”ท่านอ๋องโปรดทรงช่วยหม่อมฉันเอาเถ้ากระดูกของแม่กลับคืนด้วยเพคะ!” ได้ยินเช่นนี้ ฟู่เฉินหวนก็สีหน้าเปลี่ยน ขมวดคิ้วมองนาง “เจ้าต้องการใช้ให้ข้าเข้าใกล้ลั่วเยวี่ยอิงเพื่อเอาสมบัติมาอย่างนั้นรึ?” ฟู่เฉินหวนตกใจมาก เหตุใดลั่วชิงยวนถึงกล้าใช้เขาอย่างเปิดเผยเยี่ยงนี้? แต่การพูดคุยที่รวดเร็ว ทำให้ลั่วชิงยวนได้ยินเป็นความหมายอื่น นางขมวดคิ้วอย่างความสับสน โน้มกายลงบนโต๊ะพลางจ้องมองฟู่เฉินหวนและ พูดด้วยเสียงอ่อนว่า “แท้จริงแล้วท่านอ๋องทรงเชื่ออย่างนั้นหรือเพคะ? ท่านอ๋องเชื่อว่าลั่วเยวี่ยอิงเอาสมบัติของท่านแม่หม่อมฉันไป ” พ่อของนางเองยังไม่เชื่อเลย! ฟู่เฉินหวนเชื่อเช่นนั้นจริงหรือ? นางไม่อยากจะเชื่อเลย ใบหน้าของฟู่เฉินหวนพลันเคร่งขรึม และหลบสายตาอย่างเย็นชา “แล้วไม่ใช่ว่า เจ้าเชื่อมาตลอดหรือรึว่า ลั่วเยวี่ยอิงเอาสมบัติแม่ของเจ้าไป? หากเจ้าอยากให้ข้าช่วย ก็ทำได้เพียงไปเอาจากเยวี่ยอิงเท่านั้น!” คำอธิบายนี้ ลั่วชิงยวนก็ไม่ได้ยินอะไรที่ผิดปกติ “เช่นนั้นแล้วท่านอ๋องจะทรงเต็มใจหรือไม่เพคะ? หม่อมฉันเชื่อว่า หม่อมฉันจะเป็นประโยชน์ต่อท่านอ๋องมาก ตราบใดที่ท่านอ๋องทรงช่วยหม่อมฉันเอาสมบัติของท่
จือเฉาถูกนางรับใช้หลายคนจับตัวไป ถูกกดลงกับพื้นและพยายามดิ้นอย่างสุดชีวิต ข้างหน้า แม่บ้านเมิ่งที่แต่งตัวดีเดินด้วยท่าทีสบาย ๆ และพูดด้วยน้ำเสียงที่หยิ่งผยองว่า “คิดว่าติดตามเจ้านายแล้วจะผงาดได้งั้นรึ ตอนนี้เจ้ากล้าฝ่าฝืนคำสั่งข้า กล้าต่อปากต่อคำกับข้า เจ้าต้องรู้ว่า ทาสทั้งหมดในตำหนักนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของข้า เจ้าเองก็ไม่เว้น! ” “ฟาดปากนาง!” แม่บ้านเมิ่งหยิบท่อนไม้ยาวเท่านิ้วแล้วโยนมันลงไปอย่างโหดเหี้ยม นางรับใช้หยิบท่อนไม้ยาวขึ้นมา ฟาดไปที่ปากของจือเฉาอย่างแรง จือเฉาที่เจ็บปวดก็หลั่งน้ำตา ฟาดไปหลายที ปากของจือเฉากลายเป็นสีแดงบวมและแตกทันที นางขดตัวหลบจากความเจ็บปวด คิ้วขมวดเข้าหากันด้วยความกลัว “รู้ว่าผิดรึยัง?” แม่บ้านเมิ่งเอามือไพล่หลังและถามอย่างเย็นชา จือเฉาเจ็บปวดจนร้องไห้ ได้แต่กัดฟันพูดอย่างอดทน “ข้าไม่ผิด ข้าจะไม่เอาน้ำแกงยาพิษไปให้พระชายาเด็ดขาด” ได้ยินเช่นนี้ แม่บ้านเมิ่งก็หน้าตาบูดบึ้ง ดุเสียงดังว่า “ยังจะกล้าปากดี! ตีต่อไป! ดูท่าข้าจะจากไปนานเกินไป พวกเจ้าชั้นต่ำถึงปีกกล้าขาแข็ง กล้าต่อปากต่อคำกับข้า! วันนี้จะต้องบอกให้พวกเจ้ารู้ว่าข้าน่าเกรงขามแค่ไหน!"
