“หม่อมฉันมอบให้ท่านหรือเพคะ?” ลั่วชิงยวนแทบไม่อยากเชื่อเลย ฟู่อวิ๋นโจวขมวดคิ้วแล้วมองนาง “มิใช่หรอกหรือ? เจ้าบอกให้ข้าซื้อภาพเขียนม้วนนั้นเอาไว้ บอกว่าเป็นของขวัญให้ข้าแล้วก็นัดให้ข้ามาเจอกันเมื่อคืนนี้ แต่ข้ารอคอยอยู่ทั้งคืน เจ้าก็ไม่มาสักที” เมื่อลั่วชิงยวนได้ยินเช่นนี้ นางก็รีบเอ่ยขึ้นมาว่า “มีคนวางกับดักเอาไว้!” “องค์ชายห้า หม่อมฉันจักมอบภาพเขียนเช่นนี้ให้ท่านได้อย่างกันเพคะ?” “ไม่สิ หม่อมฉันไม่มีทางเขียนภาพเช่นนี้เป็นอันขาด! นี่เท่ากับเป็นการยืนยันว่าพวกเราคบชู้กัน” เมื่อฟู่อวิ๋นโจวได้ยินเช่นนี้เข้าก็รู้สึกตกตะลึง จากนั้นเขาก็ตระหนักถึงสิ่งที่เขาได้ทำผิดพลาดลงไป เขาขมวดคิ้วพลางรู้สึกผิดยิ่งนัก “เดิมทีข้าเพียงคิดเก็บไว้กับตัวเอง ข้ารู้ว่ามิบังควรให้ผู้อื่นได้เห็นภาพเขียนม้วนนี้ แต่ก่อนที่ข้าจักทันได้ซ่อนเอาไว้ เสด็จพี่ก็เข้ามาเสียก่อนแล้ว” “ข้าขอโทษที่ก่อเรื่องให้เจ้าอีกแล้ว” “ข้ามันไร้ประโยชน์นัก ข้าทำอันใดมิได้เลย” ฟู่อวิ๋นโจวรู้สึกผิดยิ่งนัก สีหน้าไร้สีเลือดและคราบโลหิตตรงริมฝีปากแสดงให้เห็นท่าทางอ่อนแอและอับจนหนทาง ชวนให้คนรู้สึกเจ็บปวด ลั่วชิงยวนทนตำหนิไม่ไ
ลั่วชิงยวนกำหมัดแน่นแล้วเอ่ยขึ้นด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า “ท่านอ๋อง ท่านยังต้องถามอีกหรือ? แน่นอนว่าย่อมเป็นผู้ที่ท่านทะนุถนอมไว้กลางใจ!” “นอกจากนางแล้ว ยังจะเป็นผู้ใดอีกเล่า?” เมื่อฟู่เฉินหวนได้ยินเช่นนี้ เขาก็รู้สึกโกรธขึ้นมา “อย่าได้พูดเรื่องเหลวไหลโดยไร้ซึ่งหลักฐาน!” ลั่วชิงยวนยิ้มเยาะ “ต่อให้มีหลักฐาน ท่านอ๋องก็คงไม่เชื่อกระมัง” “ยิ่งไปกว่านั้น ลำพังด้วยความสามารถของท่านอ๋องแล้ว การค้นหาหลักฐานและค้นหาตัวผู้ที่ปล่อยข่าวลือก็คงเป็นเรื่องยากกระมัง?” ฟู่เฉินหวนสามารถปกป้องลั่วเยวี่ยอิงได้ ต่อให้เขาจะล่วงรู้ถึงสิ่งที่นางทำ เขาก็มิได้จัดการกับนาง ลั่วชิงยวนทราบเรื่องนี้ดียิ่ง ฟู่เฉินหวนโมโหเสียจนหน้าตาซีดขาว เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าเป็นเพราะความสัมพันธ์อันเคลือบคลุมระหว่างนางกับฟู่อวิ๋นโจวจึงก่อให้เกิดเรื่องซุบซิบนินทามากมายปานนั้น เมื่อข่าวมาถึงราชสำนัก ขุนนางทั้งหลายต่างพากันกล่าวโทษเขาแล้วแนะนำให้เขาจัดการเรื่องส่วนตัวให้ดีเสียก่อนที่จะมาจัดการเรื่องบ้านเมือง เพราะเรื่องเสื่อมทรามที่ทำลายหน้าตาของราชวงศ์ พวกเขาจึงฉวยโอกาสนี้รวมหัวกันต่อต้านและกีดกันเขามิให้มีส่วนร่วมในเร
