“ปล่อยหม่อมฉัน!” ความรู้สึกเสียศักดิ์ศรีเพราะถูกดูหมิ่นนั้นโหมเข้ามา ทำลั่วชิงยวนโมโหถึงขีดสุด นางง้างมือและฟาดออกไปอย่างแรงฟู่เฉินหวนเอนร่างหลบ ถอยหลังเว้นระยะห่างกับนางเล็กน้อยลั่วชิงยวนลงมือสู้กับเขาทันที ท่าทีของนางดุดัน บนร่างเต็มไปด้วยไอสังหารไอบนร่างของฟู่เฉินฟวนก็คมคายมิแพ้กัน ทั้งคู่แลกมือกันอย่างดุเดือด แต่ความเร็วและกำลังของฟู่เฉินหวนต่างอยู่เหนือลั่วชิงยวน มินานนัก ลั่วชิงยวนก็ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบฟู่เฉินหวนกลับไม่ทันรั้งมือ กระแทกฝ่ามือไปที่หน้าอกของลั่วชิงยวน บนอกของลั่วชิงยวนเต็มไปด้วยความเจ็บปวด นางเอนกายไปเบื้องหลังสีหน้าของฟู่เฉินหวนเปลี่ยนไปฉับพลัน เขารีบพุ่งตัวขึ้นไปรั้งเอวนางไว้ ลั่วชิงยวนจึงมิล้มลงพื้นแต่นัยน์ตาลั่วชิงยวนฉายแววเหี้ยม นางกระโดดขึ้นหวังจะล็อกคอเขาวินาทีที่ไอสังหารจู่โจม คิ้วของฟู่เฉินหวนกระตุก เขาจับข้อของลั่วชิงยวน ออกแรงทั้งคู่จึงกลิ้งลงบนพื้น หลังสู้ฟันไปสักพัก ฟู่เฉินหวนจึงจับสองมือของลั่วชิงยวนไว้ได้ และกดไว้บนพื้นอย่างแรงลั่วชิงยวนหอบอย่างเหน็ดเหนื่อย มองดูใบหน้าที่แสนใกล้ใบหน้าที่ไม่รู้ว่าเคยทำนางใจสั่นตอนไหนใบหน้าที่เคยท
“ท่านอ๋อง มือของท่าน?” ลั่วเยวี่ยอิงเห็นมือที่ได้รับบาดเจ็บของท่านอ๋อง จึงรีบจับขึ้นมา และรู้สึกปวดใจเป็นอย่างมากลั่วชิงยวนเก็บชุดบนพื้นขึ้นอย่างเชื่องช้า มองมือของฟู่เฉินหวนทีหนึ่ง พร้อมยิ้มกล่าว “ขอประทานอภัยเพคะท่านอ๋อง ก็ท่านทำหม่อมฉันเจ็บ”“หม่อมฉันมียารักษาชั้นดี ประเดี๋ยวหม่อมฉันทายาให้ท่านนะเพคะ”ฟู่เฉินหวนหรี่ตามองสตรีตรงหน้า น้ำเสียงชวนคิดนี้ นางตั้งใจเห็น ๆ เปลี่ยนท่าทีเร็วเชียว!อย่างที่คิด หลังลั่วเยวี่ยอิงได้ยิน สีหน้าย่ำแย่มากยิ่งขึ้นลั่วเยวี่ยอิงกัดริมฝีปากล่างไว้ “ท่านอ๋อง หม่อมฉันมามิถูกเวลาแล้ว หม่อมฉันขอออกไปก่อนเพคะ”ฟู่เฉินหวนจับแขนของนางไว้โดยสัญชาตญาณ “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้ามิได้ทำกระไรทั้งนั้น”เห็นฟู่เฉินหวนรีบอธิบายเช่นนี้ ลั่วชิงยวนหัวเราะเบาทีหนึ่ง นางคลุมเสื้อกลับไป และมองไปที่ฟู่เฉินหวนอย่างมีความนัย“ใช่ มิได้ทำสิ่งใดทั้งนั้น เพราะที่ควรทำนั้นทำหมดแล้ว”พูดจบนางก็มองไปทางลั่วเยวี่ยอิงด้วยสายตาลึกซึ้ง “ครั้งที่แล้วคุณหนูรองบอกเองมิใช่หรือ หากท่านอ๋องชอบข้า ท่านก็ยอมรับข้าได้”“บัดนี้มาโกรธให้ผู้ใดดูกัน”“หนำซ้ำยังแต่งกายบุรุษมาอีก หรือท่านมา
