"ท่านอ๋อง เรื่องนี้..." ซูโหยวไม่คาดคิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นในตำหนัก "ตรวจสอบให้ถี่ถ้วนและอย่าให้เรื่องแพร่งพรายออกไปได้" "พ่ะย่ะค่ะ" ในยามบ่าย ลั่วชิงยวนตื่นขึ้นมาด้วยอาการมึนงง นางเจ็บแผ่นหลังมากเสียจนอยากจะหันหน้าไปดูว่าอาการบาดเจ็บเป็นอย่างไรบ้าง แต่นางกลับไม่สามารถเอี้ยวตัวได้เลย "พระชายา อย่าขยับตัวเจ้าค่ะ พอดีบ่าวเพิ่งจะใส่ยาให้ ตอนนี้คงจะไม่เจ็บมากแล้วกระมัง?" จือเฉาเดินเข้ามาพร้อมน้ำสะอาดอ่างหนึ่งพลางใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดใบหน้าและมือของนาง ลั่วชิงยวนส่ายหน้า "ไม่เจ็บมากหรอก เพียงแต่หิวอยู่บ้างก็เท่านั้นเอง" ทันทีที่พูดจบ แม่นมเติ้งก็ยกอาหารที่เป็นแค่โจ๊กกับหมั่นโถวเข้ามาในห้อง "เสวยแค่นี้หรือเจ้าคะ? หรือว่า..." จือเฉาขมวดคิ้ว ในเมื่อพระชายาบาดเจ็บก็ควรจะกินของบำรุงดี ๆ สักหน่อย แม่นมเติ้งสีหน้าอับจนหนทาง "พระชายา เสวยอะไรรองท้องก่อนเถิดเจ้าค่ะ คนที่อยู่ก้นครัวเป็นคนของแม่บ้านเมิ่ง พวกนางไม่เหลืออาหารไว้เลย แต่เกรงว่าถ้าจะต้องทำอาหารตอนนี้ พระชายาจะหิว ฉะนั้นบ่าวจึงได้ยกอาหารมาก่อนเจ้าค่ะ" "ยกมาเถอะ" ลั่วชิงยวนหยัดตัวขึ้น นั่นคืออาหารอันแสนน้อยนิดที่แม่นมเต
ข้างนอกมีเสียงดังขรม ลั่วชิงยวนรู้สึกสงสัยยิ่งนัก "ไปดูซิว่าเกิดอะไรขึ้น" นางขยับตัวไม่ได้จึงได้แต่สั่งจือเฉากับแม่นมเติ้ง ทั้งสองคนก็รีบวิ่งออกไปนอกเรือนและพบว่าองครักษ์ในตำหนักกำลังจับกุมคนอยู่ ลั่วชิงยวนฟังเสียงความเคลื่อนไหวทางด้านนอก แต่กลับไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจึงได้แต่รอแล้วรอเล่าจนกระทั่งข้างนอกไม่มีความเคลื่อนไหว จากนั้นแม่นมเติ้งกับจือเฉาก็รีบกลับมา ทั้งสองคนผุดรอยยิ้มที่ไม่อาจปกปิดเอาไว้ได้ "เกิดอะไรขึ้นรึ?" แม่นมเติ้งก้าวมาข้างหน้าแล้วนั่งลง "พวกแม่บ้านก้นครัวถูกจับแล้วเจ้าค่ะ! บ่าวเองไต่ถามเรื่องนั้นดูแล้ว แม่บ้านเมิ่งที่กำลังพักฟื้นอยู่บนเตียงก็ถูกจับไปด้วย! ยายเฒ่าผู้นั้นไม่ยอมมอบตัวแต่โดยดี มิหนำซ้ำยังเอะอะโวยวายอีกต่างหากเจ้าค่ะ" "แต่ก็หาใช่เรื่องใหญ่เพราะองครักษ์จับตัวพวกมันเอาไว้หมดแล้วเจ้าค่ะ เป็นซูโหยวที่พาคนมาจับตัวพวกมันและดูเหมือนว่าพวกมันจะล่วงเกินท่านอ๋องเข้าเจ้าค่ะ" จือเฉาเองก็เอ่ยขึ้นด้วยความยินดีปรีดาว่า "ท่านอ๋องคงจะกริ้วแทนพระชายาเป็นแน่! ท่านอ๋องทรงเป็นคนดียิ่งนักนะเจ้าคะ!" ลั่วชิงยวนกล่าวอย่างอับจนหนทาง "เด็กน้อย เจ้าจำเรื่องที่ถูกโบ
