เกรงว่า… เรื่องนี้อาจจะไม่ใช่ความฝัน แต่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง การที่ซ่งเชียนฉู่ฝันถึงเรื่องเหล่านี้ ก็น่าจะเป็นเพราะงูยักษ์ มันรู้ความจริงทุกอย่างแล้ว ซ่งเชียนฉู่ไม่ได้ทอดทิ้งเขาไป แต่ประสบอุบัติเหตุระหว่างที่กำลังตามหาโอสถ น่าเสียดายที่บัวมรกตเหมันต์ถูกเด็ดไปก่อนแล้ว เกรงว่าคงไม่มีวันได้พบเจ้าสิ่งนั้นอีกในใต้หล้านี้ เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา นางก็อดไม่ด้ที่จะรู้สึกเสียใจอยู่บ้าง เมื่อเห็นสีหน้าที่ยังคงหวาดกลัวของซ่งเชียนฉู่ ลั่วชิงยวนก็ลังเลไปชั่วขณะและตัดสินใจว่าจะไม่บอกความจริงกับอีกฝ่าย ต่อให้นางบอกอีกฝ่ายไป อีกฝ่ายจะยอมรับได้หรือ? ตอนนี้ไม่รู้ว่าซ่งเชียนฉู่หวาดกลัวงูมากขนาดไหน ทว่าต่อให้ลั่วชิงยวนไม่พูดอะไร ซ่งเชียนฉู่ก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง นางไม่ได้เล่าให้ลั่วชิงยวนฟังว่าสระน้ำเย็นในความฝันเหมือนกับสถานที่ที่ตนตามหาโอสถไม่มีผิดเพี้ยน บัวมรกตเหมันต์ที่ลั่วชิงยวนได้มาน่าจะเติบโตอยู่ก้นสระน้ำเย็น เพื่อบัวมรกตเหมันต์ดอกนี้แล้ว นางเฝ้าตามหามันมาตั้งแต่เมื่อครั้งยังเยาว์วัย ถึงขนาดตามหาแม้แต่ในความฝัน ทว่าสุดท้ายนางก็ยังไม่มีโอกาสได้มันมา หลังจาก
"ผู้ใดอยู่ตรงนั้น?" บุรุษผู้หนึ่งเปิดประตูออกมา ลั่วชิงยวนกับซ่งเชียนฉู่ถูกพบตัวเข้า ก่อนที่พวกนางจะทันได้หนีไป "พวกเจ้ากำลังทำอะไร? เข้ามาขโมยของในหมู่บ้านเช่นนั้นหรือ!" "ช่วยด้วย มีผู้บุกรุก!" ลั่วชิงยวนร้องอุทานด้วยความตกใจแล้วรีบช่วยซ่งเชียนฉู่ยกหีบ "วิ่งเร็ว!" ไม่นานชาวบ้านกลุ่มใหญ่ที่ปรากฏตัวขึ้นทางด้านหลังก็ถือไม้เท้ากับจอบวิ่งไล่ตามพวกนางมา ลั่วชิงยวนหายใจแทบไม่ออกและแทบจะยกสิ่งของในอ้อมแขนไม่ไหวอยู่แล้ว "เจ้าใส่เข้าไปในนี้เยอะขนาดไหนกัน หนักเหลือเกิน!" ซ่งเชียนฉู่เองก็หยุดพักหายใจ "ช้าก่อน! มีโสมเก้าบุษบันอมตะของท่านอยู่ด้วย! ทั้งยังมีทั้งหมดสามแขนงอีกต่างหาก! เพียงพอที่จะรักษาโรคอ้วนของท่านได้เชียวหนา!" เมื่อลั่วชิงยวนได้ยินเช่นนี้เข้า นางก็รู้สึกตื่นเต้น จากนั้นโลหิตทั่วทั้งกายาก็เริ่มที่จะเดือดพล่าน โสมเก้าบุษบันอมตะสามแขนง! แม้แต่ยามที่นางเป็นนักบวชหญิง นางก็ยังมิได้รับโสมเก้าบุษบันอมตะทีเดียวถึงสามแขนงเลย! ต่อให้มีเงินก็เป็นเรื่องยากที่จะซื้อหามาได้ ลั่วชิงยวนใช้มือเดียวยกหีบใบใหญ่พลางใช้มืออีกข้างคว้าแขนของซ่งเชียนฉู่เอาไว้ จากนั้นนางก็รีบวิ่งกลับ
