"ใจร้ายเกินไปแล้ว!" เมื่อลั่วชิงยวนได้ยินเสียงเหล่านี้ นางก็ยิ้มเยาะนิด ๆ พลางมองฟู่เฉินหวนด้วยสายตาเย็นชา "ท่านอ๋อง หม่อมฉันขอถามเป็นประโยคสุดท้าย ท่านทรงคิดจะขับไล่หม่อมฉันไปจริง ๆ ใช่หรือไม่เพคะ?" การจ้องมองที่เย็นชาของนางมีทั้งความขุ่นเคืองและการคุกคาม ฟู่เฉินหวนนึกถึงอาคมชุมนุมปีศาจในตำหนักอยู่ชั่วอึดใจ แต่หลังจากนึกถึงเรื่องนั้นแล้ว อาคมชุมนุมปีศาจนี้ก็เป็นแค่เรื่องที่ลั่วชิงยวนเอ่ยขึ้นมาเท่านั้น ไม่ว่ามันจะมีอยู่จริงหรือไม่ ร้ายกาจสักแค่ไหน ผู้ใดจะล่วงรู้กันเล่า สตรีผู้นี้มีเจตนาไม่ดี ใครจะรู้ว่า นางซ่อนกลอุบาย หรือแผนการร้ายกาจแบบไหนเอาไว้ เพื่อความสงบสุขแล้ว ควรขับไล่นางออกไปเสีย! สำหรับจวนอัครเสนาบดีแล้ว เมื่อเห็นท่าทีที่ลั่วไห่ผิงมีต่อลั่วชิงยวน เขาไม่รักใคร่บุตรสาวผู้นี้เลยสักนิด ถ้าหากเขาหย่ากับนาง ลั่วไห่ผิงก็คงจะไม่ว่าอะไรหรอก เขาคิดจะเอ่ยปากพูดออกไป… ทว่าก่อนที่เขาจะทันได้ส่งเสียงออกไป จู่ ๆ ก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินมาจากท้องถนนแล้วมุ่งหน้ามาที่ประตูตำหนักอ๋อง "ตำหนักอ๋องทำลายชีวิตบุตรสาวของข้า ขอตำหนักอ๋องได้โปรดให้ความเป็นธรรมแก่พวกเราด้วย!" กลุ่มชาวบ้านท
ลั่วชิงยวนตะโกนขึ้นมาทันทีว่า "จือเฉา ไปกันเถอะ!" เมื่อจือเฉาได้ยินเช่นนี้เข้า นางก็ตอบรับพลางรีบวิ่งกลับไปในตำหนัก แทบจะพุ่งตัวไปยังเรือนหลังเล็ก ๆ ที่พวกชุนเยวี่ยและคนอื่น ๆ อาศัยอยู่ ปลุกทั้งสามคนที่ยังคงแสร้งตายให้ตื่น แล้วทั้งสามก็รีบล้างหน้าล้างตา นอกประตูยังมีกลุ่มคนกำลังร้องตะโกนอยู่ เพราะยิ่งมาก็ยิ่งมีผู้ชมดูเหตุการณ์มากขึ้นเรื่อย ๆ และแรงกดดันของพวกเขาก็ชักจะมากขึ้นทุกที ๆ แล้ว ฟู่เฉินหวนมองลั่วชิงยวนพลางขมวดคิ้ว ตนไม่เข้าใจว่า สตรีผู้นี้กำลังทำเรื่องบ้าบออันใดอยู่กันแน่ หากขวางนางเอาไว้เสียตั้งแต่ตอนนี้จะสายเกินไปหรือไม่? องครักษ์ที่ซูโหยวเรียกมาก็ยืนอยู่ทั้งสองด้านของประตูหลัก ยังมิได้ลงมืออันใด เป้าหมายหลักของพวกเขาคือ ป้องกันมิให้เกิดอันตรายกับท่านอ๋อง! ไม่นานจือเฉาก็ออกมา แต่สิ่งที่น่าตกตะลึงก็คือ นางวิ่งออกมาพร้อมนางรับใช้ทั้งสามคน เป็นชุนเยวี่ย ปี้อวิ๋นและไป๋ถังจริง ๆ ซูโหยวรู้สึกตื่นตกใจ ตนเห็นอยู่ชัด ๆ ว่าทั้งสามคนนี้ตายอย่างน่าอนาถ! จู่ ๆ... ก็มีชีวิตอยู่ได้อย่างไรกัน? ฟู่เฉินหวนเองก็รู้สึกตื่นตระหนกพลางขมวดคิ้วขึ้นมาทันที "ท่านพ่อ! ท่านแม่!” ชุน
