ฟู่เฉินหวนนวดขมับ ผ่อนเสียงลงพร้อมกล่าว “การฟื้นฟูใบหน้าเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? หากค่อนข้างดีแล้ว ก็...” ได้ยินประโยคนี้ ลั่วชิงยวนคุกเข่าลงมาดังตุ้บ และร้องไห้อย่างเศร้าโศกขึ้นมาทันที “ท่านอ๋องจักทรงไล่หม่อมฉันออกไปหรือเพคะ?” “หม่อมฉันผิดไปแล้ว เมื่อนั้นหม่อมฉันเพียงอารมณ์ร้อนจึงได้เอ่ยประโยคที่เสียมารยาทเช่นนั้นต่อท่านแม่ทัพฉิน หม่อมฉันมิได้ตั้งใจ! ท่านอ๋องอย่าโกรธเคืองหม่อมฉันเลยเพคะ” ท่าทีน่าสงสาร และน้ำเสียงสะอื้นของลั่วเยวี่ยอิง ทำฟู่เฉินหวนรู้สึกปวดหัวขึ้นมาในทันที อีกทั้งใจอ่อนด้วย เขาพยุงลั่วเยวี่ยอิงขึ้นมา “ข้าแค่กลัวการอยู่ในตำหนักต่อโดยไม่มีฐานะจะทำเจ้าอึดอัด” ได้ยินดังนี้ ลั่วเยวี่ยอิงฉงน แต่ในใจนางกลับรู้สึกดีใจ “ขอบพระทัยท่านอ๋องเพคะ วันพรุ่งหม่อมฉันจักไปชดใช้ขออภัยท่านแม่ทัพใหญ่ฉินที่จวน” ฟู่เฉินหวนคิดสักพัก จากนั้นกล่าวขมวดคิ้ว “มิจำเป็น แม่ทัพใหญ่ฉินเอ่ยวาจาเช่นนี้อยู่แล้ว เจ้าเพียงเจอตอนเขาอารมณ์ไม่ดีเข้าพอดี” “เพคะ” ลั่วเยวี่ยอิงก้มหน้ายิ้มอ่อน อย่างที่คิด เมื่อไม่มีลั่วชิงยวน ท่านอ๋องจะตามใจนางยิ่งกว่าเดิม! คิ้วของฟู่เฉินหวนกลับขมวดแน่น เหตุใดเมื่อลั
ลั่วชิงยวนถูกนางลากขึ้นรถม้า ทันทีที่ขึ้นรถ แม่นมก็สั่งให้ผู้ควบม้าเพิ่มความเร็วทันที ลั่วชิงยวนเอ่ยถาม “ฮูหยินเกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ?” ตามหลักแล้วหลังนางมอบยาให้พวกเขา ก็น่าจะไม่มีเรื่องอะไรแล้วสิ แม่นมกำแขนเสื้อไว้แน่น พูดอย่างกังวลและร้อนรน “มาอีกแล้ว! เด็กคนนั้นมันมาอีกแล้ว!” ได้ยินดังนี้ ลั่วชิงยวนขมวดคิ้ว “มาอีกแล้วหรือ?” ไม่มีเข็มนำทาง มันจะกลับมาอีกได้อย่างไรกัน “สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?” ลั่งชิงยวนถามอย่างห่วงใย แม่นมส่ายหน้า “สถานการณ์ย่ำแย่มาก! มันยังอยู่ในจวน แต่ท่านฮูกลับติดอยู่ในห้อง และไม่รู้ว่ารอบนี้จะรักษาชีวิตไว้ได้ไหม!“ แม่นมพูดไป ก็จับแขนเสื้อไว้แน่น และพึมพำกับตัวเอง “หากท่านเป็นอะไรไป จะถูกตัดเศียร…” คำพูดไม่ใส่ใจของแม่นม ทำหัวคิ้วของลั่วชิงยวนกระตุก ตัดเศียรหรือ? ฮูหยินท่านนั้น คงเป็นพระสนมในวังแล้วล่ะ! รู้ว่าผู้ที่อยู่กับฟู่เฉินหวนย่อมเป็นราชวงศ์ แต่มิคิดว่า จะเป็นผู้หญิงขององค์จักรพรรดิ! “อย่าเพิ่งร้อนใจไป เด็กคนนั้นอยากได้ตำแหน่งในท้องของฮูหยิน หากฮูหยินเป็นอะไรไป มันจะไม่ได้รับอะไรทั้งนั้น ดังนั้นมันไม่ทำร้ายท่านฮูหยินหรอก” เพี