ฟู่เฉินหวนชะงักฝีเท้า “หม่อมฉันตกลงช่วยชีวิตเขาก็ได้” “แต่ท่านต้องให้หม่อมฉันรักษาเขาเอง!” นี่คือเงื่อนไขของนาง ยามนี้ทั่วทั้งเมืองหลวงต่างล่วงรู้ว่าอัครเสนาบดีป่วยหนัก แม้แต่หมอหลวงก็อับจนหนทาง ทว่านางสามารถรักษาลั่วไห่ผิงได้ อย่างไรเสีย ลั่วไห่ผิงก็ยังดวงมิถึงฆาต คราวนี้ก็น่าจะยังมิตายหรอก แต่นางคงมิยอมให้ลั่วไห่ผิงหายเป็นปกติง่าย ๆ ขนาดนั้นหรอก นางจะทำให้เขาต้องทรมานด้วยความเจ็บปวดไปชั่วชีวิต! อีกอย่างนางก็ไม่ยอมยกผลงานของตนให้ผู้ใดแน่ เมื่อฟู่เฉินหวนได้ยิน เขาก็กำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว เพื่อฟู่อวิ๋นโจวแล้ว นางถึงกับตอบรับเงื่อนไขที่จะช่วยชีวิตลั่วไห่ผิง หากนางบอกว่ามิได้รักใคร่ไยดีในตัวฟู่อวิ๋นโจว ผู้ใดจะเชื่อกันเล่า? รอยยิ้มเยียบเย็นผุดขึ้นบนเครื่องหน้าอันเด่นชัดของฟู่เฉินหวน จากนั้นน้ำเสียงเย็นชาก็ค่อย ๆ ดังขึ้นว่า “หากเจ้ายอมตอบตกลงช่วยชีวิตลั่วไห่ผิงเพื่อช่วยชีวิตฟู่อวิ๋นโจว ดูเหมือนว่าท่านมหาราชครูก็หาได้สลักสำคัญกับเจ้าเท่ากับฟู่อวิ๋นโจวนักหรอก” “ข้าคิดว่าหามีสิ่งใดสั่นคลอนจิตใจที่จะสังหารลั่วไห่ผิงของเจ้าได้ไม่เสียอีก ดังนั้นข้าจึงรู้สึกชื่นชมว่ามิเสียแรงที
“ใช่” ฟู่เฉินหวนมิได้ปิดบังสิ่งใด ทว่าเมื่อลั่วเยวี่ยอิงได้ยินเช่นนี้เข้า นางกลับร้อนใจมากเสียจนคว้าแขนเสื้อของฟู่เฉินหวนเอาไว้ “ท่านอ๋อง จักทำเช่นนี้ได้อย่างไรเพคะ!” “ท่านกับหม่อมฉันต่างรู้ดีว่าท่านพี่เกลียดชังท่านพ่อของหม่อมฉัน หากนางทำร้ายท่านพ่อขึ้นมาจักทำเช่นไรเพคะ?" “ท่านอ๋อง ท่านทำเช่นนั้นมิได้นะเพคะ!” ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้วพลางมองดวงตาแดงก่ำของลั่วเยวี่ยอิงที่ราวกับจวนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ จนเขาเกือบจะตกปากรับคำนางไปแล้ว ทว่าเหตุผลทำให้เขาต้องระงับตนเองพลางตอบว่า “ข้าจักคอยดูมิให้นางทำร้ายท่านอัครเสนาบดี ยิ่งมิต้องเอ่ยถึงเรื่องที่นางเองก็เป็นบุตรีคนหนึ่งของท่านอัครเสนาบดีเช่นกัน” “ท่านอ๋อง!” ลั่วเยวี่ยอิงขวางลั่วชิงยวนเอาไว้ด้วยท่าทีร้อนรนกังวลใจ ลั่วชิงยวนเลิกคิ้วแล้วมองฟู่เฉินหวน “หากมิต้องการให้ข้าตรวจดูก็ช่างเถอะ เช่นนั้นข้าก็จักกลับแล้ว” หลังจากนางพูดจบก็หันหลังเดินจากไป ไหน ๆ นางก็ไม่เต็มใจที่จะรักษาลั่วไห่ผิงมาตั้งแต่แรกแล้ว ฟู่เฉินหวนคว้ามือนางเอาไว้ ทว่ายามนี้หมอหลวงทั้งหลายต่างกำลังเฝ้ามองดูอยู่ ฟู่เฉินหวนไม่อาจพูดจารุนแรงจึงได้แต่เอ่ยกระซิบว่า “เจ้าตกลง