"ยังคิดจะหนีอีก!" ลั่วชิงยวนกัดฟันไล่ตามเขาไปแล้วคว้าไหล่ของหวังหมาจื้อเอาไว้ วันนี้นางถูกปรักปรำเพราะเรื่องนี้ ย่อมต้องหาตัวการที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ออกมาลงโทษให้จงได้! แต่หวังหมาจื้อผู้นี้ก็ฝีมือมิใช่ย่อยจึงคว้าข้อมือของลั่วชิงยวนแล้วบิดไพล่หลัง ลั่วชิงยวนรู้สึกเจ็บปวดมากจนแทบทนม่ไหว จากนั้นก็ถูกหวังหมาจื้อเตะเข้า ลั่วชิงยวนตอบสนองอย่างว่องไว สองแขนไขว้ตรงหน้าอกสกัดกั้น แต่มีพลังไม่เพียงพอจึงถูกเตะกระเด็นออกไป นางถอยร่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ร่างหนักอึ้งของตนเสียสมดุลจวนจะลมอยู่รอมร่อ บาดแผลบนแผ่นหลังยังไม่หายดี เกรงว่าหากล้มลงไป อาจทำให้บาดเจ้บสาหัสเจียนร่างแหลกสลาย แต่ทันใดนั้นเองวงแขนแกร่งคู่หนึ่งก็ช้อนแผ่นหลังของนางเอาไว้ จากนั้นก็ช่วยประคองให้นางลุกขึ้นทันที นางรู้สึกตกใจอยู่บ้างและเมื่อหันหน้ากลับไป นางก็เห็นฟู่เฉินหวนที่สงบนิ่งและผ่อนคลาย เขาจ้องมองนางด้วยดวงตาที่ลึกล้ำซับซ้อนแล้วถามว่า "เจ้าไม่รู้หรือว่าตัวเองอ้วนแค่ไหน?”ใช้วิชาตัวเบาเพื่อจับคน?! โชคดีที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ จะอวดดีไปทำไมกันเล่า! ตอนนี้องครักษ์จับตัวหวังหมาจื้อได้แล้วก็พาตัวกลับไปที่ตำหนักทันที
ในเรือนอ๋อง ฟู่เฉินหวนคิดจะกลับไปยังห้องตำรา แต่เมื่อเขาเห็นว่า ตรงประตูไม่มีผู้ใดตามเข้ามา เขาก็ยืนเอามือไพล่หลังแล้วรออยู่สักพัก แต่ก็ยังไม่เห็นผู้ใดตามเข้ามา เมื่อเห็นว่าซูโหยวจัดการให้ชุนเยวี่ยและบิดามารดาของนางได้นั่งลงแล้ว เขาก็กวักมือเรียกซูโหยวให้เข้ามาหา "ท่านอ๋อง มีเรื่องอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?" ซูโหยวรู้สึกสับสน ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้วแล้วมองอีกฝ่าย "ออกไปดูซิว่า ยังมีผู้ที่ยังมิได้เข้ามาหรือไม่" ซูโหยวชะงักงันไปชั่วขณะ นึกว่าท่านอ๋องกำลังเอ่ยถึงชุนเยวี่ยและผู้ที่เกี่ยวข้องจึงตอบว่า "ชุนเยวี่ยกับบิดามารดาของนางเข้ามาหมดแล้ว ไม่มีผู้ใดแล้วพ่ะย่ะค่ะ" ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้วแน่นแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า "ข้าสั่งให้เจ้าออกไปดูอย่างไรเล่า!" ซูโหยวตกใจมากเสียจนไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดแล้วรีบเดินออกนอกประตู เขาเห็นทั้งสามคนบนท้องถนนก็พลันเข้าใจขึ้นมาทันที เมื่อเห็นซูโหยวเดินออกมา ลั่วชิงยวนจึงหันหลังเตรียมตัวจากไป เมื่อซูโหยวเห็นเช่นนี้ เขาก็รีบไล่ตามนางไป "พระชายาขอรับ!" ลั่วชิงยวนไม่มองเขาสักนิดพลางเอ่ยน้ำเสียงเย็นชาขึ้นมาว่า "ท่านอ๋องรับสั่งให้ขับไล่ข้าออกจากตำหนักอ๋องแล้วมิใช