กระทั่งดึกดื่นเที่ยงคืน เรือนชั้นในจึงเงียบสงัด ตอนกลางดึกแม่นมเติ้งวิ่งออกไปดูด้วยความกระวนกระวายใจแล้วกลับมาเล่าให้นางฟังว่า "บ่าวเห็นศพมากมายถูกหามออกมาจากเรือน พวกมันคงจะกระทำผิดจนต้องโทษประหารเป็นแน่เจ้าค่ะ!" ลั่วชิงยวนไม่รู้สึกแปลกใจสักนิด "น่าจะมีร่างของแม่บ้านเมิ่งอยู่ในนั้นด้วย" "เจ้าคนพวกนี้ช่างใจกล้าเสียจริงเชียว ท่านอ๋องของเราเป็นใครกัน ท่านเป็นถึงผู้กุมอำนาจเป็นตายในราชสำนัก คนพวกนี้กล้าดีอย่างไรถึงได้มาก่อความวุ่นวายภายใต้จมูกของท่านอ๋อง" ลั่วชิงยวนจึงเอ่ยขึ้นอย่างไม่ยี่หระว่า "บางทีใกล้ตัวไปก็อาจมองไม่เห็น คราวนี้ถ้ามิใช่เพราะนางรับใช้นามชุนเยวี่ยมาร้องทุกข์ก็คงจะขุดรากถอนโคนแม่บ้านเมิ่งมิได้เร็วถึงเพียงนั้นหรอก” "นางรับใช้ผู้นั้นเล่า? ยังอยู่ในห้องหรือไม่? แม่นมเติ้งผงกศีรษะ "อยู่ในห้องเจ้าค่ะ ถึงจะช่วยเหลืออีกสองคนมาได้ แต่พวกนางก็อารมณ์แปรปรวนยิ่งนัก" "เจ้าไปบอกให้ดูแลคนให้ดี ๆ เมื่อประสบพบเจอเรื่องแบบนี้เข้า เกรงว่าคงหนีไม่พ้นเรื่องคิดจะปลิดชีพตนเป็นแน่" เมื่อแม่นมเติ้งได้ยินเช่นนี้ก็พลันเข้าใจขึ้นมาทันที "พระชายาคิดได้ถึงเพียงนี้ ช่างมีใจเมตตาจริง ๆ
คราวนี้แม่นมเติ้งนำอาหารไปส่ง และหมายจะพูดคุยกับพวกนางอีกสักครั้ง แต่ผู้ใดจะรู้ว่า เมื่อมาถึงห้องจะเห็นคนกำลังแขวนคอด้วยผ้าไหมสีขาว โชคดีที่ช่วยเอาไว้ได้ทันเวลา จากนั้นอีกสองคนก็ฟื้นขึ้นมา ส่วนปี้อวิ๋นกลอกตาซึ่งแลดูน่ากลัวยิ่งโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ดูเหมือนจะมีอาการชักด้วย แม่นมเติ้งรีบกลับไปที่เรือน "พระชายา พระชายาเจ้าคะ! เกิดเรื่องแล้ว!" ลั่วชิงยวนหยัดร่างกายท่อนบนขึ้นมา "มีเรื่องอันใดรึ?" "เมื่อคืนนางรับใช้สามคนนั้นปลิดชีพตนเองเจ้าค่ะ! ปี้อวิ๋นเอาแต่กลอกตาและชักกระตุก บ่าวสงสัยว่า จะโดนวิญญาณร้ายเข้าสิงหรือไม่? ่ทานไปดูเองไหมเจ้าคะ?" แม่นมเติ้งรู้ว่าพระชายามีความเชี่ยวชาญในเรื่องนี้มาก เมื่อลั่วชิงยวนได้ยินเช่นนี้ก็ขมวดคิ้ว "เมื่อคืนเจ้าบอกว่า เกลี้ยกล่อมได้แล้วมิใช่รึ?" "เจ้าค่ะ บ่าวเกลี้ยกล่อมได้แล้วเห็น ๆ แต่พวกนางกลับปลิดชีพตนเองอีกครั้ง!" แม่นมเติ้งสีหน้าขรึมเคร่ง "พาข้าไปดูที" ลั่วชิงยวนค่อย ๆ ลุกขึ้นจากเตียง โดยมีจือเฉากับแม่นมเติ้งคอยโอบซ้ายประคองขวาแล้วเดินไปยังเรือนหลังเล็ก ๆ ที่นางรับใช้ทั้งสามคนอาศัยอยู่ ปี้อวิ๋นอยู่คนเดียวในห้อง ตอนที่นางเดินเข้าไปในห้อ
