ได้ยินดังนี้ หว่างคิ้วของฟู่เฉินหวนกระตุกอย่างแรง เขาพุ่งไปริมแม่น้ำทันที แม่น้ำเส้นใหญ่ ธารน้ำไหลแรง ซ้อนทับกันเป็นชั้น แต่กลับมิเห็นร่างใด ๆ โผล่ออกมาจากผิวน้ำ วินาทีนั้นหัวใจของฟู่เฉินหวนบีบรัดถึงกล่องเสียง นางผู้นี้ช่วยได้กระทั่งเชียนหลี่ที่อยู่ห่างออกไปหลายพันลี้ อย่าบอกนะว่านางช่วยตัวเองมิได้! แต่เขากลับมิได้คิดมาก เขากระโดดลงในแม่น้ำดังเป็นเสียง ตู้ม เซียวชูที่มาถึงช้ากว่าก้าวหนึ่ง เห็นฉากที่ท่านอ๋องกระโดดลงในแม่น้ำพอดี สีหน้าของเขาซีดเผือดทันขวัญ เขาวิ่งขึ้นไปอย่างเร็ว “ท่านอ๋อง!” ท่านอ๋องกระโดดน้ำงั้นหรือ?! ผู้คนรอบด้านส่งเสียงตะลึง “ท่านอ๋องหรือ? เขาคืออ๋องสำเร็จราชการจริง ๆ ? เช่นนั้นที่ถูกดิ่ง คือพระชายาอ๋องจริง ๆ งั้นหรือ?” “ไม่เสียหรอก จะดิ่งผิดคนหรือไรเล่า?” ”สวรรค์” บนบกมีแต่เสียงตะลึง …… ลั่วชิงยวนกินน้ำไปหลายอึก จนนางปลดเชือกบนข้อมือได้ แต่กลับยังมีเชือกบนขาอีกข้างที่ยังแกะมิได้ แต่นางจะกลั้นใจมิไหวแลัว แสงบนหัวยิ่งอยู่ยิ่งห่างไกลจากนาง ราวกับนางถูกลากสู่หุบเหวลึก และจมดิ่งลงเรื่อย ๆ ไม่ทันแล้ว! นางลากก้อนหินหนักอึ้งก้อนนั้น ว่ายขึ้นอ
เขาดีดตัวขึ้น ก็พบกับลั่วชิงยวนที่นอนสลบอยู่ด้านข้างพอดี สีหน้าซีดเผือดของนางทำเขาตกใจ เขารีบเดินขึ้นหน้า กดไปที่หน้าอกของลั่วชิงยวนอย่างแรง ลั่วชิงยวนสำลักน้ำออกมามิน้อย ลั่วชิงยวนลืมตา เห็นเป็นใบหน้าของฟู่เฉินหวน นางรู้ว่าอันตรายได้ถูกถอดถอน นางจึงสลบไปอย่างหมดเรี่ยวแรงอีกครั้ง “นี่!” คิ้วของฟู่เฉินหวนขมวด สลบไปอีกแล้วงั้นหรือ? เขายื่นนิ้วพิสูจน์ลมหายใจนาง เห็นว่านางยังมีชีวิตอยู่ ฟู่เฉินหวนจึงโล่งอก เมื่อครู่ตอนสัมผัสโดนใบหน้านาง เขารู้สึกว่าตัวนางร้อนมาก ๆ ลั่วชิงยวนหนาวจนริมฝีปากเริ่มซีดเผือด ร่างเปียกปอนของนางตากลมหนาวอยู่นาน จึงจับไข้เสียแล้ว คิ้วของฟู่เฉินหวนผูกกันแน่น เขาลุกขึ้นไปมองดูรอบ ๆ บริเวณนี้มีแต่บ่อน้ำตื้น มืดมิดและไร้ซึ่งผู้คน หาทางออกมิเจอ เหล่าเซียวชูก็คงหาพวกเขาไม่เจอในเร็ว ๆ นี้ ดูท่าคงต้องฝืนนอนที่นี่คืนหนึ่งแล้ว เขาไปหากิ่งไม้แห้งและหญ้าแห้ง ก่อกองไฟขึ้นมา เขาย้ายลั่วชิงยวนไปที่ข้างกองไฟ ตัวนางเปียกปอนจึงถอดอาภรณ์ชั้นนอกมาตากผิงให้แห้ง เมื่อตอนสะบัดชุด กลับมีสิ่งหนึ่งหล่นลงมา และกลิ้งเข้าไปในพุ่มหญ้า ฟู่เฉินหวนชะงักเล็กน้อย เดินขึ้นหน