"ท่านอ๋องเกือบจะทรงขับไล่พระชายาออกจากตำหนัก มิหนำซ้ำก่อนหน้านี้ยังโบยพระชายาไปยี่สิบไม้เพราะแม่บ้านเมิ่ง และอาการบาดเจ็บของนางก็ยังไม่หายดี กระหม่อมไม่คิดว่า พระชายาจะเป็นคนเลวร้ายอันใด อีกทั้งพระชายายังกำชับแม่นมเติ้งให้ดูแลนางรับใช้ทั้งสามคนเป็นพิเศษด้วย เพราะเกรงว่าพวกนางจะปลิดชีพตนเอง” "เมื่อคืนก่อนที่พวกนางปลิดชีพตนเอง ก็เป็นแม่นมเติ้งที่ไปทันเวลาพอดีพ่ะย่ะค่ะ" เมื่อก่อนซูโหยวอาจจะไม่เชื่อ ทว่ายามนี้ความจริงมาประดังอยู่ตรงหน้าตนแล้ว ความคิดเห็นที่เขามีต่อพระชายาผู้นี้จึงดีขึ้นมาก เมื่อฟู่เฉินหวนได้ยินเช่นนี้ก็สะเทือนใจอยู่บ้าง จากนั้นก็เอ่ยขึ้นอย่างหมดความอดทนว่า "เจ้าพูดมากขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน! ข้าไปดูก็ได้!" ตอนที่เขากำลังจะออกไป เซียวชูก็เดินเข้ามาอีกครั้ง "ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ หลังจากไต่สวนหลิ่วจิ้นก็สารภาพออกมา กระหม่อมลองตรวจสอบโอสถที่ชุนเยวี่ยกินเข้าไปแล้ว มันเป็นโอสถที่หลิ่วจิ้นสั่งให้นางรับใช้ผู้มีหน้าที่ต้มโอสถต้มขึ้นมา สิ่งที่หวังม๋าจื้อพูดมาล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้นพ่ะย่ะค่ะ! "แต่วันนี้ตอนที่ราษฎรมารวมกลุ่มประท้อง หลิ่วจิ้นก็หนีไปจากตำหนัก มีคนเห็นเขาหน
ทั้ง ๆ ที่บอกว่ารักเขา กระทั่งรีบร้อนที่จะแต่งเข้ามาในจวนตำหนักอ๋อง! ทว่าเขากลับไม่เคยเห็นสตรีผู้นี้มีรอยยิ้มมากมายขนาดนี้ต่อหน้าเขาเลย! ช่างน่าขันที่ตนหลงเชื่อนางเข้าจริง ๆ ! เขากำขวดโอสถในมือเอาไว้แน่น ดวงตาฉายแววเยียบเย็นแล้วหันหลังเดินกลับไป จือเฉาที่กำลังเตรียมจะยกชาเข้าไปในห้อง คาดไม่ถึงว่าจะได้เห็นเงาร่างที่จากไป "นั่น! ท่านอ๋องนี่นา! แต่อีกฝ่ายกลับเดินจากไปด้วยฝีเท้ามั่นคงโดยไม่เหลียวหลังแม้แต่น้อย จือเฉารีบยกชามาที่ห้อง "พระชายาเจ้าคะ เมื่อสักครู่นี้ดูเหมือนว่าท่านอ๋องจะเสด็จมาหา แต่กลับเดินออกไปด้วยท่าทีขุ่นเคืองเสียแล้วเจ้าค่ะ" เมื่อฟู่อวิ๋นโจวได้ยินเช่นนี้ก็ตื่นตกใจอยู่บ้างแล้วสีหน้าของเขาก็ฉายแววกังวลใจ "คงจะเห็นข้าอยู่ที่นี่เป็นแน่ เช่นนั้นข้ากลับดีกว่า ข้าเกรงว่าเสด็จพี่จะเข้าใจผิด ประเดี๋ยวข้าจะไปอธิบายให้เสด็จพี่เข้าใจเอง" ฟู่อวิ๋นโจวลุกเร็วเกินไปเสียจนกระอักกระไอแรง ๆ ลั่วชิงยวนรีบเอ่ยขึ้นมาว่า "ไม่ต้องหรอกเพคะ ไม่ว่าท่านจะอธิบายอย่างไร ท่านอ๋องก็ไม่มีสีหน้าดี ๆ ให้หม่อมฉันหรอก" "ท่านผู้นี้เชื่อเฉพาะสิ่งที่ตนเห็นเท่านั้น" ลั่วชิงยวน ฟู่อวิ๋นโจวจึงเ
