ฟ่านซานเหอตะลึงงันไปชั่วขณะ จากนั้นก็หันหลังเดินตามฟู่เฉินหวนไป เดิมทีลั่วชิงยวนรู้สึกหวาดระแวง แต่เมื่อนางเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ก็ค่อยถอนหายใจด้วยความโล่งอก พวกเขาต่างก้าวเดินเข้ามาในจวนมหาราชครู ทันทีที่นางเดินเข้ามาในจวนมหาราชครู นางก็ได้ยินลั่วเยวี่ยอิงเอ่ยกับลั่วหลางหลางว่า “ข้าเองก็รู้สึกเสียใจเรื่องการตายของอวิ๋นสี่ยิ่งนัก ถึงแม้ว่ายามนี้จะจับตัวมือสังหารได้แล้วก็ตามที แต่ข้ารู้สึกว่าเรื่องราวหาได้ง่ายดายเช่นนั้นไม่” “อวิ๋นสี่อาจล่วงเกินผู้ใดสักคนเข้าก็ได้” เมื่อลั่วหลางหลางได้ยินเช่นนี้เข้า นางก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอันมาก “ผู้ใดหรือ?” น้ำเสียงของลั่วเยวี่ยอิงฟังดูหนักหน่วง “ฝูเสวี่ยจากหอฝูเสวี่ยน่ะสิ อวิ๋นสี่บังเอิญเห็นนางคิดสังหารข้า ต่อมานางให้การเป็นพยานแทนข้าในศาลาว่าการ ข้าคิดว่านี่เป็นวิธีสังหารคนของนาง” “ครั้งที่สองพอนางถูกขอร้องเพื่อมาให้การเป็นพยานแทนข้าที่ศาลาว่าการ ก็เกิดเรื่องขึ้นในจวนมหาราชครู” ลั่วเยวี่ยอิงเริ่มร้องไห้ “ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของข้าเอง หากข้ามิได้ขอร้องให้นางให้การเป็นพยานแทนข้า นางก็คงมิต้องตาย” สีหน้าเศร้าโศกช่างแลดูสมจริงนัก
“หมู่นี้มีคนแปลกหน้าอยู่ในซีหยางบ้างหรือไม่? ที่เรือนมีกระไรน่าสงสัยหรือไม่?” “ตรัสให้ข้าดูแลหลางหลางให้ดี มิฉะนั้นพระองค์จะสังหารข้าทิ้งเสีย” เมื่อฟ่านซานเหอเอ่ยเช่นนี้ เขาก็กลืนน้ำลายด้วยความหวาดกลัวและเป็นกังวล ลั่วชิงยวนสัมผัสได้ถึงความหวาดกลัวของเขาผ่านทางสีหน้า ดูเหมือนว่าเขาจะถูกคำขู่ของฟู่เฉินหวนทำเอาหวาดกลัวแล้วจริง ๆ แต่นางก็มิคาดคิดว่าฟู่เฉินหวนจะเอ่ยเรื่องนี้กับฟ่านซานเหอขึ้นมาจริง ๆ “หมู่นี้ซีหยางสงบสุขดีหรือไม่เจ้าคะ?” ลั่วชิงยวนไถ่ถามด้วยความเป็นห่วง ฟ่านซานเหอผงกศีรษะ “ทุกอย่างเรียบร้อยดี ตระกูลของข้าเองก็มั่นคงยิ่งนัก ไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นหรอก” “เช่นนั้นก็ดี ถึงแม้ว่าหลางหลางจะเป็นคนตระกูลลั่วเพียงผู้เดียวที่เหลืออยู่ แต่ก็ใช่ว่านางจะไร้ผู้หนุนหลัง หากตระกูลของท่านบังอาจรังแกนาง ตำหนักอ๋องย่อมไม่ละเว้นท่านแน่!” ฟ่านซานเหอผงกศีรษะด้วยสายตาหวาดกลัว หลังจากนั้นสักพัก ลั่วหลางหลางก็เดินออกมา เห็นอยู่ชัด ๆ ว่ากำลังร้องไห้ “ท่านแม่ของข้าฝังไปแล้ว ข้าจะไปเยี่ยมท่าน” ฟ่านซานเหอรีบเข้าไปประคองนางแล้วกล่าวว่า “ข้าจักไปกับเจ้าด้วย” ลั่วหลางหลางมองมาที่ลั่