หมอหลวงเองก็รีบวิ่งเข้ามาในห้อง “อ๊ะ เขากระอักโลหิตเสียแล้ว ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีอาการเช่นนั้นมาก่อนเลย” ทุกคนก้าวเข้ามาตรวจอาการของลั่วไห่ผิงด้วยท่าทีร้อนใจยิ่ง ลั่วเยวี่ยอิงที่ตกอยู่ท่ามกลางความสิ้นหวัง ออกแรงผลักลั่วชิงยวนแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดว่า “เจ้ามันสตรีใจอำมหิต ท่านเป็นบิดาของเจ้านะ! ไฉน! ไฉนเจ้าต้องทำเช่นนี้ด้วย?” ลั่วเยวี่ยอิงโมโหเสียจนหน้าตาเหยเก ดูเหมือนว่านางพร้อมจะฉีกทึ้งลั่วชิงยวนให้เป็นชิ้น ๆ แล้ว หลังจากลั่วชิงยวนโดนอีกฝ่ายผลักอย่างแรงจนซวนเซถอยหลังไปหลายก้าว ลั่วชิงยวนก็ปัดมือของอีกฝ่ายออกอย่างหมดความอดทน โดยไม่คิดจะอธิบายสักนิด บัดนี้เอง หมอหลวงที่เป็นกังวลเรื่องอาการของลั่วไห่ผิงก็ร้องอุทานออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า “ชีพจรเช่นนี้มิดีแล้ว!” “เขาหายใจเร็วเสียแล้ว หากมิสามารถควบคุมการหายใจได้ มีความเป็นไปได้มากว่า…” “อาการของอัครเสนาบดีเข้าขั้นวิกฤตแล้ว!” หมอหลวงเอาแต่พูดคุยกัน เมื่อเห็นว่าจู่ ๆ อาการป่วยของลั่วไห่ผิงก็วิกฤตขึ้นมาราวกับว่าเขาควบคุมมิได้อีกแล้ว พวกเขาต่างก็ร้อนใจขึ้นมา เกรงว่าวันนี้เขาคงไม่รอดแล้ว ตอนนี้ฟู่เฉินหวนเองก็มอง
ในยามนี้เอง หลังจากลั่วเยวี่ยอิงได้ยินวาจาเหล่านี้ก็ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ “ลั่วชิงยวน เจ้าทำเกินไปแล้ว!” นางรู้สึกตื่นตระหนกมากเสียจนอยากจะพุ่งเข้าไปหา แต่กลับถูกฟู่เฉินหวนรั้งแผ่นหลังเอาไว้ ลั่วชิงยวนหยิบเข็มเงินแล้วฝังให้ลั่วไห่ผิงด้วยความเชี่ยวชาญ หามีหมอหลวงคนใดกล้าเดินเข้ามาอีกไม่ อย่างไรเสีย หากเกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นกับท่านอัครเสนาบดี พวกเขาคงแบกรับมิไหวเป็นแน่ พวกเขาจึงได้แต่จับตามองทุกความเคลื่อนไหวของลั่วชิงยวน ทว่าสิ่งที่สร้างความตกตะลึงให้แก่พวกเขาก็คือ การที่ลมหายใจของลั่วไห่ผิงค่อย ๆ สงบลงทีละนิด มิได้เร็วเท่าก่อนหน้านี้อีกแล้ว เห็นได้ว่าหน้าอกที่สะท้อนขึ้นลงสม่ำเสมอแล้ว หมอหลวงต่างตกตะลึง หลังจากลั่วชิงยวนฝังเข็มเสร็จสิ้น นางก็ถอนเข็มเงินออกมาแล้วหยิบโอสถเสริมลมปราณออกมาจากล่วมยามาป้อนให้ลั่วไห่ผิงกิน หลังจากนั้นสักพัก สีหน้าของลั่วไห่ผิงกลับมีเลือดฝาด มิได้ซีดขาวเช่นก่อนหน้านี้อีก ลั่วชิงยวนเอ่ยเสริมขึ้นมาว่า “เดี๋ยวข้าจะเขียนเทียบโอสถให้ เพียงแต่ต้องใช้เครื่องยาสมุนไพรทั่วไปเพื่อบำรุงกำลัง กินสักสามวันเดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง” “เขาคงฟื้นแล้วลุกขึ้นได้ภายในส
“ถึงเวลาปล่อยฟู่อวิ๋นโจวไปแล้ว”น้ำเสียงเย็นชาของลั่วชิงยวนทำให้ฟู่เฉินหวนรู้สึกโกรธอีกครั้งดวงตาของเขามืดลงและพูดอย่างเย็นชา “ข้าเป็นคนรักษาคำพูดอยู่แล้ว”“เช่นนั้นก็ดี!” น้ำเสียงของลั่วชิงยวนเย็นชาและไม่มีความอบอุ่นใด ๆ ระหว่างทางกลับตำหนัก ทั้งคู่ต่างพากันเงียบ บรรยากาศอึดอัดไม่น้อยเมื่อมาถึงตำหนักอ๋อง ลั่วชิงยวนบอกให้ฟู่เฉินหวนปล่อยตัวเขาทันทีฟู่เฉินหวนไม่รอช้า