นั่นคือเสียงของฟู่เฉินหวน! ฟู่เฉินหวนมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? นางชักขาเดินหนีทันที เบื้องหลัง ฟู่เฉินหวนก็เดินถึงหน้าประตู เมื่อเห็นแผ่นหลังลับ ๆ ล่อ ๆ ของนาง จึงดุเสียงเย็น “รอเดี๋ยว!” “เจ้าเป็นใครกัน?” เสียงของฟู่เฉินหวนเยือกเย็น บัดนี้แม่นมเดินออกมา คำนับฟู่เฉินหวนพร้อมกล่าว “ท่านผู้นี้คือท่านเซียนฉู่ที่เชิญมาคืนนี้เพคะ” ลั่วชิงยวนหันหลังให้พวกเขา และมิได้หันหน้ากลับไป ฟู่เฉินหวนประเมินนางพร้อมกับขมวดคิ้ว ฟู่จิ่งหานก้าวขาเดินเข้าห้อง “ท่านเซียนฉู่ว่าอย่างไร?” แม่นมจึงเอ่ยตอบ ลั่วชิงยวนเห็นว่าพวกเขามิได้คิดจะซักถามนางต่อ ก็รู้สึกโล่งอกและสับขาเดินออกไปอย่างร้อนรน ฟู่เฉินหวนปรากฏตัวที่นี่ ฮูหยินท่านนี้ต้องมิธรรมดาแน่! มิคิดว่างานใหญ่งานแรกที่รับหลังกลับเมืองหลวงของนาง จะเกี่ยวข้องกับฟู่เฉินหวนได้ นางเดินไปเรือนรองอย่างรวดเร็ว ซ่งเชียนฉู่และจือเฉ่าทั้งคู่ต่างกำลังรอนางอยู่ “เป็นอย่างไรบ้าง?” พวกนางลุกขึ้นเอ่ยถาม ลั่วชิงยวนสรุปอาการของฮูหยินท่านนั้นให้ฟัง “ข้าเห็นบริเวณหน้าท้องของหญิงสาวมีควันทมิฬโอบล้อม แต่บนร่างกลับมิมีไอชั่วร้าย ข้าคิดว่านางน่าจะติดพิษ
ทุกครั้งที่เห็นสีหน้าเช่นนี้ของพระชายา จือเฉ่ามักรู้สึกสันหลังเย็บวูบวาบ นางเอ่ยถามอย่างอดมิได้ “พระชายา เข็มนำทางคือสิ่งใดหรือ?” “สิ่งที่ทำร้ายฮูหยินท่านนั้นหรือเจ้าคะ?” ลั่วชิงยวนพยักหน้า จากนั้นวางเข็มลงพร้อมกล่าว “เอาผ้าคลุมหน้าให้ข้า” จือเฉ่าหยิบผ้าคลุมหน้าออกมา ลั่วชิงยวนใส่ปิดหน้าทันที นางหยิบของและกลับเข้าใปในห้อง เพียงแต่ซ่งเชียนฉู่ได้ให้ฟู่เฉินหวนและฟู่จิ่งหานออกไปล่วงหน้าแล้ว บัดนี้ทั้งคู่นั่งอยู่หลังฉากกั้น ระยะมิใกล้กันแต่นิด ทิศทางที่พวกเขานั่งก็มองมิเห็นใบหน้าของลั่วชิงยวน “เป็นอย่างไรบ้าง?” ลั่วชิงยวนเอ่ยถาม ซ่งเชียนฉู่พยักหน้า “อย่างที่ท่านคาดคิด ฮูหยินท่านนี้ติดพิษ และฝังไว้ลึกมาก น่าจะติดจากการสูดกลิ่นธูปเมื่อนางไปสวดมนต์ไหว้พระ พิษมิได้ร้ายแรงนัก มิถึงแก่ชีวิต เพียงแค่ส่งผลต่อสติของนาง” “แต่สำหรับหญิงสาวมีครรภ์ กลับส่งผลกระทบรุนแรงยิ่ง” ฮูหยินที่พิงอยู่บนหมอนหน้าถอดสี “เช่นนี้ท่านหมอมีวิธีรักษาหรือไม่?” ซ่งเชียนฉู่ไตร่ตรองและกล่าว “วิธีรักษาย่อมมี แต่อาจมิได้รักษาถึงต้นตอ ต้องดูว่าด้านท่านเซียนฉู่พบสิ่งใดหรือไม่” ลั่วชิงยวนจึงหยิบสิ่งของเหล่านั
