นั่นคือเสียงของฟู่เฉินหวน! ฟู่เฉินหวนมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? นางชักขาเดินหนีทันที เบื้องหลัง ฟู่เฉินหวนก็เดินถึงหน้าประตู เมื่อเห็นแผ่นหลังลับ ๆ ล่อ ๆ ของนาง จึงดุเสียงเย็น “รอเดี๋ยว!” “เจ้าเป็นใครกัน?” เสียงของฟู่เฉินหวนเยือกเย็น บัดนี้แม่นมเดินออกมา คำนับฟู่เฉินหวนพร้อมกล่าว “ท่านผู้นี้คือท่านเซียนฉู่ที่เชิญมาคืนนี้เพคะ” ลั่วชิงยวนหันหลังให้พวกเขา และมิได้หันหน้ากลับไป ฟู่เฉินหวนประเมินนางพร้อมกับขมวดคิ้ว ฟู่จิ่งหานก้าวขาเดินเข้าห้อง “ท่านเซียนฉู่ว่าอย่างไร?” แม่นมจึงเอ่ยตอบ ลั่วชิงยวนเห็นว่าพวกเขามิได้คิดจะซักถามนางต่อ ก็รู้สึกโล่งอกและสับขาเดินออกไปอย่างร้อนรน ฟู่เฉินหวนปรากฏตัวที่นี่ ฮูหยินท่านนี้ต้องมิธรรมดาแน่! มิคิดว่างานใหญ่งานแรกที่รับหลังกลับเมืองหลวงของนาง จะเกี่ยวข้องกับฟู่เฉินหวนได้ นางเดินไปเรือนรองอย่างรวดเร็ว ซ่งเชียนฉู่และจือเฉ่าทั้งคู่ต่างกำลังรอนางอยู่ “เป็นอย่างไรบ้าง?” พวกนางลุกขึ้นเอ่ยถาม ลั่วชิงยวนสรุปอาการของฮูหยินท่านนั้นให้ฟัง “ข้าเห็นบริเวณหน้าท้องของหญิงสาวมีควันทมิฬโอบล้อม แต่บนร่างกลับมิมีไอชั่วร้าย ข้าคิดว่านางน่าจะติดพิษ
ทุกครั้งที่เห็นสีหน้าเช่นนี้ของพระชายา จือเฉ่ามักรู้สึกสันหลังเย็บวูบวาบ นางเอ่ยถามอย่างอดมิได้ “พระชายา เข็มนำทางคือสิ่งใดหรือ?” “สิ่งที่ทำร้ายฮูหยินท่านนั้นหรือเจ้าคะ?” ลั่วชิงยวนพยักหน้า จากนั้นวางเข็มลงพร้อมกล่าว “เอาผ้าคลุมหน้าให้ข้า” จือเฉ่าหยิบผ้าคลุมหน้าออกมา ลั่วชิงยวนใส่ปิดหน้าทันที นางหยิบของและกลับเข้าใปในห้อง เพียงแต่ซ่งเชียนฉู่ได้ให้ฟู่เฉินหวนและฟู่จิ่งหานออกไปล่วงหน้าแล้ว บัดนี้ทั้งคู่นั่งอยู่หลังฉากกั้น ระยะมิใกล้กันแต่นิด ทิศทางที่พวกเขานั่งก็มองมิเห็นใบหน้าของลั่วชิงยวน “เป็นอย่างไรบ้าง?” ลั่วชิงยวนเอ่ยถาม ซ่งเชียนฉู่พยักหน้า “อย่างที่ท่านคาดคิด ฮูหยินท่านนี้ติดพิษ และฝังไว้ลึกมาก น่าจะติดจากการสูดกลิ่นธูปเมื่อนางไปสวดมนต์ไหว้พระ พิษมิได้ร้ายแรงนัก มิถึงแก่ชีวิต เพียงแค่ส่งผลต่อสติของนาง” “แต่สำหรับหญิงสาวมีครรภ์ กลับส่งผลกระทบรุนแรงยิ่ง” ฮูหยินที่พิงอยู่บนหมอนหน้าถอดสี “เช่นนี้ท่านหมอมีวิธีรักษาหรือไม่?” ซ่งเชียนฉู่ไตร่ตรองและกล่าว “วิธีรักษาย่อมมี แต่อาจมิได้รักษาถึงต้นตอ ต้องดูว่าด้านท่านเซียนฉู่พบสิ่งใดหรือไม่” ลั่วชิงยวนจึงหยิบสิ่งของเหล่านั