นางรับใช้หลายคนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง พระชายาถึงกับยกเอาท่านอ๋องขึ้นมาพูด อีกทั้งยังเอาจุดอ่อนที่แม่บ้านเมิ่งไม่เคารพท่านอ๋องอีกด้วย โดยเฉพาะคิดว่า พระชายาตีได้โหดเหี้ยมเพียงใด แม่นมเติ้งที่ได้รับบาดเจ็บก่อนหน้านี้ยังไม่กลับมาเลย เกรงว่ามันจะพบกับชะตากรรมที่น่าสังเวชมาก ไม่มีผู้ใดกล้าล่วงเกิน จึงค่อย ๆ เดินเข้าไปและจับแม่บ้านเมิ่ง แม่บ้านเมิ่งตกใจ “พวกชั้นต่ำ! ข้าเป็นแม่บ้านของที่นี่! พวกเจ้ากล้าจับข้ารึ?!” นางรับใช้หลายคนก็หวาดกลัวมาก “พวกข้าแค่ทำตามคำสั่ง แม่บ้านเมิ่งอย่าโทษพวกข้าเลย!” ขณะพูดก็กดแม่บ้านเมิ่งไว้ ลั่วชิงยวนถือท่อนไม้เดินเข้าไปช้า ๆ สายตาที่เย็นชาแฝงไปด้วยความโหดร้าย “เจ้ากล้าตีข้า ระวังวันนี้เจ้าจะถูกไล่ออก!” แม่บ้านเมิ่งที่ดิ้นขัดขืนไม่ได้ จ้องมองลั่วชิงยวนด้วยความโกรธเกรี้ยว ยังดูถูกนางที่มาแต่งงานแทน อัปลักษณ์ พฤติกรรมตัวผิดศีลธรรม ท่านอ๋องถึงไม่ชอบนาง! เพีย… ลั่วชิงยวนถือท่อนไม้ฟาดไปอย่างแรงโดยไม่ไยดี ทันใดนั้น รอยแดงยาวก็ปรากฏบนใบหน้าของของแม่บ้านเมิ่ง ความเจ็บปวดทำให้นางน้ำตาไหล ตะโกนด่าด้วยความโกรธมากขึ้น “สารเลว!” ผลัวะ ผลัวะ… ลั่วชิงยวนยืนมอง
หลังจากแม่บ้านเมิ่งกรีดร้องอยู่ครู่หนึ่ง ลั่วชิงยวนจึงปล่อยนางไป “จือเฉา ไปเถอะ” ลั่วชิงยวนมองจือเฉาอย่างปวดใจ หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมายื่นให้นาง “ขอบคุณเจ้าค่ะ พระชายา” จือเฉาซาบซึ้งใจมาก นางคิดไม่ถึงว่าพระชายาจะทุบตีแม่บ้านเมิ่งเพื่อแก้แค้นให้นาง สุดท้ายแม่บ้านเมิ่งก็เป็นผู้อาวุโสในตำหนักแห่งนี้ แม่บ้านเมิ่งนอนอยู่บนพื้น ความเจ็บปวดที่ข้อมือทำให้สั่นไปทั้งมือ สายตาของนางดูน่ากลัว จ้องมองร่างที่จากไปด้วยโทสะ นางกัดฟัน พลันลุกขึ้นพุ่งไปอีกครั้ง “สารเลว! ข้าจะตายไปพร้อมกับเจ้า!” ลูกสาวคนเดียวของนางจากไปแล้ว วันนี้นางยังถูกผู้หญิงสารเลวนี้ทำให้อับอายเช่นนี้ แม้ว่าวันนี้จะจากไป เรื่องอื้อฉาวนี้ก็จะยังคงแพร่กระจายไปในตำหนักแห่งนี้ นางไม่สามารถยืนหยัดในอำนาจได้อีกต่อไป มีแต่จะถูกคนอื่นหัวเราะเยาะเท่านั้น! ต่อสู้กับนางให้รู้แล้วรู้รอดไป แก้แค้นให้จิ๋นอวี่! จือเฉามองกลับไป ชั่วพริบตาก็ตกใจและพูดว่า “พระชายาระวังเจ้าค่ะ!” นางผลักลั่วชิงยวนออกไป ลั่วชิงยวนเซถอยไปด้านหลัง แต่ถูกแม่บ้านเมิ่งกระโจนใส่ นางล้มลงพื้นอย่างแรง ร่างที่หนักอึ้งก็เอนล้มลงไป การสั่นสะเทือนทำให้นางเจ็บปวดอย่างรุ
