“เดี๋ยวก่อน!”ฟู่เฉินหวนผงะเล็กน้อย จากนั้นหลือบมองมือของนางที่จับมือของเขาไว้ลั่วชิงยวนรีบดึงมือของนางกลับแล้วเอ่ยว่า “อย่าสังหารนักฆ่าสำนักเทียนอิงผู้นั้นเลย”เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ฟู่เฉินหวนก็รู้สึกสับสน "เหตุใดเล่า? เจ้าบอกว่าเขาจะมีชีวิตเพียงสองหรือสามวันเท่านั้นมิใช่หรือ?"“เพคะ รอจนกว่าเขาจะตายลงไปเอง อย่าได้ประหารชีวิตเขาเลยเพคะ”แม้ว่าฟู่เฉินหวนจะไม่รู้เหตุผล แต่เขาก็ไม่ได้ถามคำถามใดอีกต่อไปและทำเพียงตอบรับเท่านั้น “ได้สิ”หลังจากพูดเช่นนั้นเขาก็หันหลังกลับและออกจากห้องไปหลังจากนั้นไม่นานจือเฉาก็กลับมาพร้อมรอยยิ้มที่สดใสบนใบหน้าของนาง ลั่วชิงยวนมองนางอย่างแปลกประหลาด“เจ้ายิ้มร่าด้วยเหตุใด?”จือเฉาก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับนอนลงข้างเตียง “บ่าวมีความสุขมากเจ้าค่ะ คราวนี้พระชายาได้รับบาดเจ็บ ท่านอ๋องก็มีทีท่าเป็นห่วงพระชายาอย่างแท้จริง!”“ไม่เพียงเท่านั้นท่านอ๋องยังมอบห้องนอนของพระองค์ให้กับพระชายาเพื่อการรักษาอาการบาดเจ็บด้วย!”“วันนี้ท่านอ๋องยอมทายาให้พระชายาด้วยซ้ำเจ้าค่ะ ท่านอ๋องจริงจังมากเพราะกลัวว่าจะทำให้พระชายาเจ็บอีกเจ้าค่ะ”แสงล้ำลึกทอประกายในดวงตาของลั่วชิงยวน
“เจ้ายังกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกหรือเปล่า? เจ้ายังสบายดีอยู่หรือไม่? เจ้าถูกวางยาพิษได้เช่นไร? หมอมาตรวจดูหรือยัง? หมอให้ยาถอนพิษเจ้าหรือไม่?” ลั่วอวิ๋นสี่ร้อนใจเป็นอย่างมากลั่วชิงยวนหัวเราะเบา ๆ “ไม่เคยเห็นเจ้าใส่ใจข้ามากเพียงนี้มาก่อนเลยหนา”ลั่วอวิ๋นสี่ก้าวไปข้างหน้า ก่อนจะนั่งลงแล้วพูดอย่างเย็นชา “ข้าเกรงว่าหากเจ้าตาย จะไม่มีใครช่วยข้าแก้แค้นต่างหากเล่า”“นี่! เจ้าบอกความจริงกับข้ามาเถอะ”ลั่วชิงยวนยิ้มและตอบว่า “หากข้ายังสามารถพูดคุยกับเจ้าได้อย่างง่ายดาย นั่นหมายความว่าข้าจะมิตายในเร็ววันนี้”“วันนี้ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า”เมื่อพูดเช่นนั้นแล้ว นางก็ขยิบตาให้จือเฉา จากนั้นจือเฉาก็ออกจากห้องไป นางยืนเฝ้าอยู่ข้างนอก“ไฉนเจ้าต้องระมัดระวังนัก?” ทันใดนั้นลั่วอวิ๋นสี่ก็เริ่มจริงจัง นางขยับเข้ามานั่งใกล้มากขึ้นโดยไม่รู้ตัว“ก่อนหน้านี้ ที่ข้าเคยบอกเจ้าว่า ข้าจะหาปรมาจารย์วรยุทธให้เจ้า บัดนี้ข้าพบเขาแล้ว เพียงแต่เขามิใช่มนุษย์ เช่นนั้นแล้วเจ้าจะรับได้หรือไม่?” ลั่วชิงยวนพูดอย่างตรงไปตรงมาลั่วชิงยวนอุทานด้วยความตกใจ “เจ้าหมายถึงอะไร? มิใช่มนุษย์?”“หากมิใช่มนุษย์ แล้วเป็นสิ