ยามนี้นางหาได้คิดจะมีบุตรกับฟ่านซานเหอแต่อย่างใดไม่ หรือบางทีวันหน้าก็อาจจะไม่ด้วย ฟ่านซานเหอถึงกับจิตใจสั่นสะท้านแล้วลดเสียงลง “หลางหลาง ข้าเองมิอยากทำเช่นนั้นเหมือนกัน ในใจข้ามีเพียงเจ้าและเจ้าก็จะเป็นเพียงผู้เดียวเสมอไป” “ข้าเองก็เกรงว่าสิ่งที่พวกเขาพูดจะฟังดูแสลงหูเกินไปและอาจทำให้เจ้าเสื่อมเสียชื่อเสียงเอาได้ ข้ามิอยากให้เจ้าได้รับความอยุติธรรม” ลั่วหลางหลางขมวดคิ้ว “ยามนี้ข้ามิอยากเอ่ยถึงเรื่องนี้ ตกลงหรือไม่?” ฟ่านซานเหอผงกศีรษะแล้วมิได้เอ่ยถึงเรื่องนั้นอีก …… เมื่อตกเย็น อู๋อิ่งก็ส่งข่าวมาบอกว่าวันนี้เซี่ยหว่านอยู่ที่เรือนตามลำพัง ส่วนสามีผู้นั้นของนางออกไปข้างนอกและยังไม่กลับมาที่เรือน ฉะนั้นค่ำคืนนี้ ลั่วชิงยวนจึงเปลี่ยนเป็นชุดที่เหมาะสมพลางสวมหน้ากากอันแสนอัปลักษณ์ของลั่วชิงยวนแล้วไปที่ถนนฝูลู่ ลั่วอวิ๋นสี่เองก็เปลี่ยนเป็นชุดดำแล้วสวมหมวกคลุมหน้าสีดำสนิท เมื่อมาถึงนอกเรือน นางก็ได้ยินเสียงไอของเด็กหญิงตัวน้อยดังขึ้นทางด้านใน เซี่ยหว่านร้อนใจเสียจนเอ่ยขึ้นมาว่า “อิงอิง อยู่บ้านดี ๆ นะ แม่จักออกไปซื้อยามาให้เจ้า” จากนั้นก็มีเสียงรื้อค้นหีบและตู้ในห้อง คงจะเ
“หากเจ้ากล้าลงมือก็ลองดูสิ” ลั่วชิงยวนใช้มือข้างหนึ่งจับตัวหวังอิง ส่วนมืออีกข้างถือเข็มเงินเอาไว้ เซี่ยหว่านมิทราบว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น แต่นางจวนจะร้องไห้อยู่แล้ว “ได้โปรดเถอะ หากเจ้าประสงค์สิ่งใดก็บอกข้ามา! แต่อย่าทำร้ายบุตรสาวของข้าเลย!” ลั่วเยวี่ยอิงก็เอ่ยข่มขู่ด้วยน้ำเสียงที่ฉายแววแค้นเคืองว่า “ลั่วชิงยวน เจ้ามันต่ำช้านัก! รีบปล่อยหวังอิงเสีย มิฉะนั้นวันนี้เจ้าไม่มีทางก้าวออกจากประตูบานนี้ไปได้แน่!” เมื่อทาสใบ้ได้ยินเสียง เขาก็รีบชักมีดสั้นออกมาแล้วมองพวกนางด้วยสายตาคุกคาม ราวกับว่าพร้อมจะสังหารพวกนางได้ทุกเมื่อ ลั่วชิงยวนยิ้มเยาะ “ข้ามาวันนี้ก็เพราะอยากจะล่วงรู้สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างมารดาของข้ากับหยวนซื่อ ข้าอยากทราบสาเหตุการตายของพวกนาง!” “เซี่ยหว่าน บุตรสาวของเจ้าเกิดมาทั้งอ่อนแอและติดพิษ เจ้ามีสามีเช่นนั้น ไม่เพียงแต่เจ้าจะโดนทรมาทรกรรม ทว่าบุตรสาวของเจ้าเองก็รู้สึกหวาดกลัวไปด้วย นางมิอาจใช้ชีวิตตามปกติได้เลย” “ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไป นางคงอยู่รอดได้ไม่เกินสามปี” “หากเจ้าบอกความจริงกับข้าล่ะก็ ข้าสามารถช่วยนางได้! ให้พวกเจ้าแม่ลูกได้หลุดพ้นจากบุรุษผู้นั้นไปตลอดกาล