ลั่วชิงยวนพลันนึกขึ้นได้ว่าอาหารของพวกนางหมดแล้ว ซ่งเชียนฉู่จึงเอ่ยขึ้นมาว่า "เข้าเมืองไปขายเครื่องยาสมุนไพรกันเถอะ พวกเราน่าจะหาเงินได้บ้างแล" ลั่วชิงยวนรีบโบกมือ "มิได้นะ! เครื่องยาสมุนไพรพวกนั้นล้ำค่าเกินไป แม้แต่ในเมืองหลวงก็ยากจักพบได้ หากขายไปเช่นนี้คงได้ขาดทุนกันพอดี!" "ข้ามีลู่ทางหาเงินแล้ว! ไปที่เมืองข้าง ๆ กันเถอะ" จือเฉาถามว่า "เช่นนั้นพวกเราควรจะนำสิ่งใดไปดีเจ้าคะ?" "แค่เปลี่ยนชุดก็พอ" ลั่วชิงยวนกับจือเฉาสวมอาภรณ์ของบุรุษ ในเรือนมีเสื้อผ้าคนรับใช้อยู่มากมาย การที่พวกนางแต่งกายเช่นนั้นจึงไม่สะดุดตามากนัก …… ณ เมืองเปี้ยนเหอ เมืองไม่ใหญ่โตอะไรนัก แต่เนื่องจากอยู่ติดกับเมืองหลวงและเป็นเส้นทางเพียงสายเดียวที่จะไปสู่เมืองหลวงได้ ทำให้ค่อนข้างรุ่งเรืองเฟื่องฟู และมีตระกูลอันมั่งคั่งสัญจรไปมา ลั่วชิงยวนมาถึงโรงน้ำชาที่ค่อนข้างเงียบสงบแห่งหนึ่งแล้วจองโต๊ะบริเวณหัวมุมประตูจากเถ้าแก่ทันที เมื่อนางจ่ายเงินไปสามตำลึงเงิน เถ้าแก่จึงยกน้ำชากาหนึ่งมาให้พวกนางโดยไม่คิดเงิน หน้าโรงน้ำชามีแผงทำนายดวงชะตาที่แสนจะธรรมดาสามัญตั้งอยู่ ทั้งยังร้างไร้ผู้คนและมีผู้มาอุดหนุนไม่
ซ่งเชียนฉู่ร้องอุทานพร้อมให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี "ท่านทราบเรื่องนี้ด้วยหรือเจ้าคะ?" เสียงอุทานของซ่งเชียนฉู่ดึงดูดความสนใจของหลาย ๆ คนรอบตัวนาง และทันใดนั้นก็มีคนรีบเข้ามามุงดูเรื่องตื่นเต้น เถ้าแก่โรงน้ำชาเข้ามาฟังไปเรื่อยเปื่อยพลางเอามือไพล่หลังเอาไว้ ลั่วชิงยวนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง "แม่นาง เร็ว ๆ นี้ตระกูลของเจ้ากำลังเตรียมงานมงคลอยู่ใช่หรือไม่?" ซ่งเชียนฉู่ผงกศีรษะด้วยท่าทางตื่นเต้น "ใช่ ใช่เจ้าค่ะ เรื่องนี้ท่านก็รู้ด้วยหรือเจ้าคะ?" "แม่นาง วันนี้จงไปตรวจดูหลุมศพของผู้ล่วงลับสักหน่อย หากมีสิ่งใดในชีวิตที่ยังมิได้เอาไปก็เผาไปด้วยกันเลยเป็นดีที่สุด หากเจ้าคิดจะจัดงานมงคลให้เลื่อนไปอีกสองเดือนจะดีกว่า" ลั่วชิงยวนกุเรื่องขึ้นมาทั้งเพ ลั่วชิงยวนเองก็คืนถุงเงินหนักอึ้งกลับคืนไปให้ซ่งเชียนฉู่พลางกล่าวว่า "เมื่อเจ้ากลับไปจัดการธุระเรียบร้อยแล้ว หากเจ้ามีจิตศรัทธาค่อยมอบเงินให้ข้าก็ได้" เมื่อซ่งเชียนฉู่ได้ยินเช่นนี้ นางก็รู้สึกดีใจเป็นล้นพ้น "จริงหรือเจ้าคะ? ขอบคุณท่านอาจารย์ยิ่งเจ้าค่ะ!" หลังจากซ่งเชียนฉู่พูดจบ นางก็รีบจากไป จือเฉาฉวยโอกาสเรียกขานออกไปว่า "ท่านอ