จู่ๆ ประตูก็ถูกผลักให้เปิดออกฟู่เฉินหวนบุกเข้ามาในห้อง แต่เมื่อเขามองไปรอบ ๆ ก็ไม่เห็นใครนอกจากลั่วชิงยวนลั่วชิงยวนตกตะลึงทั้งคู่จ้องมองกันและกันฟู่เฉินหวนขมวดคิ้ว จากนั้นก็หันหลังกลับและจากไปลั่วชิงยวนไม่รู้ว่าเหตุใดเขาจึงทำเช่นนี้?หลังจากที่ฟู่เฉินหวนจากไป ซูโหยวก็รีบเชิญหมอหลวงมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นลั่วชิงยวนจึงขอให้เขาตรวจชีพจรของนางหลังจากตรวจชีพจรแล้ว ซูโหยวก็พาเขาไปโดยไม่พูดอะไรภายในห้องตำราหมอหลวงกล่าวด้วยความเคารพต่อฟู่เฉินหวน “ท่านอ๋อง พระชายามิได้ตั้งครรภ์พ่ะย่ะค่ะ”ฟู่เฉินหวนอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ท่านตรวจชีพจรของนางชัดเจนแล้วหรือยัง?”หมอหลวงตอบว่า “อย่าได้กังวลพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง กระหม่อมเป็นหมอหลวงมาหลายปีแล้วและได้วินิจฉัยชีพจรของเหล่าสนมในวังนับไม่ถ้วน กระหม่อมไม่มีวันตรวจชีพจรพลาดอย่างแน่นอนเด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ!”ฟู่เฉินหวนพยักหน้า ความสงสัยของเขาหายไปแล้ว แต่กลับมีความกังวลฉายชัดในดวงตาของเขา“มีอะไรผิดปกติเกี่ยวกับร่างกายและจิตใจของนางหรือไม่?”ฟู่เฉินหวนครุ่นคิดและพูดว่า “มียาตัวใดบ้างที่ทำให้มิอาจสังเกตเห็นอาการของพิษได้ในตอนแรกที่กิน
“เหอะ ข้าเคยเพลิดเพลินกับการปฏิบัติเช่นนี้ในตำหนักอ๋องตั้งแต่เมื่อใดกัน?” ลั่วชิงยวนอดมิได้ที่จะถอนหายใจ และเริ่มใช้ตะเกียบคีบอาหารจือเฉาพูดด้วยรอยยิ้ม “คราวนี้ท่านอ๋องได้ยึดครองหอร่ำเมลัยทั้งหมดแล้ว เช่นนั้นเขาจึงปิดหอและเชิญพ่อครัวผู้นี้มายังตำหนัก จากนี้ไปเขาจะทำอาหารให้พระชายาเพียงผู้เดียวเจ้าค่ะ”เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ลั่วชิงยวนก็ตกใจมาก “เขารับช่วงต่อหอร่ำเมลัยหรือ?”เยี่ยมมาก นางสามารถสร้างกำไรได้อีกแล้วนางครุ่นคิดขณะรับกินอาหาร “เช่นนี้ข้าต้องคิดว่าในอีกไม่กี่วันข้างหน้าข้าจะกินอะไร”ไม่กี่วันต่อมา ลั่วชิงยวนก็ได้รับการดูแลอย่างพิถิพิถัน อีกทั้งคนรับใช้ทุกคนในตำหนักอ๋องยังให้ความเคารพต่อนาง ไม่ว่านางต้องการอะไรหรืออยากกินอะไร เพียงแค่พูดทุกคนก็พร้อมตามใจนางแล้วหมอหลวงมาตรวจชีพจรของนางทุกวันและสั่งยาให้แก่นางฟู่เฉินหวนยังมาหานางทุกคืน เขานั่งลงแล้วคุยกับนางเกี่ยวกับความคืบหน้าเรื่องคดีตระกูลฝูฝูว่านเจิงและฝูจ้าวถูกประหารชีวิตด้วยกันทั้งคู่ และด้วยการสอบสวนเชิงลึกของฟู่เฉินหวนทำให้รู้ว่ายังมีอีกหลายคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้ไม่เพียงแต่เจ้ากรมกลาโหมเท่านั้น แต่ยังม