ทุกอย่างรอบ ๆ กลับมาชัดเจนอีกครั้ง ศพในห้องก็หายไป ส่วนนางยังคงยืนอยู่ใต้ชายคา แสงในคฤหาสน์เปลี่ยนไป ศีรษะข้างเท้านางก็หายไปเช่นกัน “กรี๊ด! ออกไปนะ! ข้ามิใช่แม่เจ้า! ออกไปเดี๋ยวนี้!” ภายในห้องมีเสียงร้องตะโกนสุดกำลัง และเต็มไปด้วยความผวาส่งมา ลั่วชิงยวนวิ่งพุ่งเข้าไปในห้องโดยไม่มีเวลาสนใจอย่างอื่น เมื่อเปิดประตูออก ฮูหยินท่านนั้นกำลังวิ่งหนีไปมา และพุ่งชนข้าวของในห้องอย่างลนลาน นางหวาดกลัวจนยากที่จะควบคุมอารมณ์ ลั่วชิงยวนเดินขึ้นหน้าไปกอดนางไว้ทันที แต่กลับถูกขัดขืนอย่างรุนแรง แรงภายใต้ความอยากเอาชีวิตรอดนั้นเยอะจนน่าตกใจ ลั่วชิงยวนจึงต้องใช้สันมือฟาดลงไป เพื่อให้นางสลบ หลังนางสลบ ลั่วชิงยวนจึงยกนางไปไว้บนเตียง พร้อมจับชีพจรให้นาง ชีพจรอ่อนแอ เนื่องจากตกใจเกินเหตุ จนส่งผลกระทบไปถึงเด็กในท้องแล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเด็กในท้องไม่รอดแน่! บัดนี้ด้านนอกดังขึ้นเป็นเสียงลมฟู่ ๆ พร้อมกับเสียงเด็กที่แสนยะเยือก “มันต้องตาย! มันต้องตาย!” ว่าแล้ว เด็กคนนี้แค่อยากให้นางแท้งลูก วินาทีต่อมา แจกันภายในห้องหล่นลงพื้นอย่างแรง จนส่งเป็นเสียงเคร้ง ร่างบนเตียงกระตุกเพราะความตกใ
เป็นแคว้นหลี! หากเป็นแคว้นหลี เช่นนั้นอีกฝ่ายต้องมาถึงที่แคว้นเทียนเชวียนานแล้ว ในแคว้นหลีมีคนแอบร่วมมือกับอิทธิพลแคว้นเทียนเชวียหรือ? คิดถึงตรงนี้ หัวใจของนางสั่นคลอน หากเป็นเช่นนี้ แคว้นหลีก็น่าจะหยั่งรู้อิทธิพลของแคว้นเทียนเชวียนานแล้ว การตายของนาง จะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือไม่? นางกำตุ๊กตาในมือไว้แน่น จากนั้นหันร่างกลับห้อง เพื่อจับชีพจร ฝังเข็มและจ่ายยาให้กับฮูหยิน ต่อด้วยไปปลุกแม่นมที่สลบอยู่บนพื้นด้านนอกให้ตื่น “เกิดอะไรขึ้น?” แม่นมตระหนก สีหน้าลนลานและหวาดกลัว ลั่วชิงยวนส่งตำรับยาให้นาง “ไปซื้อสมุนไพรเถิด ไม่เป็นไรแล้ว” แม่นมตะลึง มองไปรอบ ๆ ด้าน จึงพบว่าทุกอย่างได้สงบลงแล้ว “ไม่เป็นไรแล้วหรือ? ไม่เป็นไรแล้วก็ดี...” “ซื้อสมุนไพร เร็วเข้า!” ลั่วชิงยวนกำชับซ้ำ แม่นมเติ้งได้สติ “เจ้าค่ะ จะไปเดี๋ยวนี้แล” นางรับตำรับยามาจากนั้นจากไปอย่างร้อนรน ลั่วชิงยวนกลับเข้ามาในห้อง ฮูหยินท่านนั้นได้ตื่นขึ้นมาแล้ว เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู ร่างของนางสั่นคลอน และขดตัวอยู่ที่มุมกำแพง ลั่วชิงยวนชะงัก นางพูดเสียงต่ำ “มิต้องกลัว ข้าเอง” ฮูหยินชะงักเล็กน้อย “ท่านเซียน