ลิ่นฝูเสวี่ยมองนางอย่างสงสัย “ไม่ถูกตรงอย่างไร?”คิ้วของลั่วชิงยวนขมวดแน่น “เจ้าพูดถูก แม่ของข้าเก่งกาจกว่าข้า! หากท่านรู้ว่าตนต้องตาย จักรอตายเช่นนี้ได้อย่างไร!”“ต่อให้มีตัวถ่วงอย่างข้า ท่านก็ต้องพาข้าหนีแน่!”“นอกเสียจากท่านมิยอมหนี และเป็นฝ่ายยอมตายเอง!”นางเกือบจะลืมแล้ว แม่ของนางคือลั่งอิง ผู้เป็นอาจารย์ของนางเมื่อนั้นท่านอาจารย์ทรยศแคว้นหลี ถูกคนในแคว้นหลีมากมายเช่นนั้นไล่ฆ่า นางหลบมาจนได้ หากนางอยากหนี นางหาได้มีทางรอตายไม่“หรือเพราะบิดาของท่าน นางรักบิดาของท่านจึงยอมตาย”ลิ่นฝูเสวี่ยคาดเดาคิ้วของลั่วชิงยวนกลับขมวดแน่น และเอ่ยไตร่ตรอง “หากเพราะรัก ยิ่งตายมิได้ ท่านแม่รักท่านพ่อ เช่นนั้นมิรักข้าหรือ? หากนางตาย ข้าในวัยเยาว์จักทำเช่นไร?”“แต่หากนางตายเพราะลั่วไห่ผิง ก็ไม่มีทางเขียนจดหมายให้เจ้าว่านางมิเสียใจที่ตายไป สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่านางเป็นฝ่ายอยากตายเอง”“นี่มันย้อนแย้งเกินไป!“อารมณ์ของลั่วชิงยวนหนักอึ้ง ตอนนั้นเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่? จึงทำให้ลั่วอิงยอมรอตายเช่นนั้น?ลั่วชิงยวนมองไปทางลิ่นฝูเสวี่ย “จดหมายที่เจ้าได้รับ เป็นของปลอมหรือไม่?”ได้ยินดังนี้ สีหน้า
ผู้ที่บัญชาอยู่เบื้องหลัง ก็ต้องตาย!วินาทีที่นางหันร่าง รอบด้านส่งเป็นเสียงตะลึง ศีรษะใบหนึ่งกลิ้งตกลงพื้นเมื่อจากไป ลั่วชิงยวนจึงไปที่ร้านยาแม่นมกู้ปลูกต้นหญ้านานาในเรือน“แม่นมกู้ ขาของแม่นมมิสะดวก พักผ่อนเถิด” ลั่วชิงยวนขึ้นหน้าไปพยุงนางไว้แม่นมกู้ยิ้มเอ่ย “บ่าวว่างไม่เป็นเจ้าค่ะ”“ดูสิ ด้านนี้บ่าวนำมาปลูกดอกไม้ ส่วนด้านนี้ บ่าวนำมาปลูกผัก! เมื่อก่อนพ่อแม่ชอบกินผักที่บ่าวปลูกเป็นที่สุดเลย!”ลั่วชิงยวนพยุงแม่นมกู้ให้นั่งลง พร้อมเอ่ยถาม “แม่นม ท่านอยู่จวนอัครมหาเสนาบดีมาหลายปีเช่นนี้ ท่านยังจำนางรับใช้ในจวนได้หรือไม่?”นางหยิบภาพวาดออกมา ยื่นไปตรงหน้าแม่นมกู้แม่นมกู้ถือภาพวาดไตร่ตรองครู่หนึ่ง พร้อมกล่าว “เหมือนจะเป็น… ชุนอิง? ไม่สิ ชุนหว่านเสียมากกว่า”ลั่วชิงยวนรู้สักดีใจในใจ “แม่นมกู้ ท่านยังจำได้อีกหรือ? ความจำท่านช่างดีเสียจริง!”แม่นมกู้ดีใจเป็นอย่างมาก และกล่าวยิ้มแย้ม “เมื่อนั้นบ่าวเป็นผู้ซื้อนางมาด้วย ตอนนั้นนางกำลังขายตัวเพื่อหาเงินฝังศพให้พ่อ น่าสงสารเหลือเกิน”“ผู้อื่นบอกใบหน้านางอวบอิ่มเช่นนี้ ไม่มีทางเป็นลูกคนจน นางเพียงแค่หลอกเงิน แต่บ่าวรู้สึกใบหน้านางน