เมื่อฟู่เฉินหวนพลิกตัว ริมฝีปากของเขาโดนหูของลั่วชิงยวนอย่างมิทันตั้งตัว หูของนางแดงก่ำขึ้นมาในทันที วินาทีต่อมา ลั่วชิงยวนล้มลงบนพื้น ส่วนฟู่เฉินหวนกดนางอยู่ใต้ร่างแทน “ท่านมีเหตุผลหน่อยสิ! นั่นคือของหม่อมฉัน!” ลั่วชิงร้อนรนจนใบหน้าแดงก่ำ เหตุใดนางต้องตอบเขามากมายเช่นนั้นด้วย? แต่มือทั้งสองถูกเขาควบคุมไว้ ลั่วชิงยวนถูกกดไว้จนขยับมิได้โดยสิ้นเชิง นัยน์ตาของนางเต็มไปด้วยความโกรธเคือง ฟู่เฉินหวนมองลั่วชิงยวนที่กำลังโมโห มีแวบหนึ่งที่เขารู้สึกว่านางก็น่ารักดี… แสงไฟตกกระทบบนใบหน้ากลมของนาง แก้มของนางแดงระเรื่อ จมูกจิ้มลิ้ม ดวงตาทั้งบริสุทธิ์และมั่นคง คิ้วของฟู่เฉินหวนขมวดแน่นกว่าเดิม ก็แค่หญิงอัปลักษณ์มิใช่หรือ? เหตุใดเขาจึงมีความคิดเช่นนี้ได้ สายตาของเขาไม่ดี หรือใบหน้าของลั่วชิงยวนเกิดการเปลี่ยนแปลงจริง ๆ กันแน่? เขามิเคยสังเกตมาก่อน ลั่วชิงยวนมิรู้ว่า เหตุใดเขาจึงสติหลุด นางฉวยโอกาสแย่งเข็มทิศมาในทันที ฟู่เฉินหวนได้สติ กำลังจะแย่งกลับมา ลั่วชิงยวนยัดเข็มทิศเข้าไปในหน้าอกทันที มือที่จะแย่งของของฟู่เฉินหวนชะงักอยู่เหนือหน้าอกของนาง มุมปากของลั่วชิงยวนกระตุกเ
"ใช่ แสดงความฉลาดของเจ้าออกมาสิ" "เจ้าน่าจะรู้ว่าตัวเองควรทำกระไรมิใช่รึ" ทั้ง ๆ ที่ฟู่เฉินหวนน้ำเสียงเย็นชา แต่กลับทำให้โทสะท่วมท้นจิตใจของลั่วชิงยวนซึ่งทำให้นางต้องรีบสะกดกลั้นเอาไว้ ไม่น่าแปลกใจเลยที่ฟู่เฉินหวนมีความคิดที่จะรวบอำนาจ ถึงแม้ว่านางจะขอเงินเพียงแค่พันตำลึงจากแม่ทัพใหญ่ฉินเป็นรางวัล แต่เรื่องนี้แม่ทัพใหญ่ฉินย่อมต้องมีเงื่อนไขอยู่แล้วซึ่งก็เท่ากับว่ามีเงื่อนไขกับตำหนักอ๋องไปด้วย ต่อให้ฟู่เฉินหวนไม่เอ่ยปาก แม่ทัพใหญ่ฉินก็จะกลายเป็นกำลังพลส่วนหนึ่งของฟู่เฉินหวนโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นนางจึงยกยิ้มมุมปากแล้วค่อย ๆ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงใสกระจ่างขึ้นมาว่า "ได้! หม่อมฉันช่วยท่านอ๋องก็ได้" "แต่ท่านอ๋องต้องให้สัญญากับหม่อมฉันข้อหนึ่งก่อน" เมื่อฟู่เฉินหวนได้ยินเช่นนี้เข้าก็มีวี่แววประหลาดใจพาดผ่านดวงตา