ยังมีอีกหลายคนที่คิดว่าเจ้าสิ่งนี้เป็นผีน้ำจริง ๆ ไป๋ถังถูกวางยาพิษจริง ๆมันไม่ใช่ยาพิษที่ทำให้เสียชีวิตได้ในทันที แต่มันทำให้คนเลือดออกจากทวารทั้งเจ็ด ตามมาด้วยผิวหนังที่เน่าเปื่อย เหยื่อจะตายโดยไม่รู้สึกเจ็บปวดมากนัก เจ้าจะไม่รู้สึกเจ็บปวดแต่อย่างใด ทว่ากลับต้องตายอนาถ วิธีการของนางรับใช้ทั้งสามคนต่างกันก็จริง แต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ การตายของพวกนางจะดูน่าขนลุกอย่างยิ่ง และเมื่อพรุ่งนี้พบศพของพวกนางทั้งสามคนก็จะให้ความรู้สึกที่น่าสะพรึงกลัวว่า พวกเขาเสียชีวิตด้วยคำสาป หรือถูกวิญญาณอาฆาตพยาบาท ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการวางยาพิษมีจุดประสงค์มากกว่านั้น ไม่ใช่เพียงนางรับใช้สามคนนี้เท่านั้น ตำหนักอ๋องแห่งนี้ช่างคึกคักดีเสียจริง ขณะที่นางกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น แม่นมเติ้งก็เดินเข้ามาในห้อง "พระชายาเจ้าคะ บ่าวลองถามพวกนางทั้งสามคนดูแล้ว พวกนางบอกว่า หลังจากถูกช่วยชีวิตเอาไว้เมื่อคืนก็มิได้คิดปลิดชีพตนเอง แต่บ่าวไม่ทราบว่าเหตุไฉนเมื่อคืนถึงเกิดเรื่องร้ายพวกนั้นจนกระตุ้นให้ปลิดชีพตนเอง พวกนางจำเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนได้ไม่มากเท่าไหร่ นี่มันแปลกประหลาดเจ้าค่ะ” ลั่วชิงยวนแววตาม
เมื่อคืนนางนอนดึก อาหารบาดเจ็บก็ยังไม่หายดี ทำได้แต่นอนคว่ำ นางจึงหลับไม่สนิทสักเท่าไหร่นัก ดังนั้นแม่นมเติ้งกับจือเฉาจึงไม่เข้ามารบกวนนาง ปัง…ลั่วชิงยวนที่ยังนอนหลับอยู่ถูกเสียงถีบประตูปลุกให้ตื่นขึ้นมา "เกิดอะไรขึ้น?" ทันทีที่นางลืมตาก็เห็นร่างที่ก้าวเข้ามาด้วยความโกรธแค้น สีหน้าอึมครึมและสายตาอันตรายทำให้ลั่วชิงยวนพลันสะดุ้งตกใจขึ้นมาทันที จากนั้นนางก็หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง "ท่านอ๋อง... เกิดเรื่องอะไรขึ้นเพคะ?" เมื่อฟู่เฉินหวนเห็นสีหน้าใสซื่อบริสุทธิ์เช่นเดียวกับในวันที่นางเป็นเจ้าสาว ก็ให้รู้สึกรังเกียจอยู่ในใจ สตรีผู้นี้ช่างเสแสร้งเก่งเสียจริง ๆ ! ลั่วชิงยวนไม่ทราบว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ แต่นางเห็นสายตารังเกียจเดียดฉันท์ของฟู่เฉินหวนซึ่งเย็นชาราวกับกริชได้อย่างเด่นชัด จากนั้นนางก็ถูกฟู่เฉินหวนลากขึ้นมาจากเตียง ลั่วชิงยวนล้มลงกับพื้นแล้วกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด แต่ฟู่เฉินหวนที่แข็งแกร่งมากกลับไม่สนใจว่านางจะเจ็บตัวเลยสักนิดแล้วเดินก้าวยาว ๆ ออกไป ลั่วชิงยวนได้แต่กัดฟันลุกขึ้นและรีบเดินตามไป แต่นางก็ไม่อาจเลี่ยงอาการปวดแปลบจากการถูกกระชากลากถูไปได้ "เยวี่ยอิงกลับ