ใบหน้าที่ผอมซูบจนบุ๋มเป็นหลุมที่ข้างแก้มทั้งสองข้าง หนังตาตกลงอย่างยับย่น รอบดวงตายังเต็มไปด้วยรอยเลือดและรอยช้ำหากจ้องมองไป จะพบกับโพลงเลือดสองรู น่าสยดสยองยิ่งเห็นได้ชัดว่านางถูกใครบางคนควักลูกกระตาออกมา“สวรรค์ น่าสลดมาก” ลิ่นฝูเสวี่ยอุทานออกมาไม่เพียงแค่นี้ บนใบหน้าและลำคอ อีกทั้งข้อแขนที่โผล่ออกมาให้เห็นของสตรีผู้นี้ ต่างเต็มไปด้วยรอยช้ำเขียวที่ไม่เท่ากันรอยเก่าแผลใหม่ เป็นร่องรอยที่นางถูกทำร้ายมาเป็นเวลานาน“คุณหนูหรือ? ท่านมาเยี่ยมบ่าวอีกแล้วหรือ?” สตรีผู้นั้นเงยหน้าและเข้าใกล้ขึ้นมาอีกเล็กน้อยลั่วชิงยวนชะงักเล็กน้อย คุณหนู? คุณหนูคนไหนกัน?“คุณหนู รีบเข้ามานั่งเถิด”สตรีผู้นั้นต้อนรับนางเข้าไปอย่างกระตือรือร้น ลั่วชิงยวนก็มิได้ยืนนิ่งต่อ นางตามเข้าไปภายในเรือนสตรีผู้นั้นรินชาให้นางพร้อมกล่าว “คุณหนูมิต้องมาบ่อย ๆ ก็ได้เจ้าค่ะ บ่าวสบายดี”“หือ วันนี้ท่านมาคนเดียวหรือ? ทาสใบ้มิได้ตามมาปกป้องท่านหรือ?”ฟังถึงตรงนี้ ลั่วชิงยวนตะลึง คุณหนูที่นางหมายถึง คือลั่วเยวี่ยอิง!ลั่วเยวี่ยอิงเคยมา และยังมาบ่อยด้วย?นางจึงปลอมเสียงขึ้น ลอกเลียนการพูดจาของลั่วเยวี่ยอิง “วัน
เซี่ยหว่านมิตกใจแต่นิดว่าผู้นั้นต่างหากคือคุณหนูของนางลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย ดูท่านับตั้งแต่ที่นางเข้ามา เซี่ยหว่านก็รู้ว่าลั่วชิงยวนมิใช่คุณหนูนางแต่ยอมให้ความร่วมมือ เพราะอยากรู้เป้าหมายที่ลั่วชิงยวนมาที่นี่!“ลั่วชิงยวน?!” ลั่วเยวี่ยอิงส่งสายตาเยือกเย็นมา“เจ้าหาที่นี่เจอได้อย่างไร?”ลั่วชิงยวนส่งเสียงหึ “เจ้ายังหาที่นี่เจอ เหตุใดข้าจักหาเจอมิได้?”เซี่ยหว่านรีบพูดกับลั่วเยวี่ยอิง “นางมาถามสาเหตุการตายของนายหญิงใหญ่”ได้ยินดังนี้ โทสะของลั่วเยวี่ยอิงเอ่อล้นขึ้นในใจ นางจ้องลั่วชิงยวนอย่างขุ่นเคือง “เจ้ากำลังสืบหาสาเหตุการตายหรือ? แม่ลูกต่ำตมอย่างพวกเจ้า สมควรตายไร้ที่ฝัง!”“ทาสใบ้ จับนางเสีย!”ทาสใบ้ออกหมัดไปทางลั่วชิงยวนทันที ลั่วชิงยวนหมุนตัวหันหลบ และฟาดฝ่ามือไปที่ด้านหลังนางทั้งคู่สู้กันไปจนถึงในเรือนกว้างขวาง บัดนี้ลั่วชิงยวนอาจยังมิใช่คู่ต่อสู้ของฟู่เฉินหวน และมิใช่คู่ต่อสู้ของนักฆ่าชั้นยอด แต่กับทาสใบ้คนหนึ่ง เหลือเฟือสำหรับนาง!นึกถึงที่นางเคยเสียเปรียบในมืออีกฝ่าย ลั่วชิงยวนจึงมิได้ออมมืออีกต่อไปหลังสู้กันดุเดือด ลั่วชิงยวนกระโดดเตะไปที่หลังของทาสใบ้ที่เพ
“หยวนซื่อมิได้เป็นผู้ทำนายหญิงใหญ่ตาย กลับเป็นนายหญิงใหญ่เสียมากกว่า ที่วางพิษใส่หยวนซื่อเป็นเวลานาน จนทำนางต้องตาย!”ทันทีที่ประโยคนี้ถูกพูดออกมา ร่างของลั่วชิงยวนสั่นคลอนเป็นไปได้อย่างไร!นางอาจมิรู้จักแม่ของลั่วชิงยวน แต่นางรู้จักอาจารย์เป็นอย่างดีอาจารย์จะทำร้ายผู้อื่นได้อย่างไร!“เมื่อนั้นเรื่องนี้ มิถือเป็นความลับ แม้จะถูกนายท่านปิดข่าว แต่ด้านนอกก็ยังมีคนลือกัน”“หลาย ๆ คนต่างรู้ ภรรยาและอนุหลังเรือนอัครมหาเสนาบดีสู้กันจนเสียชีวิตตาม ๆ กัน”“แต่ความจริงคือ หยวนซื่อนิสัยอ่อนโยน ยอมก้มหัวเป็นอนุอยู่ภายในจวนอัครมหาเสนาบดี ใช้ชีวิตกล้า ๆ กลัว ๆ พยายามไม่มีเรื่องกับผู้อื่น กลับเป็นนายหญิงใหญ่มากกว่าที่ใช้ตำแหน่งภรรยาเอกของตน รังแกหยวนซื่อไปไม่น้อย“รายละเอียดนั้นข้ามิรู้ แต่การตายของนายหญิงใหญ่ นางทำตัวเองทั้งนั้น!”