“หยวนซื่อมิได้เป็นผู้ทำนายหญิงใหญ่ตาย กลับเป็นนายหญิงใหญ่เสียมากกว่า ที่วางพิษใส่หยวนซื่อเป็นเวลานาน จนทำนางต้องตาย!”ทันทีที่ประโยคนี้ถูกพูดออกมา ร่างของลั่วชิงยวนสั่นคลอนเป็นไปได้อย่างไร!นางอาจมิรู้จักแม่ของลั่วชิงยวน แต่นางรู้จักอาจารย์เป็นอย่างดีอาจารย์จะทำร้ายผู้อื่นได้อย่างไร!“เมื่อนั้นเรื่องนี้ มิถือเป็นความลับ แม้จะถูกนายท่านปิดข่าว แต่ด้านนอกก็ยังมีคนลือกัน”“หลาย ๆ คนต่างรู้ ภรรยาและอนุหลังเรือนอัครมหาเสนาบดีสู้กันจนเสียชีวิตตาม ๆ กัน”“แต่ความจริงคือ หยวนซื่อนิสัยอ่อนโยน ยอมก้มหัวเป็นอนุอยู่ภายในจวนอัครมหาเสนาบดี ใช้ชีวิตกล้า ๆ กลัว ๆ พยายามไม่มีเรื่องกับผู้อื่น กลับเป็นนายหญิงใหญ่มากกว่าที่ใช้ตำแหน่งภรรยาเอกของตน รังแกหยวนซื่อไปไม่น้อย“รายละเอียดนั้นข้ามิรู้ แต่การตายของนายหญิงใหญ่ นางทำตัวเองทั้งนั้น!”“หลังนางตายได้ไม่นาน พิษของหยวนซื่อก็กำเริบ เชิญท่านหมอมาจึงรู้ว่านางถูกวางยาเป็นเวลานาน นายหญิงใหญ่ได้ตายไปแล้ว จึงไร้ยาถอนพิษ”“ทำได้เพียงมองหยวนซื่อตายเพราะพิษกำเริบไปต่อหน้าต่อตา!”เมื่อเซี่ยหว่านพูดถึงตรงนี้ นางควบคุมอารมณ์มิได้อีกร้องไห้โอดครวญออกมา
ลั่วชิงยวนยิ้มพลางปล่อยตัวทาสใบ้โดยมิได้กล่าวอันใด จากนั้นก็เดินออกไปจากเรือน เมื่อเห็นว่านางออกไปแล้ว ลั่วเยวี่ยอิงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วรีบช่วยเข้าไปช่วยประคองทาสใบ้ให้ลุกขึ้น หลังจากเดินออกมาจากเรือน เสียงขิงลิ่นฝูเสวี่ยก็ดังขึ้น "ข้ามิคาดคิดเลยว่าเจ้าจะหาเงื่อนงำจากข่าวที่ข้าบอกเจ้าได้มากมายถึงเพียงนั้น" “ท่านเซียนน้อยช่างมิธรรมดาสามัญจริง ๆ” “แต่ข้ากลับไม่เชื่อหรอกว่ามารดาของท่านจะทำร้ายมารดาของลั่วเยวี่ยอิง” “ถึงแม้ว่ามารดาของท่านจะมีอุปนิสัยดื้อรั้นดันทุรัง แต่นางมิเคยรังแกผู้อ่อนแอ มิหนำซ้ำนางถึงขนาดดูแคลนการกระทบกระทั่งในเรือนเสียด้วยซ้ำไป มารดาของท่านหาใช่คนเช่นนั้นไม่” ลั่วชิงยวนยิ้ม “ข้ารู้” “หลังจากเซี่ยหว่านให้นางลั่นคำสัตย์สาบาน หลังจากคำสัตย์สาบานของนางกลายเป็นความจริง ข้าก็ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับนาง เพราะนางกำลังโกหก” เมื่อลิ่นฝูเสวี่ยได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกประหลาดใจ “แม่นถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?” “ดูเหมือนว่าคำสัตย์สาบานเช่นนี้มิอาจพูดส่ง ๆ ได้เลย” “แต่ในเมื่อท่านรู้ว่านางกำลังโกหกอยู่แท้ ๆ ไฉนท่านจึงมิเปิดโปงนางเสียเล่า?” ลั่วชิงยวนตอบว่า “เ