"ใจร้ายเกินไปแล้ว!" เมื่อลั่วชิงยวนได้ยินเสียงเหล่านี้ นางก็ยิ้มเยาะนิด ๆ พลางมองฟู่เฉินหวนด้วยสายตาเย็นชา "ท่านอ๋อง หม่อมฉันขอถามเป็นประโยคสุดท้าย ท่านทรงคิดจะขับไล่หม่อมฉันไปจริง ๆ ใช่หรือไม่เพคะ?" การจ้องมองที่เย็นชาของนางมีทั้งความขุ่นเคืองและการคุกคาม ฟู่เฉินหวนนึกถึงอาคมชุมนุมปีศาจในตำหนักอยู่ชั่วอึดใจ แต่หลังจากนึกถึงเรื่องนั้นแล้ว อาคมชุมนุมปีศาจนี้ก็เป็นแค่เรื่องที่ลั่วชิงยวนเอ่ยขึ้นมาเท่านั้น ไม่ว่ามันจะมีอยู่จริงหรือไม่ ร้ายกาจสักแค่ไหน ผู้ใดจะล่วงรู้กันเล่า สตรีผู้นี้มีเจตนาไม่ดี ใครจะรู้ว่า นางซ่อนกลอุบาย หรือแผนการร้ายกาจแบบไหนเอาไว้ เพื่อความสงบสุขแล้ว ควรขับไล่นางออกไปเสีย! สำหรับจวนอัครเสนาบดีแล้ว เมื่อเห็นท่าทีที่ลั่วไห่ผิงมีต่อลั่วชิงยวน เขาไม่รักใคร่บุตรสาวผู้นี้เลยสักนิด ถ้าหากเขาหย่ากับนาง ลั่วไห่ผิงก็คงจะไม่ว่าอะไรหรอก เขาคิดจะเอ่ยปากพูดออกไป… ทว่าก่อนที่เขาจะทันได้ส่งเสียงออกไป จู่ ๆ ก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินมาจากท้องถนนแล้วมุ่งหน้ามาที่ประตูตำหนักอ๋อง "ตำหนักอ๋องทำลายชีวิตบุตรสาวของข้า ขอตำหนักอ๋องได้โปรดให้ความเป็นธรรมแก่พวกเราด้วย!" กลุ่มชาวบ้านท
ลั่วชิงยวนตะโกนขึ้นมาทันทีว่า "จือเฉา ไปกันเถอะ!" เมื่อจือเฉาได้ยินเช่นนี้เข้า นางก็ตอบรับพลางรีบวิ่งกลับไปในตำหนัก แทบจะพุ่งตัวไปยังเรือนหลังเล็ก ๆ ที่พวกชุนเยวี่ยและคนอื่น ๆ อาศัยอยู่ ปลุกทั้งสามคนที่ยังคงแสร้งตายให้ตื่น แล้วทั้งสามก็รีบล้างหน้าล้างตา นอกประตูยังมีกลุ่มคนกำลังร้องตะโกนอยู่ เพราะยิ่งมาก็ยิ่งมีผู้ชมดูเหตุการณ์มากขึ้นเรื่อย ๆ และแรงกดดันของพวกเขาก็ชักจะมากขึ้นทุกที ๆ แล้ว ฟู่เฉินหวนมองลั่วชิงยวนพลางขมวดคิ้ว ตนไม่เข้าใจว่า สตรีผู้นี้กำลังทำเรื่องบ้าบออันใดอยู่กันแน่ หากขวางนางเอาไว้เสียตั้งแต่ตอนนี้จะสายเกินไปหรือไม่? องครักษ์ที่ซูโหยวเรียกมาก็ยืนอยู่ทั้งสองด้านของประตูหลัก ยังมิได้ลงมืออันใด เป้าหมายหลักของพวกเขาคือ ป้องกันมิให้เกิดอันตรายกับท่านอ๋อง! ไม่นานจือเฉาก็ออกมา แต่สิ่งที่น่าตกตะลึงก็คือ นางวิ่งออกมาพร้อมนางรับใช้ทั้งสามคน เป็นชุนเยวี่ย ปี้อวิ๋นและไป๋ถังจริง ๆ ซูโหยวรู้สึกตื่นตกใจ ตนเห็นอยู่ชัด ๆ ว่าทั้งสามคนนี้ตายอย่างน่าอนาถ! จู่ ๆ... ก็มีชีวิตอยู่ได้อย่างไรกัน? ฟู่เฉินหวนเองก็รู้สึกตื่นตระหนกพลางขมวดคิ้วขึ้นมาทันที "ท่านพ่อ! ท่านแม่!” ชุน
ฟู่เฉินหวนใจตึงเครียดจนฝ่ามือชุ่มไปด้วยเหงื่อลั่วชิงยวนพยายามยันตัวลุกขึ้น แต่กลับไร้เรี่ยวแรงที่จะตอบโต้เหยียนผิงเซียวชกเข้าที่ท้องของลั่วชิงยวนอีกครั้ง เลือดสีแดงฉานพุ่งออกมาจากปากนางเหยียนผิงเซียวจิกผมของนางแล้วกระซิบข้างหูอย่างร้ายกาจว่า “เจ้าเก่งนักมิใช่หรือ! ทำให้ท่านพ่อของข้าต้องลาออกจากตำแหน่งกลับไปยังเมืองฉิน เจ้าเป็นผู้มีพระคุณใหญ่หลวงของตำหนักอ๋องนี่!”“เจ้าลองเดาดูสิว่าฟู่เฉินหวนจะช่วยเจ้าหรือไม่?”“แต่มิสำคัญแล้ว เพราะข้าต้องการเพียงให้เจ้าตายเท่านั้น!”