ความอึดอัดมากมายที่มิกล้าเอ่ยพูดกับผู้อื่น บัดนี้นางกลับระบายให้ลั่วชิงยวนฟังจนสิ้น ลั่วชิงยวนเฝ้านางทั้งคืน และฟังเฝิงซีระบายมาทั้งคืน ต้องยอมรับเลย หญิงสาวที่เข้าวังหลวงได้ บางครั้งก็น่าสงสารยิ่งนัก พวกนางถูกคุมขังชั่วชีวิต เดิมทีพวกนางต่างเป็นคุณหนูตระกูลสูงส่งที่มีอนาคตสวยงามมากกว่านั้น แต่เพราะเข้าวังทุกอย่างจึงเปลี่ยนไป เมื่อฟ้าเริ่มสว่าง ในที่สุดความกลัวจากความมืดก็ถูกปัดเป่า อารมณ์และอาการของเฝิงซีต่างดีขึ้นจากเดิมเยอะ นางกล่าวขอบคุณ “ขอบคุณท่านที่ฟังข้าระบายมาทั้งคืน” “มิเป็นไร เมื่อเรื่องไม่ดีถูกพูดออกมา อารมณ์จักดีขึ้นยิ่ง และส่งผลดีต่อการฟื้นฟูร่างกาย” เฝิงซีเรียกแม่นมเข้ามา ให้แม่นมจ่ายค่าจ้าง เพียงแต่ครั้งนี้ นางยื่นให้ลั่วชิงยวนหนึ่งหมื่นตำลึงทีเดียว “ท่านฮูหยิน มิจำเป็นต้องมากเช่นนี้” แต่เฝิงซีกลับเผยยิ้ม ”เงินนี้มิใช่ของข้า ข้าใช้ของสามีข้า เขามิขาดเงิน เจ้ารับไว้เถิด” จักรพรรดิย่อมไม่ขาดเงินอยู่แล้ว ลั่วชิงยวนจึงรับตั๋วเงินมาหนึ่งกล่อง เฝิงซีกล่าวต่อ “ข้าจักแนะนำเจ้าให้ฮูหยินที่ข้าสนิทสนม เพื่อเป็นการส่งเสริมการค้าขายของเจ้า” “เช่นนั้นก็ขอ
ใต้แสงจันทร์ นางสามารถมองเห็นร่างที่พุ่งเข้ามาด้านหน้านางอย่างชัดเจน! “ฟู่เฉินหวน!” นิ้วมือเย็น ๆ เปิดผ้าคลุมหน้าของนางออก ลั่วชิงยวนเงยหน้าและตีลังกาหลบ วินาทีนั้น นิ้วของเขาลูบผ่านใบหน้าของนาง สัมผัสละเอียดอ่อนนั้น ทำปลายนิ้วของฟู่เฉินกวนรู้สึกเร่าร้อนขึ้นมา ลั่วชิงยวนยื่นมือกดผ้าคลุมหน้าเอาไว้ นางลุกขึ้น และจดจ้องไปทางฟู่เฉินหวนด้วยสีหน้าที่สงบและแน่นิ่ง “คุณชายหมายความว่าอย่างไรกัน?” ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้ว นัยน์ตามีแววฉงนกะพริบผ่าน เขาฝีมือดีเช่นนี้เชียว? “ลูกผู้ชายยังสวมใส่ผ้าปิดหน้าอีก? มีเรื่องน่าอับอายกระไรงั้นรึ?” ฟู่เฉินหวนค่อย ๆ เดินเข้าไปหานาง กดดันจนลั่วชิงยวนต้องถอยหลังไปเรื่อย ๆ “คุณชายเป็นใครกัน? จึงได้ยุ่งเรื่องผู้อื่นนัก ยุ่งกระทั่งการแต่งตัวของข้า” น้ำเสียงของลั่วชิงยวนเยือกเย็น “ไยเจ้าต้องถอยเล่า? กลัวอะไรงั้นหรือ?” สายตาหนาวเหน็บของฟู่เฉินหวนจดจ้องลั่วชิงยวน ในใจลั่วชิงยวนแอบกลัวจริง ๆ นางมิได้ถอยต่อ “ข้าถอยเพราะต้องการหลบทางให้ท่าน” นางเอนกาย ให้ฟู่เฉินหวนผ่าน แต่ฟู่เฉินหวนมิคิดจะจากไป เขาไขว้มือไว้ด้านหลัง มองมาทางนางด้วยสายตาเยือกเย็น “
ซ่งเชียนฉู่จึงเสงี่ยมขึ้น แต่ยังอดหัวเราะมิได้ เสียงหัวเราะของนางใสราวกับกระดิ่ง และดังไปทั่วจวนแสนสงบนี้ “ข้าออกจากจวนและได้รับข่าวสารมาไม่น้อย! ร้านของเรายายังมิทันมีชื่อเสียงเลย ความงดงามของท่านกลับโด่งดังขึ้นมาเสียก่อนแล้ว!” ลั่วชิงยวนไม่ค่อยรู้ข่าวสารจริง ๆ จำนวนคนที่มาทำนายกับนางในทุก ๆ วันมีไม่น้อย แม้เป็นเพียงงานเล็ก ๆ แต่เมื่อรวมกัน ทุกวันนางก็หาเงินได้จำนวนไม่น้อยเลย “วันนี้ไปที่จวนเฝิง