เห็นท่าทีดื้อรั้นเช่นนี้ของพระชายา แม่นมเติ้งแนะนำนางมิได้อีกต่อไป นางทาโอสถให้อีกฝ่ายอย่างตั้งใจลั่วชิงยวนนึกถึงองค์ชายห้า อดมิได้ที่จะถามว่า “องค์ชายห้าอยู่ตำหนักอ๋องตลอดรึ?"แม่นมเติ้งตอบว่า “องค์ชายห้าถูกจับเป็นตัวประกันที่ตำหนักอ๋องเจ้าค่ะ แม้ว่าจะมีการประกาศอย่างเปิดเผยว่า พระองค์ประทับรักษาพระวรกายอยู่ในตำหนัก และได้เชิญหมอเทวดามาเพื่อพระองค์ แต่อันที่จริงแล้วเป็นการควบคุมพระองค์ เพื่อตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจของไทเฮา”เมื่อได้ยินเช่นนี้ ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจเล็กน้อย อดมิได้ที่จะหันไปมองแม่นมเติ้ง “เหตุใดเจ้าถึงรู้เรื่องพวกนี้?”แต่แม่นมเติ้งมองนางด้วยความประหลาดใจ “นี่คือสิ่งที่ทุกคนในเมืองหลวงรู้เจ้าค่ะ ทุกคนรู้อยู่แก่ใจ เพียงแต่มิกล้าติฉินนินทาอย่างโจ่งแจ้งเท่านั้น”ลั่วชิงยวนดูเหลือเชื่อ ทุกคนรู้ แต่นางกลับไม่รู้อะไรเลย!ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย!ลั่วชิงยวนคิดอย่างรอบคอบ พยายามกลั่นสิ่งสำคัญออกมาจากความทรงจำบ้างองค์ชายห้าฟู่อวิ๋นโจว และจักรพรรดิองค์ปัจจุบันต่างเกิดมาจากไทเฮา แต่ฟู่อวิ๋นโจวมิสมบูรณ์มาแต่กำเนิด อ่อนแอและขี้โรค ทันทีที่เกิดมาก็พ่ายแพ้ในการต่อส
ลั่วชิงยวนกำลังยันตัวลุกขึ้น ก็ได้ยินซูโหยวพูดว่า “เติ้งหมิงซูมีส่วนช่วยชุนเยวี่ย ปี้อวิ๋นและไป๋ถังอย่างมากในเรื่องนี้”“ตั้งแต่วันนี้ไป ทำหน้าที่เป็นแม่บ้านในเรือนชั้นในของตำหนักอ๋อง อีกเดี๋ยวแม่บ้านเติ้งไปที่ฝ่ายบัญชีเพื่อรับกุญแจแม่บ้านได้เลย”พูดจบ ซูโหยวก็หันหลังกลับและจากไปลั่วชิงยวนชะงักทันทีแม่นมเติ้งก็ดูตกใจเช่นกัน ทุกคนตกใจและทำอะไรไม่ถูก นางได้เป็นแม่บ้าน?แม่บ้านเรือนชั้นใน?เป็นไปมิได้หรอก!ลั่วชิงยวนกำผ้าห่มไว้แน่น รู้สึกขมขื่นในใจอย่างอธิบายมิได้ ซูโหยวมาโดยเฉพาะ ที่จริงแล้วมันไม่เกี่ยวอะไรกับนางเลยฟู่เฉินหวนจงใจทำอย่างนั้นหรือ!แม่นมเติ้งกลับมามีสติ พูดอย่างลำบากใจว่า “เรื่องที่เกิดขึ้นกับชุนเยวี่ยและพวกนาง ทั้งหมดเป็นคุณงามความดีของพระชายา จะให้ความดีความชอบกับหญิงชราอย่างหม่อมฉันได้อย่างไร? หม่อมฉันจะไปอธิบายเรื่องนี้กับท่านอ๋องเองเพคะ”ลั่วชิงยวนหยุดนางและพูดว่า “มิจำเป็นหรอก เขาจงใจทำ”แม่นมเติ้งลังเลและถามว่า “เป็นเพราะองค์ชายห้ามาที่นี่หรือไม่เพคะ?”ลั่วชิงยวนคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “นี่น่าจะเป็นเหตุผลส่วนหนึ่ง แต่ก็มิใช่ทั้งหมด”“ในเมื่อเจ้าเป็
ฟู่เฉินหวนใจตึงเครียดจนฝ่ามือชุ่มไปด้วยเหงื่อลั่วชิงยวนพยายามยันตัวลุกขึ้น แต่กลับไร้เรี่ยวแรงที่จะตอบโต้เหยียนผิงเซียวชกเข้าที่ท้องของลั่วชิงยวนอีกครั้ง เลือดสีแดงฉานพุ่งออกมาจากปากนางเหยียนผิงเซียวจิกผมของนางแล้วกระซิบข้างหูอย่างร้ายกาจว่า “เจ้าเก่งนักมิใช่หรือ! ทำให้ท่านพ่อของข้าต้องลาออกจากตำแหน่งกลับไปยังเมืองฉิน เจ้าเป็นผู้มีพระคุณใหญ่หลวงของตำหนักอ๋องนี่!”“เจ้าลองเดาดูสิว่าฟู่เฉินหวนจะช่วยเจ้าหรือไม่?”