เหยียนผิงเซียวใช้ร่างของลั่วชิงยวนบังสายตาของผู้คนส่วนมืออีกข้างที่กำหมัดแน่นมีแผ่นเหล็กแหลมคมติดอยู่ แล้วกระแทกลงไปที่ท้องของลั่วชิงยวนอย่างแรงลั่วชิงยวนเห็นอาวุธลับนั้นแล้วก็ตึงเครียดมากฟู่เฉินหวนแทบขาดใจ ความรู้สึกมิสบายใจอย่างรุนแรงถาโถมเข้ามาฟู่อวิ๋นโจวผู้นั่งอยู่มุมห้องใต้หลังคาก็กำมือแน่นด้วยความตึงเครียดเช่นกันแม้ว่าฝีมือของลั่วชิงยวนจะสู้เหยียนผิงเซียวมิได้ แต่ก็มิควรจะไร้เรี่ยวแรงที่จะตอบโต้เช่นนี้จะลงมือช่วยนางตอนนี้เลยดีหรือไม่!ฟู่อวิ๋นโจวลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่แล้วในวินาทีนั้นเองเงาร่
ในมิช้าการประลองก็เริ่มขึ้นโชคดีที่ลั่วเยวี่ยอิงมิได้ก่อเรื่องวุ่นวายอีก นางเฝ้าดูการประลองอย่างสงบลั่วชิงยวนใช้โอกาสนี้ทำความเข้าใจกฎเกณฑ์ ดาบและกระบี่นั้นไร้ตา ดังนั้นการประลองครั้งนี้จึงห้ามใช้ดาบและอาวุธลับแต่เมื่อปรมาจารย์ต่อสู้กันก็อาจจะควบคุมมือมิทัน เพื่อให้ทุกคนได้ทุ่มเทอย่างเต็มที่ การประลองครั้งนี้ ความเป็นความตายจึงเป็นเรื่องของชะตาฟ้าลิขิตชัยชนะครั้งสุดท้ายมิใช่ผลลัพธ์ที่สำคัญที่สุดสิ่งสำคัญคือการแสดงผลงานในระหว่างการประลอง ฟู่เฉินหวนจะคัดเลือกผู้ที่มีความสามารถโดดเด่นบางคนสำหรับฟู่จิ่งหาน การประลองครั้งนี้มิใช่เพียงการคัดเลือกผู้ที่มีความสามารถโดดเด่นเท่านั้น แต่ยังเป็นการชมการประลองที่น่าตื่นเต้นด้วย ดังนั้นจึงมีความอิสระสูงทุกคนสามารถขึ้นไปท้าทายได้ หนึ่งรอบมีผู้แข่งขันสิบคน ผู้ชนะจะได้พักแล้วเข้าสู่รอบที่สองดังนั้นผู้ชนะในแต่ละรอบจะสามารถท้าทายคู่ต่อสู้ที่ตนคิดว่าแข็งแกร่งกว่าได้อย่างอิสระการประลองรอบแรกจบลงอย่างรวดเร็ว ฟู่เฉินหวนกับฟู่จิ่งหานวิเคราะห์ผู้ที่เหมาะสมในรอบนี้อย่างจริงจังฟู่จิ่งหานพยักหน้าให้ขันทีที่ยืนอยู่ด้านข้างจดบันทึกชื่อทุกอย่าง
“พระชายา เหตุใดมิลงไปหามาให้ข้าเล่า? หากขุดพบรากบัวได้สองหัว ข้าจะเมตตาตกรางวัลให้อย่างงาม!”น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเยาะเย้ยและหยิ่งผยองนั้น มิใช่ปฏิบัติต่อลั่วชิงยวนดุจพระชายา หากแต่ปฏิบัติเสมือนทาสบริวารเหล่าผู้คนโดยรอบต่างตกตะลึงพรึงเพริดตำแหน่งของลั่วชิงยวนในตำหนักอ๋องนั้นต่ำต้อยถึงเพียงนี้เชียวหรือ?ฟู่เฉินหวนอดรนทนมิไหวอีกต่อไป จึงพูดเสียงเย็นเยียบว่า “ฤดูกาลนี้จะมีรากบัวอยู่ได้อย่างไร มิต้องลำบากเช่นนั้นเลย”ลั่วเยวี่ยอิงกลับคว้าแขนฟู่เฉินหวนพลางทำท่าทางออดอ้อน“ไม่เพคะ ท่านอ๋อง เผื่อว่าจะมีก็ได้! โปรดให้พระชายาลงไปค้นหาดูเถิดเพคะ!”นางกล่าวจบก็ถอดกำไลหยกที่ข้อมือ แล้วขว้างลงไปในบึงจากนั้นเชิดหน้าพูดกับลั่วชิงยวนว่า “ไปสิ กำไลหยกวงนี้เป็นรางวัลของเจ้า!”ท่าทางเช่นนี้ประหนึ่งว่ากำลังสั่งการสุนัขตัวหนึ่งฟู่เฉินหวนกำมือแน่น รู้สึกปวดร้าวที่ศีรษะอย่างยิ่งลั่วชิงยวนเห็นดังนั้นก็กังวลเพราะอาการของฟู่เฉินหวน นัยน์ตานางฉายแววเย็นชาขณะมองหน้าลั่วเยวี่ยอิง แล้วหันหลังกระโดดลงไปในสระน้ำเมื่อเสียงน้ำกระเพื่อมดังขึ้น เสียงฮือฮาต่างก็ดังมาจากทั่วบริเวณ“นางกระโดดลงไปจริง ๆ