จากนั้นเขาก็ขมวดคิ้ว "สัญญาเรื่องอันใด?" คงไม่ใช่เรื่องถุงหอมของมารดานางอีกหรอกนะ เขาทดสอบลั่วเยวี่ยอิงมาหลายครั้งและนางก็เอาถุงหอมมาหลอกตนอยู่หลายครั้งหลายครา แต่นางกลับไม่เคยมอบให้ลั่วชิงยวน มิหนำซ้ำยังแสร้งโง่อีกต่างหาก เขาไม่อาจฝืนใจรับเอาไว้ได้ ฉะนั้นของสิ่ง
คราวนี้นางเกือบเอาชีวิตไปทิ้งแล้ว เป็นความสะเพร่าของนางที่ตอนนั้นมัวแต่หมกมุ่นครุ่นคิดเรื่องรักษาดวงตาของฉินไป๋หลี่ โดยหารู้ไม่ว่าตนเองกำลังจะประสบเคราะห์ร้าย ฟู่เฉินหวนมองป้ายสัญลักษณ์ด้วยความตะลึงงันพลางพึมพำว่า "ตระกูลหลิว..." ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วมุ่น "ท่านอ๋อง ท่านพูดว่าตระกูลหลิวเช่นนั้นหรือ?" "หลิวฮุ่ยเซียง?" พอฟู่เฉินหวนรู้ตัวก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า "เจ้าได้ยินผิดแล้ว ข้าจะไต่สวนเรื่องหอชิงเฟิงเอง เจ้าไม่ต้องมายุ่งหรอก" ฟู่เฉินหวนเก็บป้ายสัญลักษณ์ไปโดยไม่ส่งคืนให้แก่ลั่วชิงยวน ลั่วชิงยวนคิดว่าคราวนี้เกือบจะเกิดเรื่องขึ้นกับฟู่เฉินหวนเข้าแล้ว ต่อให้เขาไม่ได้ช่วยนางแก้แค้น แต่ก็น่าจะต้องระบายโทสะด้วยการหาตัวผู้บงการอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ออกมาให้จงได้ ฉะนั้นนางจึงไม่ได้ขอป้ายสัญลักษณ์คืน นางขดตัวกับกองไฟเพื่อทำให้ร่างกายอบอุ่น ไม่นานศีรษะก็ชักจะเริ่มหนักเพราะทนความง่วงงุนไม่ไหว นางจึงล้มตัวลงนอนขดกับพื้นแล้วหลับไป ฟู่เฉินหวนครุ่นคิดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้อยู่เป็นนาน เมื่อเขารู้สึกตัวอีกทีก็เห็นว่าลั่วชิงยวนได้หลับไปเสียแล้ว ทว่ายามราตรีอากาศหนาวเหน็บ แ
ฟู่เฉินหวนอุ้มลั่วชิงยวนเดินมาไกลด้วยความร้อนใจ กระทั่งในที่สุดเขาก็มองเห็นเรือหลายลำในแม่น้ำ เป็นคนจากตำหนักอ๋อง! ฟู่เฉินหวนรีบอุ้มลั่วชิงยวนไปที่ริมฝั่งแม่น้ำ "ตรงนั้น ตรงนั้นไง! ท่านอ๋องอยู่ตรงนั้น ท่านอ๋องอยู่ตรงนั้น!" เมื่อคนที่อยู่บนเรือมองเห็นพวกเขาก็ร้องอุทานขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น…… ลั่วชิงยวนถูกพาตัวกลับมาที่ตำหนักอ๋อง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสร้างความโกลาหลและตื่นตระหนกกันไปทั้งตำหนัก