“แต่มิสำคัญแล้ว เพราะข้าต้องการเพียงให้เจ้าตายเท่านั้น!”เหยียนผิงเซียวใช้ร่างของลั่วชิงยวนบังสายตาของผู้คนส่วนมืออีกข้างที่กำหมัดแน่นมีแผ่นเหล็กแหลมคมติดอยู่ แล้วกระแทกลงไปที่ท้องของลั่วชิงยวนอย่างแรงลั่วชิงยวนเห็นอาวุธลับนั้นแล้วก็ตึงเครียดมากฟู่เฉินหวนแทบขาดใจ ความรู้สึกมิสบายใจอย่างรุนแรงถาโถมเข้ามาฟู่อวิ๋นโจวผู้นั่งอยู่มุมห้องใต้หลังคาก็กำมือแน่นด้วยความตึงเครียดเช่นกันแม้ว่าฝีมือของลั่วชิงยวนจะสู้เหยียนผิงเซียวมิได้ แต่ก็มิควรจะไร้เรี่ยวแรงที่จะตอบโต้เช่นนี้จะลงมือช่วยนางตอนนี้เลยดีหรือไม่!ฟู่อวิ๋นโจวลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่แล้วในวินาทีนั้นเองเงาร่
ในมิช้าการประลองก็เริ่มขึ้นโชคดีที่ลั่วเยวี่ยอิงมิได้ก่อเรื่องวุ่นวายอีก นางเฝ้าดูการประลองอย่างสงบลั่วชิงยวนใช้โอกาสนี้ทำความเข้าใจกฎเกณฑ์ ดาบและกระบี่นั้นไร้ตา ดังนั้นการประลองครั้งนี้จึงห้ามใช้ดาบและอาวุธลับแต่เมื่อปรมาจารย์ต่อสู้กันก็อาจจะควบคุมมือมิทัน เพื่อให้ทุกคนได้ทุ่มเทอย่างเต็มที่ การประลองครั้งนี้ ความเป็นความตายจึงเป็นเรื่องของชะตาฟ้าลิขิตชัยชนะครั้งสุดท้ายมิใช่ผลลัพธ์ที่สำคัญที่สุดสิ่งสำคัญคือการแสดงผลงานในระหว่างการประลอง ฟู่เฉินหวนจะคัดเลือกผู้ที่มีความสามารถโดดเด่นบางคนสำหรับฟู่จิ่งหาน การประลองครั้งนี้มิใช่เพียงการคัดเลือกผู้ที่มีความสามารถโดดเด่นเท่านั้น แต่ยังเป็นการชมการประลองที่น่าตื่นเต้นด้วย ดังนั้นจึงมีความอิสระสูงทุกคนสามารถขึ้นไปท้าทายได้ หนึ่งรอบมีผู้แข่งขันสิบคน ผู้ชนะจะได้พักแล้วเข้าสู่รอบที่สองดังนั้นผู้ชนะในแต่ละรอบจะสามารถท้าทายคู่ต่อสู้ที่ตนคิดว่าแข็งแกร่งกว่าได้อย่างอิสระการประลองรอบแรกจบลงอย่างรวดเร็ว ฟู่เฉินหวนกับฟู่จิ่งหานวิเคราะห์ผู้ที่เหมาะสมในรอบนี้อย่างจริงจังฟู่จิ่งหานพยักหน้าให้ขันทีที่ยืนอยู่ด้านข้างจดบันทึกชื่อทุกอย่าง
“พระชายา เหตุใดมิลงไปหามาให้ข้าเล่า? หากขุดพบรากบัวได้สองหัว ข้าจะเมตตาตกรางวัลให้อย่างงาม!”น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเยาะเย้ยและหยิ่งผยองนั้น มิใช่ปฏิบัติต่อลั่วชิงยวนดุจพระชายา หากแต่ปฏิบัติเสมือนทาสบริวารเหล่าผู้คนโดยรอบต่างตกตะลึงพรึงเพริดตำแหน่งของลั่วชิงยวนในตำหนักอ๋องนั้นต่ำต้อยถึงเพียงนี้เชียวหรือ?ฟู่เฉินหวนอดรนทนมิไหวอีกต่อไป จึงพูดเสียงเย็นเยียบว่า “ฤดูกาลนี้จะมีรากบัวอยู่ได้อย่างไร มิต้องลำบากเช่นนั้นเลย”ลั่วเยวี่ยอิงกลับคว้าแขนฟู่เฉินหวนพลางทำท่าทางออดอ้อน“ไม่เพคะ ท่านอ๋อง เผื่อว่าจะมีก็ได้! โปรดให้พระชายาลงไปค้นหาดูเถิดเพคะ!”นางกล่าวจบก็ถอดกำไลหยกที่ข้อมือ แล้วขว้างลงไปในบึงจากนั้นเชิดหน้าพูดกับลั่วชิงยวนว่า “ไปสิ กำไลหยกวงนี้เป็นรางวัลของเจ้า!”