“องค์จักรพรรดิทรงมีรับสั่งว่าการประลองยุทธ์ครั้งนี้ ต้องการให้ท่านอ๋องคัดเลือกผู้มีความสามารถ จึงอนุญาตให้ท่านอ๋องพาพระชายาทั้งสองไปชมการประลองได้พ่ะย่ะค่ะ!”ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วฟู่เฉินหวนรับพระราชโองการมาดู แล้วพบว่าเป็นพระราชโองการจริงจิ่นชูมองแล้วถามด้วยรอยยิ้ม “ครั้งนี้องค์จักรพรรดิทรงรับสั่งให้ท่านอ๋องพาพระชายาทั้งสองไปด้วย เหตุใดจึงมิเห็นพระชายารองหรือเพคะ?”ยามนี้ลั่วเยวี่ยอิงรู้ข่าวการประลองยุทธ์แล้ว นางส่งเสียงโวยวายอยากไปด้วยอยู่หน้าประตู “ท่านอ๋อง! ท่านอ๋องเพคะ! พาหม่อมฉันไปด้วยเถิดเพคะ!”จิ่นชูได้ยินเสียงนี้แล้วก็ยิ้มอย่างมีเลศนัย “ท่านอ๋องอย่าลืมพระชายารองนะเพคะ”ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้ว “การประลองยุทธ์มิเกี่ยวกับนาง นางมิจำเป็นต้องไปก็ได้”จิ่นชูถามด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นท่านอ๋องจะขัดต่อพระราชโองการหรือเพคะ?”คำพูดนี้ทำให้ฟู่เฉินหวนจำต้องพาลั่วเยวี่ยอิงไปด้วยเพราะสุดท้ายแล้วนั่นก็คือพระราชโองการมหาราชาจารย์เหยียนเพิ่งลาออก ตระกูลเหยียนกำลังตกต่ำ หากเขาขัดพระราชโองการในเวลานี้ก็จะดูเหมือนอวดดี มิเคารพองค์จักรพรรดิฟู่เฉินหวนสบตากับลั่วชิงยวน ทั้งสองต่างก็รู้สึกว่าครั้
ฟู่เฉินหวนตกใจเมื่อได้ฟังถ้อยคำของลั่วชิงยวนลั่วชิงยวนอธิบาย “หม่อมฉันได้คำนวณดูแล้ว เหตุการณ์วุ่นวายในแคว้นเทียนเชวียกำลังจะอุบัติขึ้น เริ่มต้นจากทางทิศใต้เพคะ”“และเมืองฉินก็ตั้งอยู่ทางทิศใต้พอดี!”“ตระกูลเหยียนรุ่งเรืองมาจากเมืองฉิน มีอิทธิพลสูงส่งยิ่งนัก การที่มหาราชาจารย์เหยียนลาออกจากตำแหน่งแล้วกลับไปยังเมืองฉินอย่างเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ เกรงว่าจะมีอำนาจมืดใหญ่หลวงซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังเพคะ”เมื่อฟู่เฉินหวนก็ได้ฟังดังนั้นก็ขมวดคิ้วแน่น สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นกว่าเดิม“เช่นนั้นก็แสดงว่าตาแก่ผู้นี้จะเริ่มแผนการแล้วสินะ”กล่าวจบ ฟู่เฉินหวนก็คว้ามือของลั่วชิงยวนไว้ “ชิงยวน ขอบใจเจ้ามาก”ลั่วชิงยวนถึงกับตะลึงงันไป “ขอบใจหม่อมฉันเรื่องอะไรเพคะ?”