ดังนั้นองค์จักรพรรดิจึงส่งตัวหมอหลวงมาเป็นพิเศษ ทั่วทั้งตำหนักยุ่งง่วนกันมาทั้งวัน ในที่สุดก็ช่วยชีวิตของนางเอาไว้ได้ เมื่อลั่วชิงยวนตื่นขึ้นมาด้วยอาการมึนงง นางก็รู้สึกศีรษะหนักอึ้งและอ่อนเปลี้ยเพลียแรงไปทั่วทั้งตัวเสียจนลุกขึ้นนั่งไม่ไหว "พระชายา โชคดีที่ท่านไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ..." จือเฉาค่อย ๆ เก็บผ้าห่ม "ท่านอ๋องกลับมาแล้วงั้นรึ?" เมื่อลั่วชิงยวนตื่นขึ้นมา ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดนางจึงเอ่ยถึงฟู่เฉินหวนเป็นอย่างแรก "ท่านเสด็จกลับมาแล้วเจ้าค่ะ ตอนที่ท่านอ๋องอุ้มท่านกลับมาค่อนข้างตื่นตระหนกทีเดียว ท่านอ๋องดูเหมือนจะเป็นห่วงท่านแทบตายเชียวนะเจ้าคะ" เมื่อจือเฉานึกถึงเรื่องนี้ก็ให้รู้ส
"ถ้าหากท่านอ๋องแสดงท่าทีลำเอียง พระชายาคิดจะขอความช่วยเหลือจากองค์ชายห้าหรือไม่เจ้าคะ?" เมื่อลั่วชิงยวนได้ยินเช่นนี้ นางก็รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้างแล้วรีบโบกมือปฏิเสธทันที "เจ้าไม่ต้องไปหาองค์ชายห้าและห้ามบอกเรื่องพวกนี้กับท่านเด็ดขาด ท่านตกที่นั่งลำบากจนแทบจะปกป้องตัวเองมิได้อยู่แล้ว ท่านจะมาขอร้องแทนข้าได้อย่างไรกันเล่า? เรื่องนี้หาได้เกี่ยวข้องอะไรกับองค์ชายห้าไม่ ตัวข้าเองก็มิอยากให้ท่านต้องเอาตัวเข้ามาพัวพันด้วย" เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกี่ยวพันกับหอชิงเฟิงและลั่วเยวี่ยอิง สถานการณ์ระหว่างพวกนางทั้งสามคนก็ยุ่งยากมากพออยู่แล้ว ถ้ามีฟู่อวิ๋นโจวเข้ามาพัวพัน เรื่องราวก็รังแต่จะเกิดปัญหาและยุ่งยากขึ้นไปอีก แม่นมเติ้งผงกศีรษะ "เพคะ หม่อมฉันจะทำตามคำสั่งของพระชายา" "แต่เรื่องนี้ควรจะทำเช่นไรดีหรือเจ้าคะ?" แม่นมเติ้งเองก็รู้สึกเศร้าใจแทนพระชายาที่ต้องประสบเคราะห์ร้ายมากเสียจนแทบจะต้องเอาชีวิตไปทิ้งอยู่แล้ว ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วพลางครุ่นคิด "ก่อนอื่นต้องพักฟื้นให้หายดี ตัวข้าเองก็อยากจะรู้ว่า ฟู่เฉินหวนจะจัดการเรื่องนี้เช่นไร" ดังนั้นนางจึงอยู่แต่กินโอสถแล้วพักฟื้นในห้องโด