“ในเมื่อท่านหมอเทวดามีเครื่องยาสมุนไพร เช่นนั้นก็ใช้เครื่องยาของท่านหมอเถิด เงินมิสำคัญ มิว่าเท่าไรข้าก็ให้ได้!” ฟู่จิ่งหานเดินออกมาโดยไคว้มือไว้ด้านหลัง ฟู่เฉินหวนเองก็เดินออกมาเช่นกัน ลั่วชิงยวนหันหน้าไปมอง ทันทีที่สบตากับฟู่เฉินหวน นางก็หลบตาในทันที แต่สายตาของฟู่เฉินหวนกลับตกอยู่ที่นางตั้งแต่ต้นจนจบ เขามักรู้สึกว่าท่าทีของคนตรงหน้าช่างคุ้นเคย แม้กระทั่งเสียงเขายังรู้สึกค่อนข้างคุ้นหู แต่หุ่นของคนตรงหน้า กลับไม่เหมือนโดยสิ้นเชิง “เหตุใดท่านเซียนฉู่จึงปิดหน้าหรือ?” เสียงเยือกเย็นของฟู่เฉินหวนดังขึ้น และแฝงไปด้วยการหยั่งเชิง ลั่วชิงยวนตอบอย่างสงบ “ข้าป่วย ร่างกายของท่านฮูหยินอ่อนแอ ข้ากลัวว่าจะเผลอแพร่ไปให้ท่านเข้า” มองดูสายตาของฟู่เฉินหวนที่ค่อนข้างแปลกตา ลั่วชิงยวนคิดว่าเขาน่าจะดูไม่ออก เพราะนางใช้โสมเก้าบุษบันอมตะปรับสมดุลกายามาหนึ่งเดือน พิษในร่างนางเริ่มถูกขับออกไปแล้ว จากร่างที่อ้วนท้วมราวกับสุกร บัดนี้กลายเป็นเพียงแค่ร่างอวบ ๆ หุ่นเช่นนี้จะปรากฏบนร่างชายหนุ่มก็มิใช่เรื่องแปลก ดังนั้นฟู่เฉินหวนไม่มีทางเชื่อมโยงนางกับลั่วชิงยวนแน่ “โอสถของพวกข้านอกจากค่าเคร
นี่ยังคงเป็นแผ่นดินของตระกูลฟู่หรือ? เหมือนเป็นแผ่นดินของตระกูลเหยียนเสียมากกว่า! ฟู่เฉินหวนกลับมองเขาอย่างจริงจังพร้อมกล่าว “หากเจ้าไม่อยากถูกพวกเขาควบคุมไปตลอด เช่นนั้นเด็กคนนี้ มิว่าอย่างไรเจ้าก็ต้องปกป้องเอาไว้ให้ได้ หากเป็นองค์ชาย ก็ให้เติบโตในฐานะองค์ชายเอก อนาคตพระสนมซีจึงจะมีโอกาสแย่งชิงตำแหน่งฮองเฮา” “หากฮองเฮาของเจ้าเป็นลูกสาวของตระกูลเหยียน เช่นนั้นเจ้าคงถูกตระกูลเหยียนควบคุมไปตลอดชีวิต”คำพูดของฟู่เฉินหวน ทำให้ฟู่จิ่งหานรับรู้ถึงความอันตราย แต่ก็กลับถูกความกดดันเช่นนี้กดไว้เสียจนจะหายใจไม่ออก เขาดึงแขนเสื้อฟู่เฉินหวนไว้ “เสด็จพี่สาม ตอนนี้ข้าทำได้เพียงพึ่งเสด็จพี่แล้ว ข้าไม่มีแผนการ คงต้องให้เสด็จพี่ช่วยข้าคิดแล้ว” ...... เมื่อผ่านยามจื่อ(1) ประตูเมืองปิดลง แม่นมจึงส่งพวกนางไปพักในโรงเตี๊ยม จ่ายค่าห้องพักให้พวกนาง และสั่งอาหารน้ำเหล้าเรียบร้อย พร้อมทิ้งท้ายว่าพรุ่งนี้เวลาเที่ยงตรงจะมารับพวกนางเข้าเมือง แม้ว่าแม่นมจะจองไว้ให้พวกนางสามห้อง แต่ทั้งสามกลับนอนห้องเดียวกัน จือเฉ่าไปขอน้ำร้อนที่หลังครัว ทั้งสามนั่งแช่เท้าอยู่ในห้อง ร่างกายของพวกนางอบอุ่นขึ้น
วินาทีนั้นหัวใจของลั่วชิงยวนสั่นคลอน แต่นางมิได้หันหลังกลับ และเดินหน้าต่อโดยไม่สนใจ ผู้อยู่เบื้องหลังส่งเสียงเรียกนางอีกครั้ง “ท่านเซียนฉู่” ลั่วชิงยวนจึงหยุดฝีเท้าลงและหันร่าง “ท่านเซียนฉู่มาจากเมืองเปี้ยนเหอหรือ? เช่นนั้นรู้จักลั่วชิงยวนหรือไม่” ฟู่เฉินหวนถามหยั่งเชิง ก่อนหน้านี้ท่านเซียนฉู่มิเคยปรากฏตัวมาก่อน เมื่อองค์จักรพรรดิพูดถึงเรื่องพระสนมซี เขาคิดถึงลั่วชิงยวนเป็นคนแรกเลย แต่ยังมิทันที่เขาจะเอ่ยถึงลั่วชิงยวน องค์จักรพรรดิก็ตามหาท่านเซียนฉู่มาเสียก่อน “มิรู้จักขอรับ” ลั่วชิงยวนตอบอย่างมารยาท “ท่านยังมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่?” ดวงตาลึกซึ้งของฟู่เฉินหวนประเมินนาง “ไม่มีแล้ว” ลั่วชิงยวนก้มหน้าเล็กน้อย จากนั้นหันร่างจากไปพร้อมกับซ่งเชียนฉู่ ฟู่เฉินหวนมองแผ่นหลังที่จากไป ยิ่งมองยิ่งรู้สึกไม่เหมือน ดูท่าจะมิเกี่ยวข้องกับลั่วชิงยวน เมื่อคิดถึงลั่วชิงยวน ฟู่เฉินหวนจึงก้าวขาจากไป และกลับไปยังตำหนักอ๋อง “ซูโหยว” ซูโหยวรีบเดินเข้ามา “ท่านอ๋อง” “ที่จวนนอกเมือง ช่วงนี้มีท่าทีใดหรือไม่?” ฟู่เฉินหวนถามเสียงเย็น ซูโหยวชะงักเล็กน้อย พร้อมขานตอบ “กระหม่อมส่งคนไป
เห็นว่าในจวนไม่มีคน แม่นมเติ้งรู้สึกร้อนรนเป็นอย่างมาก พระชายาหายไปไหนกัน? จากนั้นนางก็เห็นชายหนุ่มที่ปิดหน้าปิดตาเดินเข้ามา นางระแวงขึ้นมาในทันที “เจ้าคือผู้ใด? เหตุใดจึงบุกรุกจวนนอกเมืองอ๋องสำเร็จราชการ?” ลั่วชิงยวนถอดผ้าคลุมหน้าออก พร้อมกล่าว “แม่นมเติ้ง ข้าเอง” ได้ยินเช่นนี้ แม่นมเติ้งชะงักทีหนึ่ง จากนั้นจึงเริ่มมองคนตรงหน้าอย่างตั้งใจ และกล่าวอย่างไม่น่าเชื่อ “พระชายา...หรือ?” ลั่วชิงยวนพยักหน้า แม่นมเติ้งหมุนร่างนางดูซ้ำไปซ้ำมาอย่างมิอยากจะเชื่อ “มิได้เจอเดือนหนึ่ง เหตุใดท่านจึงผอมลงเช่นนี้เล่าเจ้าคะ? ร่างกายของท่านเป็นอย่างไรบ้าง ได้รับการบาดเจ็บหนักอะไรหรือไม่เจ้าคะ?” แม่นมเติ้งรู้สึกเป็นห่วงมาก ลั่วชิงตอบยิ้ม ๆ “ไม่เป็นไร ร่างกายของข้าสบายดี” “ผอมลงเป็นเรื่องดี ท่านมิต้องกังวล” “ที่ท่านมาจวนนอกเมืองครั้งนี้ ท่านอ๋องเป็นคนสั่งหรือ?” แม่นมเติ้งเอ่ยตอบ “ซูโหยวให้บ่าวมา เขาให้มาดูว่าจวนนอกเมืองเป็นอย่างไรบ้าง น่าจะอยากให้บ่าวแอบเอาของมาให้พระชายาเจ้าค่ะ” ลั่วชิงยวนกระตุกยิ้มเย็น “ท่านอ๋องปล่อยให้ข้าเอาตัวรอดเอง ซูโหยวกล้าให้เจ้าแอบเอาของมาให้ข้างั้นรึ?” “พ
เฉียงเวยพยักหน้าอย่างตื่นเต้น “จริงเจ้าค่ะ ตอนนี้แม่นมเติ้งกำลังคุกเข่าอยู่นอกห้องตำราเพื่ออ้อนวอนท่านอ๋อง นางคงมิรู้ว่าท่านอ๋องมิอยู่ในตำหนัก!” ได้ยินดังนี้ ลั่วชิงยวนจึงรีบก้าวออกจากห้อง “ห้ามให้ท่านอ๋องรู้เรื่องนี้อย่างเด็ดขาด! ข้าจะทำให้ลั่วชิงยวนตายในจวนนอกเมือง เน่าเฟะและไม่มีคนมาเก็บศพให้!” ลั่วเยวี่ยอิงรู้สึกได้ใจเป็นอย่างมาก รอบนี้ใครจะช่วยลั่วชิงยวนได้อีก? ลั่วเยวี่ยอิงมาถึงนอกห้องตำราของฟู่เฉินหวน และเห็นแม่นมเติ้งที่กำลังขอร้องอ้อนวอน นางยิ้มยะเยือก “แม่บ้านเติ้ง พี่สาวข้าวางยาอันใดใส่เจ้ากัน เจ้าจึงขอร้องเพื่อนางเช่นนั้น” “น่าเสียดาย ท่านอ๋องเคยกล่าวว่าจะไม่สนใจความเป็นตายของท่านพี่อีกต่อไปแล้ว เจ้าอ้อนวอนไปก็มิมีประโยชน์” “หากทำท่านอ๋องกริ้ว ระวังตำแหน่งแม่บ้านของเจ้าจะหายเถอะ!” ลั่วเยวี่ยอิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม แต่คำพูดกลับเต็มไปด้วยการข่มขู่ นัยน์ตาของแม่นมเติ้งเผยแววผวา นางจึงลุกขึ้นและจากไปอย่างรีบร้อน ลั่วเยวี่ยอิงมองแผ่นหลังที่จากไปของแม่นมเติ้ง เผยยิ้มยะเยือก “ว่าแล้ว ทุกคนต่างเห็นแก่ตัว เมื่อมีสิ่งที่กระทบต่อผลประโยชน์ของตน ผู้ใดเล่าจักสนใจความเป็น