“ในเมื่อท่านหมอเทวดามีเครื่องยาสมุนไพร เช่นนั้นก็ใช้เครื่องยาของท่านหมอเถิด เงินมิสำคัญ มิว่าเท่าไรข้าก็ให้ได้!” ฟู่จิ่งหานเดินออกมาโดยไคว้มือไว้ด้านหลัง ฟู่เฉินหวนเองก็เดินออกมาเช่นกัน ลั่วชิงยวนหันหน้าไปมอง ทันทีที่สบตากับฟู่เฉินหวน นางก็หลบตาในทันที แต่สายตาของฟู่เฉินหวนกลับตกอยู่ที่นางตั้งแต่ต้นจนจบ เขามักรู้สึกว่าท่าทีของคนตรงหน้าช่างคุ้นเคย แม้กระทั่งเสียงเขายังรู้สึกค่อนข้างคุ้นหู แต่หุ่นของคนตรงหน้า กลับไม่เหมือนโดยสิ้นเชิง “เหตุใดท่านเซียนฉู่จึงปิดหน้าหรือ?” เสียงเยือกเย็นของฟู่เฉินหวนดังขึ้น และแฝงไปด้วยการหยั่งเชิง ลั่วชิงยวนตอบอย่างสงบ “ข้าป่วย ร่างกายของท่านฮูหยินอ่อนแอ ข้ากลัวว่าจะเผลอแพร่ไปให้ท่านเข้า” มองดูสายตาของฟู่เฉินหวนที่ค่อนข้างแปลกตา ลั่วชิงยวนคิดว่าเขาน่าจะดูไม่ออก เพราะนางใช้โสมเก้าบุษบันอมตะปรับสมดุลกายามาหนึ่งเดือน พิษในร่างนางเริ่มถูกขับออกไปแล้ว จากร่างที่อ้วนท้วมราวกับสุกร บัดนี้กลายเป็นเพียงแค่ร่างอวบ ๆ หุ่นเช่นนี้จะปรากฏบนร่างชายหนุ่มก็มิใช่เรื่องแปลก ดังนั้นฟู่เฉินหวนไม่มีทางเชื่อมโยงนางกับลั่วชิงยวนแน่ “โอสถของพวกข้านอกจากค่าเคร
นี่ยังคงเป็นแผ่นดินของตระกูลฟู่หรือ? เหมือนเป็นแผ่นดินของตระกูลเหยียนเสียมากกว่า! ฟู่เฉินหวนกลับมองเขาอย่างจริงจังพร้อมกล่าว “หากเจ้าไม่อยากถูกพวกเขาควบคุมไปตลอด เช่นนั้นเด็กคนนี้ มิว่าอย่างไรเจ้าก็ต้องปกป้องเอาไว้ให้ได้ หากเป็นองค์ชาย ก็ให้เติบโตในฐานะองค์ชายเอก อนาคตพระสนมซีจึงจะมีโอกาสแย่งชิงตำแหน่งฮองเฮา” “หากฮองเฮาของเจ้าเป็นลูกสาวของตระกูลเหยียน เช่นนั้นเจ้าคงถูกตระกูลเหยียนควบคุมไปตลอดชีวิต”คำพูดของฟู่เฉินหวน ทำให้ฟู่จิ่งหานรับรู้ถึงความอันตราย แต่ก็กลับถูกความกดดันเช่นนี้กดไว้เสียจนจะหายใจไม่ออก เขาดึงแขนเสื้อฟู่เฉินหวนไว้ “เสด็จพี่สาม ตอนนี้ข้าทำได้เพียงพึ่งเสด็จพี่แล้ว ข้าไม่มีแผนการ คงต้องให้เสด็จพี่ช่วยข้าคิดแล้ว” ...... เมื่อผ่านยามจื่อ(1) ประตูเมืองปิดลง แม่นมจึงส่งพวกนางไปพักในโรงเตี๊ยม จ่ายค่าห้องพักให้พวกนาง และสั่งอาหารน้ำเหล้าเรียบร้อย พร้อมทิ้งท้ายว่าพรุ่งนี้เวลาเที่ยงตรงจะมารับพวกนางเข้าเมือง แม้ว่าแม่นมจะจองไว้ให้พวกนางสามห้อง แต่ทั้งสามกลับนอนห้องเดียวกัน จือเฉ่าไปขอน้ำร้อนที่หลังครัว ทั้งสามนั่งแช่เท้าอยู่ในห้อง ร่างกายของพวกนางอบอุ่นขึ้น
วินาทีนั้นหัวใจของลั่วชิงยวนสั่นคลอน แต่นางมิได้หันหลังกลับ และเดินหน้าต่อโดยไม่สนใจ ผู้อยู่เบื้องหลังส่งเสียงเรียกนางอีกครั้ง “ท่านเซียนฉู่” ลั่วชิงยวนจึงหยุดฝีเท้าลงและหันร่าง “ท่านเซียนฉู่มาจากเมืองเปี้ยนเหอหรือ? เช่นนั้นรู้จักลั่วชิงยวนหรือไม่” ฟู่เฉินหวนถามหยั่งเชิง ก่อนหน้านี้ท่านเซียนฉู่มิเคยปรากฏตัวมาก่อน เมื่อองค์จักรพรรดิพูดถึงเรื่องพระสนมซี