“เซี่ยหว่าน สิ่งที่ข้าอยากจะรู้คือความจริงของเรื่องราว หาใช่ผู้ใดสังหารผู้ใดไม่” “เจ้าควรจะคิดให้ดี ๆ ก่อนพูด” เซี่ยหว่านคุกเข่าลงกับพื้นพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงร้อนใจว่า “สิ่งที่ข้ากล่าวมาเป็นความจริง พวกนางสองคนผู้หนึ่งเป็นฮูหยิน ส่วนอีกผู้หนึ่งเป็นอนุ พวกนางย่อมเข้ากันมิได้อยู่แล้ว” “เดิมทีนายท่านรักใคร่ฮูหยินใหญ่ ทว่าต่อมาเนื่องจากความสัมพันธ์ร้าวฉาน ต่อมานายท่านก็หลงรักหยวนซื่อแล้วรับหยวนซื่อเข้ามาเป็นอนุ” “ฮูหยินใหญ่มิอาจทนหยวนซื่อได้ นางจึงพาลเกลียดชังนายท่านไปด้วย” “ครั้งหนึ่งเกือบทำให้นายท่านต้องสังเวยชีวิตแล้ว” “เมื่อหยวนซื่อทราบเรื่องนี้เข้า นางกลับคุมแค้นและวางยาพิษฮูหยินใหญ่” “ถึงแม้ว่าพวกนางมิได้ต่อสู้กันอย่างดุเดือด แต่พวกนางก็หมายจะให้ตายกันไปข้างหนึ่ง” “ข้าก็มิทราบรายละเอียดมากไปกว่านี้แล้ว ที่ข้ารู้ก็มีเพียงเท่านี้!” หลังจากเซี่ยหว่านพูดจบ อีกฝ่ายก็ร่ำไห้วิงวอน “ได้โปรดอย่าทำร้ายบุตรสาวของข้า! ได้โปรดเถอะ!” เซี่ยหว่านมองไม่เห็นและมิทราบว่าลั่วชิงยวนปฏิบัติกับหวังอิงอย่างไร นางเป็นห่วงความปลอดภัยของบุตรสาวทั้งยังรู้สึกหวาดกลัวสุดขีดอีกด้วย เมื่อลั่วเย
มือที่กำลังเหวี่ยงอยู่กลางอากาศพลันหยุดชะงักลง เซี่ยหว่านวางค้อนแล้วคุกเข่าลงกับพื้น จากนั้นก็โน้มตัวไปที่ขอบเตียงแล้วเอื้อมมือไปสัมผัสเด็กน้อยบนเตียง “อิงอิง? อิงอิง เจ้าเป็นอันใดหรือไม่?” หวังอิงจับมือของเซี่ยหว่าน “ท่านแม่เจ้าค่ะ ข้ามิเป็นอันใด” “ข้าเพิ่งจะอาการกำเริบ แต่ยามนี้มิเป็นอันใดแล้ว” หวังอิงรีบอธิบายเพราะเกรงว่ามารดาจะเป็นห่วง เมื่อได้ยินว่าน้ำเสียงของเด็กน้อยหาได้มีอันใดผิดปกติ เซี่ยหว่านก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่ทันใดนั้นก็พลันรู้สึกตกตะลึงขึ้นมาทันที หวังอิงมักจะล้มป่วยทุกสองสามวัน ในฐานะที่เป็นมารดา นางย่อมล่วงรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี เมื่อก่อนทุกครั้งที่นางล้มป่วยจำเป็นต้องกินยาต้านพิษเพื่อบรรเทาอาการ ทว่ายามนี้กลับอาการดีขึ้นโดยมิต้องกินยาต้านพิษ ลั่วชิงยวนผู้นี้เก่งฉกาจเสียจนสามารถรักษาโรคของบุตรสาวตนได้จริง ๆ หรือ? แท้ที่จริงแล้ว ลั่วชิงยวนเองก็ทราบดีว่าอาการของหวังอิงมีสาเหตุมาจากพิษที่อยู่ในร่างกาย และเป็นเพราะพิษจึงทำให้อีกฝ่ายกลายเป็นเช่นนี้ ดูเหมือนว่าจะมียาต้านพิษอยู่ด้วย ดังนั้นสิ่งที่ควบคุมเซี่ยหว่านก็คือ พิษในตัวบุตรสาวของอีกฝ่าย แต่คร
ลั่วชิงยวนจิตใจสั่นสะท้านพลางขมวดคิ้ว เช่นนั้นเซี่ยหว่านก็รู้ว่านางจัดเตรียมคนมาคอยจับตามองนางอยู่ใกล้เรือนของตนเอง จากนั้นนางก็สั่งให้บุตรสาวไปขอความช่วยเหลือในตรอก “เกิดเรื่องอันใดขึ้น? หรือมารดาของเจ้าคิดหมายบอกอันใดข้า?” นางคิดว่าน่าจะเป็นสิ่งที่นางบอกกับเซี่ยหว่านเมื่อคืนนี้ที่ทำให้นางลังเลใจขึ้นมา หวังอิงหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมามอบให้นาง “ท่านแม่สั่งให้ข้ามอบให้ท่านเจ้าค่ะ” ลั่วชิงยวนรีบเปิดซองจดหมายทันที ในจดหมายเขียนเอาไว้ว่า ข้ารู้ว่าความจริงที่ท่านอยากจะรู้ สิ่งที่ข้าพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นคำโกหกจริง ๆ ข้าปิดบังเจ้ามิได้เลย หากท่านอยากจะรู้ความจริง ข้าก็มีเงื่อนไขเพียงข้อเดียวคือดูแลบุตรสาวของข้าด้วย ข้าเขียนเรื่องจริงทั้งหมดแล้วเก็บเอาไว้เฉพาะในที่ที่มีแต่บุตรสาวของข้าเท่านั้นที่รู้ หากท่านดูแลนางไม่ดี ข่มขู่นางหรือทำร้ายนาง ข้าจะทำลายของชิ้นนั้นเสีย หากท่านปฏิบัติกับการด้วยความจริงใจ ท่านก็จะได้ทุกอย่างที่ปรารถนา หลังจากอ่านจดหมายแล้ว ลั่วชิงยวนก็รู้สึกตื่นเต้นอยู่บ้าง แน่นอนว่าคำพูดเมื่อก่อนหน้านี้ของเซี่ยหว่านล้วนเป็นเท็จ ยามนี้นางจึงอยากรู้อย่างถึงที
ผู้ที่นอนอยู่บนพื้นคือเซี่ยหว่านที่เต็มไปด้วยบาดแผล โดยมีบาดแผลใหม่ปรากฏชัดตามใบหน้าและท่อนแขน ในขณะเดียวกัน ศพของนางกำลังนอนอยู่บนถนน เมื่อภาพนี้ ผุดขึ้นมาในหัวของลั่วชิงยวน ตอนนั้นเซี่ยหว่านสาบานว่าตนจะไม่เอ่ยวาจาโป้ปด มิฉะนั้นก็ขอตายโดยไร้ที่ฝัง ยามที่ภาพนี้วูบผ่านเข้ามาในหัวของนาง ลั่วชิงยวนเองก็รู้ว่าเซี่ยหว่านกำลังโกหก ทว่านางก็มิได้คาดคิดว่าผลกรรมจะสนองเร็วเช่นนั้น “ท่านแม่… ท่านแม่เจ้าคะ...” หวังอิงโผเข้าหาเซี่ยหว่านพลางร้องไห้คร่ำครวญด้วยความโศกเศร้า ลั่วชิงยวนเดินเข้ามาตรวจดูร่างกายของเซี่ยหว่าน เห็นอยู่ชัด ๆ ว่ามีบาดแผลตามใบหน้าและมือไม้ แต่บาดแผลกลับประหลาดนักเพราะมีความลึกไม่เท่ากัน ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนถูกผู้อื่นจัดการ แต่เหมือนนางจัดการตนเองเสียมากกว่า ริมฝีปากของอีกฝ่ายเขียวคล้ำและมีคราบโลหิตอยู่ตรงมุมปาก เมื่อนางง้างปากของเซี่ยหว่าน ก็มีโลหิตหยดลงมาจากปากของอีกฝ่ายและมีแสงเยียบเย็นส่องประกาย ลั่วชิงยวนรู้สึกตกตะลึง นั่นคือเข็มนี่! หวังฉินโหดเหี้ยมถึงเพียงนั้นเชียวหรือ? “ช่างเป็นสตรีที่น่าเวทนา นางแต่งงานกับคนผิดจนทำลายชีวิตของตนเอง มิหนำซ้ำยามนี้
“จะไม่มีฟู่จิ่งหานอีกต่อไปแล้วขอรับ”“คุณชายลองคิดดูเถิดขอรับว่าจะใช้นามว่าอะไรดี”ฟู่จิ่งหานตกตะลึงเมื่อได้ฟังดังนั้น เขารีบลงจากรถม้า กระโดดลงพื้นไปยืนชื่นชมทิวทัศน์หิมะอันกว้างใหญ่แล้วสูดอากาศที่หนาวเย็นแต่สดชื่นเขาหลับตาลง รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปาก“ดีจริง ๆ ในที่สุดก็หลุดพ้นจากกรงขังนั้นได้แล้ว”“ข้า... ไม่สิ ข้าต้องคิดแล้วว่าจะใช้นามว่าอะไรดี”พูดจบ สีหน้าของฟู่จิ่งหานก็พลันเปลี่ยนไปขณะถามว่า “เสินหลี เจ้านำเงินติดตัวออกมาด้วยหรือไม่?”