เมื่อเว่ยอวิ๋นเสี่ยและคนอื่น ๆ เห็นลั่วอวิ๋นสี่เดินเข้ามา พวกนางก็เห็นบุรุษผู้หนึ่งตามนางมาด้วย พวกนางจึงแค่นเสียงด้วยท่าทีไม่พอใจ “ข้ามิสนใจหรอกว่าวันนี้จะเป็นงานอันใด หากมีแต่นางรำจากหอนางโลมก็แล้วไปเถิด แต่ยามนี้ถึงกับมีนักเลงด้วย” “ข้ามิลดตัวไปนั่งกับคนพรรค์นั้นหรอก” หลังจากเว่ยอวิ๋นเสี่ยพูดจบ นางก็หันหลังเดินจากไป คนอื่น ๆ เองก็ออกไปจากสวนเซียงอู๋พร้อมกับเว่ยอวิ๋นเสี่ยด้วย หลังจากลั่วชิงยวนเห็นพวกนางจากไปแล้ว สายตาของนางก็ทอดมองมายังบุรุษที่อยู่ข้างหลังลั่วอวิ๋นสี่ สวีซงหย่วน คาดไม่ถึงเลยว่า ลั่วอวิ๋นสี่ยังอยู่กับสวีซงหย่วน เขาคิดจะทำอันใดกันแน่? ยามนี้จวนมหาราชครูต่างล้มหายตายจาก เหลือเพียงฮูหยินลั่วที่เจ็บป่วยกระเสาะกระแสะ เขาจะได้อันใดอีกหรือ? ทว่าเขาก็ยังคิดจะหลอกลั่วอวิ๋นสี่ให้ได้ “พี่สวี อย่าไปถือสาคำพูดของพวกนางเลย ท่านหาใช่นักเลงไม่ เพียงแต่ว่าพวกนางไม่รู้ก็เท่านั้น!” ลั่วอวิ๋นสี่เองก็หันมาปลอบโยนสวีซงหย่วน สวีซงหย่วนมองลั่วอวิ๋นสี่พลางยิ้มด้วยท่าทีรักใคร่ “ข้ามิสนใจหรอกว่าผู้อื่นคิดกับว่าเช่นใด เจ้ารู้ว่าข้าเป็นคนเช่นไรก็พอแล้ว” ลั่วอวิ๋นสี่แย้มยิ้มพ
หลังจากนั้นไม่นาน ลั่วเยวี่ยอิงก็เดินเข้ามาพร้อมขนมจานใหม่ “คราวนี้เป็นขนมกุ้ยฮวา(1)ที่ข้าลงทุนขอร้องให้พ่อครัวแห่งเรือนเยวี่ยอิงทำขึ้นโดยเฉพาะ ทุกท่านต้องชิมให้ได้นะเจ้าคะ!” เมื่อลั่วเยวี่ยอิงพูดจบ ขนมก็ถูกจัดวางในลำธารแล้วถูกหยิบไปคนละชิ้น ๆ เมื่อถึงทีของลั่วชิงยวนก็เหลือเพียงชิ้นสุดท้าย นางจึงมิได้เอื้อมมือไปหยิบ “แม่นางฝูเสวี่ย เจ้ามิชอบหรือ?” ลั่วเยวี่ยอิงยิ้มพลางมองมาที่นาง เดิมทีหามีผู้ใดให้ความสนใจลั่วชิงยวนที่อยู่ ณ มุมหนึ่ง แต่เมื่อลั่วเยวี่ยอิงเอ่ยขึ้นมาเช่นนี้ หลาย ๆ คนจึงหันมาให้ความสนใจทันที ลั่วชิงยวนหยิบขนมกุ้ยฮวามาอังใต้มูกแล้วสูดดม จากนั้นกลิ่นโอสถจาง ๆ ก็ลอยเข้าจมูกของนาง ลั่วเยวี่ยอิงกำลังมองนางอยู่ ลั่วชิงยวนยกแขนขึ้นบดบังใบหน้าพลางขยับหน้ากาก จากนั้นก็กัดขนมกุ้ยฮวากลิ่นหอมหวานเข้าไปคำหนึ่งแล้ววางกลับไปบนจาน เมื่อเห็นนางกัดเข้าไปแล้ว ลั่วเยวี่ยอิงก็รู้สึกพอใจ ในยามนี้เอง ผู้คนโดยรอบก็สังเกตเห็นฝูเสวี่ยแล้วหัวข้อสนทนาก็เปลี่ยนไป “แม่นางฝูเสวี่ยผู้นี้มีความเป็นมาเช่นใดกันแน่? แม้แต่คุณหนูรองลั่วก็ถึงกับเชิญนางมาที่นี่ ทั้ง ๆ ที่นางเป็นแค่นางรำจากห