เมื่อสักครู่นี้ นางเห็นลางมรณะตรงหว่างคิ้วของแม่บ้านเมิ่งแล้ว ถึงแม้ว่านางจะโหดเหี้ยม แต่นางก็มิได้คิดจะเล่นงานถึงตาย และไม่มีเจตนาสังหารจริง ๆ ทว่ากลับยังเห็นลางมรณะตรงหว่างคิ้วของแม่บ้านเมิ่ง นางไม่รู้ว่าอีกฝ่ายตายเพราะอะไรกันแน่ เมื่อแม่นมเติ้งเห็นสายตาล้ำลึกยากหยั่งถึงของพระชายาก็ให้รู้สึกคุ้นเคยยิ่งนัก ชะรอยแม่บ้านเมิ่งผู้นี้คงจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานแล้วจริง ๆ เมื่อเห็นพระชายาเป็นเช่นนี้เข้า นางก็ระแวดระวังอยู่ไม่คลาย! ลั่วชิงยวนนึกได้ก็เหลือบมองจือเฉา "กลับกันเถอะ อาการบาดเจ็บของเจ้าต้องรักษาเสียแต่เนิ่น ๆ" จือเฉาผงกศีรษะ เมื่อทั้งสามคนกลับมาถึงเรือน แม่นมเติ้งก็เรียกชิงสุ่ยให้มาช่วยขัดคราบโลหิตออกไป จากนั้นลั่วชิงยวนก็มอบโอสถรักษาบาดแผลที่ก่อนหน้านี้เซียวชูยังใช้ไม่หมดให้แก่นาง "พระชายา แม่บ้านเมิ่งเป็นต้นเหตุทำให้เมิ่งจิ๋นอวี่ตายเช่นนั้นหรือเจ้าคะ? วันนี้ตอนที่กลับมา บ่าวได้ยินข้างนอกลือกันหนาหูเชียว" นางไม่ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นในเรือนเพราะกลับบ้านไปสองสามวัน ฉะนั้นนางจึงไต่ถามเรื่องนั้นจนได้รู้ว่า เมิ่งจิ๋นอวี่ตายแล้ว ส่วนแม่บ้านเมิ่งก็กลับมาด้วย ลั่วชิงยวนพยัก
น้ำเสียงสั่นเครือแฝงแววหวาดหวั่นทำให้ลั่วชิงยวนรู้สึกปวดใจไปชั่วครู่หนึ่ง จากนั้นนางก็ยกมือขึ้นมาลูบศีรษะของอีกฝ่าย "เจ้าเด็กโง่เอ๋ย ข้าจะไม่ต้องการเจ้าได้อย่างไรเล่า" "พระชายา แม่บ้านเมิ่งโดนจัดการย่ำแย่เสียเพียงนั้น ถ้าเกิดนางเอาเรื่องไปบอกท่านอ๋องจะทำอย่างไรหรือเจ้าคะ? ท่านอ๋องจะลงโทษท่านหรือไม่? " จือเฉามองนางด้วยสายตาเป็นกังวล "ไม่ใช่ปัญหาใหญ่หรอก เจ้าพักรักษาตัวอยู่ในห้องให้ดี ๆ เถอะ อย่าได้เที่ยวเดินเตร็ดเตร่ไปทั่ว แม่นมเติ้งก็อยู่กับข้าทั้งคน" จือเฉาผงกศีรษะ ทันทีที่พูดจบ ซูโหยวก็เดินเข้ามาในเรือน "ท่านอ๋องรับสั่งให้พระชายาเข้าเฝ้าขอรับ" ลั่วชิงยวนไม่แปลกใจที่ฟู่เฉินหวนจะตามหาตน นางเดินตามซูโหยวไปยังเรือนของฟู่เฉินหวน ยังมีคราบโลหิตอยู่ในเรือน และแม่บ้านเมิ่งก็เคยมาที่นี่ แต่นางกลับไปแล้ว คาดว่านางคงถูกนำตัวไปรักษาอาการบาดเจ็บของตน ยามที่นางเดินเข้ามาในเรือน นางก็เห็นฟู่เฉินหวนเอามือไพล่หลังพลางทำสีหน้าหม่นคล้ำระหว่างที่รอนาง "พอกลับมาถึงตำหนักก็อยู่ไม่สุขเลยสินะ เจ้าจงใจหาเรื่องช้าผู้เป็นอ๋องใช่หรือไม่!" สีหน้าของฟู่เฉินหวนตะคอกใส่ด้วยโทสะ ลั่วชิงยวนกลับมีส
วาจาเหน็บแนมอันเย็นชาของนางทำให้มือที่ฟู่เฉินหวนไพล่หลังเอาไว้ต้องกำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว ทั้งยังเกิดระลอกคลื่นในดวงตาสงบนิ่งลึกล้ำของเขา ฟู่เฉินหวนบอกไม่ถูกว่าตนเองรู้สึกเช่นใด นางเป็นคนผิดเห็น ๆ ทว่ากลับมีท่าทีเปิดเผยทั้งยังสามารถพูดได้คล่องปากอีกต่างหาก ราวกับว่าเขาทำเรื่องไม่ถูกไม่ควรขึ้นมาจริง ๆ อย่างไรอย่างนั้น! นี่อาจจะเป็นข้อดีของสตรีผู้นี้ก็ได้ การแต่งงานกับนางแทนนั้นสมควรแล้วหรือไม่? เมื่อนึกขึ้นได้เช่นนี้ โทสะระลอกหนึ่งก็ปะทุขึ้นในจิตใจของเขาอีกครั้ง "สามหาว! ถึงแม้ว่าข้าสัญญาว่าจะร่วมมือกับเจ้า