นอกโรงน้ำชามีคนกลุ่มใหญ่เพื่อเอาเงินมามอบให้ ทันทีที่ลั่วชิงยวนปรากฏตัว เถ้าแก่ก็รีบเข้ามาทักทายพลางกล่าวว่า "บรรดาเพื่อนบ้านมาจ่ายเงินกันแล้วหนา ไฉนท่านจึงมาช้านักเล่า?" จือเฉารู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก ได้ผลเร็วขนาดนั้นเลยหรือ? เมื่อเห็นสีหน้าเปี่ยมสุขของทุกคน มิได้ดูเหมือนเสแสร้งแกล้งทำแต่อย่างใด ลั่วชิงยวนก็เดินเข้ามาแล้วนั่งลง ป้าหลี่ก็ยื่นเงินห้าสิบตำลึงเงินให้นางพลางกล่าวว่า "ท่านอาจารย์ แม่นจริง ๆ เจ้าค่ะ เมื่อวานนี้ข้าเจอสร้อยข้อมือที่เป็นมรดกประจำตระกูลที่หายไปอยู่ใต้เตาจริง ๆ" ลั่วชิงยวนรับเงินแล้วพยักหน้า จากนั้นคนอื่น ๆ เองก็เข้ามามอบเงินให้ลั่วชิงยวน นางมิได้ตั้งราคาค่างวดอันใด ทุกคนอยากจะให้เท่าไหร่ก็เชิญ แต่วันนี้เงินส่วนใหญ่ได้มาจากเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ได้ผลอย่างรวดเร็ว เรื่องอื่นมิได้ผลรวดเร็วขนาดนั้นหรอก เพราะฉะนั้นเงินทั้งหมดที่ได้ในวันนี้จึงมีแค่ไม่กี่ตำลึงเงิน เดิมทีซ่งเชียนฉู่คิดจจะจ่ายเงินก่อน แต่นางไม่คาดคิดว่าจะมีผู้คนมากมายขนาดนั้นชิงตัดหน้าตนไปก่อนแล้ว ทว่าก็ต้องจ่ายเงินอยู่ดี ซ่งเชียนฉู่เข้ามาแสดงละครอีกฉาก จากนั้นนางก็มอบเงินถุงหนึ่งใ
“ย่อมไม่มี หมู่บ้านนี้มีข้าที่ชื่อฉู่ลั่วเพียงคนเดียว” ได้ยินดังนี้ แม่นมจึงผายมือเชื้อเชิญ “เช่นนั้นเชิญท่านเซียนฉู่ทำนายให้ฮูหยินข้าทีเถิด หากสมหวังจริง เราจักตอบแทนท่านเป็นอย่างดี!” ดังนั้นลั่วชิงยวนจึงขึ้นรถม้าไปพร้อมกับซ่งเชียนฉู่และจือเฉ่า รถม้าค่อย ๆ ออกจากหมู่บ้าน และเข้าไปในเมืองหลวง ในเมืองหลวงเจริญกว่าในหมู่บ้านนัก บัดนี้เป็นเวลามืดค่ำ แต่เพราะหิมะตกหนักจึงดึงดูดให้ผู้คนไม่น้อยออกมา พวกเขาหัวเราะหยอกเล่นกันกลางหิมะ บรรยากาศครึกครื้นยิ่ง นางกลับมาอีกครั้งแล้ว กลับมาที่เมืองหลวง เพียงแต่ ครั้งนี้นางมิได้กลับตำหนักอ๋องสำเร็จราชการ รถม้าวิ่งเข้าซอยเล็ก ๆ ที่แสนจะเงียบสงบ และจอดที่ประตูหลังของคฤหาสน์แห่งหนึ่ง แม่นมลงจากรถม้า พาเหล่าลั่วชิงยวนเข้าทางประตูหลัง ผ่านทางแสนจะคดเคี้ยว สุดท้ายจึงเข้ามาในเรือนใน ระหว่างทางไม่มีผู้คนสักคน คฤหาสน์ใหญ่เช่นนี้แต่กลับเงียบสงัดอย่างมาก พิลึกเกินไป แม่นมกล่าวขึ้นหน้าเรือนอุ่น “ท่านเซียนฉู่เข้าไปด้านในแต่เพียงผู้เดียว ส่วนท่านทั้งสองโปรดรอที่เรือนรองครู่หนึ่ง” ลั่วชิงยวนพยักหน้าใส่พวกนางสองคน จากนั้นตามแม่นมเข้าไปในเ
นั่นคือเสียงของฟู่เฉินหวน! ฟู่เฉินหวนมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? นางชักขาเดินหนีทันที เบื้องหลัง ฟู่เฉินหวนก็เดินถึงหน้าประตู เมื่อเห็นแผ่นหลังลับ ๆ ล่อ ๆ ของนาง จึงดุเสียงเย็น “รอเดี๋ยว!” “เจ้าเป็นใครกัน?” เสียงของฟู่เฉินหวนเยือกเย็น บัดนี้แม่นมเดินออกมา คำนับฟู่เฉินหวนพร้อมกล่าว “ท่านผู้นี้คือท่านเซียนฉู่ที่เชิญมาคืนนี้เพคะ” ลั่วชิงยวนหันหลังให้พวกเขา และมิได้หันหน้ากลับไป