และได้ปล่อยฟู่อวิ๋นโจวออกจากคุกน้ำทันทีลั่วชิงยวนไปยังเรือนทักษิณาหลังจากนั้นใบหน้าของฟู่อวิ๋นโจวทั้งซีดและดูซูบผอม เส้นผมที่เปียกโชกของเขาแนบแก้มและลำคอ เผยให้เห็นผิวขาวซีดอย่างคนป่วยลั่วชิงยวนรีบจับชีพจรของเขาอย่างรวดเร็วฟู่อวิ๋นโจวฟื้นคืนสติขึ้นมาด้วยความงุนงง และเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ชิงยวน ข้าเป็นภาระเจ้าอีกแล้วหรือ?”ลั่วชิงยวนขมวดคิ้ว “ครั้งนี้ท่านเป็นหวัด ดังนั้นโปรดรักษาตัวด้วยเพคะ หม่อมฉันจักสั่งยาให้ท่าน ขอให้ท่านพักผ่อนให้เต็มที่เถิดเพคะ”ขณะที่นางกำลังพูด จู่ ๆ หมอกู้ก็เดินเข้ามา“มิรบกวนพระชายา ข้าดูแลองค์ชายห้าเองขอรับ”ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วและหันไปมองหมอกู้ “ในเมื่อหมอกู้เป็นหมอเทวดา ไฉน
“องค์ชาย หม่อมฉันจักพยายามโน้มน้าวแม่นางฝูเสวี่ยอย่างเต็มที่ แต่หม่อมฉันมิสามารถรับประกันได้ว่าแม่นางฝูเสวี่ยจักยอมรับปากเพคะ”ลั่วชิงยวนบังเอิญได้ยินการสนทนาของพวกเขาและอดไม่ได้ที่จะแอบตกใจ กับเรื่องนี้แล้วฟู่จิ่งหลีนับว่าหน้าใหญ่ใจโตไม่น้อยเลย“องค์ชายฟู่” ลั่วชิงยวนก้าวไปข้างหน้าและเอ่ยปากขึ้นเมื่อได้ยินเสียงของนาง ฟู่จิ่งหลีก็เงยหน้าขึ้น รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “นี่ ช่างบังเอิญนัก ท่านเซียนฉู่ก็มาที่นี่เพื่อดื่มด้วยงั้นรึ?”“กระหม่อมมาเพราะมีเรื่องจะถามองค์ชายฟู่พ่ะย่ะค่ะ” ลั่วชิงยวนกล่าวเมื่อได้ยินสิ่งนี้ ฟู่จิ่งหลีก็โบกมือและขอให้เหล่าสตรีที่อยู่รอบตัวเขาออกไปก่อนแม่เล้าเฉินเองก็จากไปอย่างรู้งานเช่นกันลั่วชิงยวนก้าวไปข้างหน้า และฟู่จิ่งหลีก็รินสุราให้นางหนึ่งแก้ว “ไม่ง่ายเลยที่จะได้พบกับท่านเซียนฉู่ที่นี่ มาดื่มกันหน่อยเถอะ”ลั่วชิงยวนปฏิเสธ “กระหม่อมดื่มมิเก่ง เพราะฉะนั้นกระหม่อมมิดื่มกับองค์ชายฟู่หรอกพ่ะย่ะค่ะ”“กระหม่อมมาที่นี่ครั้งนี้เพื่อถามองค์ชายฟู่ว่า ภาพวาดที่ถูกนำมาประมูลครั้งก่อนนั้นเป็นของสะสมตระกูลองค์ชายฟู่จริงหรือ?”“กระหม่อมได้ยินมาว่าภาพวาดนั้นสร้าง
“เจ้าแต่งกายให้เรียบร้อย มิต้องรีบร้อน ข้าจะออกไปดูเอง” ฟู่เฉินหวนปล่อยนาง แล้วเดินออกจากห้องอย่างสงบนิ่งลั่วชิงยวนรีบแต่งกาย เมื่อพบหน้ากากบนเตียงก็รีบสวมใส่แล้วจัดแจงอย่างเรียบร้อย จากนั้นจึงค่อย ๆ ก้าวออกไปอย่างใจเย็นเมื่อออกมาก็พบกับใต้เท้าเหอและเหล่าองครักษ์แต่มิพบศพของเหยียนผิงเซียวใต้เท้าเหอมองนางด้วยความสงสัย “เมื่อคืนท่านเซียนฉู่ไปที่ใดหรือขอรับ ข้าเคาะประตูเรียกก็ไร้ผู้ตอบรับ ท่านเซียนฉู่ทราบหรือไม่ว่าเมื่อคืนมีคนตายอยู่หน้าประตูบ้านของท่าน?”