ฟู่เฉินหวนเหมือนจะสงสัยข้า หากหน้าข้าสะอาดสะอ้าน ไฉนข้าจะปิดหน้ากัน? อย่างน้อยต้องมีเหตุผลให้ข้าปิดหน้าหน่อยสิ!” ลั่วชิงยวนพูดเรื่องสำคัญต่อ “เจ้ามีวิธี ใส่รอยแผลบนใบหน้า โดยที่คนอื่นดูไม่ออกว่าเป็นของปลอมหรือไม่?” นางเองก็มีวิธีของตนเอง แต่คิดถึงตัวตนของซ่งเชียนฉู่ ยาที่ซ่งเชียนฉู่รู้จักย่อมมากกว่านาง บางทีอาจมีวิธีที่ดีกว่านั้น ซ่งเชียนฉู่ เผยยิ้มมั่นใจ พร้อมกล่าว “ข้าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้เลย!” “เมื่อก่อนข้าแอบไปเล่นนอกเขา แล้วกลัวว่าจะถูกท่านพ่อลงโทษ ข้าจึงทำบาดแผลปลอม ท่านพ่อจะได้ไม่ติข้าเพราะความสงสาร” “ข้าใช้วิธีนี้มาเป็นสิบปี และได้ผลทุกครั้ง!” “สมุนไพรที่ใช้ทำบาด
ลั่วชิงยวนสีหน้าหม่นคล้ำ แน่นอนว่าย่อมไม่อาจหลบเลี่ยงได้แล้ว สวีซงหย่วนรีบคว้าตัวลั่วอวิ๋นสี่เอาไว้พลางกล่าวว่า "อวิ๋นสี่ อย่าทำให้ผู้อื่นต้องลำบากใจเลย บางทีอาจเป็นเพราะพวกเราแตกต่างกันมาก ถึงได้ไร้วาสนาต่อกัน" ลั่วชิงยวนหรี่ตามองสวีซงหย่วน คนผู้นี้แสดงละครเก่งจริง ๆ หลังจากลั่วอวิ๋นสี่ได้ยินเช่นนี้เข้าก็รู้สึกหัวใจสลาย จากนั้นนางก็เอ่ยขึ้นมาว่า "ข้าไม่อนุญาตให้ท่านพูดแบบนั้น ต่อให้ไร้วาสนาก็ช่าง ข้าจักฝืนชะตาครั้งนี้เอง!" หลังจากนางพูดจบก็เท้ามือลงบนโต๊ะก็จ้องมองลั่วชิงยวนด้วยสายตาเย่อหยิ่งจองหองแล้วข่มขู่ว่า "ข้าต้องการให้เจ้าทำนายชะตาสมรสให้ข้า เขียนลงไปซะ! มิฉะนั้นข้าจักพังร้านและแผงทำนายดวงชะตาของเจ้า!" "ตอนนี้เจ้ามีชื่อเสียงนักไม่ใช่หรือ? ถึงตอนนั้นหากข้าบอกว่าเจ้าดูดวงไม่แม่น เจ้าก็จะดำเนินกิจการทำนายดวงชะตาของตนมิได้อีกต่อไป!" มารดาของนางคัดค้านเรื่องที่นางจะอยู่กับสวีซงหย่วนมาโดยตลอด ดังนั้นท่านจึงลงโทษและออกคำสั่งให้กักบริเวณนางอยู่หลายครั้งหลายครา! ไม่นานมานี้ มีเทพพยากรณ์เลื่องชื่อปรากฏตัวขึ้นในเมืองหลวง นางอยากได้คำทำนายเพื่อจะได้พิสูจน์ให้มารดาของตนเห็น
เหตุใดแคว้นหลีจึงส่งกองทัพมากะทันหันฟู่อวิ๋นโจวเอ่ยถาม “ท่านมหาปราชญ์ ท่านเชี่ยวชาญด้านนี้ พอจะทำนายผลลัพธ์ได้หรือไม่?”“ควรจะรับมืออย่างไร”ขุนนางทั้งหลายต่างมองไปที่ลั่วฉิง ลั่วฉิงไม่มีทางเลือก จึงได้แต่กัดฟันกล่าวว่า “เรื่องนี้... ทำนายได้ แต่หม่อมฉันต้องการเวลาเพคะ”ฟู่อวิ๋นโจวมีสีหน้ากังวล และถามว่า “ท่านมหาปราชญ์ต้องการเวลานานเพียงใด?”ลั่วฉิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงกล่าวว่า “สามวันเพคะ!”