แต่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่เจ้าจะทำร้ายผู้อื่นได้ตามอำเภอใจ! "ถ้ายังมีคราวหน้าอีก เจ้าก็ไสหัวออกไปจากตำหนักอ๋องของข้าได้เลย!" นับตั้งแต่ลั่วชิงยวนแต่งเข้ามา ตำหนักอ๋องที่เคยสงบสุขมาโดยตลอดก็เกิดเรื่องอยู่บ่อยครั้ง ถ้าหากนางอยู่ไม่สุขนักล่ะก็ เขาจะไม่เก็บนางเอาไว้แน่! เมื่อได้ยินวาจาทิ่มแทงของฟู่เฉินหวน อาการเจ็บแปลบตามร่างกายทำให้นางถึงกับเหงื่อกาฬชุ่มโชก และพูดไม่ออก ฉะนั้นนางจึงทำได้เพียงแค่กัดฟัน และไม่ยอมส่งเสียงออกมาแม้แต่น้อย ฟู่เฉินหวนสัมผัสได้ถึงความดันทุรังของนางแล
"ท่านอ๋อง เรื่องนี้..." ซูโหยวไม่คาดคิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นในตำหนัก "ตรวจสอบให้ถี่ถ้วนและอย่าให้เรื่องแพร่งพรายออกไปได้" "พ่ะย่ะค่ะ" ในยามบ่าย ลั่วชิงยวนตื่นขึ้นมาด้วยอาการมึนงง นางเจ็บแผ่นหลังมากเสียจนอยากจะหันหน้าไปดูว่าอาการบาดเจ็บเป็นอย่างไรบ้าง แต่นางกลับไม่สามารถเอี้ยวตัวได้เลย "พระชายา อย่าขยับตัวเจ้าค่ะ พอดีบ่าวเพิ่งจะใส่ยาให้ ตอนนี้คงจะไม่เจ็บมากแล้วกระมัง?" จือเฉาเดินเข้ามาพร้อมน้ำสะอาดอ่างหนึ่งพลางใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดใบหน้าและมือของนาง ลั่วชิงยวนส่ายหน้า "ไม่เจ็บมากหรอก เพียงแต่หิวอยู่บ้างก็เท่านั้นเอง" ทันทีที่พูดจบ แม่นมเติ้งก็ยกอาหารที่เป็นแค่โจ๊กกับหมั่นโถวเข้ามาในห้อง "เสวยแค่นี้หรือเจ้าคะ? หรือว่า..." จือเฉาขมวดคิ้ว ในเมื่อพระชายาบาดเจ็บก็ควรจะกินของบำรุงดี ๆ สักหน่อย แม่นมเติ้งสีหน้าอับจนหนทาง "พระชายา เสวยอะไรรองท้องก่อนเถิดเจ้าค่ะ คนที่อยู่ก้นครัวเป็นคนของแม่บ้านเมิ่ง พวกนางไม่เหลืออาหารไว้เลย แต่เกรงว่าถ้าจะต้องทำอาหารตอนนี้ พระชายาจะหิว ฉะนั้นบ่าวจึงได้ยกอาหารมาก่อนเจ้าค่ะ" "ยกมาเถอะ" ลั่วชิงยวนหยัดตัวขึ้น นั่นคืออาหารอันแสนน้อยนิดที่แม่นมเต
“ทว่าหากฝ่าบาทมีสิ่งใดที่กระหม่อมสามารถช่วยได้ ฉู่ลั่วจะมิปฏิเสธพ่ะย่ะค่ะ!”“ส่วนรายละเอียดเราค่อยพูดคุยกันภายหลัง”ฟู่จิ่งหานพยักหน้า แต่ก็พูดว่า “ท่านมิต้องการเป็นมหาปราชญ์ แต่ตำแหน่งนี้ ข้ายังคงสงวนไว้ให้เป็นของท่านเสมอ! นอกจากท่านก็ไม่มีใครเหมาะสมอีกแล้ว!”ลั่วชิงยวนมิได้เอ่ยคำใดอีกผู้คนต่างก็แยกย้ายกันไปลั่วชิงยวนถูกจักรพรรดิเรียกไปยังห้องตำราจักรพรรดิถามด้วยความร้อนรน “ท่านเซียนฉู่ ภัยพิบัติที่ท่านกล่าวว่าจะเริ่มเกิดขึ้นทางทิศใต้คือ... เมืองฉินใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนพยักหน้า “น่าจะเป็นเมืองฉินพ่ะย่ะค่ะ”เรื่องนี้นางได้บอกฟู่เฉินหวนแล้วเมื่อฟู่เฉินหวนที่เพิ่งเข้ามาในห้องตำราได้ยินดังนั้นก็ตกตะลึงเล็กน้อยลั่วชิงยวนก็บอกเขาเรื่องเมืองฉินเช่นกันทั้งสองทำนายว่าทางทิศใต้จะเกิดภัยพิบัติเหมือนกัน...นี่เป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่?“ดูเหมือนว่าตระกูลเหยียนจะยังมิยอมแพ้! ท่านเซียนฉู่ ภัยพิบัติครั้งนี้สามารถหลีกเลี่ยงได้หรือไม่?”ลั่วชิงยวนส่ายหน้า “ดูเหมือนว่าจะหลีกเลี่ยงมิได้พ่ะย่ะค่ะ”นี่เป็นครั้งที่สองที่นางทำนายเห็นได้ชัดว่ามีการส่งมือสังหารไปสังหารมหาราชาจารย์เหยีย
