เมื่อมองดูผู้คนที่ยุ่งวุ่นวายทั้งภายในและภายนอกห้อง นางก็ไม่อยากลุกขึ้นทันทีนี่ไม่ใช่วิธีที่พระชายาควรได้รับการปฏิบัติหรอกหรือ?หลังจากกินจนอิ่ม ลั่วชิงยวนก็นอนหลับสนิทเมื่อถึงช่วงดึก ฟู่เฉินหวนก็เข้ามาในเรือนนอนเขานำขวดยารักษาบาดแผลคุณภาพสูงยื่นให้กับจือเฉา “เปลี่ยนยาให้นาง”จือเฉาตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดอย่างเชื่องช้า “ท่านอ๋อง บ่าวมิรู้ว่ายาใช้เช่นไรเพคะ?”ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้วด้วย
“เดี๋ยวก่อน!”ฟู่เฉินหวนผงะเล็กน้อย จากนั้นหลือบมองมือของนางที่จับมือของเขาไว้ลั่วชิงยวนรีบดึงมือของนางกลับแล้วเอ่ยว่า “อย่าสังหารนักฆ่าสำนักเทียนอิงผู้นั้นเลย”เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ฟู่เฉินหวนก็รู้สึกสับสน "เหตุใดเล่า? เจ้าบอกว่าเขาจะมีชีวิตเพียงสองหรือสามวันเท่านั้นมิใช่หรือ?"“เพคะ รอจนกว่าเขาจะตายลงไปเอง อย่าได้ประหารชีวิตเขาเลยเพคะ”แม้ว่าฟู่เฉินหวนจะไม่รู้เหตุผล แต่เขาก็ไม่ได้ถามคำถามใดอีกต่อไปและทำเพียงตอบรับเท่านั้น “ได้สิ”หลังจากพูดเช่นนั้นเขาก็หันหลังกลับและออกจากห้องไปหลังจากนั้นไม่นานจือเฉาก็กลับมาพร้อมรอยยิ้มที่สดใสบนใบหน้าของนาง ลั่วชิงยวนมองนางอย่างแปลกประหลาด“เจ้ายิ้มร่าด้วยเหตุใด?”จือเฉาก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับนอนลงข้างเตียง “บ่าวมีความสุขมากเจ้าค่ะ คราวนี้พระชายาได้รับบาดเจ็บ ท่านอ๋องก็มีทีท่าเป็นห่วงพระชายาอย่างแท้จริง!”“ไม่เพียงเท่านั้นท่านอ๋องยังมอบห้องนอนของพระองค์ให้กับพระชายาเพื่อการรักษาอาการบาดเจ็บด้วย!”“วันนี้ท่านอ๋องยอมทายาให้พระชายาด้วยซ้ำเจ้าค่ะ ท่านอ๋องจริงจังมากเพราะกลัวว่าจะทำให้พระชายาเจ็บอีกเจ้าค่ะ”แสงล้ำลึกทอประกายในดวงตาของลั่วชิงยวน
“เจ้ายังกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกหรือเปล่า? เจ้ายังสบายดีอยู่หรือไม่? เจ้าถูกวางยาพิษได้เช่นไร? หมอมาตรวจดูหรือยัง? หมอให้ยาถอนพิษเจ้าหรือไม่?” ลั่วอวิ๋นสี่ร้อนใจเป็นอย่างมากลั่วชิงยวนหัวเราะเบา ๆ “ไม่เคยเห็นเจ้าใส่ใจข้ามากเพียงนี้มาก่อนเลยหนา”ลั่วอวิ๋นสี่ก้าวไปข้างหน้า ก่อนจะนั่งลงแล้วพูดอย่างเย็นชา “ข้าเกรงว่าหากเจ้าตาย จะไม่มีใครช่วยข้าแก้แค้นต่างหากเล่า”“นี่! เจ้าบอกความจริงกับข้ามาเถอะ”ลั่วชิงยวนยิ้มและตอบว่า “หากข้ายังสามารถพูดคุยกับเจ้าได้อย่างง่ายดาย นั่นหมายความว่าข้าจะมิตายในเร็ววันนี้”“วันนี้ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า”เมื่อพูดเช่นนั้นแล้ว นางก็ขยิบตาให้จือเฉา จากนั้นจือเฉาก็ออกจากห้องไป นางยืนเฝ้าอยู่ข้างนอก“ไฉนเจ้าต้องระมัดระวังนัก?” ทันใดนั้นลั่วอวิ๋นสี่ก็เริ่มจริงจัง นางขยับเข้ามานั่งใกล้มากขึ้นโดยไม่รู้ตัว“ก่อนหน้านี้ ที่ข้าเคยบอกเจ้าว่า ข้าจะหาปรมาจารย์วรยุทธให้เจ้า บัดนี้ข้าพบเขาแล้ว เพียงแต่เขามิใช่มนุษย์ เช่นนั้นแล้วเจ้าจะรับได้หรือไม่?” ลั่วชิงยวนพูดอย่างตรงไปตรงมาลั่วชิงยวนอุทานด้วยความตกใจ “เจ้าหมายถึงอะไร? มิใช่มนุษย์?”