สิ้นคำพูดของนาง หลายคนก็แสดงความมิพอใจ“สามวันหรือ? ซีหลิงอยู่ห่างจากเมืองหลวงราวพันลี้ สามวันกว่าจะบอกผลลัพธ์ จะทันการณ์ได้อย่างไร”“ก่อนหน้านี้พระชายาอ๋องผู้สำเร็จราชการก็มิได้ใช้เวลานานถึงเพียงนั้น”“ใช่ ท่านมหาปราชญ์คงจะมิค่อยมีความสามารถมากถึงเพียงนั้นกระมัง”คำพูดนี้ทำให้ลั่วฉิงหน้าซีดเผือด“สองวัน อย่างเร็วที่สุดก็ต้องสองวัน!” ลั่วฉิงกัดฟันกล่าวในตอนนี้ ฟู่เฉินหวนกล่าวอย่างใจเย็น “แคว้นหลีส่งกองทัพมาโดยมิทราบสาเหตุ ข้าคิดว่าตอนนี้ควรส่งคนไปเจรจากับแคว้นหลีโดยด่วน”“ระหว่างนั้นก็ส่งกองกำลังไปเสริมอย่างลับ ๆ ด้วย อย่าได้พึ่งพาแต่ผลการทำนายของท่านมหาปราชญ์”“หากผลลัพธ์ออกมาแล้ว
เมื่อเฉินชีได้ยินดังนั้นก็หยุดชะงักแล้วยกยิ้มมุมปาก เดินมาที่หน้าต่าง พิงกำแพงพลางกอดอก “เจ้าจะให้ข้าช่วยเจ้าในฐานะที่เจ้าเป็นใคร?”ลั่วชิงยวนมองเขาด้วยสายตาเย็นชา “นักบวชระดับสูง”ดวงตาของเฉินชีลุกโชนด้วยประกายร้อนแรง “อาเหลา ในที่สุดเจ้าก็ตัดสินใจจะไปกับข้าแล้วหรือ?”ลั่วชิงยวนมองเขาด้วยสายตาเย็นชาและเย่อหยิ่ง “กลับแคว้นหลีก็ได้ ข้าบอกแล้วว่าให้เจ้าช่วยข้าเรื่องหนึ่ง”“แคว้นหลีจะมีนักบวชระดับสูงได้เพียงผู้เดียวเท่านั้น”เฉินชียกยิ้มมุมปากแล้วหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนจะคุกเข่าลงข้างหนึ่งอย่างนอบน้อม “อย่าว่าแต่เรื่องเดียวเลย สิบเรื่อง ร้อยเรื่อง เฉินชีก็ยินดีทำเพื่อนักบวชระดับสูงทั้งสิ้น!”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองเขาด้วยแววตาที่ลึกล้ำถึงแม้เฉินชีจะบ้าแต่ก็มิใช้คนโง่เขลา เขาทำอะไรตามอำเภอใจแต่ก็คงมิยอมสยบต่อนางง่าย ๆ เช่นนี้การเปลี่ยนท่าทีเช่นนี้ทำให้นางมิค่อยเชื่อถือ“เจ้าฟังเรื่องที่ข้าจะให้เจ้าทำก่อนค่อยตอบรับก็ยังมิสาย”เฉินชีลุกขึ้นมองนางด้วยแววตาเป็นประกาย “ท่านนักบวชต้องการให้ข้าทำสิ่งใด?”“ข้าต้องการให้เจ้ายกทัพไปตีซีหลิง”“แต่ห้ามสู้รบกันจริง ๆ ห้ามทำร้ายราษฎร”เฉ
ใจของลั่วชิงยวนร้อนรุ่มดั่งไฟสุม นางพยายามดิ้นรนสุดแรง “ปล่อยข้านะ!”“ฟู่เฉินหวน ท่านช่างไร้หัวใจอะไรเยี่ยงนี้!”ทว่าฟู่เฉินหวนยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย มิสะทกสะท้านแม้แต่น้อยเมื่อเห็นแม่นมเติ้งใกล้จะทนมิไหวแล้ว น้ำตาลั่วชิงยวนก็เอ่อคลอ“หม่อมฉันจะมิออกจากเรือนแล้ว หม่อมฉันจะมิออกจากห้องแล้ว ได้หรือไม่!”นางมองฟู่เฉินหวนด้วยดวงตาแดงก่ำ พยายามวิงวอนขอร้องในที่สุดนางก็ยอมก้มหน้าลง“ขอท่านไว้ชีวิตนางด้วยเถิดเพคะ!” ลั่วชิงยวนคุกเข่าลงอย่างอ่อนแรงแววตาฟู่เฉินหวนมืดมนเดิมทีลั่วชิงยวนคิดว่าเมื่อนางขอร้องแล้ว ฟู่เฉินหวนคงจะไว้ชีวิตแม่นมเติ้งแต่ฟู่เฉินหวนกลับมีแววตาเย็นชา “นางเป็นบ่าวของตำหนัก มิใช่บ่าวของเจ้า นางขัดคำสั่งข้า สำหรับข้าแล้ว ไม่มีคำว่ายกโทษ”น้ำเสียงเย็นเยียบของเขาเป็นดั่งหนามแหลมทิ่มแทงหัวใจของลั่วชิงยวนลั่วชิงยวนตกตะลึงนางโกรธจนตะโกนลั่น “ฟู่เฉินหวน!”ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้ว นัยน์ตาฉายแววหงุดหงิดขณะกล่าวเสียงเย็น “พาตัวนางไป”องครักษ์จับตัวลั่วชิงยวนแล้วลากออกไปฟู่เฉินหวนมองนางเป็นครั้งสุดท้ายด้วยสายตาเย็นชา “หากเจ้ายังท้าทายข้าอีก จะต้องมีคนตายมา่กกว่านี้แน่”แ
ครั้นลั่วชิงยวนถูกพากลับมายังเรือนพวกองครักษ์ก็ปล่อยตัวนาง นางจึงทรุดกายลงคุกเข่ากับพื้นด้วยความอ่อนล้า“พระชายา! พระชายา!”จือเฉารีบรุดเข้ามาประคอง แต่พลั้งมือไปโดนแขนนางเข้า จึงสะดุ้งโหยงรีบชักมือกลับ “พระชายา แขนของท่าน...”ลั่วชิงยวนยันกายลุกขึ้นโดยอาศัยจือเฉาพยุงเดินเข้าห้องไปอย่างเชื่องช้าเมื่อนั่งลงบนเก้าอี้ นางก็จับแขนข้างที่หักนั้นไว้พลางกัดฟันแน่นก่อนจะออกแรงดันกระดูกให้เข้าที่ความเจ็บปวดแล่นริ้วราวกับจะขาดใจ น้ำตาของนางแทบไหลรินจือเฉากลั้นน้ำตาไว้มิอยู่ “พระชายา... เหตุใดท่านอ๋องจึงโหดเหี้ยมเช่นนี้ ลงพระหัตถ์หนักหนาเกินไปแล้ว...”ทันใดนั้นลั่วชิงยวนก็รู้สึกเจ็บแปลบที่อกพลันไอออกมามิหยุด จือเฉารีบยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ เมื่อไอเสร็จ ลั่วชิงยวนก็พบว่าผ้าเช็ดหน้าเต็มไปด้วยเลือด...จือเฉาตกใจมาก “บ่าวจะไปตามซูโหยวให้ไปเชิญหมอหลวงมาเจ้าค่ะ”แต่ลั่วชิงยวนกลับบอกว่า “มิต้อง อย่าทำให้เขาเดือดร้อนเลย”หากฟู่เฉินหวนรู้ว่าซูโหยวช่วยนางคงจะโกรธมากเป็นแน่“แล้วแผลของพระชายาเล่าเจ้าคะ?”ลั่วชิงยวนรินน้ำชา “ยังมีสมุนไพรเหลืออยู่มิใช่หรือ แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว”จากนั้นนางก็หยิบส
ในชั่วพริบตา ลั่วชิงยวนก็รู้สึกเจ็บแปลบที่หลังเพราะถูกกดลงบนกำแพงเท้าของนางลอยขึ้นจากพื้นความรู้สึกหายใจมิออกทำให้นางดิ้นรนสุดกำลัง“ใครอนุญาตให้เจ้าเข้ามา! ใครอนุญาตให้เจ้าแตะต้องของของข้า!”ลั่วชิงยวนพยายามพูด “ฟู่เฉินหวน...”นางหายใจมิออกแล้วนัยน์ตาของฟู่เฉินหวนฉายแววเย็นชาขณะจับนางเหวี่ยงออกไปร่างลั่วชิงยวนตกกระแทกพื้นเสียงดังสนั่นกลิ้งไปหลายตลบแล้วกระอักเลือดออกมาอวัยวะภายในสั่นสะเทือน ปวดร้าวไปทั่วร่าง“ฟู่เฉินหวน ลั่วฉิงกับไทเฮาร่วมมือกัน สิ่งที่ไทเฮาให้ท่านอาจถูกลั่วฉิงปลอมแปลง จดหมายนั้นอาจเป็นของปลอมก็ได้!”ลั่วชิงยวนรีบอธิบายความคิดของตนเองฟู่เฉินหวนเดินเข้ามาด้วยความโกรธ เขาจับนางขึ้นมาแล้วมองนางด้วยสายตาเหี้ยมโหด “ถึงตอนนี้แล้วยังจะมาหลอกลวงข้าอีกรึ?”“ลายมือท่านแม่ของข้า ข้าจะจำมิได้เชียวหรือ!”พูดจบ ลั่วชิงยวนก็ถูกเหวี่ยงออกจากห้องร่างกระแทกพื้นหิมะแขนข้างหนึ่งถูกทับจนเกิดเสียงดังกร๊อบแขนหลุดจากข้อต่อแล้ว“โอ๊ย...” ลั่วชิงยวนร้องเสียงหลง หน้าซีดเผือดด้วยความเจ็บปวด เหงื่อเย็นผุดขึ้นเต็มไปหน้านางใช้มือข้างเดียวพยุงตัว พยายามลุกขึ้นอย่างยากล