“คิดว่าคงเป็นเพราะท่านอาจารย์นักพรตเพิ่งมาถึงเมืองหลวง ยังมิได้มีโอกาสสืบเสาะหาชื่อเสียงของข้าในเมืองหลวง หากข้าเป็นเพียงผู้หลอกลวงต้มตุ๋น คงมีผู้คนตำหนิติเตียนข้าไปนานแล้ว”เมื่ออาจารย์นักพรตเสวียนซานได้ฟังดังนั้นก็ขมวดคิ้วดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจผิดเสียแล้วเมื่อมองดูฉู่ลั่วที่วางตัวอย่างสง่าผ่าเผยและแสดงท่าทีมั่นใจเช่นนี้ ก็รู้ว่าย่อมมีฝีมือที่แท้จริง มิใช่เพียงคนหลอกลวงพูดจาโอ้อวดครู่หนึ่งก็รู้สึกเสียใจที่มิได้สืบเสาะหาชื่อเสียงของฉู่ลั่วเสียก่อน“ที่แท้ข้าเข้าใจผิดไป ขออภัยต่อท่านเซียนฉู่ด้วย”“แต่ข้าเห็นว่าท่านเซียนฉู่มีฝีมือที่แท้จริง มิทราบว่าเรียนวิชาจากสำนักใด? เหตุใดจึงต้องใช้ชื่อของศิษย์เสวียนซานด้วยหรือ?”ลั่วชิงยวนยกยิ้มจาง แล้วกล่าวว่า “ไร้สำนักไร้พรรค”อาจารย์นักพรตเสวียนซานขมวดคิ้วแน่นด้วยความตกตะลึง แล้วกล่าวอย่างเสียดายว่า “ไร้สำนักไร้พรรค นั่นหมายความว่าเรียนวิชาลับใช่หรือไม่? ท่านเซียนฉู่ควรเข้ามาเป็นศิษย์ในสำนักเสวียนซาน วันนี้ได้พบกันโดยบังเอิญ ข้าปรารถนาจะรับท่านเป็นศิษย์เอก!”ผู้คนโดยรอบต่างตกตะลึง เมื่อครู่ยังหาเรื่อง บัดนี้กลับจะรับฉู่ลั่วเป็นศิษย์แล
ทุกคนต่างพากันเหลียวมองไปตามเสียงแล้วเห็นนักพรตผู้สง่างามก้าวเดินเข้ามาอย่างช้าๆรัศมีอันบริสุทธิ์ปราศจากมลทินของโลกมนุษย์แผ่พลังอำนาจอันน่าเกรงขามลั่วชิงยวนตกตะลึงเล็กน้อย เมื่อเห็นเครื่องหมายบนคอเสื้อของนักพรตแล้วพูดขึ้นว่า “อาจารย์นักพรตเสวียนซาน”เครื่องหมายบนเสื้อผ้าของศิษย์แต่ละระดับของสำนักเสวียนซานจะมีสีแตกต่างกันเครื่องหมายบนคอเสื้อของคนผู้นี้เป็นสีทอง มีเพียงอาจารย์นักพรตเสวียนซานเท่านั้นที่มีสิทธิ์สวมใส่สำนักเสวียนซานที่มีระดับสูงกว่าสีม่วง ล้วนเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ มิค่อยลงจากเขาใครกันที่สามารถเชิญอาจารย์นักพรตเสวียนซานมาที่นี่ได้อาจารย์นักพรตเสวียนซานฮึดฮัด “เจ้ารู้จักข้าบ้างก็ถือว่ายังดี!”“เจ้าดูมิเหมือนคนร้ายกาจ เหตุใดจึงแอบอ้างเป็นศิษย์ของสำนักข้า มาหลอกลวงในวังหลวงแคว้นเทียนเชวีย!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็เข้าใจทันทีนี่เป็นฝีมือของลั่วฉิงเหล่าขุนนางและข้าราชบริพารต่างตกตะลึง“หลอกลวงหรือ? คงมิใช่กระมัง?”“ความสามารถในการทำนายของท่านเซียนฉู่คงมิใช่ของปลอมกระมัง?”ผู้คนต่างเกิดความสงสัยจักรพรรดิกล่าวว่า “ท่านนักพรต ท่านพูดเช่นนั้นได้อย่างไร!”