เขารีบค้นตัวเสินหลีกลับพบเพียงถุงเงินใบเล็กเทออกมาดูแล้ว ปรากฏว่ามีเงินมิกี่ตำลึง“เสินหลี เจ้ามินำเงินออกมาด้วย จะปล่อยให้ข้าอดตายหรือ?”เสินหลียิ้มกว้าง “คุณชายวางใจเถิดขอรับ เสินหลีจะมิปล่อยให้คุณชายต้องหิวโหยแน่ขอรับ”ฟู่จิ่งหานมองเขาด้วยสายตาสงสัย “จริงหรือ? แต่ข้า... แต่ข้าทำอะไรมิเป็นเลย”เขาเคยชินกับการมีคนปรนนิบัติ จู่ ๆ จากจักรพรรดิกลายเป็นสามัญชน การไม่มีเงินติดตัวเลยทำให้เขารู้สึกมิสบายใจ“ข้าน้อยทำเป็นขอรับ ข้าน้อยทำได้ทุกอย่าง จะดูแลคุณชายให้ดีที่สุด!”ฟู่จิ่งหานจึงมิคิดมาก อย่างไรเสียก็ออกจากวังมาแล้วเขานั่งบนรถม้
เมื่อลั่วชิงยวนมาถึงพระตำหนักโช่วสี่ ไทเฮากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยสีหน้าซีดเซียวเตาไฟในห้องดับลงแล้ว ไทเฮานั่งอยู่เพียงลำพัง ดูโดดเดี่ยวอ้างว้างยิ่งนักลั่วชิงยวนสังเกตเห็นขวดยาบนโต๊ะสิ่งนี้น่าจะเป็นสิ่งที่ฟู่เฉินหวนนำมาให้จักรพรรดิสูงสุดมิคิดจะไว้ชีวิตไทเฮาแล้ว“ถึงตอนนี้แล้วก็ยังมิยอมแพ้ ยังหวังว่าเหยียนหน่ายซินจะช่วยตระกูลเหยียน มิเหมือนคนเพ้อฝันไปหน่อยหรือเพคะ”ลั่วชิงยวนนั่งลงตรงข้ามไทเฮาไทเฮามิได้โกรธแต่กลับยกยิ้มเศร้า “หากมิลองเสี่ยงดูจะยอมรับได้อย่างไร”“ครั้งนี้ข้าแพ้แล้ว”กล่าวจบ ไทเฮาก็เงยหน้าขึ้นมองลั่วชิงยวน “ก่อนตาย ข้าขอเจ้าเพียงสิ่งเดียว”“ขอหม่อมฉันหรือ? แปลกจริง” ลั่วชิงยวนหัวเราะเบา ๆไทเฮากล่าวอย่างมีเลศนัย “เจ้ารู้จักเจ๋อเฉิง ตอนที่เจ้าสังหารเจ๋อเฉิง เจ้าเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขา เจ้าคงตกใจมาก”“เจ้าน่าจะเป็นคนแคว้นหลีเช่นกัน”“มิใช่ลั่วชิงยวน บุตรีของจวนอัครเสนาบดี”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองไทเฮาไทเฮากล่าวต่อ “ความรู้สึกที่ข้ามีต่อเจ๋อเฉิงล้วนจริงแท้”“แม้ว่าจะมีเรื่องราวซับซ้อนมากมาย”“ข้ารู้ว่าข้าติดหนี้เขาตลอดชีวิต”“ข้าหวังเพียงว่า ชาติหน้า
ไทเฮาหรี่ตาลง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ถึงตอนนี้แล้วข้าจะทำสิ่งใดได้อีก ก็คงมีเพียงแต่หาทางออกให้กับชาติภพหน้าเท่านั้น”“เหยียนหน่ายซินมารายงานข้าอย่างเด็ดขาดเช่นนี้ ข้ายังหวังสิ่งใดได้อีก”น้ำเสียงของไทเฮาแฝงไปด้วยความสิ้นหวังฟู่เฉินหวนครุ่นคิด แล้วตอบว่า “ก็ได้”“มอบของให้กระหม่อม แล้วกระหม่อมจะให้ลั่วชิงยวนมาพบท่าน”ไทเฮาพยุงร่างตัวเองลงจากเตียงแล้วเดินไปยังมุมห้องเพื่อเปิดห้องลับฟู่เฉินหวนก้าวตามเข้าไป คบเพลิงในห้องลับถูกจุดขึ้น และส่องสว่างไปทั่วภายในห้องลับมีทรัพย์สมบัติมากมายไทเฮากล่าว “สิ่งเหล่านี้ เจ้าเอาไปได้ทั้งหมด”“อย่างไรเสีย ข้าก็ไม่มีบุญได้ใช้แล้ว”ไทเฮาพาฟู่เฉินหวนไปยังมุมห้องแล้วเปิดหีบใบใหญ่ ภายในมีสิ่งของสีดำมากมายทุกชิ้นล้วนมีร่องรอยของการถูกไฟไหม้สิ่งของเหล่านั้นล้วนเป็นข้าวของในวังหลัง“สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งเดียวที่มิได้ถูกไฟไหม้ สิ่งใดที่ขนย้ายได้ก็ขนย้ายมาทั้งหมด”ฟู่เฉินหวนมองร่องรอยการถูกไฟไหม้ ภาพเหตุการณ์อันน่าสยดสยองปรากฏขึ้นในมโนสำนึกเปลวไฟแผดเผาผู้คนมากมาย เต็มไปด้วยเสียงร้องโหยหวนและเสียงกรีดร้องนับมิถ้วนแต่พวกนางกลับหนีออกม
แต่การกระทำของเหยียนหน่ายซินครั้งนี้นับว่าชาญฉลาด นางตรงมาแจ้งให้จักรพรรดิสูงสุดทราบเองมิต้องพูดถึงว่า เหยียนหน่ายซินมิได้ต้องการให้ตระกูลเหยียนฟื้นคืนกลับมา ต่อให้นางต้องการก็ต้องคิดถึงตัวเอง อย่าให้ตำแหน่งฮองเฮาที่เพิ่งได้มาต้องหลุดมือไป“ตัวข้าทราบแล้ว เจ้ากลับไปเถิด”จักรพรรดิสูงสุดกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยหลังจากเหยียนหน่ายซินจากไป จักรพรรดิสูงสุดก็มีรับสั่ง “ไปเชิญอ๋องผู้สำเร็จราชการเข้าวัง ข้าต้องการพบเขา”ลั่วชิงยวนมิรู้ว่าจักรพรรดิสูงสุดจะทำอะไร แต่ก็เห็นแววตาแห่งความเหี้ยมโหดซ่อนเร้นอยู่เมื่อฟู่เฉินหวนมาถึง ลั่วชิงยวนก็ออกจากห้องไปรออยู่ที่ลานตำหนักหิมะโปรยปรายจากท้องฟ้า ทันใดนั้น หลี่ว์โม่ที่กำลังกางร่มก็มายืนอยู่ข้างหลังนาง แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “องค์หญิง โปรดรักษาสุขภาพด้วยพ่ะย่ะค่ะ”ลั่วชิงยวนหันไปมองเขามิรู้ว่าจักรพรรดิสูงสุดทรงหาคนพวกนี้มาจากที่ใด ดูท่าว่าจะติดตามนางจริง ๆ“พวกเจ้ามิต้องตามข้ามาหรอก ข้าจะกราบทูลองค์จักรพรรดิสูงสุดเอง ดูแล้วพวกเจ้าก็มิใช่คนธรรมดา หากออกไปแล้วย่อมมีหนทางของตัวเอง”“วันนี้ก็เก็บของออกจากวังกันเถิด”แต่หลี่ว์โม่กลับพูด
“องค์หญิง กระหม่อมชื่อจินเจา เชี่ยวชาญทั้งหมากรุก การขว้างลูกดอก การขี่ม้าและการยิงธนู หากองค์หญิงอยากจะออกไปเล่นสนุก กระหม่อมก็สามารถร่วมเล่นด้วยได้พ่ะย่ะค่ะ!”ชายหนุ่มทั้งสามมีบุคลิกลักษณะแตกต่างกัน แต่ล้วนมีรูปโฉมหล่อเหลายิ่งนักหลี่ว์โม่มีท่าทางสุภาพอ่อนโยน รอยยิ้มอบอุ่น มีกลิ่นอายของผู้แก่เรียนหลีฉีมีท่าทางรักอิสรเสรี ใบหน้าค่อนข้างเย็นชา แต่ดูแล้วก็รู้ว่ามีวรยุทธ์สูงส่งส่วนจินเจาเป็นชายหนุ่มที่ดูหยิ่งทะนง มิยึดติดในกฎเกณฑ์ลั่วชิงยวนพิจารณาดู แล้วเอ่ยด้วยความตกใจ “องค์จักรพรรดิสูงสุดทรงพาพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”ที่นี่คือวังหลวง หากมิใช่ขุนนาง คนภายนอกย่อมมิอาจเข้ามาได้ยิ่งเป็นการปรากฏตัวในห้องของนางด้วยหากมิได้รับอนุญาตจากจักรพรรดิสูงสุด