ลั่วชิงยวนใจหาย พวกใต้เท้าเหอมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วศพก็ถูกพวกเขาเอาไปแล้วด้วยเคาะประตูแล้วไม่มีคนตอบหรือ?นางมิได้ยินเสียงเคาะประตูจริง ๆนางสบตากับฟู่เฉินหวนแล้วจึงตอบว่า “ข้าดื่มสุราอยู่กับท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการ”ฟู่เฉินหวนยืนกอดอก มุมปากมีรอยยิ้มจางแล้วเอ่ยว่า “ข้าก็บอกแล้วว่าข้ากับท่านเซียนฉู่ดื่มสุราอยู่ที่หอฝูเสวี่ย เพิ่งกลับมาเมื่อเช้า ใต้เท้าเหอยังมิเชื่ออีกหรือ?”ใต้เท้าเหอรีบขออภัย “มิได้มีเจตนาดังนั้นพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ผู้ตายคือบุตรชายคนโตของตระกูลเหยียน เหยียนผิงเซียว ท่านอ๋องก็ทรงทราบว่าเขามีฐานะพิเศษ บ
“หม่อมฉัน...” เมื่อถูกจ้องมองด้วยแววตาเช่นนี้ ลั่วชิงยวนก็มิอาจปั้นแต่งคำโกหกต่อไปได้“ว่าอย่างไร? ยังคิดคำโกหกมิออกหรือ?” ฟู่เฉินหวนใช้มือทั้งสองยันประตู แล้วเอนกายเข้ามาใกล้นางดวงตาคมกริบแฝงอันตราย ใกล้ชิดเพียงนี้ทำให้บรรยากาศรอบตัวร้อนรุ่มดุจเปลวเพลิงลั่วชิงยวนกลืนน้ำลายลงคอ ยอมรับแต่โดยดี “ใช่เพคะ หม่อมฉันคือฉู่ลั่ว!”“อย่ากล่าวหาว่าหม่อมฉันหลอกลวงท่านมาโดยตลอดเลยเพคะ ครั้งนั้นท่านเป็นผู้ขับไล่หม่อมฉันไปยังเรือนอื่นเพื่อให้ตายไปเอง หากหม่อมฉันมิปิดบังท่าน แล้วหาทางทำมาหากินเองก็คงอดตายหนาวตายอยู่ในเรือนหลังนั้นไปนานแล้ว...”กล่าวถึงตรงนี้ ฟู่เฉินหวนก็ขมวดคิ้วแล้วดึงนางเข้าสู่อ้อมกอดกอดนางไว้แน่นลั่วชิงยวนชะงักไปเสียงทุ้มต่ำของฟู่เฉินหวนดังข้างหู “ข้าขอโทษ ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเอง”ลั่วชิงยวนตกใจเล็กน้อย เมื่อเห็นเขารู้สึกผิดเช่นนี้ก็ใจอ่อน นางลูบหลังเขาเบา ๆ “เอาเถิดเพคะ หม่อมฉันมิได้ถือโทษท่านแล้ว”“ต้องโทษที่หม่อมฉันเองมองคนผิด ถูกคนหลอกใช้ ทำให้ท่านเข้าใจผิดคิดว่าหม่อมฉันเป็นไส้ศึกของตระกูลเหยียน”สิ้นคำพูดของนาง ฟู่เฉินหวนก็คลายอ้อมกอดแล้วหรี่ตาลง แววตาแปรเ
เว้นเสียแต่จะตายกับดักจึงจะหายไปทั้งสองวิ่งหนีไปได้มิกี่ก้าวก็พบว่าติดอยู่ในกับดัก ลั่วชิงยวนจึงไล่ตามมาทันอีกครั้งลั่วฉิงหันกลับมามองด้วยสายตาเย็นชา พลันคว้าไหล่เหยียนผิงเซียวแล้วผลักเขาไปหาลั่วชิงยวน“ฉิงเอ๋อร์!” เหยียนผิงเซียวตกใจสุดขีดร่างกายถอยหลังโดยมิอาจควบคุมดวงตาของลั่วฉิงเย็นเยียบ ไร้ซึ่งความลังเลเมื่อลั่วชิงยวนเข้าโจมตี กริชจันทร์เสี้ยวในมือก็แทงเข้าสู่ร่างของเหยียนผิงเซียวก่อนเหยียนผิงเซียวจะสิ้นใจยังคงจ้องมองลั่วฉิง ดวงตาเต็มไปด้วยความแค้นเคืองบางทีก่อนที่เขาจะสิ้นลม เขาก็คงมิรู้ว่าเหตุใดสตรีที่เขารักจึงผลักเขาเข้าสู่ความตายลั่วฉิงเห็นเหยียนผิงเซียวตาย