ฟู่เฉินหวนนวดขมับ ผ่อนเสียงลงพร้อมกล่าว “การฟื้นฟูใบหน้าเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? หากค่อนข้างดีแล้ว ก็...” ได้ยินประโยคนี้ ลั่วชิงยวนคุกเข่าลงมาดังตุ้บ และร้องไห้อย่างเศร้าโศกขึ้นมาทันที “ท่านอ๋องจักทรงไล่หม่อมฉันออกไปหรือเพคะ?” “หม่อมฉันผิดไปแล้ว เมื่อนั้นหม่อมฉันเพียงอารมณ์ร้อนจึงได้เอ่ยประโยคที่เสียมารยาทเช่นนั้นต่อท่านแม่ทัพฉิน หม่อมฉันมิได้ตั้งใจ! ท่านอ๋องอย่าโกรธเคืองหม่อมฉันเลยเพคะ” ท่าทีน่าสงสาร และน้ำเสียงสะอื้นของลั่วเยวี่ยอิง ทำฟู่เฉินหวนรู้สึกปวดหัวขึ้นมาในทันที อีกทั้งใจอ่อนด้วย เขาพยุงลั่วเยวี่ยอิงขึ้นมา “ข้าแค่กลัวการอยู่ในตำหนักต่อโดยไม่มีฐานะจะทำเจ้าอึดอัด” ได้ยินดังนี้ ลั่วเยวี่ยอิงฉงน แต่ในใจนางกลับรู้สึกดีใจ “ขอบพระทัยท่านอ๋องเพคะ วันพรุ่งหม่อมฉันจักไปชดใช้ขออภัยท่านแม่ทัพใหญ่ฉินที่จวน” ฟู่เฉินหวนคิดสักพัก จากนั้นกล่าวขมวดคิ้ว “มิจำเป็น แม่ทัพใหญ่ฉินเอ่ยวาจาเช่นนี้อยู่แล้ว เจ้าเพียงเจอตอนเขาอารมณ์ไม่ดีเข้าพอดี” “เพคะ” ลั่วเยวี่ยอิงก้มหน้ายิ้มอ่อน อย่างที่คิด เมื่อไม่มีลั่วชิงยวน ท่านอ๋องจะตามใจนางยิ่งกว่าเดิม! คิ้วของฟู่เฉินหวนกลับขมวดแน่น เหตุใดเมื่อลั
“ทว่าหากฝ่าบาทมีสิ่งใดที่กระหม่อมสามารถช่วยได้ ฉู่ลั่วจะมิปฏิเสธพ่ะย่ะค่ะ!”“ส่วนรายละเอียดเราค่อยพูดคุยกันภายหลัง”ฟู่จิ่งหานพยักหน้า แต่ก็พูดว่า “ท่านมิต้องการเป็นมหาปราชญ์ แต่ตำแหน่งนี้ ข้ายังคงสงวนไว้ให้เป็นของท่านเสมอ! นอกจากท่านก็ไม่มีใครเหมาะสมอีกแล้ว!”ลั่วชิงยวนมิได้เอ่ยคำใดอีกผู้คนต่างก็แยกย้ายกันไปลั่วชิงยวนถูกจักรพรรดิเรียกไปยังห้องตำราจักรพรรดิถามด้วยความร้อนรน “ท่านเซียนฉู่ ภัยพิบัติที่ท่านกล่าวว่าจะเริ่มเกิดขึ้นทางทิศใต้คือ... เมืองฉินใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนพยักหน้า “น่าจะเป็นเมืองฉินพ่ะย่ะค่ะ”เรื่องนี้นางได้บอกฟู่เฉินหวนแล้วเมื่อฟู่เฉินหวนที่เพิ่งเข้ามาในห้องตำราได้ยินดังนั้นก็ตกตะลึงเล็กน้อยลั่วชิงยวนก็บอกเขาเรื่องเมืองฉินเช่นกันทั้งสองทำนายว่าทางทิศใต้จะเกิดภัยพิบัติเหมือนกัน...นี่เป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่?“ดูเหมือนว่าตระกูลเหยียนจะยังมิยอมแพ้! ท่านเซียนฉู่ ภัยพิบัติครั้งนี้สามารถหลีกเลี่ยงได้หรือไม่?”ลั่วชิงยวนส่ายหน้า “ดูเหมือนว่าจะหลีกเลี่ยงมิได้พ่ะย่ะค่ะ”นี่เป็นครั้งที่สองที่นางทำนายเห็นได้ชัดว่ามีการส่งมือสังหารไปสังหารมหาราชาจารย์เหยีย