ดีงูที่ทำให้ฝีมือของนางเพิ่มพูนขึ้นอย่างมากนั้น นางยังคงจำได้มิลืมเลือนน่าเสียดายที่ข้างกายซ่งเชียนฉู่มีคนผู้ทรงอานุภาพคอยคุ้มครอง นางจึงพยายามด้วยวิธีการต่างๆ แต่ก็ยังล้มเหลวการใช้ความสัมพันธ์ระหว่างฉู่ลั่วกับซ่งเชียนฉู่อาจจะประสบความสำเร็จ แต่ฉู่ลั่วกลับดื้อดึงมิยอมร่วมมือกับนาง!เมื่อมิสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ก็จำต้องทำลายเขาเสีย!ลั่วชิงยวนกลับไปยังลานหลังร้านซ่งเชียนฉู่ถามด้วยความสงสัยว่า “ท่านมิได้ไปแล้วหรอกหรือ? เหตุใดจึงกลับมาอีก?”ลั่วชิงยวนทำท่าให้เงียบแล้วพาส่งเฉียนฉู่กลับไปยังห้อง จากนั้นบอกเล่าเรื่องราวให้ฟังเมื่อซ่งเชียนฉู่ฟังจบก็รีบกล่าวว่า “ดูเหมือนว่านางผู้นี้จะมิปล่อยท่านไป หรือว่าท่านจะเข้าวังไปดำรงตำแหน่งมหาปราชญ์ เมื่อมีตำแหน่งนี้แล้ว นางก็จะต้องเกรงใจบ้าง”ลั่วชิงยวนไตร่ตรอง แล้วพูดว่า “มหาปราชญ์ อืม... ค่อยว่ากันอีกที”จนกระทั่งล่วงเข้ายามดึก เมื่อแน่ใจแล้วว่าลั่วฉิงจากไปแล้ว ลั่วชิงยวนจึงกลับตำหนักอ๋องอย่างเงียบเชียบเมื่อกลับแล้วก็ถูกหล่างมู่ขวางทาง “พี่หญิง ท่านไปที่ใดมาขอรับ? ฟู่เฉินหวนมาหาท่านตอนค่ำ”“แล้วเจ้าบอกเขาว่าอย่างไร?”“ข้าบอกว่าพ
ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วมองหล่างมู่อย่างช่วยมิได้“หล่างมู่ เจ้ากลับไปก่อนเถิด ข้าจะไปทำธุระก่อน” ลั่วชิงยวนหันหลังวิ่งไปหล่างมู่ถือลูกถังหูลู่สองไม้วิ่งตามไปสองสามก้าว “พี่หญิง ท่านจะไปที่ใด? ไฉนมิพาข้าไปด้วยเล่า?”ลั่วชิงยวนมิได้ใส่ใจ รีบวิ่งออกจากถนนไปแล้วเมื่อไปเปลี่ยนอาภรณ์ที่หอฝูเสวี่ยแล้ว นางจึงไปที่ร้านอย่างเงียบเชียบเมื่อไปถึงลานด้านหลังก็พบกับซ่งเชียนฉู่ที่กำลังแบกตะกร้ากลับมาจากประตูหน้า ท่าทางดูรีบร้อนนัก“ท่านมาพอดี ท่านเห็นประกาศบนถนนหรือไม่? องค์จักรพรรดิจะเชิญท่านเข้าวังเพื่อแต่งตั้งท่านเป็นมหาปราชญ์!” ซ่งเชียนฉู่ส่งประกาศให้“นี่เป็นประกาศที่ติดอยู่ที่ประตูร้านเรา”“มิกี่วันที่ผ่านมา ข้าออกไปเก็บสมุนไพร พวกเขาคงจะมาหาท่าน แต่ไม่มีใครอยู่จึงติดประกาศไว้”“จะทำอย่างไรดี?”ซ่งเชียนฉู่ก็ตกตะลึงเช่นกันลั่วชิงยวนรับประกาศมาดูอีกครั้ง ในนั้นยังเขียนด้วยว่าให้นางเข้าวังหลวงเพื่อทำนายชะตาของแคว้นเทียนเชวียแล้วแต่งตั้งเป็นมหาปราชญ์ซ่งเชียนฉู่ถอนหายใจ “ข้าคิดว่าครั้งนี้ ตัวตนของท่านคงจะปกปิดมิได้แล้ว”“คอยดูกันต่อไปเถิด” ลั่วชิงยวนยังมิรู้ว่าจะบอกฟู่เฉินหวนอย่างไร