“หลังนางตายได้ไม่นาน พิษของหยวนซื่อก็กำเริบ เชิญท่านหมอมาจึงรู้ว่านางถูกวางยาเป็นเวลานาน นายหญิงใหญ่ได้ตายไปแล้ว จึงไร้ยาถอนพิษ”“ทำได้เพียงมองหยวนซื่อตายเพราะพิษกำเริบไปต่อหน้าต่อตา!”เมื่อเซี่ยหว่านพูดถึงตรงนี้ นางควบคุมอารมณ์มิได้อีกร้องไห้โอดครวญออกมา
ลั่วชิงยวนยิ้มพลางปล่อยตัวทาสใบ้โดยมิได้กล่าวอันใด จากนั้นก็เดินออกไปจากเรือน เมื่อเห็นว่านางออกไปแล้ว ลั่วเยวี่ยอิงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วรีบช่วยเข้าไปช่วยประคองทาสใบ้ให้ลุกขึ้น หลังจากเดินออกมาจากเรือน เสียงขิงลิ่นฝูเสวี่ยก็ดังขึ้น "ข้ามิคาดคิดเลยว่าเจ้าจะหาเงื่อนงำจากข่าวที่ข้าบอกเจ้าได้มากมายถึงเพียงนั้น" “ท่านเซียนน้อยช่างมิธรรมดาสามัญจริง ๆ” “แต่ข้ากลับไม่เชื่อหรอกว่ามารดาของท่านจะทำร้ายมารดาของลั่วเยวี่ยอิง” “ถึงแม้ว่ามารดาของท่านจะมีอุปนิสัยดื้อรั้นดันทุรัง แต่นางมิเคยรังแกผู้อ่อนแอ มิหนำซ้ำนางถึงขนาดดูแคลนการกระทบกระทั่งในเรือนเสียด้วยซ้ำไป มารดาของท่านหาใช่คนเช่นนั้นไม่” ลั่วชิงยวนยิ้ม “ข้ารู้” “หลังจากเซี่ยหว่านให้นางลั่นคำสัตย์สาบาน หลังจากคำสัตย์สาบานของนางกลายเป็นความจริง ข้าก็ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับนาง เพราะนางกำลังโกหก” เมื่อลิ่นฝูเสวี่ยได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกประหลาดใจ “แม่นถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?” “ดูเหมือนว่าคำสัตย์สาบานเช่นนี้มิอาจพูดส่ง ๆ ได้เลย” “แต่ในเมื่อท่านรู้ว่านางกำลังโกหกอยู่แท้ ๆ ไฉนท่านจึงมิเปิดโปงนางเสียเล่า?” ลั่วชิงยวนตอบว่า “เ
“พ่ะย่ะค่ะ!”ศพถูกนำออกจากตำหนักอ๋องเฉินชีที่กำลังรีบมาที่ตำหนักอ๋องบังเอิญเห็นเข้า จึงรีบเข้าไปในตำหนักอ๋อง แล้วตรงไปยังเรือนที่ลั่วชิงยวนพักอาศัยก็เห็นเรือนที่ถูกไฟไหม้จนหมดสิ้นเฉินชีตกใจมาก รีบคว้าคอเสื้อคนรับใช้คนหนึ่งมาถามเสียงดัง “ลั่วชิงยวนอยู่ที่ใด!”ท่าทางดุร้ายนั้นทำให้ทุกคนหวาดกลัว“พระชายา... ถูกไฟคลอกสิ้นไปแล้ว!”ได้ยินดังนั้น สีหน้าของเฉินชีก็เปลี่ยนเป็นซีดเผือดทันทีก่อนจะรีบไปที่เรือนด้านหน้า ปรากฏตัวต่อหน้าฟู่เฉินหวน จิตสังหารแผ่ซ่านจนทำให้องครักษ์ในเรือนชักดาบขึ้นมาด้วยความระมัดระวังแล้วเข้าล้อมเฉินชีไว้“ฟู่เฉินหวน ลั่วชิงยวนอยู่ที่ใด!”