“คิดว่าคงเป็นเพราะท่านอาจารย์นักพรตเพิ่งมาถึงเมืองหลวง ยังมิได้มีโอกาสสืบเสาะหาชื่อเสียงของข้าในเมืองหลวง หากข้าเป็นเพียงผู้หลอกลวงต้มตุ๋น คงมีผู้คนตำหนิติเตียนข้าไปนานแล้ว”เมื่ออาจารย์นักพรตเสวียนซานได้ฟังดังนั้นก็ขมวดคิ้วดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจผิดเสียแล้วเมื่อมองดูฉู่ลั่วที่วางตัวอย่างสง่าผ่าเผยและแสดงท่าทีมั่นใจเช่นนี้ ก็รู้ว่าย่อมมีฝีมือที่แท้จริง มิใช่เพียงคนหลอกลวงพูดจาโอ้อวดครู่หนึ่งก็รู้สึกเสียใจที่มิได้สืบเสาะหาชื่อเสียงของฉู่ลั่วเสียก่อน“ที่แท้ข้าเข้าใจผิดไป ขออภัยต่อท่านเซียนฉู่ด้วย”“แต่ข้าเห็นว่าท่านเซียนฉู่มีฝีมือที่แท้จริง มิทราบว่าเรียนวิชาจากสำนักใด? เหตุใดจึงต้องใช้ชื่อของศิษย์เสวียนซานด้วยหรือ?”ลั่วชิงยวนยกยิ้มจาง แล้วกล่าวว่า “ไร้สำนักไร้พรรค”อาจารย์นักพรตเสวียนซานขมวดคิ้วแน่นด้วยความตกตะลึง แล้วกล่าวอย่างเสียดายว่า “ไร้สำนักไร้พรรค นั่นหมายความว่าเรียนวิชาลับใช่หรือไม่? ท่านเซียนฉู่ควรเข้ามาเป็นศิษย์ในสำนักเสวียนซาน วันนี้ได้พบกันโดยบังเอิญ ข้าปรารถนาจะรับท่านเป็นศิษย์เอก!”ผู้คนโดยรอบต่างตกตะลึง เมื่อครู่ยังหาเรื่อง บัดนี้กลับจะรับฉู่ลั่วเป็นศิษย์แล
ทุกคนต่างพากันเหลียวมองไปตามเสียงแล้วเห็นนักพรตผู้สง่างามก้าวเดินเข้ามาอย่างช้าๆรัศมีอันบริสุทธิ์ปราศจากมลทินของโลกมนุษย์แผ่พลังอำนาจอันน่าเกรงขามลั่วชิงยวนตกตะลึงเล็กน้อย เมื่อเห็นเครื่องหมายบนคอเสื้อของนักพรตแล้วพูดขึ้นว่า “อาจารย์นักพรตเสวียนซาน”เครื่องหมายบนเสื้อผ้าของศิษย์แต่ละระดับของสำนักเสวียนซานจะมีสีแตกต่างกันเครื่องหมายบนคอเสื้อของคนผู้นี้เป็นสีทอง มีเพียงอาจารย์นักพรตเสวียนซานเท่านั้นที่มีสิทธิ์สวมใส่สำนักเสวียนซานที่มีระดับสูงกว่าสีม่วง ล้วนเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ มิค่อยลงจากเขาใครกันที่สามารถเชิญอาจารย์นักพรตเสวียนซานมาที่นี่ได้อาจารย์นักพรตเสวียนซานฮึดฮัด “เจ้ารู้จักข้าบ้างก็ถือว่ายังดี!”“เจ้าดูมิเหมือนคนร้ายกาจ เหตุใดจึงแอบอ้างเป็นศิษย์ของสำนักข้า มาหลอกลวงในวังหลวงแคว้นเทียนเชวีย!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็เข้าใจทันทีนี่เป็นฝีมือของลั่วฉิงเหล่าขุนนางและข้าราชบริพารต่างตกตะลึง“หลอกลวงหรือ? คงมิใช่กระมัง?”“ความสามารถในการทำนายของท่านเซียนฉู่คงมิใช่ของปลอมกระมัง?”ผู้คนต่างเกิดความสงสัยจักรพรรดิกล่าวว่า “ท่านนักพรต ท่านพูดเช่นนั้นได้อย่างไร!”