น้ำเสียงของฟู่เฉินหวนนั้นบ่งบอกชัดเจนว่ากำลังหึงหวงอยู่ลั่วชิงยวนปอกส้มแล้วป้อนให้ฟู่เฉินหวนพลางพูดอย่างอารมณ์ดีว่า “หล่างมู่มองหม่อมฉันเป็นเพียงพี่หญิงจริง ๆ เพคะ”“เขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับพี่หญิงมาตั้งแต่เด็ก แต่พี่หญิงของเขาเสียชีวิตเพราะเขา จึงเป็นบ่วงกรรมและความเสียใจตลอดชีวิตของเขา”“ต่อมาหล่างชิ่นกลายเป็นพี่หญิงของเขา เขาเชื่อฟังหล่างชิ่นทุกอย่าง แต่สุดท้ายหล่างชิ่นกลับต้องการให้เขาตาย”“หลังจากนั้นเมื่อหม่อมฉันไปยังเผ่านอกด่าน ราชาเผ่านอกด่านบอกว่าหม่อมฉันเป็นพี่หญิงของเขา ดังนั้นเขาจึงมองหม่อมฉันเป็นพี่หญิงแท้ ๆ มาโดยตลอด”เมื่อฟู่เฉินหวนได้ยินเช่นนั้นก็สงสัยยิ่งนัก “พูดตามตรงคือข้ายังคงมิเข้าใจเลยว่าเหตุใดราชาเผ่านอกด่านจึงมั่นใจว่าเจ้าเป็นลูกสาวของเขา”ลั่วชิงยวนพูดเสียงเบาว่า “ราชาเผ่านอกด่านกับลั่วไห่ผิงมีใบหน้าเหมือนกันราวกับแกะ! พวกเขาเป็นพี่น้องกันเพคะ!”“ก่อนที่ท่านแม่ของหม่อมฉันจะมาเมืองหลวงแล้วแต่งงานกับลั่วไห่ผิง นางเคยมีความสัมพันธ์กับราชาเผ่านอกด่าน แต่สุดท้ายก็มิได้ลงเอยกันจึงมาเมืองหลวงและแต่งงานกับลั่วไห่ผิงเพคะ”ฟู่เฉินหวนตกตะลึงยิ่งนักเมื่อได้ฟัง“
หล่างมู่ชกเข้าที่ใบหน้าของฟู่เฉินหวนจนฟู่เฉินหวนถอยหลังไปหลายก้าวหล่างมู่แสดงสีหน้าโกรธแค้น “ข้าขอเตือนท่านเลยว่าถ้าท่านทำเช่นนี้กับพี่หญิงของข้าอีก ข้าจะฆ่าท่านเสีย!”ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้วพลางเช็ดเลือดที่มุมปาก “ลั่วชิงยวนอยู่ที่ใด ข้าจะพบกับนาง”“นางอยู่ที่ใด แล้วท่านเกี่ยวอะไรด้วย!” หล่างมู่แสดงสีหน้ามิพอใจ เขายังคงจำได้ว่าในวันคล้ายวันพระราชสมภพของจักรพรรดิ อ๋องผู้สำเร็จราชการยินดีที่จะมอบลั่วชิงยวนให้เขาชายคนนี้ช่างน่ารังเกียจ!เขามิเข้าใจว่าเหตุใดพี่หญิงจึงยังคงอยู่กับชายผู้นี้วันนี้กลับนิ่งเฉยมองดูคนอื่นทำร้ายพี่หญิงอย่างมิแยแสอีก!หล่างมู่มิพอใจอย่างยิ่งเมื่อทั้งสองสบตากัน ความเป็นปรปักษ์ก็ปะทุขึ้นบรรยากาศตึงเครียด ในวินาทีต่อมาดูเหมือนว่าจะต้องต่อสู้กันแน่แล้วลั่วชิงยวนเพิ่งเข้ามาในลานก็เห็นเหตุการณ์นี้ จึงรีบเข้าไปขวางไว้“พวกท่านกำลังทำอะไรกัน!”“แค่ก แค่ก แค่ก...” เมื่อนางร้อนใจก็กุมอกด้วยความเจ็บปวดสีหน้าของทั้งสองเปลี่ยนไปอย่างมากแล้วเข้าไปพยุงนางพร้อมกัน ลั่วชิงยวนปัดมือของทั้งสองออก แล้วหันไปมองหล่างมู่ “พี่บอกเจ้าว่าอย่างไร!”ความโกรธของหล่างมู่หา