ฟู่เฉินหวนที่มีสีหน้าเย็นชากล่าวอย่างใจเย็น “ตายแล้ว”เฉินชีโกรธจัด กระโจนเข้าใส่ฟู่เฉินหวน “ไฟไหม้เป็นฝีมือของเจ้าใช่หรือไม่?!”ถึงแม้จะมิใช่เขาที่จุดไฟ ก็ต้องเป็นเขาที่สั่งให้คนจุด!มิเช่นนั้นทั้งตำหนักอ๋อง เหตุใดจึงมีเพียงเรือนของลั่วชิงยวนที่ถูกไฟไหม้!คนในตำหนักมากมาย เหตุใดจึงมีเพียงลั่วชิงยวนคนเดียวที่ตาย!แต่ฟู่เฉินหวนหาได้ปฏิเสธไม่ เขามองเฉินชีด้วยแววตาดุดัน เต็มไปด้วยความเป็นศัตรู“นางทรยศข้า ต่อให้ข้าต้อง
สุดท้ายเหลือเพียงช่องเล็ก ๆ ที่มีแผ่นไม้ตอกปิดไว้ กลายเป็นหน้าต่างที่เปิดปิดได้ในตอนนั้นลั่วชิงยวนยังรู้สึกโชคดีที่เขามิได้ปิดตายนางไว้หลังกำแพงแต่หลังจากที่ปิดหน้าต่างนั้นแล้วก็ถูกลงกลอนจากด้านนอก บริเวณโดยรอบตกอยู่ในความมืดมิดได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินจากไปห่างไกลออกไปเรื่อย ๆลั่วชิงยวนพิงกำแพงพลางทรุดตัวลงนั่งอย่างอ่อนแรงเมื่อมองค่ายกลขนาดใหญ่แล้วก็รู้สึกหดหู่ใจครั้งนั้นนางช่างรู้เท่ามิถึงการณ์ กลับเป็นผู้สร้างกรงขังตนเองเสียได้เมื่อนานมาแล้ว เพื่อแลกชีวิตของลั่วหลางหลางคืนมานางจึงได้ตั้งค่ายกลผนึกห้องนี้เอาไว้เดิมทีที่นี่ควรจะเป็นเรือนเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยดอกไม้และต้นไม้ตอนนั้นนางมิเคยคิดเลยว่าสุดท้ายตนเองจะถูกขังไว้ที่นี่ทันใดนั้นนางก็รู้สึกมึนหัวและล้มลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง......จือเฉาซื้อของมากมายและกลับมายังตำหนักอ๋องนางถือสมุนไพรเดินไปที่เรือนครั้งนี้ซื้อสมุนไพรมามากมาย ต้องทำให้แผลของพระชายาหายดีได้อย่างแน่นอนแต่เมื่อเข้าไปในเรือนด้านในก็ได้ยินเสียงดังโวยวายมีแต่ความวุ่นวายสับสนจือเฉาตกใจเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นมองจึงเห็นแสงไฟลุกไหม้มาจากทางเรือนพระช
และสองคือช่วยจือเฉาขนของสิ่งที่ทำให้จือเฉาตกใจคือ เดิมทีนางคิดว่าจะไปที่หอฝูเสวี่ยเพื่อเบิกเงิน แต่กลับพบว่าองครักษ์ช่วยจ่ายเงินให้นางจือเฉางุนงงตลอดทาง มิเข้าใจว่าท่านอ๋องต้องการทำอะไรกันแน่ตอนนี้เป็นเวลากลางคืน ร้านค้าที่เปิดมีมิมาก ดังนั้นจือเฉาจึงต้องวิ่งไปหลายที่โดยเฉพาะการหาสมุนไพร นางแทบจะต้องเคาะประตูโรงหมอและร้านขายยาทั่วเมืองหลวง......ในคืนนั้นลั่วชิงยวนนอนซมอยู่บนเตียง ทันใดนั้นประตูห้องก็ถูกผลักเปิดออกลมหนาวพัดโชยเข้ามา ทำให้ลั่วชิงยวนไอออกมา“แค่กแค่กแค่ก... จือเฉา ดูสิว่าหน้าต่างถูกลมพัดเปิดออกหรือไม่... แค่กแค่กแค่กแค่กแค่ก...”ลั่วชิงยวนไอมิหยุด ได้แต่มุดเข้าไปในผ้าห่มแต่ทันใดนั้น ผ้าห่มก็ถูกกระชากออกลั่วชิงยวนสะดุ้งตื่น เงยหน้าขึ้นจึงเห็นฟู่เฉินหวนนางพยายามพยุงตัวเองลุกขึ้นนั่ง “ท่านจะทำอะไร?”นางอ่อนแอจนแม้แต่การถามในตอนนี้ก็ยังไร้เรี่ยวแรงแต่ฟู่เฉินหวนกลับมิพูดอะไรสักคำจากนั้นองครักษ์ก็กรูกันเข้ามาในห้อง จับแขนของลั่วชิงยวนและลากนางออกจากห้องความหนาวเหน็บถาโถมเข้ามา ลั่วชิงยวนอ้าปากจะพูด แต่กลับถูกองครักษ์ปิดปากไว้แน่นลั่วชิงยวนที่บาด