ท่าทางเช่นนี้ประหนึ่งว่ากำลังสั่งการสุนัขตัวหนึ่งฟู่เฉินหวนกำมือแน่น รู้สึกปวดร้าวที่ศีรษะอย่างยิ่งลั่วชิงยวนเห็นดังนั้นก็กังวลเพราะอาการของฟู่เฉินหวน นัยน์ตานางฉายแววเย็นชาขณะมองหน้าลั่วเยวี่ยอิง แล้วหันหลังกระโดดลงไปในสระน้ำเมื่อเสียงน้ำกระเพื่อมดังขึ้น เสียงฮือฮาต่างก็ดังมาจากทั่วบริเวณ“นางกระโดดลงไปจริง ๆ
“องค์จักรพรรดิทรงมีรับสั่งว่าการประลองยุทธ์ครั้งนี้ ต้องการให้ท่านอ๋องคัดเลือกผู้มีความสามารถ จึงอนุญาตให้ท่านอ๋องพาพระชายาทั้งสองไปชมการประลองได้พ่ะย่ะค่ะ!”ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วฟู่เฉินหวนรับพระราชโองการมาดู แล้วพบว่าเป็นพระราชโองการจริงจิ่นชูมองแล้วถามด้วยรอยยิ้ม “ครั้งนี้องค์จักรพรรดิทรงรับสั่งให้ท่านอ๋องพาพระชายาทั้งสองไปด้วย เหตุใดจึงมิเห็นพระชายารองหรือเพคะ?”ยามนี้ลั่วเยวี่ยอิงรู้ข่าวการประลองยุทธ์แล้ว นางส่งเสียงโวยวายอยากไปด้วยอยู่หน้าประตู “ท่านอ๋อง! ท่านอ๋องเพคะ! พาหม่อมฉันไปด้วยเถิดเพคะ!”จิ่นชูได้ยินเสียงนี้แล้วก็ยิ้มอย่างมีเลศนัย “ท่านอ๋องอย่าลืมพระชายารองนะเพคะ”ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้ว “การประลองยุทธ์มิเกี่ยวกับนาง นางมิจำเป็นต้องไปก็ได้”จิ่นชูถามด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นท่านอ๋องจะขัดต่อพระราชโองการหรือเพคะ?”คำพูดนี้ทำให้ฟู่เฉินหวนจำต้องพาลั่วเยวี่ยอิงไปด้วยเพราะสุดท้ายแล้วนั่นก็คือพระราชโองการมหาราชาจารย์เหยียนเพิ่งลาออก ตระกูลเหยียนกำลังตกต่ำ หากเขาขัดพระราชโองการในเวลานี้ก็จะดูเหมือนอวดดี มิเคารพองค์จักรพรรดิฟู่เฉินหวนสบตากับลั่วชิงยวน ทั้งสองต่างก็รู้สึกว่าครั้
ฟู่เฉินหวนตกใจเมื่อได้ฟังถ้อยคำของลั่วชิงยวนลั่วชิงยวนอธิบาย “หม่อมฉันได้คำนวณดูแล้ว เหตุการณ์วุ่นวายในแคว้นเทียนเชวียกำลังจะอุบัติขึ้น เริ่มต้นจากทางทิศใต้เพคะ”“และเมืองฉินก็ตั้งอยู่ทางทิศใต้พอดี!”“ตระกูลเหยียนรุ่งเรืองมาจากเมืองฉิน มีอิทธิพลสูงส่งยิ่งนัก การที่มหาราชาจารย์เหยียนลาออกจากตำแหน่งแล้วกลับไปยังเมืองฉินอย่างเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ เกรงว่าจะมีอำนาจมืดใหญ่หลวงซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังเพคะ”เมื่อฟู่เฉินหวนก็ได้ฟังดังนั้นก็ขมวดคิ้วแน่น สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นกว่าเดิม“เช่นนั้นก็แสดงว่าตาแก่ผู้นี้จะเริ่มแผนการแล้วสินะ”กล่าวจบ ฟู่เฉินหวนก็คว้ามือของลั่วชิงยวนไว้ “ชิงยวน ขอบใจเจ้ามาก”ลั่วชิงยวนถึงกับตะลึงงันไป “ขอบใจหม่อมฉันเรื่องอะไรเพคะ?”