เขาคิดถึงลั่วชิงยวนเป็นคนแรกเลย แต่ยังมิทันที่เขาจะเอ่ยถึงลั่วชิงยวน องค์จักรพรรดิก็ตามหาท่านเซียนฉู่มาเสียก่อน “มิรู้จักขอรับ” ลั่วชิงยวนตอบอย่างมารยาท “ท่านยังมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่?” ดวงตาลึกซึ้งของฟู่เฉินหวนประเมินนาง “ไม่มีแล้ว” ลั่วชิงยวนก้มหน้าเล็กน้อย จากนั้นหันร่างจากไปพร้อมกับซ่งเชียนฉู่ ฟู่เฉินหวนมองแผ่นหลังที่จากไป ยิ่งมองยิ่งรู้สึกไม่เหมือน ดูท่าจะมิเกี่ยวข้องกับลั่วชิงยวน เมื่อคิดถึงลั่วชิงยวน ฟู่เฉินหวนจึงก้าวขาจากไป และกลับไปยังตำหนักอ๋อง “ซูโหยว” ซูโหยวรีบเดินเข้ามา “ท่านอ๋อง” “ที่จวนนอกเมือง ช่วงนี้มีท่าทีใดหรือไม่?” ฟู่เฉินหวนถามเสียงเย็น ซูโหยวชะงักเล็กน้อย พร้อมขานตอบ “กระหม่อมส่งคนไป
เห็นว่าในจวนไม่มีคน แม่นมเติ้งรู้สึกร้อนรนเป็นอย่างมาก พระชายาหายไปไหนกัน? จากนั้นนางก็เห็นชายหนุ่มที่ปิดหน้าปิดตาเดินเข้ามา นางระแวงขึ้นมาในทันที “เจ้าคือผู้ใด? เหตุใดจึงบุกรุกจวนนอกเมืองอ๋องสำเร็จราชการ?” ลั่วชิงยวนถอดผ้าคลุมหน้าออก พร้อมกล่าว “แม่นมเติ้ง ข้าเอง” ได้ยินเช่นนี้ แม่นมเติ้งชะงักทีหนึ่ง จากนั้นจึงเริ่มมองคนตรงหน้าอย่างตั้งใจ และกล่าวอย่างไม่น่าเชื่อ “พระชายา...หรือ?” ลั่วชิงยวนพยักหน้า แม่นมเติ้งหมุนร่างนางดูซ้ำไปซ้ำมาอย่างมิอยากจะเชื่อ “มิได้เจอเดือนหนึ่ง เหตุใดท่านจึงผอมลงเช่นนี้เล่าเจ้าคะ? ร่างกายของท่านเป็นอย่างไรบ้าง ได้รับการบาดเจ็บหนักอะไรหรือไม่เจ้าคะ?” แม่นมเติ้งรู้สึกเป็นห่วงมาก ลั่วชิงตอบยิ้ม ๆ “ไม่เป็นไร ร่างกายของข้าสบายดี” “ผอมลงเป็นเรื่องดี ท่านมิต้องกังวล” “ที่ท่านมาจวนนอกเมืองครั้งนี้ ท่านอ๋องเป็นคนสั่งหรือ?” แม่นมเติ้งเอ่ยตอบ “ซูโหยวให้บ่าวมา เขาให้มาดูว่าจวนนอกเมืองเป็นอย่างไรบ้าง น่าจะอยากให้บ่าวแอบเอาของมาให้พระชายาเจ้าค่ะ” ลั่วชิงยวนกระตุกยิ้มเย็น “ท่านอ๋องปล่อยให้ข้าเอาตัวรอดเอง ซูโหยวกล้าให้เจ้าแอบเอาของมาให้ข้างั้นรึ?” “พ
เฉียงเวยพยักหน้าอย่างตื่นเต้น “จริงเจ้าค่ะ ตอนนี้แม่นมเติ้งกำลังคุกเข่าอยู่นอกห้องตำราเพื่ออ้อนวอนท่านอ๋อง นางคงมิรู้ว่าท่านอ๋องมิอยู่ในตำหนัก!” ได้ยินดังนี้ ลั่วชิงยวนจึงรีบก้าวออกจากห้อง “ห้ามให้ท่านอ๋องรู้เรื่องนี้อย่างเด็ดขาด! ข้าจะทำให้ลั่วชิงยวนตายในจวนนอกเมือง เน่าเฟะและไม่มีคนมาเก็บศพให้!” ลั่วเยวี่ยอิงรู้สึกได้ใจเป็นอย่างมาก รอบนี้ใครจะช่วยลั่วชิงยวนได้อีก? ลั่วเยวี่ยอิงมาถึงนอกห้องตำราของฟู่เฉินหวน และเห็นแม่นมเติ้งที่กำลังขอร้องอ้อนวอน นางยิ้มยะเยือก “แม่บ้านเติ้ง พี่สาวข้าวางยาอันใดใส่เจ้ากัน