“หากต้องการแก้ไข มีเพียงการที่หม่อมฉันต้องไปซีหลิงด้วยตัวเอง”ลั่วชิงยวนกล่าวอย่างหนักแน่นนี่เป็นหนทางรอดเดียวของนางเมื่อฟู่เฉินหวนได้ยิน สีหน้าก็เปลี่ยนไปเขามองนางด้วยความสงสัย “นี่เป็นผลลัพธ์เดียวหรือ?”“เพคะ”แต่ฟู่เฉินหวนกลับมิค่อยเชื่อ มองนางด้วยแววตาดุดัน “ไม่มีเข็มทิศอาณัติสวรรค์ จะทำนายได้แม่นยำหรือ?”“แม่นยำเพคะ”“เข็มทิศอาณัติสวรรค์เป็นเพียงตัวช่วย มิใช่สิ่งจำเป็น”“ทิศทางหลักจะมิผิดพลาด”แท้จริงแล้วนางทำนายหนทางรอดของตัวเองการทำนายโชคชะตาบ้านเมือง มีเพียงเข็มทิศอาณัติสวรรค์เท่านั้นที่ทำนายได้กองทัพแคว้นหลีบุกประชิด เป็นนางเองที่บอกให้เฉินชีทำ สิ่งที่นางต้องการทำนายคือเส้นทางของตัวเองหลังจากที่ฟู่เฉินหวนฟังแล้วก็มิได้ตอบ เพียงแค่หันหลังเดินจากไป......ลั่วฉิงกำลังรอข่าวจากฟู่เฉินหวนอย่างกระวนกระวาย เดินวนไปมาด้วยความร้อนใจเมื่อเห็นฟู่เฉินหวนมาแล้ว จึงรีบเข้าไปถาม “เป็นอย่างไรบ้าง? ผลลัพธ์คืออะไร?”ฟู่เฉินหวนตอบ “เป็นภัยพิบัติของซีหลิง”ได้ยินดังนั้น ลั่วฉิงก็ตกใจเล็กน้อย “ภัยพิบัติของซีหลิงหรือ? หมายความว่าอย่างไร? แคว้นหลีต้องการยึดครองซีหลิงงั้นหรื
สายลมหนาวพัดผ่านมา ปอยผมของลั่วชิงยวนปลิวไสวตัดกับผ้าคลุมสีขาว ทำให้ร่างบางของนางดูราวกับจะปลิวหายไปกับสายลมในตอนนั้นก็มีขบวนคนเดินมาเมื่อเห็นบุคคลที่อยู่ข้างหน้าในชั่วขณะที่สบตากันก็เกิดอารมณ์ที่ซับซ้อนเมื่อเฉินชีเห็นฟู่เฉินหวน เขายกยิ้มอย่างเย็นชา โอบนางไว้แน่นขึ้นลั่วชิงยวนไร้เรี่ยวแรงจะขัดขืน“เฉินชี! เจ้ายังกล้ามาอีกรึ!” ฟู่เฉินหวนมีสีหน้าบึ้งตึง โทสะปะทุในใจองครักษ์รีบเข้ามาล้อมเฉินชีและลั่วชิงยวนไว้เฉินชีจำใจปล่อยลั่วชิงยวนแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อาเหลา ข้าจะรอเจ้า”กล่าวจบ เขาก็ใช้วิชาตัวเบากระโดดหนีไปองครักษ์รีบไล่ตามส่วนลั่วชิงยวนยืนนิ่งอยู่กับที่ มองฟู่เฉินหวนที่ค่อย ๆ เดินเข้ามาหาฟู่เฉินหวนมีสีหน้าบึ้งตึง แววตาซับซ้อนนั้นแฝงไปด้วยความโกรธ“บทเรียนเมื่อวานคงยังมิเพียงพอ เจ้ายังกล้าแอบออกจากตำหนักมาพบเฉินชีอีกรึ?!”ลั่วชิงยวนไร้เรี่ยวแรงจะอธิบาย ได้แต่ยิ้มอย่างเศร้าสร้อย “หากท่านคิดเช่นนั้น หม่อมฉันก็มิมีทางเลือก”“เหตุใดหม่อมฉันจึงมาอยู่ที่นี่ ในใจของท่านน่าจะรู้ดีกว่าหม่อมฉัน”เมื่อคืนฟู่เฉินหวนมิสามารถเค้นวิธีใช้เข็มทิศอาณัติสวรรค์จากนางได้ จึงส่งนา