ดีงูที่ทำให้ฝีมือของนางเพิ่มพูนขึ้นอย่างมากนั้น นางยังคงจำได้มิลืมเลือนน่าเสียดายที่ข้างกายซ่งเชียนฉู่มีคนผู้ทรงอานุภาพคอยคุ้มครอง นางจึงพยายามด้วยวิธีการต่างๆ แต่ก็ยังล้มเหลวการใช้ความสัมพันธ์ระหว่างฉู่ลั่วกับซ่งเชียนฉู่อาจจะประสบความสำเร็จ แต่ฉู่ลั่วกลับดื้อดึงมิยอมร่วมมือกับนาง!เมื่อมิสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ก็จำต้องทำลายเขาเสีย!ลั่วชิงยวนกลับไปยังลานหลังร้านซ่งเชียนฉู่ถามด้วยความสงสัยว่า “ท่านมิได้ไปแล้วหรอกหรือ? เหตุใดจึงกลับมาอีก?”ลั่วชิงยวนทำท่าให้เงียบแล้วพาส่งเฉียนฉู่กลับไปยังห้อง จากนั้นบอกเล่าเรื่องราวให้ฟังเมื่อซ่งเชียนฉู่ฟังจบก็รีบกล่าวว่า “ดูเหมือนว่านางผู้นี้จะมิปล่อยท่านไป หรือว่าท่านจะเข้าวังไปดำรงตำแหน่งมหาปราชญ์ เมื่อมีตำแหน่งนี้แล้ว นางก็จะต้องเกรงใจบ้าง”ลั่วชิงยวนไตร่ตรอง แล้วพูดว่า “มหาปราชญ์ อืม... ค่อยว่ากันอีกที”จนกระทั่งล่วงเข้ายามดึก เมื่อแน่ใจแล้วว่าลั่วฉิงจากไปแล้ว ลั่วชิงยวนจึงกลับตำหนักอ๋องอย่างเงียบเชียบเมื่อกลับแล้วก็ถูกหล่างมู่ขวางทาง “พี่หญิง ท่านไปที่ใดมาขอรับ? ฟู่เฉินหวนมาหาท่านตอนค่ำ”“แล้วเจ้าบอกเขาว่าอย่างไร?”“ข้าบอกว่าพ
ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วมองหล่างมู่อย่างช่วยมิได้“หล่างมู่ เจ้ากลับไปก่อนเถิด ข้าจะไปทำธุระก่อน” ลั่วชิงยวนหันหลังวิ่งไปหล่างมู่ถือลูกถังหูลู่สองไม้วิ่งตามไปสองสามก้าว “พี่หญิง ท่านจะไปที่ใด? ไฉนมิพาข้าไปด้วยเล่า?”ลั่วชิงยวนมิได้ใส่ใจ รีบวิ่งออกจากถนนไปแล้วเมื่อไปเปลี่ยนอาภรณ์ที่หอฝูเสวี่ยแล้ว นางจึงไปที่ร้านอย่างเงียบเชียบเมื่อไปถึงลานด้านหลังก็พบกับซ่งเชียนฉู่ที่กำลังแบกตะกร้ากลับมาจากประตูหน้า ท่าทางดูรีบร้อนนัก“ท่านมาพอดี ท่านเห็นประกาศบนถนนหรือไม่? องค์จักรพรรดิจะเชิญท่านเข้าวังเพื่อแต่งตั้งท่านเป็นมหาปราชญ์!” ซ่งเชียนฉู่ส่งประกาศให้“นี่เป็นประกาศที่ติดอยู่ที่ประตูร้านเรา”“มิกี่วันที่ผ่านมา ข้าออกไปเก็บสมุนไพร พวกเขาคงจะมาหาท่าน แต่ไม่มีใครอยู่จึงติดประกาศไว้”“จะทำอย่างไรดี?”ซ่งเชียนฉู่ก็ตกตะลึงเช่นกันลั่วชิงยวนรับประกาศมาดูอีกครั้ง ในนั้นยังเขียนด้วยว่าให้นางเข้าวังหลวงเพื่อทำนายชะตาของแคว้นเทียนเชวียแล้วแต่งตั้งเป็นมหาปราชญ์ซ่งเชียนฉู่ถอนหายใจ “ข้าคิดว่าครั้งนี้ ตัวตนของท่านคงจะปกปิดมิได้แล้ว”“คอยดูกันต่อไปเถิด” ลั่วชิงยวนยังมิรู้ว่าจะบอกฟู่เฉินหวนอย่างไร