เจ้าจึงขอร้องเพื่อนางเช่นนั้น” “น่าเสียดาย ท่านอ๋องเคยกล่าวว่าจะไม่สนใจความเป็นตายของท่านพี่อีกต่อไปแล้ว เจ้าอ้อนวอนไปก็มิมีประโยชน์” “หากทำท่านอ๋องกริ้ว ระวังตำแหน่งแม่บ้านของเจ้าจะหายเถอะ!” ลั่วเยวี่ยอิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม แต่คำพูดกลับเต็มไปด้วยการข่มขู่ นัยน์ตาของแม่นมเติ้งเผยแววผวา นางจึงลุกขึ้นและจากไปอย่างรีบร้อน ลั่วเยวี่ยอิงมองแผ่นหลังที่จากไปของแม่นมเติ้ง เผยยิ้มยะเยือก “ว่าแล้ว ทุกคนต่างเห็นแก่ตัว เมื่อมีสิ่งที่กระทบต่อผลประโยชน์ของตน ผู้ใดเล่าจักสนใจความเป็น
ฟู่เฉินหวนนวดขมับ ผ่อนเสียงลงพร้อมกล่าว “การฟื้นฟูใบหน้าเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? หากค่อนข้างดีแล้ว ก็...” ได้ยินประโยคนี้ ลั่วชิงยวนคุกเข่าลงมาดังตุ้บ และร้องไห้อย่างเศร้าโศกขึ้นมาทันที “ท่านอ๋องจักทรงไล่หม่อมฉันออกไปหรือเพคะ?” “หม่อมฉันผิดไปแล้ว เมื่อนั้นหม่อมฉันเพียงอารมณ์ร้อนจึงได้เอ่ยประโยคที่เสียมารยาทเช่นนั้นต่อท่านแม่ทัพฉิน หม่อมฉันมิได้ตั้งใจ! ท่านอ๋องอย่าโกรธเคืองหม่อมฉันเลยเพคะ” ท่าทีน่าสงสาร และน้ำเสียงสะอื้นของลั่วเยวี่ยอิง ทำฟู่เฉินหวนรู้สึกปวดหัวขึ้นมาในทันที อีกทั้งใจอ่อนด้วย เขาพยุงลั่วเยวี่ยอิงขึ้นมา “ข้าแค่กลัวการอยู่ในตำหนักต่อโดยไม่มีฐานะจะทำเจ้าอึดอัด” ได้ยินดังนี้ ลั่วเยวี่ยอิงฉงน แต่ในใจนางกลับรู้สึกดีใจ “ขอบพระทัยท่านอ๋องเพคะ วันพรุ่งหม่อมฉันจักไปชดใช้ขออภัยท่านแม่ทัพใหญ่ฉินที่จวน” ฟู่เฉินหวนคิดสักพัก จากนั้นกล่าวขมวดคิ้ว “มิจำเป็น แม่ทัพใหญ่ฉินเอ่ยวาจาเช่นนี้อยู่แล้ว เจ้าเพียงเจอตอนเขาอารมณ์ไม่ดีเข้าพอดี” “เพคะ” ลั่วเยวี่ยอิงก้มหน้ายิ้มอ่อน อย่างที่คิด เมื่อไม่มีลั่วชิงยวน ท่านอ๋องจะตามใจนางยิ่งกว่าเดิม! คิ้วของฟู่เฉินหวนกลับขมวดแน่น เหตุใดเมื่อลั
เหตุใดแคว้นหลีจึงส่งกองทัพมากะทันหันฟู่อวิ๋นโจวเอ่ยถาม “ท่านมหาปราชญ์ ท่านเชี่ยวชาญด้านนี้ พอจะทำนายผลลัพธ์ได้หรือไม่?”“ควรจะรับมืออย่างไร”ขุนนางทั้งหลายต่างมองไปที่ลั่วฉิง ลั่วฉิงไม่มีทางเลือก จึงได้แต่กัดฟันกล่าวว่า “เรื่องนี้... ทำนายได้ แต่หม่อมฉันต้องการเวลาเพคะ”ฟู่อวิ๋นโจวมีสีหน้ากังวล และถามว่า “ท่านมหาปราชญ์ต้องการเวลานานเพียงใด?”ลั่วฉิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงกล่าวว่า “สามวันเพคะ!”