แต่กลับมิกะพริบตาแม้แต่น้อยลั่วชิงยวนมิแปลกใจเลยที่ลั่วฉิงชื่อลั่วฉิง ก็เพราะนางเย็นชาไร้ความรู้สึกผู้ที่เลือดเย็นไร้หัวใจมักได้ชื่อที่มีคำว่าฉิงที่แปลว่าความรักเพื่อให้คนอื่นคาดหวังทันใดนั้น ลั่วฉิงก็ฉวยโอกาสโจมตีลั่วชิงยวนอย่างรุนแรงขณะต่อสู้กัน หน้ากากของลั่วชิงยวนบังเอิญหลุดออกเมื่อหน้ากากหลุดแล้วลั่วฉิงเห็นใบหน้าของนางก็ตกตะลึง“เป็นเจ้านี่เอง!” ลั่วฉิงกัดฟันกรอดด้วยความแค้นนางก็ว่าอยู่ว่
ฟู่เฉินหวนตกตะลึงเขาเงยหน้ามองนางด้วยความสงสัย “วันนี้ท่านเป็นอะไรไป? จะดื่มสุราแล้วต้องถามมากมายเช่นนี้?”“เหมือนสตรี...”“ท่านคงมิประสงค์จะดื่มสุราด้วยกันกับข้า จึงพยายามปฏิเสธทางอ้อมสินะ”ลั่วชิงยวนกินไปพลางตอบ “เพียงแค่ถามเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”“เหตุใดท่านต้องตอบโต้เสียงดังด้วย”“ท่านมาหากระหม่อมก็เพื่อพูดคุยมิใช่หรือ?”ฟู่เฉินหวนเลิกคิ้ว พูดมิออก “ก็ใช่อยู่”เขายกถ้วยสุราขึ้นมา ลั่วชิงยวนชนจอกเหล้ากับเขาแล้วดื่มหมดจอกทั้งสองดื่มสุราจนถึงยามวิกาล พูดคุยกันทั้งคืนแต่เนื่องจากฟู่เฉินหวนมีกิจราชสำนักจึงมิได้พักค้างคืน ดื่มเสร็จแล้วจึงกลับตำหนักไปลมยามค่ำคืนพัดผ่านกายฟู่เฉินหวน ทำให้ตื่นจากอาการมึนเมาเมื่อออกจากตรอกก็รู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง เขาจึงหันกลับไปมองมีเงาร่างหนึ่งรีบซ่อนตัวนัยน์ตาของฟู่เฉินหวนเย็นชาขณะขมวดคิ้วฉู่ลั่วถูกจับตามองหรือ?ฟู่เฉินหวนเดินจากไป......ยามเช้าลั่วฉิงมาที่ตรอกฉางเล่ออีกครั้ง แล้วเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งติดอยู่ที่รอยแยกของกำแพงเมื่อเปิดดูปรากฏว่าเขียนไว้ว่า คืนนี้ยามเที่ยงคืน มาพูดคุยเรื่องความร่วมมือกันเถิดลั่วฉิงตกตะลึง ฉู่
เมื่อฟู่เฉินหวนได้ฟังดังนั้นก็พยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว”“แต่เหตุใดท่านเซียนฉู่จึงมิยอมรับตำแหน่งมหาปราชญ์?”ลั่วชิงยวนครุ่นคิด แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “กระหม่อมรับงานมิไหวแล้ว มิอยากให้ตำแหน่งมหาปราชญ์มาขัดขวางการทำเงินของกระหม่อม”ฟู่เฉินหวนอดหัวเราะมิได้ “ท่านขัดสนเรื่องเงินหรือ?”“ข้ามิเคยได้ยินท่านพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน”ลั่วชิงยวนตอบว่า “มิขัดสน แต่กระหม่อมชอบหาเงินพ่ะย่ะค่ะ” “อืม ข้าเข้าใจแล้ว แต่จักรพรรดิก็ตรัสแล้วว่าตำแหน่งนี้จะถูกสงวนไว้ให้ท่าน เมื่อใดที่ท่านเปลี่ยนใจหรือเมื่อใดที่ท่านหาเงินได้มากพอแล้ว ก็สามารถกลับมาเป็นมหาปราชญ์ได้ทุกเมื่อ”แล้วฟู่เฉินหวนก็ส่งลั่วชิงยวนออกจากวังระหว่างทาง ลั่วชิงยวนอดมิได้ที่จะเตือนอีกครั้ง “เมื่อครู่กระหม่อมเห็นว่าพระพักตร์ขององค์จักรพรรดิมีความมัวหมอง ท่านอ๋องควรเตือนองค์จักรพรรดิให้ระวังพระวรกายจากคนรอบข้างไว้พ่ะย่ะค่ะ”ฟู่เฉินหวนสงสัย “หมายความว่าอย่างไร? มีผู้ใดจะลอบทำร้ายเขาหรือ?”ลั่วชิงยวนตอบว่า “ภัยพิบัติขององค์จักรพรรดิจะมาพร้อมกับภัยพิบัติของแคว้นเทียนเชวีย”เมื่อได้ยินดังนั้น ฟู่เฉินหวนก็เข้าใจ “ขอบคุณที่เตือน!”ที่จริงแ