น้ำเสียงของฟู่เฉินหวนนั้นบ่งบอกชัดเจนว่ากำลังหึงหวงอยู่ลั่วชิงยวนปอกส้มแล้วป้อนให้ฟู่เฉินหวนพลางพูดอย่างอารมณ์ดีว่า “หล่างมู่มองหม่อมฉันเป็นเพียงพี่หญิงจริง ๆ เพคะ”“เขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับพี่หญิงมาตั้งแต่เด็ก แต่พี่หญิงของเขาเสียชีวิตเพราะเขา จึงเป็นบ่วงกรรมและความเสียใจตลอดชีวิตของเขา”“ต่อมาหล่างชิ่นกลายเป็นพี่หญิงของเขา เขาเชื่อฟังหล่างชิ่นทุกอย่าง แต่สุดท้ายหล่างชิ่นกลับต้องการให้เขาตาย”“หลังจากนั้นเมื่อหม่อมฉันไปยังเผ่านอกด่าน ราชาเผ่านอกด่านบอกว่าหม่อมฉันเป็นพี่หญิงของเขา ดังนั้นเขาจึงมองหม่อมฉันเป็นพี่หญิงแท้ ๆ มาโดยตลอด”เมื่อฟู่เฉินหวนได้ยินเช่นนั้นก็สงสัยยิ่งนัก “พูดตามตรงคือข้ายังคงมิเข้าใจเลยว่าเหตุใดราชาเผ่านอกด่านจึงมั่นใจว่าเจ้าเป็นลูกสาวของเขา”ลั่วชิงยวนพูดเสียงเบาว่า “ราชาเผ่านอกด่านกับลั่วไห่ผิงมีใบหน้าเหมือนกันราวกับแกะ! พวกเขาเป็นพี่น้องกันเพคะ!”“ก่อนที่ท่านแม่ของหม่อมฉันจะมาเมืองหลวงแล้วแต่งงานกับลั่วไห่ผิง นางเคยมีความสัมพันธ์กับราชาเผ่านอกด่าน แต่สุดท้ายก็มิได้ลงเอยกันจึงมาเมืองหลวงและแต่งงานกับลั่วไห่ผิงเพคะ”ฟู่เฉินหวนตกตะลึงยิ่งนักเมื่อได้ฟัง“
หล่างมู่ชกเข้าที่ใบหน้าของฟู่เฉินหวนจนฟู่เฉินหวนถอยหลังไปหลายก้าวหล่างมู่แสดงสีหน้าโกรธแค้น “ข้าขอเตือนท่านเลยว่าถ้าท่านทำเช่นนี้กับพี่หญิงของข้าอีก ข้าจะฆ่าท่านเสีย!”ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้วพลางเช็ดเลือดที่มุมปาก “ลั่วชิงยวนอยู่ที่ใด ข้าจะพบกับนาง”“นางอยู่ที่ใด แล้วท่านเกี่ยวอะไรด้วย!” หล่างมู่แสดงสีหน้ามิพอใจ เขายังคงจำได้ว่าในวันคล้ายวันพระราชสมภพของจักรพรรดิ อ๋องผู้สำเร็จราชการยินดีที่จะมอบลั่วชิงยวนให้เขาชายคนนี้ช่างน่ารังเกียจ!เขามิเข้าใจว่าเหตุใดพี่หญิงจึงยังคงอยู่กับชายผู้นี้วันนี้กลับนิ่งเฉยมองดูคนอื่นทำร้ายพี่หญิงอย่างมิแยแสอีก!หล่างมู่มิพอใจอย่างยิ่งเมื่อทั้งสองสบตากัน ความเป็นปรปักษ์ก็ปะทุขึ้นบรรยากาศตึงเครียด ในวินาทีต่อมาดูเหมือนว่าจะต้องต่อสู้กันแน่แล้วลั่วชิงยวนเพิ่งเข้ามาในลานก็เห็นเหตุการณ์นี้ จึงรีบเข้าไปขวางไว้“พวกท่านกำลังทำอะไรกัน!”“แค่ก แค่ก แค่ก...” เมื่อนางร้อนใจก็กุมอกด้วยความเจ็บปวดสีหน้าของทั้งสองเปลี่ยนไปอย่างมากแล้วเข้าไปพยุงนางพร้อมกัน ลั่วชิงยวนปัดมือของทั้งสองออก แล้วหันไปมองหล่างมู่ “พี่บอกเจ้าว่าอย่างไร!”ความโกรธของหล่างมู่หา