สิ้นคำพูดของนาง หลายคนก็แสดงความมิพอใจ“สามวันหรือ? ซีหลิงอยู่ห่างจากเมืองหลวงราวพันลี้ สามวันกว่าจะบอกผลลัพธ์ จะทันการณ์ได้อย่างไร”“ก่อนหน้านี้พระชายาอ๋องผู้สำเร็จราชการก็มิได้ใช้เวลานานถึงเพียงนั้น”“ใช่ ท่านมหาปราชญ์คงจะมิค่อยมีความสามารถมากถึงเพียงนั้นกระมัง”คำพูดนี้ทำให้ลั่วฉิงหน้าซีดเผือด“สองวัน อย่างเร็วที่สุดก็ต้องสองวัน!” ลั่วฉิงกัดฟันกล่าวในตอนนี้ ฟู่เฉินหวนกล่าวอย่างใจเย็น “แคว้นหลีส่งกองทัพมาโดยมิทราบสาเหตุ ข้าคิดว่าตอนนี้ควรส่งคนไปเจรจากับแคว้นหลีโดยด่วน”“ระหว่างนั้นก็ส่งกองกำลังไปเสริมอย่างลับ ๆ ด้วย อย่าได้พึ่งพาแต่ผลการทำนายของท่านมหาปราชญ์”“หากผลลัพธ์ออกมาแล้ว
เมื่อเฉินชีได้ยินดังนั้นก็หยุดชะงักแล้วยกยิ้มมุมปาก เดินมาที่หน้าต่าง พิงกำแพงพลางกอดอก “เจ้าจะให้ข้าช่วยเจ้าในฐานะที่เจ้าเป็นใคร?”ลั่วชิงยวนมองเขาด้วยสายตาเย็นชา “นักบวชระดับสูง”ดวงตาของเฉินชีลุกโชนด้วยประกายร้อนแรง “อาเหลา ในที่สุดเจ้าก็ตัดสินใจจะไปกับข้าแล้วหรือ?”ลั่วชิงยวนมองเขาด้วยสายตาเย็นชาและเย่อหยิ่ง “กลับแคว้นหลีก็ได้ ข้าบอกแล้วว่าให้เจ้าช่วยข้าเรื่องหนึ่ง”“แคว้นหลีจะมีนักบวชระดับสูงได้เพียงผู้เดียวเท่านั้น”เฉินชียกยิ้มมุมปากแล้วหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนจะคุกเข่าลงข้างหนึ่งอย่างนอบน้อม “อย่าว่าแต่เรื่องเดียวเลย สิบเรื่อง ร้อยเรื่อง เฉินชีก็ยินดีทำเพื่อนักบวชระดับสูงทั้งสิ้น!”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองเขาด้วยแววตาที่ลึกล้ำถึงแม้เฉินชีจะบ้าแต่ก็มิใช้คนโง่เขลา เขาทำอะไรตามอำเภอใจแต่ก็คงมิยอมสยบต่อนางง่าย ๆ เช่นนี้การเปลี่ยนท่าทีเช่นนี้ทำให้นางมิค่อยเชื่อถือ“เจ้าฟังเรื่องที่ข้าจะให้เจ้าทำก่อนค่อยตอบรับก็ยังมิสาย”เฉินชีลุกขึ้นมองนางด้วยแววตาเป็นประกาย “ท่านนักบวชต้องการให้ข้าทำสิ่งใด?”“ข้าต้องการให้เจ้ายกทัพไปตีซีหลิง”“แต่ห้ามสู้รบกันจริง ๆ ห้ามทำร้ายราษฎร”เฉ
ใจของลั่วชิงยวนร้อนรุ่มดั่งไฟสุม นางพยายามดิ้นรนสุดแรง “ปล่อยข้านะ!”“ฟู่เฉินหวน ท่านช่างไร้หัวใจอะไรเยี่ยงนี้!”ทว่าฟู่เฉินหวนยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย มิสะทกสะท้านแม้แต่น้อยเมื่อเห็นแม่นมเติ้งใกล้จะทนมิไหวแล้ว น้ำตาลั่วชิงยวนก็เอ่อคลอ“หม่อมฉันจะมิออกจากเรือนแล้ว หม่อมฉันจะมิออกจากห้องแล้ว ได้หรือไม่!”นางมองฟู่เฉินหวนด้วยดวงตาแดงก่ำ พยายามวิงวอนขอร้องในที่สุดนางก็ยอมก้มหน้าลง“ขอท่านไว้ชีวิตนางด้วยเถิดเพคะ!” ลั่วชิงยวนคุกเข่าลงอย่างอ่อนแรงแววตาฟู่เฉินหวนมืดมนเดิมทีลั่วชิงยวนคิดว่าเมื่อนางขอร้องแล้ว ฟู่เฉินหวนคงจะไว้ชีวิตแม่นมเติ้งแต่ฟู่เฉินหวนกลับมีแววตาเย็นชา “นางเป็นบ่าวของตำหนัก มิใช่บ่าวของเจ้า นางขัดคำสั่งข้า สำหรับข้าแล้ว ไม่มีคำว่ายกโทษ”น้ำเสียงเย็นเยียบของเขาเป็นดั่งหนามแหลมทิ่มแทงหัวใจของลั่วชิงยวนลั่วชิงยวนตกตะลึงนางโกรธจนตะโกนลั่น “ฟู่เฉินหวน!”ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้ว นัยน์ตาฉายแววหงุดหงิดขณะกล่าวเสียงเย็น “พาตัวนางไป”องครักษ์จับตัวลั่วชิงยวนแล้วลากออกไปฟู่เฉินหวนมองนางเป็นครั้งสุดท้ายด้วยสายตาเย็นชา “หากเจ้ายังท้าทายข้าอีก จะต้องมีคนตายมา่กกว่านี้แน่”แ