ชายหนุ่มทั้งสามย่อมไม่มีทางที่จะทำเช่นนี้ได้“องค์หญิงทรงคาดเดาถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ องค์จักรพรรดิสูงสุดทรงส่งพวกเรามาปรนนิบัติองค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ”“เพียงแต่องค์จักรพรรดิสูงสุดทรงกำชับว่า ให้พวกเราแต่งกายเป็นองครักษ์เวลาเข้าออกวังพ่ะย่ะค่ะ”“ต่อไปพวกเราจะเป็นทหารองครักษ์ส่วนตัวขององค์หญิงเองพ่ะย่ะค่ะ”ลั่วชิงยวนตกใจ รีบโบกมือปฏิเสธ “ไม
ในยามที่สติเลือนราง ลั่วชิงยวนเห็นเงาร่างหนึ่งทรุดกายลงอุ้มนางขึ้น“ฟู่เฉินหวน… ในที่สุดท่านก็ยอมมาพบหม่อมฉัน...”ทว่าเสียงที่ดังขึ้นในวินาทีต่อมากลับทำให้นางรู้สึกสิ้นหวังอีกครั้ง“ข้าเอง ฟู่จิ่งหลี!”ฟู่จิ่งหลีมีสีหน้าเคร่งเครียด รีบอุ้มลั่วชิงยวนขึ้นรถม้าลั่วชิงยวนที่นอนอยู่บนรถม้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง “ท่านมาทำอะไรที่นี่”“หากข้ามิมา เจ้าคงแข็งตายอยู่หน้าประตูตำหนักแล้ว” ฟู่จิ่งหลีกล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนรนแล้วสั่งสารถี “เข้าวัง เร็วเข้า!”ลั่วชิงยวนดิ้นรนจะลงจากรถม้า “เรื่องของหม่อมฉัน ท่านอย่ามายุ่ง! หม่อมฉันมิเชื่อว่าเขาจะทนดูหม่อมฉันแข็งตายอยู่หน้าประตูตำหนักได้!”“หม่อมฉันเพียงต้องการคำอธิบาย!”ฟู่จิ่งหลีดึงนางกลับมา“ในเมื่อเขาตัดสินใจหย่ากับเจ้าแล้วก็จะมิเหลียวแล เขามักจะเด็ดขาดเช่นนี้มาโดยตลอด เจ้าจะดิ้นรนไปเพื่ออะไร”“ใช้ชีวิตอยู่ในวังมิดีหรือ”ฟู่จิ่งหลีก็รู้สึกอึดอัดใจลั่วชิงยวนรู้สึกหนักใจ นางมิรู้ว่าควรทำเช่นไรแล้วแต่นางรู้ว่าฟู่เฉินหวนมิใช่คนเช่นนั้นเพียงแต่นางมิรู้ว่าจะทำอย่างไร เขาจึงจะเปลี่ยนใจรถม้าแล่นเข้าวังลั่วชิงยวนถูกพากลับไปที่ตำหนักขอ
วิธีนี้ทำร้ายลั่วฉิงมิได้ในระยะสั้นยังไม่มีวิธีแก้ปัญหานี้ เขาจึงได้แต่ให้ลั่วชิงยวนอยู่ห่างจากเขาเพื่อความปลอดภัยลั่วชิงยวนก็ตามเขามาจนถึงหน้าประตูตำหนักอ๋องแต่ฟู่เฉินหวนกลับเดินเข้าประตูไป แล้วปิดประตูใส่หน้านางโดยมิหันกลับมามองลั่วชิงยวนมีสีหน้าอิดโรยซีดเซียว เมื่อมองภาพนั้น หัวใจเขาก็เจ็บปวดจนเกือบจะร้องไห้ออกมาเขารู้ว่านางตามมาตลอดนางมิยอมแพ้ ยังคงเข้าตำหนักทางประตูหลังแล้วตรงไปที่ห้องตำรานางรับใช้และทหารองครักษ์ที่พบเห็นต่างตกใจ แต่ก็ไม่มีใครขัดขวางเมื่อมาถึงหน้าห้องตำรา ลั่วชิงยวนก็เอ่ยขึ้น “ฟู่เฉินหวน อย่าหลบหน้าหม่อมฉัน มีเรื่องอะไร พวกเรามาพูดกันให้ชัดเจน!”ฟู่เฉินหวนตกใจ เดินไปเปิดประตูแล้วมองนางด้วยสายตาเย็นชา “เจ้าตามเข้ามาในตำหนักได้อย่างไร”“ลั่วชิงยวน ข้าพูดชัดเจนแล้ว ข้าหย่ากับเจ้าแล้ว มิอยากเจอเจ้าอีก!”กล่าวจบ เขาก็ตะโกนเสียงดัง “ใครก็ได้!”“ไล่ลั่วชิงยวนออกไป! เอาข้าวของของนางไปทิ้งให้หมด!”“หากผู้ใดกล้าให้นางเข้าตำหนักอีก ข้าจะมิละเว้น!”จากนั้นองครักษ์ก็เข้ามา ทำท่าทางเชิญ “เชิญเถิดขอรับ”ลั่วชิงยวนมองฟู่เฉินหวนด้วยความเสียใจ “ท่านจะผลัก