ในที่สุดซ่งเชียนฉู่ก็มาถึงแล้วเมื่อซ่งเชียนฉู่ปรากฏตัวอย่างปลอดภัยต่อหน้าต่อตานาง หัวใจอันหนักอึ้งที่ลั่วชิงยวนแบกอยู่ก็ผ่อนคลายลงได้ในที่สุด“ท่านได้รับบาดเจ็บเหมือนกันหรือ? ท่านเป็นเช่นไรบ้าง?” ซ่งเชียนฉู่เดินเข้ามาในห้องแล้วเอ่ยถามด้วยความกังวล ลั่วชิงยวนผงะเล็กน้อย “เหมือนกัน? มีใครได้รับบาดเจ็บอีกอย่างนั้นรึ? เมื่อเร็ว ๆ นี้เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า?"นางมองไปยังใบหน้าของซ่งเชียนฉู่ที่ค่อนข้างซีดเซียว“คนเหล่านั้นยังคงไล่ตามดีงูอย่างไม่ยอมแพ้ เวลานี้สถานการณ์แย่ลงเรื่อย ๆ ในครั้งนี้ข้าและเฉินเซี่ยวหานขึ้นไปเก็บสมุนไพรบนภูเขา แต่แล้วพวกเรากลับถูกซุ่มโจมตี”“ข้าไม่เป็นไร แต่เฉินเซี่ยวหานได้รับบาดเจ็บสาหัส พวกเราอาศัยอยู่ในหมู่บ้านมาระยะหนึ่งแล้ว วันนี้อาการบาดเจ็บของเฉินเซี่ยวหานหายดีขึ้นเล็กน้อย เช่นนั้นข้าจึงพาเขากลับมา”“ข้าได้ยินมาว่าตำหนักอ๋องกำลังตามหาข้า ข้าจึงวิตกกังวลยิ่ง”เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ท่าทีของลั่วชิงยวนก็ดูเคร่งขรึมขึ้นทันที นางครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “คนเหล่านั้นน่าจะเป็นคนของสำนักวรยุทธเจียงฮู๋ พวกเขาสูญเสียอำนาจไปมากในยามนี้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาจะส่งนักฆ่
หลังจากนั้นไม่นาน ลั่วอวิ๋นสี่ก็เข้ามาอย่างมีความสุข ลั่วชิงยวนมอบสิ่งที่นางเตรียมไว้ล่วงหน้าให้อีกฝ่าย ก่อนจะสอนวิธีใช้ให้นาง แม้ว่าลั่วอวิ๋นสี่จะลองพยายาม เตี่ยฉุยก็เข้าสู่ร่างของลั่วอวิ๋นสี่ได้อย่างราบรื่นเขารีบออกจากประตูด้วยความตื่นเต้นและชกต่อยอากาศอย่างดุเดือดลั่วชิงยวนมองดูเขาด้วยตาเป็นประกาย พละกำลังและการเคลื่อนไหวของเขานั้นช่างสมกับเป็นนักฆ่าจริง ๆ!นางยืนขึ้นและเดินไปที่ประตู ก่อนจะเห็นว่าลั่วอวิ๋นสี่กำลังฝึกมีดสั้นอยู่ในลาน รวมทั้งตัวของเตี่ยฉุยเองก็ไม่ได้สัมผัสถึงการเหยียบบนพื้นหินมาเป็นเวลานานแล้ว เขารู้สึกตื่นเต้นอย่างมากในขณะนี้ การเคลื่อนไหวของเขานั้นก็รุนแรงมากเช่นกันซ่งเชียนฉู่อุทานขึ้นว่า “ข้าไม่ได้เจอเจ้ามานานแล้ว นับว่าน่าแปลกใจจริง ๆ”“เป็นเรื่องยากที่จะหานักฆ่าที่มีวรยุทธสูงเช่นนี้”ลั่วชิงยวนยิ้มการถูกผู้อื่นควบคุมร่างกายทำให้ลั่วอวิ๋นสี่รู้สึกแปลกประหลาดและน่าขนลุก แต่ทว่า นางก็ปรับตัวได้อย่างรวดเร็วพร้อมทั้งเริ่มจดจำตำแหน่งการเคลื่อนไหวเหล่านี้ไว้ในใจลั่วชิงยวนเฝ้าดูอยู่ที่ประตูอย่างตั้งใจ จือเฉาจึงตัดสินใจยกเก้าอี้มาไว้ให้นาง ทว่า หลังจาก