ลั่วเยวี่ยอิงยิ้มเยาะพลางหยิบไม้เท้าที่วางอยู่ ณ มุมหนึ่งแล้วหวดใส่นางอย่างแรง สายตาของลั่วชิงยวนวูบดับแล้วสลบไป หลังจากฟาดฝูเสวี่ยจนหมดสติแล้ว ลั่วเยวี่ยอิงก็กวาดสายตามองไปรอบ ๆ อย่างระแวดระวังเพื่อแน่ใจว่าหามีผู้ใดพบเห็น จากนั้นก็ลากฝูเสวี่ยเข้าไปท้ายเรือน นอกลานสนาม ลั่วอวิ๋นสี่ที่ซ่อนตัวอยู่หลังกำแพงมองดูเหตุการณ์นี้อยู่เงียบ ๆ แล้วขมวดคิ้ว ลั่วเยวี่ยอิงกำลังจะทำอันใดกัน? เจ้าคงมิสังหารคนกลางวันแสก ๆ หรอกใช่ไหม? ลั่วเยวี่ยอิงพยายามลากฝูเสวี่ยเข้ามาในห้อง จากนั้นก็เปิดหน้าต่างบนผนังห้องอีกฝั่งแล้วโบกมือออกไปข้างนอก หลังจากนั้นก็บุรุษสองคนก็กระโดดเข้ามาทีละคน ๆ ลั่วเยวี่ยอิงชี้นิ้วไปทางฝูเสวี่ยที่อยู่บนพื้น “นางอยู่ตรงนี้แล้ว ที่เหลือก็สุดแท้แต่พวกเจ้าแล้ว” บุรุษชุดดำถอดชุดคลุมสีดำตัวนอกออก เผยให้เห็นอาภรณ์ไหมที่อยู่ข้างใต้พลางกล่าวว่า “อย่าได้กังวลไปเลย” บุรุษทั้งสองคนรีบเดินเข้ามาอุ้มคนบนพื้นขึ้นเตียง จากนั้นพวกเขาก็เริ่มปลดเปลื้องอาภรณ์ของนาง ลั่วเยวี่ยอิงหันหลังหมายที่จะจากไป ยามที่นางเปิดประตูก็พลันตกตะลึงขึ้นมาทันที ลั่วอวิ๋นสี่อยู่ตรงประตู! นางพลั
ลั่วอวิ๋นสี่ขมวดคิ้วแล้วเบือนหน้าหนี “อย่างไรก็ช่าง รีบปล่อยนางไปเสีย!” อาจเป็นเพราะท่านปู่จากไป พี่สาวออกเรือนและมารดาล้มป่วย นางจึงมิอยากจะโต้เถียงกับมารดาของตนอีก แต่นางก็ไม่อยากจะยอมแพ้เรื่องสวีซงหย่วน นางอยากจะคว้าไว้ทั้งสองทาง แต่ท่านเซียนฉู่ลั่วกลับบอกว่านางกับสวีซงหย่วนมิได้ถูกลิขิตให้ครองคู่กัน นางจึงคิดว่าหากกระทำเรื่องดีมีเหตุผลและแก้นิสัยแย่ ๆ ของตน บางทีสวรรค์อาจเมตตาและยอมให้นางกับสวีซงหย่วนได้ครองคู่กันบ้างก็ได้ ลั่วเยวี่ยอิงมองแผ่นหลังของลั่วอวิ๋นสี่ สายตาของนางก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาและน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ก็ได้ ข้าจักปล่อยนางไป แต่เจ้าห้ามเล่าเรื่องนี้ให้ผู้ใดฟังเล่า” เมื่อลั่วเยวี่ยอิงพูดจบ นางก็ขยิบตาให้บุรุษที่อยู่ข้างหลัง “หาอย่าได้กังวล ข้าสัญญาว่าจักมิเล่าเรื่องนี้ให้ผู้ใดฟัง!” ลั่วอวิ๋นสี่เอ่ยด้วยท่าทีสบายใจแล้วหันหลังไป แต่กลับมีเงาดำผุดขึ้นตรงหางตา จากนั้นฝ่ามือโจมตีอันรุนแรงก็ทำให้การมองเห็นของลั่วอวิ๋นสี่มืดดับแล้วหมดสติไป บุรุษผู้นั้นเอ่ยขึ้นมาว่า “จะให้จัดการกับคนผู้นี้อย่างไรดี? นางล่วงรู้แผนการของเจ้าแล้ว” ลั่วเยวี่ยอิงก้มมองลั่ว