“ทว่าหากฝ่าบาทมีสิ่งใดที่กระหม่อมสามารถช่วยได้ ฉู่ลั่วจะมิปฏิเสธพ่ะย่ะค่ะ!”“ส่วนรายละเอียดเราค่อยพูดคุยกันภายหลัง”ฟู่จิ่งหานพยักหน้า แต่ก็พูดว่า “ท่านมิต้องการเป็นมหาปราชญ์ แต่ตำแหน่งนี้ ข้ายังคงสงวนไว้ให้เป็นของท่านเสมอ! นอกจากท่านก็ไม่มีใครเหมาะสมอีกแล้ว!”ลั่วชิงยวนมิได้เอ่ยคำใดอีกผู้คนต่างก็แยกย้ายกันไปลั่วชิงยวนถูกจักรพรรดิเรียกไปยังห้องตำราจักรพรรดิถามด้วยความร้อนรน “ท่านเซียนฉู่ ภัยพิบัติที่ท่านกล่าวว่าจะเริ่มเกิดขึ้นทางทิศใต้คือ... เมืองฉินใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนพยักหน้า “น่าจะเป็นเมืองฉินพ่ะย่ะค่ะ”เรื่องนี้นางได้บอกฟู่เฉินหวนแล้วเมื่อฟู่เฉินหวนที่เพิ่งเข้ามาในห้องตำราได้ยินดังนั้นก็ตกตะลึงเล็กน้อยลั่วชิงยวนก็บอกเขาเรื่องเมืองฉินเช่นกันทั้งสองทำนายว่าทางทิศใต้จะเกิดภัยพิบัติเหมือนกัน...นี่เป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่?“ดูเหมือนว่าตระกูลเหยียนจะยังมิยอมแพ้! ท่านเซียนฉู่ ภัยพิบัติครั้งนี้สามารถหลีกเลี่ยงได้หรือไม่?”ลั่วชิงยวนส่ายหน้า “ดูเหมือนว่าจะหลีกเลี่ยงมิได้พ่ะย่ะค่ะ”นี่เป็นครั้งที่สองที่นางทำนายเห็นได้ชัดว่ามีการส่งมือสังหารไปสังหารมหาราชาจารย์เหยีย
“คิดว่าคงเป็นเพราะท่านอาจารย์นักพรตเพิ่งมาถึงเมืองหลวง ยังมิได้มีโอกาสสืบเสาะหาชื่อเสียงของข้าในเมืองหลวง หากข้าเป็นเพียงผู้หลอกลวงต้มตุ๋น คงมีผู้คนตำหนิติเตียนข้าไปนานแล้ว”เมื่ออาจารย์นักพรตเสวียนซานได้ฟังดังนั้นก็ขมวดคิ้วดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจผิดเสียแล้วเมื่อมองดูฉู่ลั่วที่วางตัวอย่างสง่าผ่าเผยและแสดงท่าทีมั่นใจเช่นนี้ ก็รู้ว่าย่อมมีฝีมือที่แท้จริง มิใช่เพียงคนหลอกลวงพูดจาโอ้อวดครู่หนึ่งก็รู้สึกเสียใจที่มิได้สืบเสาะหาชื่อเสียงของฉู่ลั่วเสียก่อน“ที่แท้ข้าเข้าใจผิดไป ขออภัยต่อท่านเซียนฉู่ด้วย”“แต่ข้าเห็นว่าท่านเซียนฉู่มีฝีมือที่แท้จริง มิทราบว่าเรียนวิชาจากสำนักใด? เหตุใดจึงต้องใช้ชื่อของศิษย์เสวียนซานด้วยหรือ?”ลั่วชิงยวนยกยิ้มจาง แล้วกล่าวว่า “ไร้สำนักไร้พรรค”อาจารย์นักพรตเสวียนซานขมวดคิ้วแน่นด้วยความตกตะลึง แล้วกล่าวอย่างเสียดายว่า “ไร้สำนักไร้พรรค นั่นหมายความว่าเรียนวิชาลับใช่หรือไม่? ท่านเซียนฉู่ควรเข้ามาเป็นศิษย์ในสำนักเสวียนซาน วันนี้ได้พบกันโดยบังเอิญ ข้าปรารถนาจะรับท่านเป็นศิษย์เอก!”ผู้คนโดยรอบต่างตกตะลึง เมื่อครู่ยังหาเรื่อง บัดนี้กลับจะรับฉู่ลั่วเป็นศิษย์แล