ลั่วชิงยวนรู้สึกตกใจและต่อต้านอยู่บ้าง "บอกว่าข้าไม่ไปเพราะยังไม่หายดี" ทว่าแม่นมเติ้งกลับเอ่ยขึ้นด้วยความจนใจว่า "บ่าวเกรงว่าจะทำเช่นนั้นมิได้เจ้าค่ะ จิ่นชูมารับท่านด้วยตัวเองและรถม้าก็เตรียมเอาไว้พร้อมแล้ว แม้แต่หมอหลวงก็มาด้วย" หมอหลวงก็มาด้วยเช่นนั้นหรือ? ต่อให้ต้องตายก็ต้องพานางเข้าวังให้ได้ใช่หรือไม่? ขณะที่นางเพิ่งจะพูดจบ นางก็เห็นจิ่นชูเดินนำหน้าหมอหลวงเข้ามาในเรือน "พระชายาอาการเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ? ไทเฮารับสั่งให้ข้าพาหมอหลวงเลี่ยวมาตรวจอาการพระชายาเป็นพิเศษ และขอเชิญพระชายาเข้าวังไปสนทนากันสักครู่เจ้าค่ะ" ลั่วชิงยวนไอสองครั้งแล้วบอกว่า "ในเมื่อข้าต้องเข้าวัง เช่นนั้นก็ให้ข้าได้แต่งตัวสักหน่อยเถอะ" แต่จิ่นชูกลับพูดว่า "ไทเฮารับสั่งว่า พระชายาไม่จำเป็นต้องแต่งตัวหรอกเจ้าค่ะเมื่อไทเฮานึกได้ว่าพระชายาไม่สบาย ย่อมไม่โทษท่าน" "พระชายาเชิญทำตัวตามสบายเถิดเจ้าค่ะ" ลั่วชิงยวนไม่มีทางเลือกนอกจากพยักหน้าให้แม่นมเติ้งสวมเสื้อคลุมให้ จากนั้นนางก็ตามจิ่นชูออกไปจากตำหนัก หลังจากขึ้นรถม้าแล้ว พวกเขาก็เดินทางเข้าวัง หมอหลวงจับชีพจรให้นางอยู่ในรถม้าพลางกล่าวว่า "ถึงแม้ว่า
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน
คนของถูหมิงตายไปหมดแล้ว เหลือเพียงฉีเสวี่ยเวยเท่านั้นในขณะที่พวกเขาเดินทางไปยังถ้ำแห่งที่หกในคืนนั้นผลลัพธ์ที่ได้กลับน่าผิดหวังเพราะในถ้ำว่างเปล่า“ดูเหมือนว่าพวกเราจะมาช้าไปก้าวหนึ่ง”ถูหมิงขมวดคิ้ว “เหลืออีกหนึ่งชิ้น ทำอย่างไรดี? หรือว่าความพยายามทั้งหมดของเราจะสูญเปล่า?”พวกเขาวุ่นวายมาหลายวัน เดินทางไปเกือบทั่วทั้งภูเขาแล้วหากสมบัติหายไปเช่นนี้ เขาคงต้องฆ่าสตรีผู้นี้เป็นแน่!ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วครุ่นคิด แล้วกล่าวว่า “เหลืออีกหนึ่งชิ้นก็เหลืออีกหนึ่งชิ้น”“หาที่ปลอดภัยก่อน”จากนั้นพวกเขาก็มายังป่าที่ค่อนข้างสะอาด ไม่มีพุ่มไม้หรือวัชพืชหนาแน่นบนพื้นมากนัก ค่อนข้างโปร่งโล่งหีบทั้งห้าใบวางอยู่บนพื้นลั่วชิงยวนกล่าวว่า “เปิดหีบกันเถิด”ทันใดนั้นดวงตาของถูหมิงก็เป็นประกาย “เปิดได้หรือ?”เขาเห็นว่าบนหีบมีแต่อักขระสีเลือดปกคลุมอยู่ จึงยั้งมือไว้หลายครั้งแม้จะอยากเปิดก็ตามเมื่อได้ยินเช่นนี้จึงรีบเปิดหีบทันทีแต่เมื่อเปิดออกแล้ว ร่างกายของเขาก็แข็งทื่อไปศพ?!ทั้งยังเป็นศพที่ถูกชำแหละอีกด้วย?ฉีเสวี่ยเวยก็ตกใจกลัวลั่วชิงยวนกลับสงบสติอารมณ์ สั่งให้โฉวสือชีและคนใบ้ช่วย