ฟู่เฉินหวนประเมินนางพร้อมกับขมวดคิ้ว ฟู่จิ่งหานก้าวขาเดินเข้าห้อง “ท่านเซียนฉู่ว่าอย่างไร?” แม่นมจึงเอ่ยตอบ ลั่วชิงยวนเห็นว่าพวกเขามิได้คิดจะซักถามนางต่อ ก็รู้สึกโล่งอกและสับขาเดินออกไปอย่างร้อนรน ฟู่เฉินหวนปรากฏตัวที่นี่ ฮูหยินท่านนี้ต้องมิธรรมดาแน่! มิคิดว่างานใหญ่งานแรกที่รับหลังกลับเมืองหลวงของนาง จะเกี่ยวข้องกับฟู่เฉินหวนได้ นางเดินไปเรือนรองอย่างรวดเร็ว ซ่งเชียนฉู่และจือเฉ่าทั้งคู่ต่างกำลังรอนางอยู่ “เป็นอย่างไรบ้าง?” พวกนางลุกขึ้นเอ่ยถาม ลั่วชิงยวนสรุปอาการของฮูหยินท่านนั้นให้ฟัง “ข้าเห็นบริเวณหน้าท้องของหญิงสาวมีควันทมิฬโอบล้อม แต่บนร่างกลับมิมีไอชั่วร้าย ข้าคิดว่านางน่าจะติดพิษ
ทุกครั้งที่เห็นสีหน้าเช่นนี้ของพระชายา จือเฉ่ามักรู้สึกสันหลังเย็บวูบวาบ นางเอ่ยถามอย่างอดมิได้ “พระชายา เข็มนำทางคือสิ่งใดหรือ?” “สิ่งที่ทำร้ายฮูหยินท่านนั้นหรือเจ้าคะ?” ลั่วชิงยวนพยักหน้า จากนั้นวางเข็มลงพร้อมกล่าว “เอาผ้าคลุมหน้าให้ข้า” จือเฉ่าหยิบผ้าคลุมหน้าออกมา ลั่วชิงยวนใส่ปิดหน้าทันที นางหยิบของและกลับเข้าใปในห้อง เพียงแต่ซ่งเชียนฉู่ได้ให้ฟู่เฉินหวนและฟู่จิ่งหานออกไปล่วงหน้าแล้ว บัดนี้ทั้งคู่นั่งอยู่หลังฉากกั้น ระยะมิใกล้กันแต่นิด ทิศทางที่พวกเขานั่งก็มองมิเห็นใบหน้าของลั่วชิงยวน “เป็นอย่างไรบ้าง?” ลั่วชิงยวนเอ่ยถาม ซ่งเชียนฉู่พยักหน้า “อย่างที่ท่านคาดคิด ฮูหยินท่านนี้ติดพิษ และฝังไว้ลึกมาก น่าจะติดจากการสูดกลิ่นธูปเมื่อนางไปสวดมนต์ไหว้พระ พิษมิได้ร้ายแรงนัก มิถึงแก่ชีวิต เพียงแค่ส่งผลต่อสติของนาง” “แต่สำหรับหญิงสาวมีครรภ์ กลับส่งผลกระทบรุนแรงยิ่ง” ฮูหยินที่พิงอยู่บนหมอนหน้าถอดสี “เช่นนี้ท่านหมอมีวิธีรักษาหรือไม่?” ซ่งเชียนฉู่ไตร่ตรองและกล่าว “วิธีรักษาย่อมมี แต่อาจมิได้รักษาถึงต้นตอ ต้องดูว่าด้านท่านเซียนฉู่พบสิ่งใดหรือไม่” ลั่วชิงยวนจึงหยิบสิ่งของเหล่านั
เหตุใดแคว้นหลีจึงส่งกองทัพมากะทันหันฟู่อวิ๋นโจวเอ่ยถาม “ท่านมหาปราชญ์ ท่านเชี่ยวชาญด้านนี้ พอจะทำนายผลลัพธ์ได้หรือไม่?”“ควรจะรับมืออย่างไร”ขุนนางทั้งหลายต่างมองไปที่ลั่วฉิง ลั่วฉิงไม่มีทางเลือก จึงได้แต่กัดฟันกล่าวว่า “เรื่องนี้... ทำนายได้ แต่หม่อมฉันต้องการเวลาเพคะ”ฟู่อวิ๋นโจวมีสีหน้ากังวล และถามว่า “ท่านมหาปราชญ์ต้องการเวลานานเพียงใด?”ลั่วฉิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงกล่าวว่า “สามวันเพคะ!”