ในเวลานี้ ลั่วเยวี่ยอิงก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า “หยุดพูดได้แล้ว”นางมองไปที่ลั่วชิงยวนอีกครั้งแล้วพูดว่า “พี่หญิง อย่าได้ถือสาสิ่งที่พวกนางพูดเลยเจ้าค่ะ”“หากพี่หญิงลดน้ำหนักได้เช่นนี้ ใบหน้านั่นก็ต้องหายได้ด้วยใช่หรือไม่?”การถามถึงใบหน้าของลั่วชิงยวนอย่างเปิดเผยเช่นนี้ ก็ดูคล้ายจงใจจะเน้นเรื่องใบหน้าอัปลักษณ์ของนางให้ผู้อื่นเอาไปเป็นประเด็น พลังการเย้ยหยันนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าคำพูดของผู้อื่นเลยลั่วอวิ๋นสี่ที่อยู่ด้านข้างอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาก่อนหน้านี้นางเย้ยหยันลั่วชิงยวนว่าอ้วนพอ ๆ กับหมู แต่เมื่ออีกฝ่ายผอมลงแล้ว นางกลับล้อเลียนอีกฝ่ายเรื่องใบหน้าอันอัปลักษณ์แทน เมื่อมองดูสีหน้าของคนที่กำลังชมการแสดงเหล่านั้น ความภาคภูมิใจซ่อนเร้นอยู่ในดวงตาของลั่วอวิ๋นสี่ ลั่วอวิ๋นสี่คาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าลั่วชิงยวนจะถอดหน้ากากของนางออกแล้วเผยใบหน้านั้นให้อีกฝ่ายได้เห็นทำให้พวกนางรู้สึกละอายใจและแสดงให้เห็นว่าพวกนางนั้นไร้สาระมากเพียงใด!“ข้ามิได้ต้องการให้เจ้ามาสนใจหน้าข้า” ลั่วชิงยวนตอบลั่วเยวี่ยอิงอย่างเย็นชาเมื่อนางเห็นท่าทีของลั่วเยวี่ยอิงเช่นนี้ นางก็รู้ทันทีว่าคำพูดข
ดวงตาของลั่วชิงยวนเปลี่ยนเป็นเย็นชา จากนั้นนางก็ตบอีกฝ่ายเต็มแรงโดยไม่ลังเลใจ เสียงตบดังลั่นชัดเจนทำให้ทั้งบริเวณเงียบลงในทันที“กล้าตีข้าหรือ!”สตรีผู้นั้นโกรธมากพร้อมทั้งรีบพุ่งไปข้างหน้าเพื่อต่อสู้กลับ แต่ถูกลั่วชิงยวนคว้าข้อมือของนางไว้ ก่อนจะผลักนางอย่างแรง ทำให้ร่างกายของนางร่วงหล่นจากศาลานางตกลงไปในสระน้ำทันที“อ๊ะ ช่วยด้วย!” สตรีผู้นั้นกระเสือกกระสน ทุกคนตกใจและลุกขึ้นยืนรวมตัวกันทันที แต่กลับไม่มีผู้ใดกล้ากระโดดลงไปช่วยนางคนรับใช้ของตำหนักรีบไปช่วยเหลือสตรีนางนั้นทันที แต่เมื่อนางได้รับการช่วยเหลือแล้ว ร่างกายของนางก็ไม่ขยับเขยื้อนแต่อย่างใดเลย“เอ่อ นางคงไม่ตายใช่หรือไม่?”ฝูงชนตื่นตระหนกเป็นอย่างมากคนรับใช้ตรวจสอบลมหายใจของอีกฝ่ายทันที สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก ก่อนที่เขาจะเอ่ยรายงานว่า "พระชายา นางไม่หายใจแล้ว!"“นางตายแล้วจริงหรือ?” ทุกคนอุทานด้วยความตกใจลั่วเยวี่ยอิงตกตะลึง ดวงตาของนางเบิกกว้างจ้องมองไปยังลั่วชิงยวนด้วยความไม่เชื่อ “พี่หญิง ท่านฆ่าคน!” “เหตุใดท่านจึงทำเช่นนี้ นางมีความผิดก็จริง แต่นางไม่ควรต้องมาจบชีวิตเช่นนี้!” ลั่วชิงยวนขมวดคิ้