“ใครกัน?!”ลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วตอบเสียงแผ่ว “ซูเซียง”“แต่ตอนนี้ควรเรียกนางว่าโหยวเซียง”“ภารกิจที่พวกเจ้าได้รับก็เป็นเพียงการละเล่นของนางเท่านั้น”“นางต้องการให้พวกเจ้าฆ่ากันเอง”และภารกิจหนังหน้าของหญิงงามที่ฉีเสวี่ยเวยได้รับ ก็คงเป็นการล่อลวงให้ฉีเสวี่ยเวยมาฆ่านางหากสามารถยืมมือคนอื่นฆ่าคนได้ โหยวเซียงก็มิจำเป็นต้องเปิดเผยตัวตนเพียงแต่โหยวเซียงคาดมิถึงว่าฉีเสวี่ยเวยจะฆ่านางมิได้ กระทั่งโหยวเซียงเองก็ฆ่านางมิได้“โหยวเซียงหรือ? นางเป็นคนของเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้หรือ?” ฉีเสวี่ยเวยมองนางอย่างมิเชื่อสายตา“มิแปลกใจเลย… นางท้องแก่ถึงเพียงนั้นยังกล้ามาที่นี่ได้”ลั่วชิงยวนเห็นว่าใกล้รุ่งสางแล้ว จึงให้โฉวสือชีแก้เชือกที่มัดฉีเสวี่ยเวยไว้“ข้าจะยังมิฆ่าเจ้าตอนนี้”“มิว่าเรื่องที่เจ้ากล่าวมาจะเป็นจริงหรือไม่ก็มิสำคัญ ข้าก็มิกลัวว่าเจ้าจะไปบอกเรื่องนี้กับถูหมิง”“หากเจ้าไปบอก เรื่องเดียวที่จะเป็นผลเสียต่อพวกข้าก็คือต้องแบกหีบเพิ่มอีกมิกี่ใบ”“เพียงเท่านั้น”มิใช่เรื่องคอขาดบาดตายที่นางทำเป็นร่วมมือกับถูหมิง ก็เพียงต้องการใช้คนของเขาไปขวางทางศพชายที่ถูกผนึกไว้ในถ้ำ
“แม้จะต้องยอมตายไปพร้อมกับถูหมิง ข้าก็ยินดี!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ตกตะลึง แต่ก็ยังคงสงสัยอยู่บ้าง“แต่เจ้าสนิทสนมกับถูหมิงถึงเพียงนั้น น่าจะมีโอกาสฆ่าเขาได้นับครั้งมิถ้วน”ฉีเสวี่ยเวยขมวดคิ้วแน่น ดวงตาแดงก่ำ “แท้จริงแล้วคนผู้นั้นระแวดระวังตัวมาก หากมิใช่เพราะต้องการลดความระแวดระวังของเขา ข้ากับชายมากหน้าหลายตาก็คงมิ...”เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ฉีเสวี่ยเวยก็เม้มริมฝีปากแน่นหลังจากกล้ำกลืนความรู้สึกแล้ว จึงกล่าวต่อ “ในป่าครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่เขาใกล้ชิดข้า เดิมทีตอนนั้นข้ามีโอกาสที่จะฆ่าเขาได้!”