ลั่วฉิงใช้เข็มทิศอาณัติสวรรค์มิเป็นด้วยฐานะของนาง เป็นไปมิได้ที่จะใช้มิเป็นลั่วชิงยวนเบิกตากว้างลั่วฉิงมิได้ใช้มิเป็น แต่ใช้มิได้ต่างหาก!นางพกเข็มทิศนี้ติดตัวมาตั้งแต่เด็ก อาจารย์บอกว่าเป็นของที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษของนางหลังจากที่นางตายแล้วเกิดใหม่เข็มทิศนี้ก็ยังคงติดตัวนางมา ย่อมมิใช่ของธรรมดาสามัญแน่นอนดังนั้น เข็มทิศนี้อาจจะยอมรับนางเป็นเจ้าของแล้ว คนอื่นจึงใช้มิได้เมื่อคิดได้ดังนั้น ลั่วชิงยวนก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้างลั่วฉิงได้เข็มทิศไปก็ไร้ประโยชน์ฟู่เฉินหวนถาม “หากไม่มีเข็มทิศนี้ เจ้าก็ทำนายอะไรมิได้เลยหรือ?”ลั่วฉิงยกยิ้ม “แน่นอนว่ามิใช่เช่นนั้น”“เช่นนั้นก็มิเห็นเป็นอะไร เจ้าแค่ทำนายสิ่งที่เจ้าทำนายได้ แล้วก็จะค่อย ๆ ได้รับความไว้วางใจเอง”ฟู่เฉินหวนมีสีหน้าเคร่งขรึม ขณะกล่าวเสียงเย็น “ข้าทะเลาะกับนางไปแล้ว หากจะหลอกลวงนางอีกก็ต้องแสร้งทำดีด้วย”“ข้ามิอยากทำเรื่องน่ารังเกียจเช่นนั้น”หัวใจของลั่วชิงยวนพลันเจ็บแปลบเขาบอกว่าการทำดีกับนางเป็นเรื่องน่ารังเกียจ...ลั่วชิงยวนรู้สึกเจ็บปวด นางกำเสื้อแน่น มิกล้าส่งเสียงแล้วค่อย ๆ เดินจากไปคำพูดเหล่านั้นดังก้อ
ลั่วชิงยวนที่ถูกขังไว้สองวันเริ่มรู้สึกอึดอัดราวกับถูกจองจำในคุกหิมะตกหนักติดต่อกันหลายวันยิ่งทำให้นางรู้สึกหดหู่เมื่อหิมะเริ่มเบาบางลงนางจึงออกมานั่งที่เก้าอี้ในเรือนสัมผัสกับความเย็นยะเยือกที่โปรยปรายลงบนใบหน้า“พระชายา ระวังจะเป็นหวัดนะเจ้าคะ”จือเฉานำกาน้ำชาอุ่นมาวางไว้บนโต๊ะข้าง ๆ แล้วรินใส่ถ้วยให้นางไอร้อนจากน้ำชาช่วยเพิ่มความอบอุ่นในวันหิมะตกอันหนาวเหน็บจือเฉานั่งอยู่ข้าง ๆ เหม่อมองท้องฟ้าด้วยความกังวล “พระชายา เหตุใดท่านอ๋องจึงใจร้ายกับท่านเช่นนี้เจ้าคะ”“ก่อนหน้านี้เป็นเพราะมีลั่วเยวี่ยอิงที่คอยยุแยง บัดนี้ลั่วเยวี่ยอิงก็ตายไปแล้ว เหตุใดท่านอ๋องจึงยังเป็นเช่นนี้ ระหว่างท่านอ๋องกับพระชายามีเรื่องเข้าใจผิดกันหรือเจ้าคะ?”ลั่วชิงยวนก็มิอาจเข้าใจได้เริ่มเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อใดกันตั้งแต่ที่นางถูกเฉินชีจับตัวไปบนเขาหรือไม่สิ น่าจะเริ่มตั้งแต่เรื่องของฟู่จิ่งหานตอนที่ฟู่เฉินหวนตัดสินใจจัดการกับฟู่อวิ๋นโจว เขาเข้าวังไปหลายวันแล้วเมื่อกลับมาก็หย่ากับนางแต่เกิดเรื่องอะไรขึ้นในวัง แม้แต่จักรพรรดิสูงสุดก็มิยอมบอกนางหรือบางทีอาจจะมิรู้เหมือนกันวันนี้แม่นมเติ้งเป