“ขอบใจเจ้าที่บอกเรื่องสำคัญเช่นนี้แก่ข้า”ลั่วชิงยวนถามด้วยความสงสัย “แล้วท่านจะทำอย่างไรเพคะ?”ฟู่เฉินหวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาฉายแววเย็นชา “เมื่อเขาลาออกจากตำแหน่งแล้วออกจากเมืองหลวง เช่นนั้นก็อย่าให้เขากลับมาได้อีกเลย!”ลั่วชิงยวนก็เห็นด้วยกับวิธีการนี้มีเพียงมหาราชาจารย์เหยียนสิ้นชีพลงเท่านั้น ทุกอย่างจึงจะสงบลงได้“หม่อมฉันจะ
ฟู่เฉินหวนเก็บขนมกุ้ยฮวาไปด้วยความผิดหวัง แล้วพูดปลอบโยน “มิเป็นอะไร รอชิมฝีมือหัวหน้าพ่อครัวเถิด”ดูเหมือนจะมิถูกใจ ถึงแม้เขาจะเรียนรู้จากหัวหน้าพ่อครัว แต่รสชาติก็ยังแตกต่างออกไป ดูเหมือนต้องฝึกฝนให้มากขึ้นลั่วชิงยวนเห็นความผิดหวังในสายตาของเขา จึงยกยิ้มหวานแล้วพูดว่า “หวานมาก! อร่อยมากเพคะ!”ฟู่เฉินหวนตกตะลึงเมื่อเห็นรอยยิ้มที่เย้ายวนใจ ใจชายหนุ่มก็รู้สึกหวั่นไหว จึงอดมิได้ที่จะประคองหน้าลั่วชิงยวนแล้วจุมพิตถึงแม้จะรู้ว่านางอาจจะปลอบใจเขา แต่เพียงเห็นรอยยิ้มของนางเขาก็สุขใจมากแล้วหัวหน้าพ่อครัวมองไปทางอื่น ทำเป็นมิเห็นในมิช้า อาหารและขนมก็ถูกยกมาอย่างต่อเนื่องทั้งสองกินข้าวด้วยกันอย่างมีความสุขจนดึกดื่นเมื่อออกจากหอหมื่นสุข ลั่วชิงยวนอิ่มจนแทบจะเดินมิไหวฟู่เฉินหวนจับมือลั่วชิงยวนเดินไปข้างหน้า “เดินเล่นสักหน่อย แล้วเดี๋ยวข้าค่อยส่งเจ้ากลับ”ลั่วชิงยวนเรอเบา ๆ “ท่านตั้งใจจะทำให้หม่อมฉันอ้วนขึ้นหรือเไร หากหม่อมฉันอ้วนเหมือนเดิม ท่านก็จะดีใจใช่หรือไม่เพคะ?”ฟู่เฉินหวนอุ้มนางขึ้น แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าฉลาดมาก”“ท่าน!” ลั่วชิงยวนยกมือขึ้นฟู่เฉินหวนจับมือน
ซ่งเชียนฉู่เช็ดมือ ก่อนจะเปิดลิ้นชักหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมา ลั่วชิงยวนฉีกซองอ่านดู เมื่ออ่านจบ สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันทีซ่งเชียนฉู่สงสัยจึงเอ่ยถาม “มีอะไรหรือ? เป็นจดหมายขอความช่วยเหลือหรือไร?”ลั่วชิงยวนเบิกตาเล็กน้อย “เป็นจดหมายขู่”ในจดหมายเขียนว่า ผู้เขียนรู้ว่านางแอบอ้างเป็นศิษย์สำนักเสวียนซานอวี้ซวี และต้องการให้นางร่วมมือ หากมิยอมร่วมมือ ก็จะให้ศิษย์สำนักเสวียนซานอวี้ซวีตัวจริงมาเปิดโปงความจริง เพื่อทำลายชื่อเสียงของนาง บอกให้ใต้หล้ารู้ว่านางเป็นเพียงสตรีที่ต้มตุ๋นหลอกลวงซ่งเชียนฉู่รับจดหมายมาอ่าน แล้วร้องอุทานด้วยความตกใจ “ใครกัน? ดูเหมือนจะจับตามองท่านมานานแล้ว!”ลั่วชิงยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล “ให้มันมาหาข้าเองเถอะ ส่วนเจ้าก็จงระมัดระวังตัวให้มาก”ซ่งเชียนฉู่พยักหน้ารับ “ข้ามิเป็นอะไรหรอก แต่ท่านต้องระวังตัวให้มาก คนผู้นี้คงจับตามองท่านมานานแล้ว ถึงได้รู้ว่าท่านมิใช่ศิษย์สำนักเสวียนซานอวี้ซวี”นั่นเพราะเมื่อเริ่มทำนายทายทัก ลั่วชิงยวนยังไม่มีชื่อเสียง จึงใช้ชื่อศิษย์สำนักเสวียนซานอวี้ซวี ผู้เขียนจดหมายจึงต้องรู้ว่า