“ขอบใจเจ้าที่บอกเรื่องสำคัญเช่นนี้แก่ข้า”ลั่วชิงยวนถามด้วยความสงสัย “แล้วท่านจะทำอย่างไรเพคะ?”ฟู่เฉินหวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาฉายแววเย็นชา “เมื่อเขาลาออกจากตำแหน่งแล้วออกจากเมืองหลวง เช่นนั้นก็อย่าให้เขากลับมาได้อีกเลย!”ลั่วชิงยวนก็เห็นด้วยกับวิธีการนี้มีเพียงมหาราชาจารย์เหยียนสิ้นชีพลงเท่านั้น ทุกอย่างจึงจะสงบลงได้“หม่อมฉันจะ
ฟู่เฉินหวนเก็บขนมกุ้ยฮวาไปด้วยความผิดหวัง แล้วพูดปลอบโยน “มิเป็นอะไร รอชิมฝีมือหัวหน้าพ่อครัวเถิด”ดูเหมือนจะมิถูกใจ ถึงแม้เขาจะเรียนรู้จากหัวหน้าพ่อครัว แต่รสชาติก็ยังแตกต่างออกไป ดูเหมือนต้องฝึกฝนให้มากขึ้นลั่วชิงยวนเห็นความผิดหวังในสายตาของเขา จึงยกยิ้มหวานแล้วพูดว่า “หวานมาก! อร่อยมากเพคะ!”ฟู่เฉินหวนตกตะลึงเมื่อเห็นรอยยิ้มที่เย้ายวนใจ ใจชายหนุ่มก็รู้สึกหวั่นไหว จึงอดมิได้ที่จะประคองหน้าลั่วชิงยวนแล้วจุมพิตถึงแม้จะรู้ว่านางอาจจะปลอบใจเขา แต่เพียงเห็นรอยยิ้มของนางเขาก็สุขใจมากแล้วหัวหน้าพ่อครัวมองไปทางอื่น ทำเป็นมิเห็นในมิช้า อาหารและขนมก็ถูกยกมาอย่างต่อเนื่องทั้งสองกินข้าวด้วยกันอย่างมีความสุขจนดึกดื่นเมื่อออกจากหอหมื่นสุข ลั่วชิงยวนอิ่มจนแทบจะเดินมิไหวฟู่เฉินหวนจับมือลั่วชิงยวนเดินไปข้างหน้า “เดินเล่นสักหน่อย แล้วเดี๋ยวข้าค่อยส่งเจ้ากลับ”ลั่วชิงยวนเรอเบา ๆ “ท่านตั้งใจจะทำให้หม่อมฉันอ้วนขึ้นหรือเไร หากหม่อมฉันอ้วนเหมือนเดิม ท่านก็จะดีใจใช่หรือไม่เพคะ?”ฟู่เฉินหวนอุ้มนางขึ้น แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าฉลาดมาก”“ท่าน!” ลั่วชิงยวนยกมือขึ้นฟู่เฉินหวนจับมือน
ซ่งเชียนฉู่เช็ดมือ ก่อนจะเปิดลิ้นชักหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมา ลั่วชิงยวนฉีกซองอ่านดู เมื่ออ่านจบ สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันทีซ่งเชียนฉู่สงสัยจึงเอ่ยถาม “มีอะไรหรือ? เป็นจดหมายขอความช่วยเหลือหรือไร?”ลั่วชิงยวนเบิกตาเล็กน้อย “เป็นจดหมายขู่”ในจดหมายเขียนว่า ผู้เขียนรู้ว่านางแอบอ้างเป็นศิษย์สำนักเสวียนซานอวี้ซวี และต้องการให้นางร่วมมือ หากมิยอมร่วมมือ ก็จะให้ศิษย์สำนักเสวียนซานอวี้ซวีตัวจริงมาเปิดโปงความจริง เพื่อทำลายชื่อเสียงของนาง บอกให้ใต้หล้ารู้ว่านางเป็นเพียงสตรีที่ต้มตุ๋นหลอกลวงซ่งเชียนฉู่รับจดหมายมาอ่าน แล้วร้องอุทานด้วยความตกใจ “ใครกัน? ดูเหมือนจะจับตามองท่านมานานแล้ว!”ลั่วชิงยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล “ให้มันมาหาข้าเองเถอะ ส่วนเจ้าก็จงระมัดระวังตัวให้มาก”ซ่งเชียนฉู่พยักหน้ารับ “ข้ามิเป็นอะไรหรอก แต่ท่านต้องระวังตัวให้มาก คนผู้นี้คงจับตามองท่านมานานแล้ว ถึงได้รู้ว่าท่านมิใช่ศิษย์สำนักเสวียนซานอวี้ซวี”นั่นเพราะเมื่อเริ่มทำนายทายทัก ลั่วชิงยวนยังไม่มีชื่อเสียง จึงใช้ชื่อศิษย์สำนักเสวียนซานอวี้ซวี ผู้เขียนจดหมายจึงต้องรู้ว่า