“แต่เจ้าปีศาจฝูเหมิ่งนั่นบังเอิญมาขวาง!”“หากมิใช่เพราะเขา ข้าคงทำสำเร็จไปแล้ว!”ฉีเสวี่ยเวยกัดฟันพูด เต็มไปด้วยความเคียดแค้นลั่วชิงยวนรู้สึกประหลาดใจ เมื่อเห็นสีหน้าของฉีเสวี่ยเวย ในดวงตาของนางเต็มไปด้วยความแค้น ดูมิเหมือนคนโกหกทำให้นางเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อฉีเสวี่ยเวยไปบ้างขณะที่ลั่วชิงยวนยังคงครุ่นคิด ฉีเสวี่ยเวยก็มองมาที่นาง “เจ้ายังมิเชื่อข้าหรือ?”“ขอเพียงเจ้าฆ่าถูหมิงได้ ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อเจ้า! ข้าจะบอกสิ่งที่เจ้าอยากรู้ทุกอย่าง!”ลั่วชิงยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ลั่วชิงยวนนอนนิ่งอยู่บนเตียง มิกล้าขยับกายทว่างูตัวนั้นกลับกัดข้อเท้านางอย่างแรงหนึ่งครั้ง จากนั้นก็รีบเลื้อยหนีไปรออยู่ครู่หนึ่ง ฉีเสวี่ยเวยเห็นว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ จึงเปิดประตูเข้ามานางมิอาจมั่นใจได้ว่าพวกคนใบ้จะกลับมาเมื่อใด จึงมิกล้าเสียเวลานานหลังจากปิดประตูอย่างระแวดระวังแล้ว นางก็มายังปลายเตียง จ้องมองข้อเท้าของลั่วชิงยวนอย่างละเอียด ปรากฏว่าถูกงูกัดจริง ๆ นางต้องตายเพราะพิษนี้แน่นอน!ทันใดนั้นเอง ฉีเสวี่ยเวยก็ชักกริชออกมาแล้วเดินไปยังหัวเตียง ค่อย ๆ จรดใบมีดลงบนใบหน้าของลั่วชิงยวนแต่ในพริบตานั้นเอง ลั่วชิงยวนก็ลืมตาขึ้นมาจ้องมองนางด้วยสายตาอาฆาตแค้นฉีเสวี่ยเวยพลันตกใจ แต่ก็มิได้หนีในทันที เพราะนางคิดว่าลั่วชิงยวนโดนพิษงูเข้าไปแล้ว อย่างไรก็ต้องตายอยู่ดีลั่วชิงยวนรีบคว้าข้อมือของฉีเสวี่ยเวยไว้เพื่อแย่งชิงกริชมาจากนางฉีเสวี่ยเวยก็ลงมือโจมตีเช่นกัน เพียงแต่นางคาดมิถึงว่าสตรีผู้นี้ที่ถูกพิษแล้วจะยังมีพละกำลังมากมายถึงเพียงนี้หลังจากทั้งสองต่อสู้กันครู่หนึ่งในห้อง ฉีเสวี่ยเวยก็พ่ายแพ้ ถูกลั่วชิงยวนจับกดไว้บนโต๊ะฉีเสวี่ยเวยตกใจมาก “เจ้า