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน
คนของถูหมิงตายไปหมดแล้ว เหลือเพียงฉีเสวี่ยเวยเท่านั้นในขณะที่พวกเขาเดินทางไปยังถ้ำแห่งที่หกในคืนนั้นผลลัพธ์ที่ได้กลับน่าผิดหวังเพราะในถ้ำว่างเปล่า“ดูเหมือนว่าพวกเราจะมาช้าไปก้าวหนึ่ง”ถูหมิงขมวดคิ้ว “เหลืออีกหนึ่งชิ้น ทำอย่างไรดี? หรือว่าความพยายามทั้งหมดของเราจะสูญเปล่า?”พวกเขาวุ่นวายมาหลายวัน เดินทางไปเกือบทั่วทั้งภูเขาแล้วหากสมบัติหายไปเช่นนี้ เขาคงต้องฆ่าสตรีผู้นี้เป็นแน่!ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วครุ่นคิด แล้วกล่าวว่า “เหลืออีกหนึ่งชิ้นก็เหลืออีกหนึ่งชิ้น”“หาที่ปลอดภัยก่อน”จากนั้นพวกเขาก็มายังป่าที่ค่อนข้างสะอาด ไม่มีพุ่มไม้หรือวัชพืชหนาแน่นบนพื้นมากนัก ค่อนข้างโปร่งโล่งหีบทั้งห้าใบวางอยู่บนพื้นลั่วชิงยวนกล่าวว่า “เปิดหีบกันเถิด”ทันใดนั้นดวงตาของถูหมิงก็เป็นประกาย “เปิดได้หรือ?”เขาเห็นว่าบนหีบมีแต่อักขระสีเลือดปกคลุมอยู่ จึงยั้งมือไว้หลายครั้งแม้จะอยากเปิดก็ตามเมื่อได้ยินเช่นนี้จึงรีบเปิดหีบทันทีแต่เมื่อเปิดออกแล้ว ร่างกายของเขาก็แข็งทื่อไปศพ?!ทั้งยังเป็นศพที่ถูกชำแหละอีกด้วย?ฉีเสวี่ยเวยก็ตกใจกลัวลั่วชิงยวนกลับสงบสติอารมณ์ สั่งให้โฉวสือชีและคนใบ้ช่วย
“ใครกัน?!”ลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วตอบเสียงแผ่ว “ซูเซียง”“แต่ตอนนี้ควรเรียกนางว่าโหยวเซียง”“ภารกิจที่พวกเจ้าได้รับก็เป็นเพียงการละเล่นของนางเท่านั้น”“นางต้องการให้พวกเจ้าฆ่ากันเอง”และภารกิจหนังหน้าของหญิงงามที่ฉีเสวี่ยเวยได้รับ ก็คงเป็นการล่อลวงให้ฉีเสวี่ยเวยมาฆ่านางหากสามารถยืมมือคนอื่นฆ่าคนได้ โหยวเซียงก็มิจำเป็นต้องเปิดเผยตัวตนเพียงแต่โหยวเซียงคาดมิถึงว่าฉีเสวี่ยเวยจะฆ่านางมิได้ กระทั่งโหยวเซียงเองก็ฆ่านางมิได้“โหยวเซียงหรือ? นางเป็นคนของเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้หรือ?” ฉีเสวี่ยเวยมองนางอย่างมิเชื่อสายตา“มิแปลกใจเลย… นางท้องแก่ถึงเพียงนั้นยังกล้ามาที่นี่ได้”ลั่วชิงยวนเห็นว่าใกล้รุ่งสางแล้ว จึงให้โฉวสือชีแก้เชือกที่มัดฉีเสวี่ยเวยไว้“ข้าจะยังมิฆ่าเจ้าตอนนี้”“มิว่าเรื่องที่เจ้ากล่าวมาจะเป็นจริงหรือไม่ก็มิสำคัญ ข้าก็มิกลัวว่าเจ้าจะไปบอกเรื่องนี้กับถูหมิง”“หากเจ้าไปบอก เรื่องเดียวที่จะเป็นผลเสียต่อพวกข้าก็คือต้องแบกหีบเพิ่มอีกมิกี่ใบ”“เพียงเท่านั้น”มิใช่เรื่องคอขาดบาดตายที่นางทำเป็นร่วมมือกับถูหมิง ก็เพียงต้องการใช้คนของเขาไปขวางทางศพชายที่ถูกผนึกไว้ในถ้ำ