ทุกคนต่างพากันเหลียวมองไปตามเสียงแล้วเห็นนักพรตผู้สง่างามก้าวเดินเข้ามาอย่างช้าๆรัศมีอันบริสุทธิ์ปราศจากมลทินของโลกมนุษย์แผ่พลังอำนาจอันน่าเกรงขามลั่วชิงยวนตกตะลึงเล็กน้อย เมื่อเห็นเครื่องหมายบนคอเสื้อของนักพรตแล้วพูดขึ้นว่า “อาจารย์นักพรตเสวียนซาน”เครื่องหมายบนเสื้อผ้าของศิษย์แต่ละระดับของสำนักเสวียนซานจะมีสีแตกต่างกันเครื่องหมายบนคอเสื้อของคนผู้นี้เป็นสีทอง มีเพียงอาจารย์นักพรตเสวียนซานเท่านั้นที่มีสิทธิ์สวมใส่สำนักเสวียนซานที่มีระดับสูงกว่าสีม่วง ล้วนเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ มิค่อยลงจากเขาใครกันที่สามารถเชิญอาจารย์นักพรตเสวียนซานมาที่นี่ได้อาจารย์นักพรตเสวียนซานฮึดฮัด “เจ้ารู้จักข้าบ้างก็ถือว่ายังดี!”“เจ้าดูมิเหมือนคนร้ายกาจ เหตุใดจึงแอบอ้างเป็นศิษย์ของสำนักข้า มาหลอกลวงในวังหลวงแคว้นเทียนเชวีย!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็เข้าใจทันทีนี่เป็นฝีมือของลั่วฉิงเหล่าขุนนางและข้าราชบริพารต่างตกตะลึง“หลอกลวงหรือ? คงมิใช่กระมัง?”“ความสามารถในการทำนายของท่านเซียนฉู่คงมิใช่ของปลอมกระมัง?”ผู้คนต่างเกิดความสงสัยจักรพรรดิกล่าวว่า “ท่านนักพรต ท่านพูดเช่นนั้นได้อย่างไร!”
ดีงูที่ทำให้ฝีมือของนางเพิ่มพูนขึ้นอย่างมากนั้น นางยังคงจำได้มิลืมเลือนน่าเสียดายที่ข้างกายซ่งเชียนฉู่มีคนผู้ทรงอานุภาพคอยคุ้มครอง นางจึงพยายามด้วยวิธีการต่างๆ แต่ก็ยังล้มเหลวการใช้ความสัมพันธ์ระหว่างฉู่ลั่วกับซ่งเชียนฉู่อาจจะประสบความสำเร็จ แต่ฉู่ลั่วกลับดื้อดึงมิยอมร่วมมือกับนาง!เมื่อมิสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ก็จำต้องทำลายเขาเสีย!ลั่วชิงยวนกลับไปยังลานหลังร้านซ่งเชียนฉู่ถามด้วยความสงสัยว่า “ท่านมิได้ไปแล้วหรอกหรือ? เหตุใดจึงกลับมาอีก?”ลั่วชิงยวนทำท่าให้เงียบแล้วพาส่งเฉียนฉู่กลับไปยังห้อง จากนั้นบอกเล่าเรื่องราวให้ฟังเมื่อซ่งเชียนฉู่ฟังจบก็รีบกล่าวว่า “ดูเหมือนว่านางผู้นี้จะมิปล่อยท่านไป หรือว่าท่านจะเข้าวังไปดำรงตำแหน่งมหาปราชญ์ เมื่อมีตำแหน่งนี้แล้ว นางก็จะต้องเกรงใจบ้าง”ลั่วชิงยวนไตร่ตรอง แล้วพูดว่า “มหาปราชญ์ อืม... ค่อยว่ากันอีกที”จนกระทั่งล่วงเข้ายามดึก เมื่อแน่ใจแล้วว่าลั่วฉิงจากไปแล้ว ลั่วชิงยวนจึงกลับตำหนักอ๋องอย่างเงียบเชียบเมื่อกลับแล้วก็ถูกหล่างมู่ขวางทาง “พี่หญิง ท่านไปที่ใดมาขอรับ? ฟู่เฉินหวนมาหาท่านตอนค่ำ”“แล้วเจ้าบอกเขาว่าอย่างไร?”“ข้าบอกว่าพ