ฟู่จิ่งหานมิได้ใส่ใจเรื่องนี้ แต่กลับรู้สึกผิดเล็กน้อยที่พระราชโองการนั้นทำให้ลั่วชิงยวนได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ จึงพูดว่า “มิเป็นอะไร การประลองครั้งนี้ก็มิได้ห้ามมิให้แคว้นเพื่อนเรือนเคียงเข้าร่วม”“พระชายาอ๋องผู้สำเร็จราชการสามารถเอาชนะองค์ชายเผ่านอกด่าน แล้วยกให้เป็นน้องชายได้ นับว่าความสามารถเป็นที่ประจักษ์แก่ข้าแล้ว!”“พระชายามีบาดแผล อนุญาตให้พระชายาและองค์ชายหล่างมู่ออกไปก่อนได้”ลั่วชิงยวนก้มหน้าลงเล็กน้อย “ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ”แล้วหล่างมู่ก็พยุงลั่วชิงยวนออกไปเนื่องจากหอฝูเสวี่ยอยู่มิไกลและสามารถมองเห็นการประลองจากชั้นสามได้ ลั่วชิงยวนจึงพาหล่างมู่ไปพักผ่อนที่หอฝูเสวี่ยก่อนซิ่งอวี่ต้มยามาให้นางกินลั่วชิงยวนนั่งข้างหน้าต่าง มองดูการประลองที่ยังคงดำเนินต่อไป เมื่อเห็นฟู่อวิ๋นโจวเอาชนะทุกคนได้ นางก็รู้ว่าเขากำลังจะเข้าสู่ราชสำนักแล้ว“พี่หญิง ยังเจ็บบาดแผลอยู่หรือไม่ขอรับ?” หล่างมู่ยกชามาให้หนึ่งถ้วยลั่วชิงยวนส่ายหน้า “มิเป็นอะไรแล้ว บาดแผลมิสาหัส พักสักสองสามวันก็หาย”“หล่างมู่ เจ้ามาเมืองหลวงได้อย่างไร? ในเผ่านอกด่านเกิดเรื่องใหญ่อันใดหรือไม่? รีบร้อนมาเช่นนี้เลยหรือ?
ฟู่อวิ๋นโจว!หล่างมู่กำหมัดแน่น แล้วกระโจนเข้าไปอีกครั้งผู้คนมากมายต่างเป็นห่วงฟู่อวิ๋นโจว หล่างมู่เป็นคนเผ่านอกด่าน ฝีมือของเขาเป็นที่ประจักษ์ของทุกคนแล้วร่างกายที่อ่อนแอของฟู่อวิ๋นโจวจะรับมือได้อย่างไรแต่ลั่วชิงยวนรู้ดีว่าเวลาที่ฟู่อวิ๋นโจวปรากฏตัวนั้นเหมาะสม นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดสำหรับเขาที่จะแสดงความสามารถฟู่อวิ๋นโจวรับหมัดของหล่างมู่ได้อย่างแน่นอนจากนั้นทั้งสองก็ต่อสู้กันอย่างดุเดือดหลายสิบกระบวนท่าทำให้ผู้คนในที่นั้นต่างตกตะลึง“นี่คือองค์ชายห้าหรือ?”“ฝีมือของเขาแข็งแกร่งเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด?”“ใช่แล้ว มิใช่ว่าเขาป่วยอยู่หรอกหรือ?”ขณะที่ผู้คนต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ ฟู่อวิ๋นโจวก็พบจุดอ่อนของหล่างมู่แล้ว จึงเหวี่ยงหล่างมู่ลงไปกับพื้น แล้วชกเข้าที่ใบหน้าของหล่างมู่ลั่วชิงยวนรีบวิ่งเข้าไปห้าม “หยุดนะ!”ฟู่อวิ๋นโจวสะดุ้งแล้วลดมือลงหล่างมู่ลุกขึ้นยืนและกำลังจะตอบโต้ แต่ถูกลั่วชิงยวนดึงไว้“หล่างมู่แพ้แล้ว” ลั่วชิงยวนประกาศผลทันทีสายตาของนางมองฟู่อวิ๋นโจวด้วยอารมณ์ซับซ้อน “ขอแสดงความยินดีกับองค์ชายห้าเพคะ”เขายังคงมิได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระและเรียบง่าย แต่กลั