“แน่นอน”“อีกอย่าง เมื่อหาของเหล่านี้ครบแล้วเมืองแห่งภูตผีทั้งเมืองก็จะเป็นของพวกเรา แล้วยังต้องขึ้นเขาไปเอาของเล็ก ๆ น้อย ๆ นั่นหาปะไร”คำพูดนี้กระตุ้นความโลภในใจของทุกคนที่อยู่ตรงนั้นอย่างมิต้องสงสัยพวกเขาจึงมิลังเลอีกต่อไป รีบติดตามลั่วชิงยวนไปยังเส้นทางเดิมตลอดทางยังมีงูมากมาย ลั่วชิงยวนก็หาสมุนไพรบางชนิดตลอดทางแล้วมอบให้ทุกคนผูกติดไว้บนตัวและทาตามเท้า เพื่อให้กลิ่นของสมุนไพรนั้นช่วยไล่งูดังนั้นการเดินทางของพวกเขาจึงราบรื่นดี เมื่อยามค่ำคืนมาเยือนพวกเขาก็ออกมาจากบ่อน้ำพุร้อนนั้นอีกครั้งพวกเขากลับมายังหมู่บ้านเดิมในช่วงกลางดึกสงัดในหมู่บ้านยังมีอาหารหลงเหลืออยู่ ดังนั้นทุกคนจึงหยุดพักกินอาหารกันก่อนเมื่อฟื้นฟูพละกำลังได้แล้วคนทั้งหมดก็ออกเดินทางต่อมาถึงสุสานเดิม ยามนี้วิญญาณอาฆาตเต็มไปทั่วทั้งภูเขา พลังหยินแผ่ซ่านไปทั่วเมื่อลั่วชิงยวนมาถึงที่แห่งนั้นก็พบว่าปากถ้ำเปิดออกแล้วมีคนกล่าวขึ้นว่า “วันนั้นฝูเหมิ่งก็มาที่นี่!”ลั่วชิงยวนตกใจเล็กน้อยเมื่อเข้าไปในถ้ำแล้ว ภาพที่ปรากฏด้านในนั้นมิเปลี่ยนแปลงมากนัก สิ่งที่เปลี่ยนไปเพียงอย่างเดียวคือโลงศพที่ถูกล่ามโซ่นั้นระเบ
เมื่อได้ยินดังนั้น ความโลภก็ปรากฏในดวงตาของถูหมิง ใครเล่าจะมิปรารถนาสมบัติของเมืองแห่งภูตผี เขาตอบตกลงในทันที “ได้”ลั่วชิงยวนกล่าวต่อว่า “แต่การนำของสิ่งนี้มาจะต้องเผชิญกับอันตรายบ้าง ดังนั้นอาจจะต้องมีคนของเจ้าสละชีวิต”“แต่คนมากก็แบ่งกันได้น้อย คนตายไปบ้างก็มิจำเป็นต้องสนใจความเป็นความตายของพวกเขา”“ความลับนี้ข้าบอกเพียงเจ้าเท่านั้น เจ้าอย่าได้แพร่งพรายให้ผู้ใดรู้เชียว”“โดยเฉพาะฉีเสวี่ยเวย”เมื่อได้ยินดังนั้นถูหมิงก็หันกลับไปมอง แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็มิเคยสนใจความเป็นความตายของคนเหล่านั้นอยู่แล้ว“หาได้มีปัญหาไม่!”ถูหมิงรับปากอย่างง่ายดาย แต่ลั่วชิงยวนกลับยังคงระแวดระวัง “ยังมีเรื่องที่ต้องบอกเจ้าอีกอย่าง กองทัพของเมืองแห่งภูตผีถูกพวกข้าปลุกปั่นแล้ว คาดว่าอีกมินานคงไล่ตามมา”“ก่อนที่จะหาของทั้งหกชิ้นพบ อย่าได้คิดที่จะทำสิ่งใดนอกเหนือจากนี้ ท้ายที่สุดแล้ว พวกเราต้องร่วมมือกันต่อสู้กับศัตรู หากถูกพวกมันจับได้คงไม่มีใครมีจุดจบที่ดี”สีหน้าของถูหมิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย มิคาดคิดว่าสตรีผู้นี้จะเก่งกาจมากถึงเพียงนี้ กระทั่งปลุกกองทัพของเมืองแห่งภูตผีขึ้นมาได้ดูเหมือนว่าสิ่งที่นางต้