ครั้นลั่วชิงยวนถูกพากลับมายังเรือนพวกองครักษ์ก็ปล่อยตัวนาง นางจึงทรุดกายลงคุกเข่ากับพื้นด้วยความอ่อนล้า“พระชายา! พระชายา!”จือเฉารีบรุดเข้ามาประคอง แต่พลั้งมือไปโดนแขนนางเข้า จึงสะดุ้งโหยงรีบชักมือกลับ “พระชายา แขนของท่าน...”ลั่วชิงยวนยันกายลุกขึ้นโดยอาศัยจือเฉาพยุงเดินเข้าห้องไปอย่างเชื่องช้าเมื่อนั่งลงบนเก้าอี้ นางก็จับแขนข้างที่หักนั้นไว้พลางกัดฟันแน่นก่อนจะออกแรงดันกระดูกให้เข้าที่ความเจ็บปวดแล่นริ้วราวกับจะขาดใจ น้ำตาของนางแทบไหลรินจือเฉากลั้นน้ำตาไว้มิอยู่ “พระชายา... เหตุใดท่านอ๋องจึงโหดเหี้ยมเช่นนี้ ลงพระหัตถ์หนักหนาเกินไปแล้ว...”ทันใดนั้นลั่วชิงยวนก็รู้สึกเจ็บแปลบที่อกพลันไอออกมามิหยุด จือเฉารีบยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ เมื่อไอเสร็จ ลั่วชิงยวนก็พบว่าผ้าเช็ดหน้าเต็มไปด้วยเลือด...จือเฉาตกใจมาก “บ่าวจะไปตามซูโหยวให้ไปเชิญหมอหลวงมาเจ้าค่ะ”แต่ลั่วชิงยวนกลับบอกว่า “มิต้อง อย่าทำให้เขาเดือดร้อนเลย”หากฟู่เฉินหวนรู้ว่าซูโหยวช่วยนางคงจะโกรธมากเป็นแน่“แล้วแผลของพระชายาเล่าเจ้าคะ?”ลั่วชิงยวนรินน้ำชา “ยังมีสมุนไพรเหลืออยู่มิใช่หรือ แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว”จากนั้นนางก็หยิบส
ในชั่วพริบตา ลั่วชิงยวนก็รู้สึกเจ็บแปลบที่หลังเพราะถูกกดลงบนกำแพงเท้าของนางลอยขึ้นจากพื้นความรู้สึกหายใจมิออกทำให้นางดิ้นรนสุดกำลัง“ใครอนุญาตให้เจ้าเข้ามา! ใครอนุญาตให้เจ้าแตะต้องของของข้า!”ลั่วชิงยวนพยายามพูด “ฟู่เฉินหวน...”นางหายใจมิออกแล้วนัยน์ตาของฟู่เฉินหวนฉายแววเย็นชาขณะจับนางเหวี่ยงออกไปร่างลั่วชิงยวนตกกระแทกพื้นเสียงดังสนั่นกลิ้งไปหลายตลบแล้วกระอักเลือดออกมาอวัยวะภายในสั่นสะเทือน ปวดร้าวไปทั่วร่าง“ฟู่เฉินหวน ลั่วฉิงกับไทเฮาร่วมมือกัน สิ่งที่ไทเฮาให้ท่านอาจถูกลั่วฉิงปลอมแปลง จดหมายนั้นอาจเป็นของปลอมก็ได้!”ลั่วชิงยวนรีบอธิบายความคิดของตนเองฟู่เฉินหวนเดินเข้ามาด้วยความโกรธ เขาจับนางขึ้นมาแล้วมองนางด้วยสายตาเหี้ยมโหด “ถึงตอนนี้แล้วยังจะมาหลอกลวงข้าอีกรึ?”“ลายมือท่านแม่ของข้า ข้าจะจำมิได้เชียวหรือ!”พูดจบ ลั่วชิงยวนก็ถูกเหวี่ยงออกจากห้องร่างกระแทกพื้นหิมะแขนข้างหนึ่งถูกทับจนเกิดเสียงดังกร๊อบแขนหลุดจากข้อต่อแล้ว“โอ๊ย...” ลั่วชิงยวนร้องเสียงหลง หน้าซีดเผือดด้วยความเจ็บปวด เหงื่อเย็นผุดขึ้นเต็มไปหน้านางใช้มือข้างเดียวพยุงตัว พยายามลุกขึ้นอย่างยากล