“แม้จะต้องยอมตายไปพร้อมกับถูหมิง ข้าก็ยินดี!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ตกตะลึง แต่ก็ยังคงสงสัยอยู่บ้าง“แต่เจ้าสนิทสนมกับถูหมิงถึงเพียงนั้น น่าจะมีโอกาสฆ่าเขาได้นับครั้งมิถ้วน”ฉีเสวี่ยเวยขมวดคิ้วแน่น ดวงตาแดงก่ำ “แท้จริงแล้วคนผู้นั้นระแวดระวังตัวมาก หากมิใช่เพราะต้องการลดความระแวดระวังของเขา ข้ากับชายมากหน้าหลายตาก็คงมิ...”เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ฉีเสวี่ยเวยก็เม้มริมฝีปากแน่นหลังจากกล้ำกลืนความรู้สึกแล้ว จึงกล่าวต่อ “ในป่าครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่เขาใกล้ชิดข้า เดิมทีตอนนั้นข้ามีโอกาสที่จะฆ่าเขาได้!”“แต่เจ้าปีศาจฝูเหมิ่งนั่นบังเอิญมาขวาง!”“หากมิใช่เพราะเขา ข้าคงทำสำเร็จไปแล้ว!”ฉีเสวี่ยเวยกัดฟันพูด เต็มไปด้วยความเคียดแค้นลั่วชิงยวนรู้สึกประหลาดใจ เมื่อเห็นสีหน้าของฉีเสวี่ยเวย ในดวงตาของนางเต็มไปด้วยความแค้น ดูมิเหมือนคนโกหกทำให้นางเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อฉีเสวี่ยเวยไปบ้างขณะที่ลั่วชิงยวนยังคงครุ่นคิด ฉีเสวี่ยเวยก็มองมาที่นาง “เจ้ายังมิเชื่อข้าหรือ?”“ขอเพียงเจ้าฆ่าถูหมิงได้ ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อเจ้า! ข้าจะบอกสิ่งที่เจ้าอยากรู้ทุกอย่าง!”ลั่วชิงยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ลั่วชิงยวนนอนนิ่งอยู่บนเตียง มิกล้าขยับกายทว่างูตัวนั้นกลับกัดข้อเท้านางอย่างแรงหนึ่งครั้ง จากนั้นก็รีบเลื้อยหนีไปรออยู่ครู่หนึ่ง ฉีเสวี่ยเวยเห็นว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ จึงเปิดประตูเข้ามานางมิอาจมั่นใจได้ว่าพวกคนใบ้จะกลับมาเมื่อใด จึงมิกล้าเสียเวลานานหลังจากปิดประตูอย่างระแวดระวังแล้ว นางก็มายังปลายเตียง จ้องมองข้อเท้าของลั่วชิงยวนอย่างละเอียด ปรากฏว่าถูกงูกัดจริง ๆ นางต้องตายเพราะพิษนี้แน่นอน!ทันใดนั้นเอง ฉีเสวี่ยเวยก็ชักกริชออกมาแล้วเดินไปยังหัวเตียง ค่อย ๆ จรดใบมีดลงบนใบหน้าของลั่วชิงยวนแต่ในพริบตานั้นเอง ลั่วชิงยวนก็ลืมตาขึ้นมาจ้องมองนางด้วยสายตาอาฆาตแค้นฉีเสวี่ยเวยพลันตกใจ แต่ก็มิได้หนีในทันที เพราะนางคิดว่าลั่วชิงยวนโดนพิษงูเข้าไปแล้ว อย่างไรก็ต้องตายอยู่ดีลั่วชิงยวนรีบคว้าข้อมือของฉีเสวี่ยเวยไว้เพื่อแย่งชิงกริชมาจากนางฉีเสวี่ยเวยก็ลงมือโจมตีเช่นกัน เพียงแต่นางคาดมิถึงว่าสตรีผู้นี้ที่ถูกพิษแล้วจะยังมีพละกำลังมากมายถึงเพียงนี้หลังจากทั้งสองต่อสู้กันครู่หนึ่งในห้อง ฉีเสวี่ยเวยก็พ่ายแพ้ ถูกลั่วชิงยวนจับกดไว้บนโต๊ะฉีเสวี่ยเวยตกใจมาก “เจ้า