แต่กลับถูกจับแขน แล้วดึงเข้าไปในอ้อมกอดลั่วชิงยวนจึงรู้สึกตัว เมื่อได้กลิ่นที่คุ้นเคยก็ตกใจมาก “ท่านมาได้อย่างไรเพคะ?”ฟู่เฉินหวนโอบกอดนางแน่นแล้วพูดว่า “ตำหนักนอกเมืองหนาวมาก”ลั่วชิงยวนผลักเขาออกอย่างแรง “ใช่เพคะ มิเพียงแต่หนาว ยังมีงูด้วย”มิใช่ว่านางมิเคยอยู่ที่ตำหนักนอกเมืองสภาพแวดล้อมในครั้งนั้นยากลำบากกว่าฟู่เฉินหวนในตอนนี้มากฟู่เฉินหวนนึกถึงประสบการณ์ในอดีตของนาง จึงจับมือของนางด้วยความห่วงใย “ชิงหยวน ครั้งนั้นเจ้าลำบากมาก”“เป็นข้าที่ต้องขอโทษเจ้า”ใต้แสงจันทร์ ลั่วชิงยวนมองเขาด้วยดวงตาเป็นประกาย “เรื่องในอดีต ผ่านไปแล้ว มิต้องพูดถึงอีกแล้วเพคะ”“ท่านทนความหนาวเย็นของตำหนักนอกเมืองมิได้หรือเพคะ?”ฟู่เฉินหวนพูดเสียงต่ำ “ทนการจากลาเจ้ามิได้ต่างหาก”ใจของลั่วชิงยวนสั่นไหวเล็กน้อยแล้วก็ใจอ่อนอีกครั้ง“แต่ถ้าท่านมิไปอยู่ที่ตำหนักนอกเมือง ในตำหนักอ๋องแห่งนี้คนที่ทุกข์ใจก็จะเป็นเราสองคน”“ข้าจะไป รุ่งเช้าจะกลับ คืนนี้ขอพักอยู่ที่นี่สักคืนได้หรือไม่?”ฟู่เฉินหวนกลับมาที่เมืองหลวงในเวลากลางคืนมิใช่เพราะอารมณ์ชั่ววูบเมื่อไปถึงตำหนักนอกเมือง แล้วเห็นสถานที่ที่นางเค
นางโน้มกายลง ริมฝีปากแสยะยิ้มจางขณะพูดด้วยเสียงเยือกเย็น “เจ้าเป็นเพียงบ่าวที่ใช้ทดลองยาในตำหนักอ๋องเท่านั้น”จบประโยค นางก็คว้าข้อมือของลั่วเยวี่ยอิง แล้วกรีดลงไปแม้ว่าลั่วเยวี่ยอิงจะดิ้นรนอย่างไร ลั่วชิงยวนก็มิปล่อยมือ ปล่อยให้โลหิตไหลออกเต็มชาม ลั่วชิงยวนจึงคลายมือออกพร้อมกับพานางรับใช้ไปด้วยลั่วชิงยวนจำต้องเร่งรัดการปรุงยาแก้พิษ ลั่วเยวี่ยอิงยังคงมีชีวิตอยู่ก็จะยิ่งก่อความวุ่นวายให้ตำหนักอ๋องมิสงบสุขระหว่างทางกลับ นางก็สั่งนางรับใช้ว่า “เจ้าไปเอาชุดจากศาลารุ้งเมฆาให้สตรีผู้นั้น บอกว่าเป็นคำสั่งของข้า ศาลารุ้งเมฆาจะให้”“เจ้าค่ะ”ลั่วชิงยวนสั่งอีกว่า “จงทำตามใจนางทุกอย่าง จะได้มิเดือดร้อน”“เจ้าค่ะ”ยามเย็นลั่วชิงยวนดักรออยู่มิไกลจากตำหนักอ๋องเมื่อเห็นรถม้าใกล้เข้ามานางก็รีบเข้าไปหาเมื่อฟู่เฉินหวนบนรถม้าเห็นนางมาถึงก็รีบลงจากรถม้า ยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วโอบกอดลั่วชิงยวนไว้ในอ้อมแขน “คิดถึงข้าหรือไม่?”ลั่วชิงยวนผลักเขาออก “หม่อมฉันมาบอกท่านว่าอย่ากลับไป ท่านไปอยู่ที่ตำหนักนอกเมืองเถิดเพคะ”เมื่อได้ยินดังนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าของฟู่เฉินหวนก็แข็งค้าง “เหตุใด? ข้าทำผิ