“หากมิใช่มนุษย์ แล้วเป็นสิ
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน
คนของถูหมิงตายไปหมดแล้ว เหลือเพียงฉีเสวี่ยเวยเท่านั้นในขณะที่พวกเขาเดินทางไปยังถ้ำแห่งที่หกในคืนนั้นผลลัพธ์ที่ได้กลับน่าผิดหวังเพราะในถ้ำว่างเปล่า“ดูเหมือนว่าพวกเราจะมาช้าไปก้าวหนึ่ง”ถูหมิงขมวดคิ้ว “เหลืออีกหนึ่งชิ้น ทำอย่างไรดี? หรือว่าความพยายามทั้งหมดของเราจะสูญเปล่า?”พวกเขาวุ่นวายมาหลายวัน เดินทางไปเกือบทั่วทั้งภูเขาแล้วหากสมบัติหายไปเช่นนี้ เขาคงต้องฆ่าสตรีผู้นี้เป็นแน่!ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วครุ่นคิด แล้วกล่าวว่า “เหลืออีกหนึ่งชิ้นก็เหลืออีกหนึ่งชิ้น”“หาที่ปลอดภัยก่อน”จากนั้นพวกเขาก็มายังป่าที่ค่อนข้างสะอาด ไม่มีพุ่มไม้หรือวัชพืชหนาแน่นบนพื้นมากนัก ค่อนข้างโปร่งโล่งหีบทั้งห้าใบวางอยู่บนพื้นลั่วชิงยวนกล่าวว่า “เปิดหีบกันเถิด”ทันใดนั้นดวงตาของถูหมิงก็เป็นประกาย “เปิดได้หรือ?”เขาเห็นว่าบนหีบมีแต่อักขระสีเลือดปกคลุมอยู่ จึงยั้งมือไว้หลายครั้งแม้จะอยากเปิดก็ตามเมื่อได้ยินเช่นนี้จึงรีบเปิดหีบทันทีแต่เมื่อเปิดออกแล้ว ร่างกายของเขาก็แข็งทื่อไปศพ?!ทั้งยังเป็นศพที่ถูกชำแหละอีกด้วย?ฉีเสวี่ยเวยก็ตกใจกลัวลั่วชิงยวนกลับสงบสติอารมณ์ สั่งให้โฉวสือชีและคนใบ้ช่วย
“ใครกัน?!”ลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วตอบเสียงแผ่ว “ซูเซียง”“แต่ตอนนี้ควรเรียกนางว่าโหยวเซียง”“ภารกิจที่พวกเจ้าได้รับก็เป็นเพียงการละเล่นของนางเท่านั้น”“นางต้องการให้พวกเจ้าฆ่ากันเอง”และภารกิจหนังหน้าของหญิงงามที่ฉีเสวี่ยเวยได้รับ ก็คงเป็นการล่อลวงให้ฉีเสวี่ยเวยมาฆ่านางหากสามารถยืมมือคนอื่นฆ่าคนได้ โหยวเซียงก็มิจำเป็นต้องเปิดเผยตัวตนเพียงแต่โหยวเซียงคาดมิถึงว่าฉีเสวี่ยเวยจะฆ่านางมิได้ กระทั่งโหยวเซียงเองก็ฆ่านางมิได้“โหยวเซียงหรือ? นางเป็นคนของเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้หรือ?” ฉีเสวี่ยเวยมองนางอย่างมิเชื่อสายตา“มิแปลกใจเลย… นางท้องแก่ถึงเพียงนั้นยังกล้ามาที่นี่ได้”ลั่วชิงยวนเห็นว่าใกล้รุ่งสางแล้ว จึงให้โฉวสือชีแก้เชือกที่มัดฉีเสวี่ยเวยไว้“ข้าจะยังมิฆ่าเจ้าตอนนี้”“มิว่าเรื่องที่เจ้ากล่าวมาจะเป็นจริงหรือไม่ก็มิสำคัญ ข้าก็มิกลัวว่าเจ้าจะไปบอกเรื่องนี้กับถูหมิง”“หากเจ้าไปบอก เรื่องเดียวที่จะเป็นผลเสียต่อพวกข้าก็คือต้องแบกหีบเพิ่มอีกมิกี่ใบ”“เพียงเท่านั้น”มิใช่เรื่องคอขาดบาดตายที่นางทำเป็นร่วมมือกับถูหมิง ก็เพียงต้องการใช้คนของเขาไปขวางทางศพชายที่ถูกผนึกไว้ในถ้ำ