ทั้งสองหันไปมองจึงเห็นเฉินชีที่แผ่รังสีอำมหิตเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้าเฉินชีมองลั่วฉิงด้วยสายตาเย็นชา “เจ้ากำลังทำอะไร?”ลั่วฉิงถอยหลังด้วยความตื่นตระหนก “ข้าสิต้องถามเจ้า เหตุใดจึงส่งกองทัพมากะทันหัน? นี่มิได้อยู่ในแผนของเรา และเจ้าก็มิได้บอกข้าล่วงหน้า”เฉินชีหรี่ตาลง “ข้าจะทำอะไรต้องรายงานเจ้าด้วยรึ? เจ้าเป็นใคร? กล้าดีอย่างไรมาขัดขวางข้า?”ลั่วฉิงรู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อย นางรีบคว้าเข็มทิศอาณัติสวรรค์มาถือไว้ เพราะกลัวว่าของล้ำค่าที่ได้มาจะหายไป“เฉินชี! ข้าแค่ต้องการสิ่งที่เราตกลงกันไว้ตั้งแต่แรก!”เฉินชีมองลั่วชิงยวน ใบหน้าเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม ก่อนจะพุ่งเข้าไปบีบคอของลั่วฉิงแล้วต่อยเข้าที่หน้าอกของลั่วฉิงลั่วฉิงกระอักเลือด ร่างกระเด็นออกไปนอกหน้าต่างลั่วชิงยวนได้ยินเสียงร่างตกกระทบพื้นจากที่สูง จึงรู้ว่าที่นี่คือชั้นสองน่าจะเป็นโรงเตี๊ยมเฉินชีเดินไปที่หน้าต่าง มองลงไป เห็นเพียงร่างของลั่วฉิงวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนหายไปในฝูงชนเดิมทีเฉินชีอยากจะตามไป แต่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็มิได้ตามไปหากลั่วฉิงตาย ลั่วชิงยวนก็จะไม่มีภัยคุกคาม นางอาจจะมิยอมไปแคว้นหลีกับเขาเช่นนั
นางเอ่ยปากอย่างอ่อนแรง “ได้”ลั่วฉิงพยุงนางขึ้น แล้วโยนนางลงบนเก้าอี้ลั่วชิงยวนไร้เรี่ยวแรงจะพูด “ข้าต้องการสมุนไพร”มือทั้งสองข้างของนางวางอยู่บนที่วางแขน แท่งเหล็กยังคงปักอยู่ เลือดไหลอาบมิหยุด ขยับร่างกายมิได้เลยลั่วฉิงมองนางอย่างเย็นชา ก่อนจะกดมือของนางไว้แล้วดึงแท่งเหล็กออกอย่างรวดเร็ว“กรี๊ด”ลั่วชิงยวนร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดลั่วฉิงโน้มตัวลงมองนางด้วยสายตาเย็นชา “ก่อนหน้านี้เจ้ามิเคยกลัวความเจ็บปวดเช่นนี้ ลั่วเหลา”ลั่วชิงยวนตัวสั่น มองนางด้วยความตกใจ“นี่ก็เป็นสิ่งที่ฟู่เฉินหวนบอกเจ้าเช่นนั้นหรือ?” ลั่วชิงยวนรู้สึกทั้งโกรธและสิ้นหวังในใจลั่วฉิงนำยามาทำแผลให้พลางหัวเราะอย่างดูถูก “มินึกเลยว่านักบวชระดับสูงลั่วเหลาผู้มีพรสวรรค์มาตั้งแต่เด็ก ถูกอาจารย์เอ็นดูทะนุถนอมมาโดยตลอด สุดท้ายกลับพ่ายแพ้ให้กับบุรุษ”ในน้ำเสียงของลั่วฉิงแฝงไปด้วยความอิจฉาริษยาลั่วชิงยวนมองนางด้วยแววตาเย็นชา “ข้ากับเจ้ามิเคยมีเรื่องบาดหมางกันมิใช่หรือ”แววตาของลั่วฉิงเต็มไปด้วยความเกลียดชัง มองนางอย่างเย็นชา “ในสายตาของเจ้า อาจจะไม่มีเรื่องบาดหมาง”“แต่สำหรับข้า เรื่องบาดหมางนั้นใหญ่หลวงนัก