สิ้นคำพูดของนาง หลายคนก็แสดงความมิพอใจ“สามวันหรือ? ซีหลิงอยู่ห่างจากเมืองหลวงราวพันลี้ สามวันกว่าจะบอกผลลัพธ์ จะทันการณ์ได้อย่างไร”“ก่อนหน้านี้พระชายาอ๋องผู้สำเร็จราชการก็มิได้ใช้เวลานานถึงเพียงนั้น”“ใช่ ท่านมหาปราชญ์คงจะมิค่อยมีความสามารถมากถึงเพียงนั้นกระมัง”คำพูดนี้ทำให้ลั่วฉิงหน้าซีดเผือด“สองวัน อย่างเร็วที่สุดก็ต้องสองวัน!” ลั่วฉิงกัดฟันกล่าวในตอนนี้ ฟู่เฉินหวนกล่าวอย่างใจเย็น “แคว้นหลีส่งกองทัพมาโดยมิทราบสาเหตุ ข้าคิดว่าตอนนี้ควรส่งคนไปเจรจากับแคว้นหลีโดยด่วน”“ระหว่างนั้นก็ส่งกองกำลังไปเสริมอย่างลับ ๆ ด้วย อย่าได้พึ่งพาแต่ผลการทำนายของท่านมหาปราชญ์”“หากผลลัพธ์ออกมาแล้ว
เมื่อเฉินชีได้ยินดังนั้นก็หยุดชะงักแล้วยกยิ้มมุมปาก เดินมาที่หน้าต่าง พิงกำแพงพลางกอดอก “เจ้าจะให้ข้าช่วยเจ้าในฐานะที่เจ้าเป็นใคร?”ลั่วชิงยวนมองเขาด้วยสายตาเย็นชา “นักบวชระดับสูง”ดวงตาของเฉินชีลุกโชนด้วยประกายร้อนแรง “อาเหลา ในที่สุดเจ้าก็ตัดสินใจจะไปกับข้าแล้วหรือ?”ลั่วชิงยวนมองเขาด้วยสายตาเย็นชาและเย่อหยิ่ง “กลับแคว้นหลีก็ได้ ข้าบอกแล้วว่าให้เจ้าช่วยข้าเรื่องหนึ่ง”“แคว้นหลีจะมีนักบวชระดับสูงได้เพียงผู้เดียวเท่านั้น”เฉินชียกยิ้มมุมปากแล้วหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนจะคุกเข่าลงข้างหนึ่งอย่างนอบน้อม “อย่าว่าแต่เรื่องเดียวเลย สิบเรื่อง ร้อยเรื่อง เฉินชีก็ยินดีทำเพื่อนักบวชระดับสูงทั้งสิ้น!”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองเขาด้วยแววตาที่ลึกล้ำถึงแม้เฉินชีจะบ้าแต่ก็มิใช้คนโง่เขลา เขาทำอะไรตามอำเภอใจแต่ก็คงมิยอมสยบต่อนางง่าย ๆ เช่นนี้การเปลี่ยนท่าทีเช่นนี้ทำให้นางมิค่อยเชื่อถือ“เจ้าฟังเรื่องที่ข้าจะให้เจ้าทำก่อนค่อยตอบรับก็ยังมิสาย”เฉินชีลุกขึ้นมองนางด้วยแววตาเป็นประกาย “ท่านนักบวชต้องการให้ข้าทำสิ่งใด?”“ข้าต้องการให้เจ้ายกทัพไปตีซีหลิง”“แต่ห้ามสู้รบกันจริง ๆ ห้ามทำร้ายราษฎร”เฉ
ใจของลั่วชิงยวนร้อนรุ่มดั่งไฟสุม นางพยายามดิ้นรนสุดแรง “ปล่อยข้านะ!”“ฟู่เฉินหวน ท่านช่างไร้หัวใจอะไรเยี่ยงนี้!”ทว่าฟู่เฉินหวนยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย มิสะทกสะท้านแม้แต่น้อยเมื่อเห็นแม่นมเติ้งใกล้จะทนมิไหวแล้ว น้ำตาลั่วชิงยวนก็เอ่อคลอ“หม่อมฉันจะมิออกจากเรือนแล้ว หม่อมฉันจะมิออกจากห้องแล้ว ได้หรือไม่!”นางมองฟู่เฉินหวนด้วยดวงตาแดงก่ำ พยายามวิงวอนขอร้องในที่สุดนางก็ยอมก้มหน้าลง“ขอท่านไว้ชีวิตนางด้วยเถิดเพคะ!” ลั่วชิงยวนคุกเข่าลงอย่างอ่อนแรงแววตาฟู่เฉินหวนมืดมนเดิมทีลั่วชิงยวนคิดว่าเมื่อนางขอร้องแล้ว ฟู่เฉินหวนคงจะไว้ชีวิตแม่นมเติ้งแต่ฟู่เฉินหวนกลับมีแววตาเย็นชา “นางเป็นบ่าวของตำหนัก มิใช่บ่าวของเจ้า นางขัดคำสั่งข้า สำหรับข้าแล้ว ไม่มีคำว่ายกโทษ”น้ำเสียงเย็นเยียบของเขาเป็นดั่งหนามแหลมทิ่มแทงหัวใจของลั่วชิงยวนลั่วชิงยวนตกตะลึงนางโกรธจนตะโกนลั่น “ฟู่เฉินหวน!”ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้ว นัยน์ตาฉายแววหงุดหงิดขณะกล่าวเสียงเย็น “พาตัวนางไป”องครักษ์จับตัวลั่วชิงยวนแล้วลากออกไปฟู่เฉินหวนมองนางเป็นครั้งสุดท้ายด้วยสายตาเย็นชา “หากเจ้ายังท้าทายข้าอีก จะต้องมีคนตายมา่กกว่านี้แน่”แ
ครั้นลั่วชิงยวนถูกพากลับมายังเรือนพวกองครักษ์ก็ปล่อยตัวนาง นางจึงทรุดกายลงคุกเข่ากับพื้นด้วยความอ่อนล้า“พระชายา! พระชายา!”จือเฉารีบรุดเข้ามาประคอง แต่พลั้งมือไปโดนแขนนางเข้า จึงสะดุ้งโหยงรีบชักมือกลับ “พระชายา แขนของท่าน...”ลั่วชิงยวนยันกายลุกขึ้นโดยอาศัยจือเฉาพยุงเดินเข้าห้องไปอย่างเชื่องช้าเมื่อนั่งลงบนเก้าอี้ นางก็จับแขนข้างที่หักนั้นไว้พลางกัดฟันแน่นก่อนจะออกแรงดันกระดูกให้เข้าที่ความเจ็บปวดแล่นริ้วราวกับจะขาดใจ น้ำตาของนางแทบไหลรินจือเฉากลั้นน้ำตาไว้มิอยู่ “พระชายา... เหตุใดท่านอ๋องจึงโหดเหี้ยมเช่นนี้ ลงพระหัตถ์หนักหนาเกินไปแล้ว...”ทันใดนั้นลั่วชิงยวนก็รู้สึกเจ็บแปลบที่อกพลันไอออกมามิหยุด จือเฉารีบยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ เมื่อไอเสร็จ ลั่วชิงยวนก็พบว่าผ้าเช็ดหน้าเต็มไปด้วยเลือด...จือเฉาตกใจมาก “บ่าวจะไปตามซูโหยวให้ไปเชิญหมอหลวงมาเจ้าค่ะ”แต่ลั่วชิงยวนกลับบอกว่า “มิต้อง อย่าทำให้เขาเดือดร้อนเลย”หากฟู่เฉินหวนรู้ว่าซูโหยวช่วยนางคงจะโกรธมากเป็นแน่“แล้วแผลของพระชายาเล่าเจ้าคะ?”ลั่วชิงยวนรินน้ำชา “ยังมีสมุนไพรเหลืออยู่มิใช่หรือ แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว”จากนั้นนางก็หยิบส
ในชั่วพริบตา ลั่วชิงยวนก็รู้สึกเจ็บแปลบที่หลังเพราะถูกกดลงบนกำแพงเท้าของนางลอยขึ้นจากพื้นความรู้สึกหายใจมิออกทำให้นางดิ้นรนสุดกำลัง“ใครอนุญาตให้เจ้าเข้ามา! ใครอนุญาตให้เจ้าแตะต้องของของข้า!”ลั่วชิงยวนพยายามพูด “ฟู่เฉินหวน...”นางหายใจมิออกแล้วนัยน์ตาของฟู่เฉินหวนฉายแววเย็นชาขณะจับนางเหวี่ยงออกไปร่างลั่วชิงยวนตกกระแทกพื้นเสียงดังสนั่นกลิ้งไปหลายตลบแล้วกระอักเลือดออกมาอวัยวะภายในสั่นสะเทือน ปวดร้าวไปทั่วร่าง“ฟู่เฉินหวน ลั่วฉิงกับไทเฮาร่วมมือกัน สิ่งที่ไทเฮาให้ท่านอาจถูกลั่วฉิงปลอมแปลง จดหมายนั้นอาจเป็นของปลอมก็ได้!”ลั่วชิงยวนรีบอธิบายความคิดของตนเองฟู่เฉินหวนเดินเข้ามาด้วยความโกรธ เขาจับนางขึ้นมาแล้วมองนางด้วยสายตาเหี้ยมโหด “ถึงตอนนี้แล้วยังจะมาหลอกลวงข้าอีกรึ?”“ลายมือท่านแม่ของข้า ข้าจะจำมิได้เชียวหรือ!”พูดจบ ลั่วชิงยวนก็ถูกเหวี่ยงออกจากห้องร่างกระแทกพื้นหิมะแขนข้างหนึ่งถูกทับจนเกิดเสียงดังกร๊อบแขนหลุดจากข้อต่อแล้ว“โอ๊ย...” ลั่วชิงยวนร้องเสียงหลง หน้าซีดเผือดด้วยความเจ็บปวด เหงื่อเย็นผุดขึ้นเต็มไปหน้านางใช้มือข้างเดียวพยุงตัว พยายามลุกขึ้นอย่างยากล