ลั่วฉิงใช้เข็มทิศอาณัติสวรรค์มิเป็นด้วยฐานะของนาง เป็นไปมิได้ที่จะใช้มิเป็นลั่วชิงยวนเบิกตากว้างลั่วฉิงมิได้ใช้มิเป็น แต่ใช้มิได้ต่างหาก!นางพกเข็มทิศนี้ติดตัวมาตั้งแต่เด็ก อาจารย์บอกว่าเป็นของที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษของนางหลังจากที่นางตายแล้วเกิดใหม่เข็มทิศนี้ก็ยังคงติดตัวนางมา ย่อมมิใช่ของธรรมดาสามัญแน่นอนดังนั้น เข็มทิศนี้อาจจะยอมรับนางเป็นเจ้าของแล้ว คนอื่นจึงใช้มิได้เมื่อคิดได้ดังนั้น ลั่วชิงยวนก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้างลั่วฉิงได้เข็มทิศไปก็ไร้ประโยชน์ฟู่เฉินหวนถาม “หากไม่มีเข็มทิศนี้ เจ้าก็ทำนายอะไรมิได้เลยหรือ?”ลั่วฉิงยกยิ้ม “แน่นอนว่ามิใช่เช่นนั้น”“เช่นนั้นก็มิเห็นเป็นอะไร เจ้าแค่ทำนายสิ่งที่เจ้าทำนายได้ แล้วก็จะค่อย ๆ ได้รับความไว้วางใจเอง”ฟู่เฉินหวนมีสีหน้าเคร่งขรึม ขณะกล่าวเสียงเย็น “ข้าทะเลาะกับนางไปแล้ว หากจะหลอกลวงนางอีกก็ต้องแสร้งทำดีด้วย”“ข้ามิอยากทำเรื่องน่ารังเกียจเช่นนั้น”หัวใจของลั่วชิงยวนพลันเจ็บแปลบเขาบอกว่าการทำดีกับนางเป็นเรื่องน่ารังเกียจ...ลั่วชิงยวนรู้สึกเจ็บปวด นางกำเสื้อแน่น มิกล้าส่งเสียงแล้วค่อย ๆ เดินจากไปคำพูดเหล่านั้นดังก้อ
ลั่วชิงยวนที่ถูกขังไว้สองวันเริ่มรู้สึกอึดอัดราวกับถูกจองจำในคุกหิมะตกหนักติดต่อกันหลายวันยิ่งทำให้นางรู้สึกหดหู่เมื่อหิมะเริ่มเบาบางลงนางจึงออกมานั่งที่เก้าอี้ในเรือนสัมผัสกับความเย็นยะเยือกที่โปรยปรายลงบนใบหน้า“พระชายา ระวังจะเป็นหวัดนะเจ้าคะ”จือเฉานำกาน้ำชาอุ่นมาวางไว้บนโต๊ะข้าง ๆ แล้วรินใส่ถ้วยให้นางไอร้อนจากน้ำชาช่วยเพิ่มความอบอุ่นในวันหิมะตกอันหนาวเหน็บจือเฉานั่งอยู่ข้าง ๆ เหม่อมองท้องฟ้าด้วยความกังวล “พระชายา เหตุใดท่านอ๋องจึงใจร้ายกับท่านเช่นนี้เจ้าคะ”“ก่อนหน้านี้เป็นเพราะมีลั่วเยวี่ยอิงที่คอยยุแยง บัดนี้ลั่วเยวี่ยอิงก็ตายไปแล้ว เหตุใดท่านอ๋องจึงยังเป็นเช่นนี้ ระหว่างท่านอ๋องกับพระชายามีเรื่องเข้าใจผิดกันหรือเจ้าคะ?”ลั่วชิงยวนก็มิอาจเข้าใจได้เริ่มเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อใดกันตั้งแต่ที่นางถูกเฉินชีจับตัวไปบนเขาหรือไม่สิ น่าจะเริ่มตั้งแต่เรื่องของฟู่จิ่งหานตอนที่ฟู่เฉินหวนตัดสินใจจัดการกับฟู่อวิ๋นโจว เขาเข้าวังไปหลายวันแล้วเมื่อกลับมาก็หย่ากับนางแต่เกิดเรื่องอะไรขึ้นในวัง แม้แต่จักรพรรดิสูงสุดก็มิยอมบอกนางหรือบางทีอาจจะมิรู้เหมือนกันวันนี้แม่นมเติ้งเป