“กรี๊ด” ลั่วชิงยวนกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ได้แต่ขดตัวอยู่บนพื้น ตัวสั่นเทาด้วยความเจ็บปวดรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า แท่งเหล็กถูกแทงลึกลงไปอีก ความรู้สึกที่กระดูกถูกแยกออกจากกันนั้นทำให้เจ็บปวดจนอยากตาย“ดี ยังมิยอมบอกอีกใช่หรือไม่”ลั่วฉิงหยิบแท่งเหล็กอีกอันแทงเข้าไปในมืออีกข้างของลั่วชิงยวนอย่างแรงตลอดทั้งคืน ลั่วชิงยวนถูกทรมานจนเหมือนตายแล้วเกิดขึ้นใหม่ หลายครั้งที่สลบไปเพราะความเจ็บปวด แล้วก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บปวดจนในที่สุด คอของนางก็แหบแห้งจนส่งเสียงร้องมิได้ด้วยซ้ำฟ้าสางแล้ว แสงแดดสาดส่องเข้ามา ลั่วชิงยวนนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นราวกับแอ่งโคลนเปียก มิขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อยเลือดเปรอะเปื้อนอาภรณ์ของนางจนเป็นสีแดงฉาน แสงแดดส่องกระทบกองเลือดจนเป็นประกาย......ตำหนักอ๋องมีเสียงคำรามด้วยความโกรธดังมาจากห้องตำรา“ยังไม่มีใครมารายงานข้าสักคน! รีบไปหา! ออกไปหาให้หมด!”ฟู่เฉินหวนโกรธจัด มึนหัวจนต้องเอามือยันโต๊ะไว้ถึงแม้จะนั่งลงเพื่อจัดการเรื่องต่าง ๆ แต่ก็ยังมิสามารถสงบสติอารมณ์ได้ ร้อนรุ่มใจยิ่งนักได้แต่หวังว่านางจะออกจากตำหนักไปเองจือเฉายังคงอยู่ที่หน้าประ
ในชั่วขณะนั้น นางเกือบจะคิดว่าตัวเองกำลังฝันไป เหตุใดนางจึงเห็นลั่วฉิงแต่คำพูดของลั่วฉิงในวินาทีต่อมา ทำให้นางรู้สึกราวกับตกอยู่ในหุบเหวลึก“แม้แต่ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการก็ยังจัดการคนดื้อรั้นเช่นเจ้ามิได้ ต้องให้ข้ามาเองเลยหรือ”ร่างของลั่วชิงยวนสั่นเทามิหยุด หนาวเหน็บจนแทบจะไร้ความรู้สึกน้ำตาที่ไหลอาบใบหน้าซีดเซียวหยดลงบนพื้นทีละหยดลั่วชิงยวนมองไปรอบ ๆ แล้วพบว่าที่นี่คือห้องห้องหนึ่งแต่มิใช่ในตำหนักอ๋อง“เหตุใดข้าจึงมาอยู่ที่นี่” นางจำได้ว่าหลังจากที่จือเฉาทายาให้แล้วนางก็หลับไปลั่วฉิงหัวเราะเบา ๆ “แน่นอนว่าฟู่เฉินหวนส่งเจ้ามาให้ข้า”“เขาเค้นคำตอบจากเจ้ามิได้ จึงต้องให้ข้ามาจัดการเอง”ได้ยินดังนั้น หัวใจของลั่วชิงยวนก็แตกสลายเป็นเสี่ยง ๆ อีกครั้งเขายังคิดว่าตัวเองยังโหดร้ายมิพออีกหรือ จึงส่งนางให้ลั่วฉิงเช่นนี้นี่ต้องการทรมานนางจนตายจึงจะหายแค้นหรืออย่างไรลั่วฉิงหยิบกล่องใบหนึ่งมาเปิดออก ข้างในเต็มไปด้วยแท่งเหล็กขนาดเท่าหัวแม่มือแล้วกล่าวอย่างแผ่วเบา “เจ้าน่าจะรู้ว่าข้าต้องการอะไร”“หากตอนนี้เจ้าบอกวิธีใช้เข็มทิศอาณัติสวรรค์ ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”“หากพลาดโอกาสนี้