“แม้จะต้องยอมตายไปพร้อมกับถูหมิง ข้าก็ยินดี!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ตกตะลึง แต่ก็ยังคงสงสัยอยู่บ้าง“แต่เจ้าสนิทสนมกับถูหมิงถึงเพียงนั้น น่าจะมีโอกาสฆ่าเขาได้นับครั้งมิถ้วน”ฉีเสวี่ยเวยขมวดคิ้วแน่น ดวงตาแดงก่ำ “แท้จริงแล้วคนผู้นั้นระแวดระวังตัวมาก หากมิใช่เพราะต้องการลดความระแวดระวังของเขา ข้ากับชายมากหน้าหลายตาก็คงมิ...”เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ฉีเสวี่ยเวยก็เม้มริมฝีปากแน่นหลังจากกล้ำกลืนความรู้สึกแล้ว จึงกล่าวต่อ “ในป่าครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่เขาใกล้ชิดข้า เดิมทีตอนนั้นข้ามีโอกาสที่จะฆ่าเขาได้!”“แต่เจ้าปีศาจฝูเหมิ่งนั่นบังเอิญมาขวาง!”“หากมิใช่เพราะเขา ข้าคงทำสำเร็จไปแล้ว!”ฉีเสวี่ยเวยกัดฟันพูด เต็มไปด้วยความเคียดแค้นลั่วชิงยวนรู้สึกประหลาดใจ เมื่อเห็นสีหน้าของฉีเสวี่ยเวย ในดวงตาของนางเต็มไปด้วยความแค้น ดูมิเหมือนคนโกหกทำให้นางเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อฉีเสวี่ยเวยไปบ้างขณะที่ลั่วชิงยวนยังคงครุ่นคิด ฉีเสวี่ยเวยก็มองมาที่นาง “เจ้ายังมิเชื่อข้าหรือ?”“ขอเพียงเจ้าฆ่าถูหมิงได้ ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อเจ้า! ข้าจะบอกสิ่งที่เจ้าอยากรู้ทุกอย่าง!”ลั่วชิงยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ลั่วชิงยวนนอนนิ่งอยู่บนเตียง มิกล้าขยับกายทว่างูตัวนั้นกลับกัดข้อเท้านางอย่างแรงหนึ่งครั้ง จากนั้นก็รีบเลื้อยหนีไปรออยู่ครู่หนึ่ง ฉีเสวี่ยเวยเห็นว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ จึงเปิดประตูเข้ามานางมิอาจมั่นใจได้ว่าพวกคนใบ้จะกลับมาเมื่อใด จึงมิกล้าเสียเวลานานหลังจากปิดประตูอย่างระแวดระวังแล้ว นางก็มายังปลายเตียง จ้องมองข้อเท้าของลั่วชิงยวนอย่างละเอียด ปรากฏว่าถูกงูกัดจริง ๆ นางต้องตายเพราะพิษนี้แน่นอน!ทันใดนั้นเอง ฉีเสวี่ยเวยก็ชักกริชออกมาแล้วเดินไปยังหัวเตียง ค่อย ๆ จรดใบมีดลงบนใบหน้าของลั่วชิงยวนแต่ในพริบตานั้นเอง ลั่วชิงยวนก็ลืมตาขึ้นมาจ้องมองนางด้วยสายตาอาฆาตแค้นฉีเสวี่ยเวยพลันตกใจ แต่ก็มิได้หนีในทันที เพราะนางคิดว่าลั่วชิงยวนโดนพิษงูเข้าไปแล้ว อย่างไรก็ต้องตายอยู่ดีลั่วชิงยวนรีบคว้าข้อมือของฉีเสวี่ยเวยไว้เพื่อแย่งชิงกริชมาจากนางฉีเสวี่ยเวยก็ลงมือโจมตีเช่นกัน เพียงแต่นางคาดมิถึงว่าสตรีผู้นี้ที่ถูกพิษแล้วจะยังมีพละกำลังมากมายถึงเพียงนี้หลังจากทั้งสองต่อสู้กันครู่หนึ่งในห้อง ฉีเสวี่ยเวยก็พ่ายแพ้ ถูกลั่วชิงยวนจับกดไว้บนโต๊ะฉีเสวี่ยเวยตกใจมาก “เจ้า