เขามีสีหน้าเย็นชาขณะกล่าวเสียงเรียบ “กลับตำหนักกับข้า”ลั่วชิงยวนนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งแล้วจึงให้จือเฉาเก็บข้าวของตามฟู่เฉินหวนออกจากวังเมื่อขึ้นรถม้า ฟู่เฉินหวนก็สั่งสารถีให้กลับตำหนักทันทีทั้งยังเร่งให้รีบกลับด้วยคิ้วที่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อยดูเหมือนจะหงุดหงิดอยู่รถม้าแล่นไปอย่างรวดเร็ว ลั่วชิงยวนถูกเขย่าโคลงเคลงจนตัวแทบปลิว แต่ก็ยังพยายามทรงตัว มิเอ่ยคำใดจนกระทั่งรถม้ามาถึงหน้าตำหนักลั่วชิงยวนจึงสังเกตเห็นรอยแดงบนใบหน้าของฟู่เฉินหวนนางยกมือขึ้น แตะใบหน้าเขาเบา ๆ “ใบหน้าของท่านเป็นอะไรไป?”ฟู่เฉินหวนคว้าข้อมือของนางไว้แล้วจ้องมองด้วยสายตาคมกริบ “มิใช่เพราะเจ้าหรอกรึ!”ลั่วชิงยวนชะงักไปชั่วพริบตานั้น ฟู่เฉินหวนก็กระชากนางลงจากรถม้าอย่างแรง ทำให้นางเกือบล้มนางเดินเซ แต่ก็ยังถูกฟู่เฉินหวนลากเข้าไปในตำหนักฟู่เฉินหวนเดินอย่างรวดเร็ว ทั้งร่างเต็มไปด้วยโทสะราวกับพยายามอดกลั้นมานานลั่วชิงยวนจึงตระหนักได้ว่าเขาคงถูกจักรพรรดิสูงสุดลงโทษมิเช่นนั้นรอยแดงบนใบหน้าเขาจะมาจากไหนเมื่อมาถึงลานด้านใน นางก็สะบัดตัวหลุดจากฟู่เฉินหวน“ท่านจะทำอะไร!”ทันใดนั้น ฟู่เฉินหวนก็บีบคางน
ผ่านไปครู่หนึ่ง เซิ่งไป่ชวนก็มาถึงลั่วชิงยวนพยุงตัวลุกขึ้นนั่งเซิ่งไป่ชวนเห็นเหงื่อเม็ดเล็ก ๆ บนหน้าผากนาง จึงเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “พระชายารู้สึกหนาวหรือไม่ขอรับ?”ลั่วชิงยวนกล่าวอย่างแผ่วเบา “ข้ามิเป็นอะไร มิต้องตรวจชีพจรแล้ว ข้าจะเขียนใบเทียบยาให้ เจ้าช่วยไปหยิบยาให้หน่อย”เซิ่งไป่ชวนพยักหน้า เขาย่อมเชื่อมั่นในฝีมือแพทย์ของลั่วชิงยวนจึงมิฝืนใจเพียงแต่กล่าวว่า “เห็นอาการของพระชายาทรงทรุดลงทุกวัน เกรงว่าจะเป็นเพราะความวิตกกังวล พระชายาควรปล่อยวางบ้าง”“เพื่อรักษาพระวรกายให้แข็งแรงขอรับ”ลั่วชิงยวนพยักหน้า “ขอบคุณหมอหลวงเซิ่ง”“ข้าจะระมัดระวัง”ขณะที่กำลังสนทนากัน ก็พลันได้ยินเสียงตวาดดังมาจากด้านนอก“ว่ากระไรนะ! สั่งลงไป ผู้ใดกล้าพูดถึงเรื่องนี้อีกให้ตัดหัวได้เลย!”ลั่วชิงยวนตกใจเล็กน้อยด้วยความสงสัย นางจึงสวมรองเท้าเดินออกไปจือเฉานำผ้าคลุมมาสวมให้นางเห็นจักรพรรดิสูงสุดกำลังโมโหอยู่ใต้ชายคา“เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือเพคะ?” ลั่วชิงยวนถามด้วยความอยากรู้จักรพรรดิสูงสุดกล่าวว่า “ไม่มีอะไร เจ้าไปพักผ่อนเถิด ข้ามิได้ดุใครมานานแล้วเลยลองฝึกฝนดู”จากนั้นจักรพรรดิสูงสุด