ฟู่จิ่งหานมิได้ใส่ใจเรื่องนี้ แต่กลับรู้สึกผิดเล็กน้อยที่พระราชโองการนั้นทำให้ลั่วชิงยวนได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ จึงพูดว่า “มิเป็นอะไร การประลองครั้งนี้ก็มิได้ห้ามมิให้แคว้นเพื่อนเรือนเคียงเข้าร่วม”“พระชายาอ๋องผู้สำเร็จราชการสามารถเอาชนะองค์ชายเผ่านอกด่าน แล้วยกให้เป็นน้องชายได้ นับว่าความสามารถเป็นที่ประจักษ์แก่ข้าแล้ว!”“พระชายามีบาดแผล อนุญาตให้พระชายาและองค์ชายหล่างมู่ออกไปก่อนได้”ลั่วชิงยวนก้มหน้าลงเล็กน้อย “ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ”แล้วหล่างมู่ก็พยุงลั่วชิงยวนออกไปเนื่องจากหอฝูเสวี่ยอยู่มิไกลและสามารถมองเห็นการประลองจากชั้นสามได้ ลั่วชิงยวนจึงพาหล่างมู่ไปพักผ่อนที่หอฝูเสวี่ยก่อนซิ่งอวี่ต้มยามาให้นางกินลั่วชิงยวนนั่งข้างหน้าต่าง มองดูการประลองที่ยังคงดำเนินต่อไป เมื่อเห็นฟู่อวิ๋นโจวเอาชนะทุกคนได้ นางก็รู้ว่าเขากำลังจะเข้าสู่ราชสำนักแล้ว“พี่หญิง ยังเจ็บบาดแผลอยู่หรือไม่ขอรับ?” หล่างมู่ยกชามาให้หนึ่งถ้วยลั่วชิงยวนส่ายหน้า “มิเป็นอะไรแล้ว บาดแผลมิสาหัส พักสักสองสามวันก็หาย”“หล่างมู่ เจ้ามาเมืองหลวงได้อย่างไร? ในเผ่านอกด่านเกิดเรื่องใหญ่อันใดหรือไม่? รีบร้อนมาเช่นนี้เลยหรือ?
ฟู่อวิ๋นโจว!หล่างมู่กำหมัดแน่น แล้วกระโจนเข้าไปอีกครั้งผู้คนมากมายต่างเป็นห่วงฟู่อวิ๋นโจว หล่างมู่เป็นคนเผ่านอกด่าน ฝีมือของเขาเป็นที่ประจักษ์ของทุกคนแล้วร่างกายที่อ่อนแอของฟู่อวิ๋นโจวจะรับมือได้อย่างไรแต่ลั่วชิงยวนรู้ดีว่าเวลาที่ฟู่อวิ๋นโจวปรากฏตัวนั้นเหมาะสม นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดสำหรับเขาที่จะแสดงความสามารถฟู่อวิ๋นโจวรับหมัดของหล่างมู่ได้อย่างแน่นอนจากนั้นทั้งสองก็ต่อสู้กันอย่างดุเดือดหลายสิบกระบวนท่าทำให้ผู้คนในที่นั้นต่างตกตะลึง“นี่คือองค์ชายห้าหรือ?”“ฝีมือของเขาแข็งแกร่งเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด?”“ใช่แล้ว มิใช่ว่าเขาป่วยอยู่หรอกหรือ?”ขณะที่ผู้คนต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ ฟู่อวิ๋นโจวก็พบจุดอ่อนของหล่างมู่แล้ว จึงเหวี่ยงหล่างมู่ลงไปกับพื้น แล้วชกเข้าที่ใบหน้าของหล่างมู่ลั่วชิงยวนรีบวิ่งเข้าไปห้าม “หยุดนะ!”ฟู่อวิ๋นโจวสะดุ้งแล้วลดมือลงหล่างมู่ลุกขึ้นยืนและกำลังจะตอบโต้ แต่ถูกลั่วชิงยวนดึงไว้“หล่างมู่แพ้แล้ว” ลั่วชิงยวนประกาศผลทันทีสายตาของนางมองฟู่อวิ๋นโจวด้วยอารมณ์ซับซ้อน “ขอแสดงความยินดีกับองค์ชายห้าเพคะ”เขายังคงมิได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระและเรียบง่าย แต่กลั