“แน่นอน”“อีกอย่าง เมื่อหาของเหล่านี้ครบแล้วเมืองแห่งภูตผีทั้งเมืองก็จะเป็นของพวกเรา แล้วยังต้องขึ้นเขาไปเอาของเล็ก ๆ น้อย ๆ นั่นหาปะไร”คำพูดนี้กระตุ้นความโลภในใจของทุกคนที่อยู่ตรงนั้นอย่างมิต้องสงสัยพวกเขาจึงมิลังเลอีกต่อไป รีบติดตามลั่วชิงยวนไปยังเส้นทางเดิมตลอดทางยังมีงูมากมาย ลั่วชิงยวนก็หาสมุนไพรบางชนิดตลอดทางแล้วมอบให้ทุกคนผูกติดไว้บนตัวและทาตามเท้า เพื่อให้กลิ่นของสมุนไพรนั้นช่วยไล่งูดังนั้นการเดินทางของพวกเขาจึงราบรื่นดี เมื่อยามค่ำคืนมาเยือนพวกเขาก็ออกมาจากบ่อน้ำพุร้อนนั้นอีกครั้งพวกเขากลับมายังหมู่บ้านเดิมในช่วงกลางดึกสงัดในหมู่บ้านยังมีอาหารหลงเหลืออยู่ ดังนั้นทุกคนจึงหยุดพักกินอาหารกันก่อนเมื่อฟื้นฟูพละกำลังได้แล้วคนทั้งหมดก็ออกเดินทางต่อมาถึงสุสานเดิม ยามนี้วิญญาณอาฆาตเต็มไปทั่วทั้งภูเขา พลังหยินแผ่ซ่านไปทั่วเมื่อลั่วชิงยวนมาถึงที่แห่งนั้นก็พบว่าปากถ้ำเปิดออกแล้วมีคนกล่าวขึ้นว่า “วันนั้นฝูเหมิ่งก็มาที่นี่!”ลั่วชิงยวนตกใจเล็กน้อยเมื่อเข้าไปในถ้ำแล้ว ภาพที่ปรากฏด้านในนั้นมิเปลี่ยนแปลงมากนัก สิ่งที่เปลี่ยนไปเพียงอย่างเดียวคือโลงศพที่ถูกล่ามโซ่นั้นระเบ
เมื่อได้ยินดังนั้น ความโลภก็ปรากฏในดวงตาของถูหมิง ใครเล่าจะมิปรารถนาสมบัติของเมืองแห่งภูตผี เขาตอบตกลงในทันที “ได้”ลั่วชิงยวนกล่าวต่อว่า “แต่การนำของสิ่งนี้มาจะต้องเผชิญกับอันตรายบ้าง ดังนั้นอาจจะต้องมีคนของเจ้าสละชีวิต”“แต่คนมากก็แบ่งกันได้น้อย คนตายไปบ้างก็มิจำเป็นต้องสนใจความเป็นความตายของพวกเขา”“ความลับนี้ข้าบอกเพียงเจ้าเท่านั้น เจ้าอย่าได้แพร่งพรายให้ผู้ใดรู้เชียว”“โดยเฉพาะฉีเสวี่ยเวย”เมื่อได้ยินดังนั้นถูหมิงก็หันกลับไปมอง แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็มิเคยสนใจความเป็นความตายของคนเหล่านั้นอยู่แล้ว“หาได้มีปัญหาไม่!”ถูหมิงรับปากอย่างง่ายดาย แต่ลั่วชิงยวนกลับยังคงระแวดระวัง “ยังมีเรื่องที่ต้องบอกเจ้าอีกอย่าง กองทัพของเมืองแห่งภูตผีถูกพวกข้าปลุกปั่นแล้ว คาดว่าอีกมินานคงไล่ตามมา”“ก่อนที่จะหาของทั้งหกชิ้นพบ อย่าได้คิดที่จะทำสิ่งใดนอกเหนือจากนี้ ท้ายที่สุดแล้ว พวกเราต้องร่วมมือกันต่อสู้กับศัตรู หากถูกพวกมันจับได้คงไม่มีใครมีจุดจบที่ดี”สีหน้าของถูหมิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย มิคาดคิดว่าสตรีผู้นี้จะเก่งกาจมากถึงเพียงนี้ กระทั่งปลุกกองทัพของเมืองแห่งภูตผีขึ้นมาได้ดูเหมือนว่าสิ่งที่นางต้