แต่กลับถูกจับแขน แล้วดึงเข้าไปในอ้อมกอดลั่วชิงยวนจึงรู้สึกตัว เมื่อได้กลิ่นที่คุ้นเคยก็ตกใจมาก “ท่านมาได้อย่างไรเพคะ?”ฟู่เฉินหวนโอบกอดนางแน่นแล้วพูดว่า “ตำหนักนอกเมืองหนาวมาก”ลั่วชิงยวนผลักเขาออกอย่างแรง “ใช่เพคะ มิเพียงแต่หนาว ยังมีงูด้วย”มิใช่ว่านางมิเคยอยู่ที่ตำหนักนอกเมืองสภาพแวดล้อมในครั้งนั้นยากลำบากกว่าฟู่เฉินหวนในตอนนี้มากฟู่เฉินหวนนึกถึงประสบการณ์ในอดีตของนาง จึงจับมือของนางด้วยความห่วงใย “ชิงหยวน ครั้งนั้นเจ้าลำบากมาก”“เป็นข้าที่ต้องขอโทษเจ้า”ใต้แสงจันทร์ ลั่วชิงยวนมองเขาด้วยดวงตาเป็นประกาย “เรื่องในอดีต ผ่านไปแล้ว มิต้องพูดถึงอีกแล้วเพคะ”“ท่านทนความหนาวเย็นของตำหนักนอกเมืองมิได้หรือเพคะ?”ฟู่เฉินหวนพูดเสียงต่ำ “ทนการจากลาเจ้ามิได้ต่างหาก”ใจของลั่วชิงยวนสั่นไหวเล็กน้อยแล้วก็ใจอ่อนอีกครั้ง“แต่ถ้าท่านมิไปอยู่ที่ตำหนักนอกเมือง ในตำหนักอ๋องแห่งนี้คนที่ทุกข์ใจก็จะเป็นเราสองคน”“ข้าจะไป รุ่งเช้าจะกลับ คืนนี้ขอพักอยู่ที่นี่สักคืนได้หรือไม่?”ฟู่เฉินหวนกลับมาที่เมืองหลวงในเวลากลางคืนมิใช่เพราะอารมณ์ชั่ววูบเมื่อไปถึงตำหนักนอกเมือง แล้วเห็นสถานที่ที่นางเค
นางโน้มกายลง ริมฝีปากแสยะยิ้มจางขณะพูดด้วยเสียงเยือกเย็น “เจ้าเป็นเพียงบ่าวที่ใช้ทดลองยาในตำหนักอ๋องเท่านั้น”จบประโยค นางก็คว้าข้อมือของลั่วเยวี่ยอิง แล้วกรีดลงไปแม้ว่าลั่วเยวี่ยอิงจะดิ้นรนอย่างไร ลั่วชิงยวนก็มิปล่อยมือ ปล่อยให้โลหิตไหลออกเต็มชาม ลั่วชิงยวนจึงคลายมือออกพร้อมกับพานางรับใช้ไปด้วยลั่วชิงยวนจำต้องเร่งรัดการปรุงยาแก้พิษ ลั่วเยวี่ยอิงยังคงมีชีวิตอยู่ก็จะยิ่งก่อความวุ่นวายให้ตำหนักอ๋องมิสงบสุขระหว่างทางกลับ นางก็สั่งนางรับใช้ว่า “เจ้าไปเอาชุดจากศาลารุ้งเมฆาให้สตรีผู้นั้น บอกว่าเป็นคำสั่งของข้า ศาลารุ้งเมฆาจะให้”“เจ้าค่ะ”ลั่วชิงยวนสั่งอีกว่า “จงทำตามใจนางทุกอย่าง จะได้มิเดือดร้อน”“เจ้าค่ะ”ยามเย็นลั่วชิงยวนดักรออยู่มิไกลจากตำหนักอ๋องเมื่อเห็นรถม้าใกล้เข้ามานางก็รีบเข้าไปหาเมื่อฟู่เฉินหวนบนรถม้าเห็นนางมาถึงก็รีบลงจากรถม้า ยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วโอบกอดลั่วชิงยวนไว้ในอ้อมแขน “คิดถึงข้าหรือไม่?”ลั่วชิงยวนผลักเขาออก “หม่อมฉันมาบอกท่านว่าอย่ากลับไป ท่านไปอยู่ที่ตำหนักนอกเมืองเถิดเพคะ”เมื่อได้ยินดังนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าของฟู่เฉินหวนก็แข็งค้าง “เหตุใด? ข้าทำผิ