“เสด็จพี่สาม ท่านมิจำเป็นต้องร้อนใจถึงเพียงนั้น สตรีบอบบางอย่างลั่วเยวี่ยอิงจะทำอันใดแม่นางฝูเสวี่ยได้กระนั้นหรือ?” “ท่านอยากจะด้านหน้ามาที่สวนเซียงอู๋ก็ช่างเถิด แต่ท่านยังใช้กำลังบีบบังคับให้ข้ามาด้วยอีก” “ข้ามิเคยข้องแวะกับคนในแวดวงขุนนาง ท่านก็เอาแต่ลากข้าเข้าไปพัวพันอยู่ร่ำไป หากเกิดคนในราชสำนักพวกนั้นที่ขัดแข้งขัดขากับท่านพุ่งเป้ามาที่ข้าอีกจักทำอย่างไรเล่า?” “มิใช่ท่านกำลังทำลายความสงบสุขของข้าอยู่กระนั้นหรือ?” ยามนี้ฟู่จิ่งหลีกับฟู่เฉินหวนมาถึงนอกประตูของสวนเซียงอู๋แล้ว "ไยเจ้าถึงเอ่ยวาจาเลื่อนเปื้อนมากมายถึงเพียงนั้น?" น้ำเสียงของฟู่เฉินหวนฉายแววเย็นชา ฟู่เฉินหวนมิได้เกรงว่าลั่วเยวี่ยอิงจะทำอันใดกับลั่วชิงยวน เพราะลั่วชิงยวนหาใช่ผู้ที่จะเอาชนะได้ง่าย ๆ แต่เขาเกรงว่าลั่วเยวี่ยอิงจะล่วงรู้ตัวตนที่แท้จริงของลั่วชิงยวน ยิ่งไปกว่านั้น ลั่วเยวี่ยอิงเจตนาเชิญฝูเสวี่ยมาที่สวนเซียงอู๋ น่าจะมีอันใดมากกว่าแค่การกินดื่มและเล่นสนุกเสียแล้ว ชะรอยคงจะมีจุดประสงค์อื่นเป็นแน่ เกรงว่าอาจจะก่อเรื่องใหญ่จนเปิดโปงตัวตนของลั่วชิงยวนเอาได้ เมื่อทั้งสองคนเดินผ่านประตูเข้ามา ฟู่จิ่ง
หนีกระนั้นหรือ? จะเป็นไปได้อย่างไรเล่า! ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้วแล้วผลักลั่วเยวี่ยอิงเข้าไปในอ้อมแขนของฟู่จิ่งหลี จากนั้นเดินไปข้างหน้าเตรียมจะถีบประตู ทว่าในยามนี้เอง ประตูที่มีเปลวเพลิงก็ถูกกระแทกให้เปิดออกดังปัง ประตูทั้งบานล้มลงมา เงาร่างขะมุกขะมอมที่มีเปลวเพลิวลามเลียบนกระโปรงก็พุ่งออกมา ทุกคนต่างตะลึงงัน ลั่วชิงยวนกึ่งลากสังขารตนกึ่งแบกร่างของลั่วอวิ๋นสี่แล้วพังประตูออกมา แต่ภายใต้แรงปะทะอันรุนแรง ทันทีที่ประตูล้มลง ขื่อคานที่อยู่ข้างบนก็ร่วงหล่นลงมา ลั่วชิงยวนกัดฟันพุ่งตัวออกไปอย่างสุดกำลัง ทันใดนั้นท่อนแขนแข็งแกร่งคู่หนึ่งก็คว้าตัวนางไว้ จากนั้นนางก็ถูกยกตัวขึ้นจากพื้น ในขณะนั้นเอง เปลวเพลิงปริมาณมหาศาลก็พุ่งออกมา สรรพสิ่งพลันพลิกคว่ำคะมำหงายแล้วลั่วชิงยวนก็ร่วงลงบนร่างนุ่ม ยามที่นางลืมตาขึ้น สิ่งที่นางเห็นก็คือฟู่เฉินหวนที่ถูกนางกดเอาไว้ใต้ร่าง ทุกคนต่างรู้สึกตกตะลึง พวกเขามิคาดคิดว่าจะมีคนอยู่ในห้อง! ฟู่จิ่งหลีตอบสนองว่องไวแล้วรีบเดินเข้ามาฉุดลั่วอวิ๋นสี่ให้ลุกขึ้นพร้อมตรวจดูลมหายใจของนาง เมื่อพบว่านางยังหายใจอยู่ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่เขาก็มองมาท