ลั่วฉิงใช้เข็มทิศอาณัติสวรรค์มิเป็นด้วยฐานะของนาง เป็นไปมิได้ที่จะใช้มิเป็นลั่วชิงยวนเบิกตากว้างลั่วฉิงมิได้ใช้มิเป็น แต่ใช้มิได้ต่างหาก!นางพกเข็มทิศนี้ติดตัวมาตั้งแต่เด็ก อาจารย์บอกว่าเป็นของที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษของนางหลังจากที่นางตายแล้วเกิดใหม่เข็มทิศนี้ก็ยังคงติดตัวนางมา ย่อมมิใช่ของธรรมดาสามัญแน่นอนดังนั้น เข็มทิศนี้อาจจะยอมรับนางเป็นเจ้าของแล้ว คนอื่นจึงใช้มิได้เมื่อคิดได้ดังนั้น ลั่วชิงยวนก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้างลั่วฉิงได้เข็มทิศไปก็ไร้ประโยชน์ฟู่เฉินหวนถาม “หากไม่มีเข็มทิศนี้ เจ้าก็ทำนายอะไรมิได้เลยหรือ?”ลั่วฉิงยกยิ้ม “แน่นอนว่ามิใช่เช่นนั้น”“เช่นนั้นก็มิเห็นเป็นอะไร เจ้าแค่ทำนายสิ่งที่เจ้าทำนายได้ แล้วก็จะค่อย ๆ ได้รับความไว้วางใจเอง”ฟู่เฉินหวนมีสีหน้าเคร่งขรึม ขณะกล่าวเสียงเย็น “ข้าทะเลาะกับนางไปแล้ว หากจะหลอกลวงนางอีกก็ต้องแสร้งทำดีด้วย”“ข้ามิอยากทำเรื่องน่ารังเกียจเช่นนั้น”หัวใจของลั่วชิงยวนพลันเจ็บแปลบเขาบอกว่าการทำดีกับนางเป็นเรื่องน่ารังเกียจ...ลั่วชิงยวนรู้สึกเจ็บปวด นางกำเสื้อแน่น มิกล้าส่งเสียงแล้วค่อย ๆ เดินจากไปคำพูดเหล่านั้นดังก้อ
ลั่วชิงยวนที่ถูกขังไว้สองวันเริ่มรู้สึกอึดอัดราวกับถูกจองจำในคุกหิมะตกหนักติดต่อกันหลายวันยิ่งทำให้นางรู้สึกหดหู่เมื่อหิมะเริ่มเบาบางลงนางจึงออกมานั่งที่เก้าอี้ในเรือนสัมผัสกับความเย็นยะเยือกที่โปรยปรายลงบนใบหน้า“พระชายา ระวังจะเป็นหวัดนะเจ้าคะ”จือเฉานำกาน้ำชาอุ่นมาวางไว้บนโต๊ะข้าง ๆ แล้วรินใส่ถ้วยให้นางไอร้อนจากน้ำชาช่วยเพิ่มความอบอุ่นในวันหิมะตกอันหนาวเหน็บจือเฉานั่งอยู่ข้าง ๆ เหม่อมองท้องฟ้าด้วยความกังวล “พระชายา เหตุใดท่านอ๋องจึงใจร้ายกับท่านเช่นนี้เจ้าคะ”“ก่อนหน้านี้เป็นเพราะมีลั่วเยวี่ยอิงที่คอยยุแยง บัดนี้ลั่วเยวี่ยอิงก็ตายไปแล้ว เหตุใดท่านอ๋องจึงยังเป็นเช่นนี้ ระหว่างท่านอ๋องกับพระชายามีเรื่องเข้าใจผิดกันหรือเจ้าคะ?”ลั่วชิงยวนก็มิอาจเข้าใจได้เริ่มเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อใดกันตั้งแต่ที่นางถูกเฉินชีจับตัวไปบนเขาหรือไม่สิ น่าจะเริ่มตั้งแต่เรื่องของฟู่จิ่งหานตอนที่ฟู่เฉินหวนตัดสินใจจัดการกับฟู่อวิ๋นโจว เขาเข้าวังไปหลายวันแล้วเมื่อกลับมาก็หย่ากับนางแต่เกิดเรื่องอะไรขึ้นในวัง แม้แต่จักรพรรดิสูงสุดก็มิยอมบอกนางหรือบางทีอาจจะมิรู้เหมือนกันวันนี้แม่นมเติ้งเป