ฟู่อวิ๋นโจวมิยอมแพ้แม้แต่น้อยจักรพรรดิสูงสุดก็ตกใจมาก ฟู่อวิ๋นโจวเหมาะสมที่จะเป็นจักรพรรดิมากกว่าฟู่จิ่งหานจริง ๆ เขามีบารมีและความกล้าหาญต่อหน้าตัวเขาเองก็ยังกล้าที่จะยืนหยัดในสิ่งที่ตนเองคิด มิยอมแพ้เพียงแต่เรื่องของลั่วชิงยวนนั้นมิอาจตามใจเขาได้ก่อนที่จักรพรรดิสูงสุดจะกล่าว ลั่วชิงยวนก็ลุกขึ้นด้วยความมิพอใจ “แม้ท่านจะต้องการ หม่อมฉันก็จะมิแต่งงานกับท่าน”“หากท่านยังยืนยันที่จะออกพระราชโองการนี้ สิ่งที่ท่านจะได้ก็มีเพียงแค่ศพของหม่อมฉันเท่านั้น”ลั่วชิงยวนเห็นว่าแม้แต่จักรพรรดิสูงสุดก็ห้ามฟู่อวิ๋นโจวมิได้ จึงกล่าวคำรุนแรงออกมาฟู่อวิ๋นโจวตกใจ มีสีหน้าโกรธเคือง “เหตุใดจึงมิยอมให้โอกาสข้าอีกสักครั้ง? เจ้ายังให้โอกาสฟู่เฉินหวนตั้งหลายครั้ง”“เหตุใดข้าทำผิดเพียงครั้งเดียวก็ไม่มีโอกาสแก้ตัวอีกแล้ว ลั่วชิงยวน เหตุใดเจ้าจึงมิยุติธรรมกับข้าบ้าง?”ดวงตาของฟู่อวิ๋นโจวแดงก่ำ เล็บจิกเข้าไปในฝ่ามือแน่นลั่วชิงยวนชะงักแล้วมองเขาอย่างจริงจัง “เรื่องนี้มิเกี่ยวกับว่าทำผิดหรือไม่ ตั้งแต่ต้นจนจบ หม่อมฉันถือว่าท่านเป็นเพียงสหาย”“แม้ว่าพวกเราจะยังมีความสัมพันธ์กันเหมือนเดิม หากท่านจะรั
เหยียนหน่ายซินแย้มยิ้ม “มิเคยมีสิ่งใดที่ข้าต้องการแล้วมิได้”“ที่ได้ทุกสิ่งทุกอย่างมาครองในวันนี้ ก็ต้องขอบคุณเจ้าที่ปฏิเสธข้าครั้งแล้วครั้งเล่า”ลั่วชิงยวนยกยิ้มจาง “มิเป็นอะไร”“เพียงแต่ตำแหน่งฮองเฮานั้นมิใช่ตำแหน่งที่จะครองได้ง่าย ๆ เช่นกัน”เหยียนหน่ายซินหัวเราะอย่างมั่นใจ “ข้าไร้ซึ่งความรัก ไร้ซึ่งความผูกพัน ย่อมมิถูกเรื่องเหล่านั้นรบกวน ตำแหน่งฮองเฮานั้นไม่มีสิ่งใดที่ควบคุมมิได้”“ข้ามิเหมือนเจ้าที่จมปลักอยู่กับความรัก”ลั่วชิงยวนมิใส่ใจ เพียงแค่หัวเราะเบา ๆ “ความปรารถนาของมนุษย์นั้นไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อเจ้าได้ตำแหน่งฮองเฮาแล้วก็จะอยากได้มากขึ้นไปอีก”“ข้ายอมรับในความโหดเหี้ยมและเล่ห์เหลี่ยมของเจ้า หวังว่าเจ้าจะทำตามที่พูดและเป็นฮองเฮาที่ดีได้”“ฟู่เฉินหวนมิได้มีใจคิดอยากได้บัลลังก์ ขอให้เจ้าเมตตาปล่อยเขาไปเถิด”เหยียนหน่ายซินยกยิ้ม “ถึงตอนนี้ เจ้าก็ยังคงคิดถึงเขา”“ฟู่อวิ๋นโจวเพิ่งขึ้นครองราชย์ เขายังไม่มีฐานอำนาจในราชสำนัก แคว้นเทียนเชวียเพิ่งผ่านความวุ่นวาย ยังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องทำ”“ตอนนี้แคว้นเทียนเชวียยังขาดฟู่เฉินหวนมิได้ พวกข้าจะมิทำอะไรเขา”“วันนี้ที่ข้ามาก็