“แน่นอน”“อีกอย่าง เมื่อหาของเหล่านี้ครบแล้วเมืองแห่งภูตผีทั้งเมืองก็จะเป็นของพวกเรา แล้วยังต้องขึ้นเขาไปเอาของเล็ก ๆ น้อย ๆ นั่นหาปะไร”คำพูดนี้กระตุ้นความโลภในใจของทุกคนที่อยู่ตรงนั้นอย่างมิต้องสงสัยพวกเขาจึงมิลังเลอีกต่อไป รีบติดตามลั่วชิงยวนไปยังเส้นทางเดิมตลอดทางยังมีงูมากมาย ลั่วชิงยวนก็หาสมุนไพรบางชนิดตลอดทางแล้วมอบให้ทุกคนผูกติดไว้บนตัวและทาตามเท้า เพื่อให้กลิ่นของสมุนไพรนั้นช่วยไล่งูดังนั้นการเดินทางของพวกเขาจึงราบรื่นดี เมื่อยามค่ำคืนมาเยือนพวกเขาก็ออกมาจากบ่อน้ำพุร้อนนั้นอีกครั้งพวกเขากลับมายังหมู่บ้านเดิมในช่วงกลางดึกสงัดในหมู่บ้านยังมีอาหารหลงเหลืออยู่ ดังนั้นทุกคนจึงหยุดพักกินอาหารกันก่อนเมื่อฟื้นฟูพละกำลังได้แล้วคนทั้งหมดก็ออกเดินทางต่อมาถึงสุสานเดิม ยามนี้วิญญาณอาฆาตเต็มไปทั่วทั้งภูเขา พลังหยินแผ่ซ่านไปทั่วเมื่อลั่วชิงยวนมาถึงที่แห่งนั้นก็พบว่าปากถ้ำเปิดออกแล้วมีคนกล่าวขึ้นว่า “วันนั้นฝูเหมิ่งก็มาที่นี่!”ลั่วชิงยวนตกใจเล็กน้อยเมื่อเข้าไปในถ้ำแล้ว ภาพที่ปรากฏด้านในนั้นมิเปลี่ยนแปลงมากนัก สิ่งที่เปลี่ยนไปเพียงอย่างเดียวคือโลงศพที่ถูกล่ามโซ่นั้นระเบ
เมื่อได้ยินดังนั้น ความโลภก็ปรากฏในดวงตาของถูหมิง ใครเล่าจะมิปรารถนาสมบัติของเมืองแห่งภูตผี เขาตอบตกลงในทันที “ได้”ลั่วชิงยวนกล่าวต่อว่า “แต่การนำของสิ่งนี้มาจะต้องเผชิญกับอันตรายบ้าง ดังนั้นอาจจะต้องมีคนของเจ้าสละชีวิต”“แต่คนมากก็แบ่งกันได้น้อย คนตายไปบ้างก็มิจำเป็นต้องสนใจความเป็นความตายของพวกเขา”“ความลับนี้ข้าบอกเพียงเจ้าเท่านั้น เจ้าอย่าได้แพร่งพรายให้ผู้ใดรู้เชียว”“โดยเฉพาะฉีเสวี่ยเวย”เมื่อได้ยินดังนั้นถูหมิงก็หันกลับไปมอง แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็มิเคยสนใจความเป็นความตายของคนเหล่านั้นอยู่แล้ว“หาได้มีปัญหาไม่!”ถูหมิงรับปากอย่างง่ายดาย แต่ลั่วชิงยวนกลับยังคงระแวดระวัง “ยังมีเรื่องที่ต้องบอกเจ้าอีกอย่าง กองทัพของเมืองแห่งภูตผีถูกพวกข้าปลุกปั่นแล้ว คาดว่าอีกมินานคงไล่ตามมา”“ก่อนที่จะหาของทั้งหกชิ้นพบ อย่าได้คิดที่จะทำสิ่งใดนอกเหนือจากนี้ ท้ายที่สุดแล้ว พวกเราต้องร่วมมือกันต่อสู้กับศัตรู หากถูกพวกมันจับได้คงไม่มีใครมีจุดจบที่ดี”สีหน้าของถูหมิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย มิคาดคิดว่าสตรีผู้นี้จะเก่งกาจมากถึงเพียงนี้ กระทั่งปลุกกองทัพของเมืองแห่งภูตผีขึ้นมาได้ดูเหมือนว่าสิ่งที่นางต้