เขามีสีหน้าเย็นชาขณะกล่าวเสียงเรียบ “กลับตำหนักกับข้า”ลั่วชิงยวนนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งแล้วจึงให้จือเฉาเก็บข้าวของตามฟู่เฉินหวนออกจากวังเมื่อขึ้นรถม้า ฟู่เฉินหวนก็สั่งสารถีให้กลับตำหนักทันทีทั้งยังเร่งให้รีบกลับด้วยคิ้วที่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อยดูเหมือนจะหงุดหงิดอยู่รถม้าแล่นไปอย่างรวดเร็ว ลั่วชิงยวนถูกเขย่าโคลงเคลงจนตัวแทบปลิว แต่ก็ยังพยายามทรงตัว มิเอ่ยคำใดจนกระทั่งรถม้ามาถึงหน้าตำหนักลั่วชิงยวนจึงสังเกตเห็นรอยแดงบนใบหน้าของฟู่เฉินหวนนางยกมือขึ้น แตะใบหน้าเขาเบา ๆ “ใบหน้าของท่านเป็นอะไรไป?”ฟู่เฉินหวนคว้าข้อมือของนางไว้แล้วจ้องมองด้วยสายตาคมกริบ “มิใช่เพราะเจ้าหรอกรึ!”ลั่วชิงยวนชะงักไปชั่วพริบตานั้น ฟู่เฉินหวนก็กระชากนางลงจากรถม้าอย่างแรง ทำให้นางเกือบล้มนางเดินเซ แต่ก็ยังถูกฟู่เฉินหวนลากเข้าไปในตำหนักฟู่เฉินหวนเดินอย่างรวดเร็ว ทั้งร่างเต็มไปด้วยโทสะราวกับพยายามอดกลั้นมานานลั่วชิงยวนจึงตระหนักได้ว่าเขาคงถูกจักรพรรดิสูงสุดลงโทษมิเช่นนั้นรอยแดงบนใบหน้าเขาจะมาจากไหนเมื่อมาถึงลานด้านใน นางก็สะบัดตัวหลุดจากฟู่เฉินหวน“ท่านจะทำอะไร!”ทันใดนั้น ฟู่เฉินหวนก็บีบคางน
ผ่านไปครู่หนึ่ง เซิ่งไป่ชวนก็มาถึงลั่วชิงยวนพยุงตัวลุกขึ้นนั่งเซิ่งไป่ชวนเห็นเหงื่อเม็ดเล็ก ๆ บนหน้าผากนาง จึงเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “พระชายารู้สึกหนาวหรือไม่ขอรับ?”ลั่วชิงยวนกล่าวอย่างแผ่วเบา “ข้ามิเป็นอะไร มิต้องตรวจชีพจรแล้ว ข้าจะเขียนใบเทียบยาให้ เจ้าช่วยไปหยิบยาให้หน่อย”เซิ่งไป่ชวนพยักหน้า เขาย่อมเชื่อมั่นในฝีมือแพทย์ของลั่วชิงยวนจึงมิฝืนใจเพียงแต่กล่าวว่า “เห็นอาการของพระชายาทรงทรุดลงทุกวัน เกรงว่าจะเป็นเพราะความวิตกกังวล พระชายาควรปล่อยวางบ้าง”“เพื่อรักษาพระวรกายให้แข็งแรงขอรับ”ลั่วชิงยวนพยักหน้า “ขอบคุณหมอหลวงเซิ่ง”“ข้าจะระมัดระวัง”ขณะที่กำลังสนทนากัน ก็พลันได้ยินเสียงตวาดดังมาจากด้านนอก“ว่ากระไรนะ! สั่งลงไป ผู้ใดกล้าพูดถึงเรื่องนี้อีกให้ตัดหัวได้เลย!”ลั่วชิงยวนตกใจเล็กน้อยด้วยความสงสัย นางจึงสวมรองเท้าเดินออกไปจือเฉานำผ้าคลุมมาสวมให้นางเห็นจักรพรรดิสูงสุดกำลังโมโหอยู่ใต้ชายคา“เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือเพคะ?” ลั่วชิงยวนถามด้วยความอยากรู้จักรพรรดิสูงสุดกล่าวว่า “ไม่มีอะไร เจ้าไปพักผ่อนเถิด ข้ามิได้ดุใครมานานแล้วเลยลองฝึกฝนดู”จากนั้นจักรพรรดิสูงสุด