เขามีสีหน้าเย็นชาขณะกล่าวเสียงเรียบ “กลับตำหนักกับข้า”ลั่วชิงยวนนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งแล้วจึงให้จือเฉาเก็บข้าวของตามฟู่เฉินหวนออกจากวังเมื่อขึ้นรถม้า ฟู่เฉินหวนก็สั่งสารถีให้กลับตำหนักทันทีทั้งยังเร่งให้รีบกลับด้วยคิ้วที่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อยดูเหมือนจะหงุดหงิดอยู่รถม้าแล่นไปอย่างรวดเร็ว ลั่วชิงยวนถูกเขย่าโคลงเคลงจนตัวแทบปลิว แต่ก็ยังพยายามทรงตัว มิเอ่ยคำใดจนกระทั่งรถม้ามาถึงหน้าตำหนักลั่วชิงยวนจึงสังเกตเห็นรอยแดงบนใบหน้าของฟู่เฉินหวนนางยกมือขึ้น แตะใบหน้าเขาเบา ๆ “ใบหน้าของท่านเป็นอะไรไป?”ฟู่เฉินหวนคว้าข้อมือของนางไว้แล้วจ้องมองด้วยสายตาคมกริบ “มิใช่เพราะเจ้าหรอกรึ!”ลั่วชิงยวนชะงักไปชั่วพริบตานั้น ฟู่เฉินหวนก็กระชากนางลงจากรถม้าอย่างแรง ทำให้นางเกือบล้มนางเดินเซ แต่ก็ยังถูกฟู่เฉินหวนลากเข้าไปในตำหนักฟู่เฉินหวนเดินอย่างรวดเร็ว ทั้งร่างเต็มไปด้วยโทสะราวกับพยายามอดกลั้นมานานลั่วชิงยวนจึงตระหนักได้ว่าเขาคงถูกจักรพรรดิสูงสุดลงโทษมิเช่นนั้นรอยแดงบนใบหน้าเขาจะมาจากไหนเมื่อมาถึงลานด้านใน นางก็สะบัดตัวหลุดจากฟู่เฉินหวน“ท่านจะทำอะไร!”ทันใดนั้น ฟู่เฉินหวนก็บีบคางน
ผ่านไปครู่หนึ่ง เซิ่งไป่ชวนก็มาถึงลั่วชิงยวนพยุงตัวลุกขึ้นนั่งเซิ่งไป่ชวนเห็นเหงื่อเม็ดเล็ก ๆ บนหน้าผากนาง จึงเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “พระชายารู้สึกหนาวหรือไม่ขอรับ?”ลั่วชิงยวนกล่าวอย่างแผ่วเบา “ข้ามิเป็นอะไร มิต้องตรวจชีพจรแล้ว ข้าจะเขียนใบเทียบยาให้ เจ้าช่วยไปหยิบยาให้หน่อย”เซิ่งไป่ชวนพยักหน้า เขาย่อมเชื่อมั่นในฝีมือแพทย์ของลั่วชิงยวนจึงมิฝืนใจเพียงแต่กล่าวว่า “เห็นอาการของพระชายาทรงทรุดลงทุกวัน เกรงว่าจะเป็นเพราะความวิตกกังวล พระชายาควรปล่อยวางบ้าง”“เพื่อรักษาพระวรกายให้แข็งแรงขอรับ”ลั่วชิงยวนพยักหน้า “ขอบคุณหมอหลวงเซิ่ง”“ข้าจะระมัดระวัง”ขณะที่กำลังสนทนากัน ก็พลันได้ยินเสียงตวาดดังมาจากด้านนอก“ว่ากระไรนะ! สั่งลงไป ผู้ใดกล้าพูดถึงเรื่องนี้อีกให้ตัดหัวได้เลย!”ลั่วชิงยวนตกใจเล็กน้อยด้วยความสงสัย นางจึงสวมรองเท้าเดินออกไปจือเฉานำผ้าคลุมมาสวมให้นางเห็นจักรพรรดิสูงสุดกำลังโมโหอยู่ใต้ชายคา“เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือเพคะ?” ลั่วชิงยวนถามด้วยความอยากรู้จักรพรรดิสูงสุดกล่าวว่า “ไม่มีอะไร เจ้าไปพักผ่อนเถิด ข้ามิได้ดุใครมานานแล้วเลยลองฝึกฝนดู”จากนั้นจักรพรรดิสูงสุด