ลั่วชิงยวนตกใจ รีบแต่งตัวแล้วสวมเสื้อคลุมตัวหนาเมื่อมาถึงก็เห็นเพียงซูโหยวกำลังสั่งให้คนแบกศพออกไปลั่วชิงยวนเข้าไปเปิดผ้าคลุมออก จึงเห็นร่างไร้วิญญาณของลั่วเยวี่ยอิงร่างกายแข็งทื่อ สวมชุดเนื้อผ้าบางเบา ผิวหนังที่มือและเท้ามีรอยน้ำแข็งกัดนางนอนตายอยู่ท่ามกลางหิมะทั้งคืนเลยหรือ?“นางตายได้อย่างไร?” ลั่วชิงยวนอยากจะเปิดผ้าคลุมออกตรวจดูให้ละเอียดซูโหยวรีบห้ามไว้ “พระชายากำลังป่วย อย่าสัมผัสสิ่งสกปรกเลยขอรับ”“นางหนาวตาย นอนอยู่ในหิมะทั้งคืน”“เมื่อมีคนมาพบตอนเช้า ร่างของนางก็แข็งทื่อแล้วขอรับ”“ข้าจะให้คนนำศพออกไปขอรับ”พูดจบ ซูโหยวก็พาลูกน้องจากไปลั่วชิงยวนยืนมองศพที่ถูกแบกออกไป แล้วรู้สึกแปลกใจเกิดอะไรขึ้น ลั่วเยวี่ยอิงตายเช่นนี้ได้อย่างไร?หลังจากครุ่นคิดแล้ว บางทีฟู่เฉินหวนอาจจะรู้สึกตัวหลังจากทำร้ายนาง จึงสั่งให้ซูโหยวไปฆ่าลั่วเยวี่ยอิงหรือ?มิรู้ว่าการตายของลั่วเยวี่ยอิงจะส่งผลต่อร่างกายของฟู่เฉินหวนหรือไม่เขาคงปวดหัวอย่างหนักลั่วชิงยวนคิดจะไปดูอาการฟู่เฉินหวนแต่กลับทราบว่าฟู่เฉินหวนออกไปตั้งแต่เช้า คงจะเข้าวังไปแล้วลั่วชิงยวนจึงเข้าวังเช่นกันทันทีที่ออ
ความรู้สึกขมขื่นกัดกินหัวใจหากครั้งนั้นเขามิได้หลอกลวงลั่วชิงยวน หากเขาจริงใจต่อนางตั้งแต่แรก ผลลัพธ์คงต่างออกไป.........ท่ามกลางพายุหิมะร่างไร้วิญญาณของลั่วเยวี่ยอิงถูกโยนทิ้งไว้ในสุสานไร้ญาติปราศจากพิธีกรรมฝังศพใด ๆ ทิ้งแล้วก็จากไปเลยในเงามืดมีเงาดำทะมึนสะกดรอยตามเงียบ ๆ มาจนถึงสุสานรอจนคนพวกนั้นจากไป ลั่วฉิงจึงรีบวิ่งเข้ามาดูตรวจสอบแล้วพบว่าลั่วเยวี่ยอิงสิ้นใจแล้วจริง ๆ เมื่อมองบาดแผลที่หน้าอกของศพ ลั่วฉิงก็ตกใจ นี่คือรอยแผลจากเขี้ยวเหล็กฟู่เฉินหวนช่างเหี้ยมหาญนัก เขาใช้วิธีนี้ฆ่าคน มิกลัวตายบ้างหรืออย่างไร!น่าเสียดาย ลั่วเยวี่ยอิงเป็นหมากที่ดี แต่กลับต้องตายไปเสียแล้วแต่ก็ต้องโทษที่นางโง่เองลั่วฉิงกำลังจะจากไปด้วยความมิพอใจแต่แล้วก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ จึงหันกลับมามองศพของลั่วเยวี่ยอิงนัยน์ตาฉายแววเย็นชาแล้วค่อย ๆ เดินไปนั่งยอง ๆ ข้างศพ จากนั้นกัดฟันแน่นโผเข้าหาศพ แล้วกัดกินเนื้ออย่างบ้าคลั่งเลือดจากศพสาดกระเซ็นน่าสยดสยองยิ่งนักมีคนเดินผ่านมาพอดี เมื่อเห็นเงาร่างคุกเข่ากัดกินศพอยู่ไกล ๆ ก็ตกใจจนทิ้งของในมือ แล้ววิ่งหนีไปลั่วฉิงได้ยินเสียงจึงห
ลมหนาวพัดหอบเอาหิมะโปรยปรายกระทบใบหน้างามจนระบมเจ็บยิ่งนักซ่งเชียนฉู่ฝ่าลมและหิมะติดตามเฉินเซี่ยวหานมุ่งหน้าสู่หุบเขาลึกโชคยังดีที่ฝนมิได้โปรยปรายลงมา เส้นทางยามราตรีจึงพอเดินได้สะดวกครั้นเมื่อเฉินเซี่ยวหานมาถึงถ้ำงูแห่งเดิม นางก็ตกตะลึงยิ่งนัก เฉินเซี่ยวหานรู้จักสถานที่แห่งนี้ได้อย่างไร?นางสะกดกลั้นความหวาดหวั่นเดินตามเข้าไปในถ้ำ บรรยากาศเย็นยะเยือกส่งผลให้ขนลุกชันทั่วกายลัดเลาะไปตามทางคดเคี้ยว อุณหภูมิเริ่มอุ่นขึ้นบ้างเส้นทางนี้ช่างคุ้นเคย นางเคยมาเยือนที่นี่เมื่อกลางวันเพื่อนำยาไปมอบให้ฉู่จิ้งกระทั่งบัดนี้ นางยังมิอาจหยั่งรู้ได้ว่าเหตุใดเฉินเซี่ยวหานจึงมาที่นี่ในยามวิกาลทันใดนั้น เสียงหอบหายใจก็ดังขึ้น ทำเอานางขนหัวลุกหวาดกลัวในใจ แต่ก็ฝืนใจเดินเข้าไปภาพเบื้องหน้าทำให้นางตกตะลึงราชันย์อสรพิษถูกตาข่ายคลุมไว้ บนตาข่ายเต็มไปด้วยโลหิตและยันต์อาคมที่นางอ่านมิออกราชันย์อสรพิษพยายามดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง เกล็ดแข็งทั่วร่างไหม้เกรียมส่งเสียงดังฉ่าส่วนเฉินเซี่ยวหานชักดาบสั้นออกมาอย่างรวดเร็วซ่งเชียนฉู่ตกใจยิ่งนัก“หยุดนะ!” นางตะโกนพลางวิ่งเข้าไปเฉินเซี่ยวหานสะดุ้
ซ่งเชียนฉู่สะดุ้งตกใจนัก รีบกางแขนขวางหน้าเฉินเซี่ยวหานพลางมองราชันย์อสรพิษเลื้อยลงไปจากหน้าผาแต่นางกลับเหยียบอยู่บนตาข่ายดักอสรพิษเมื่อราชันย์อสรพิษร่วงลงสู่ผืนน้ำ น้ำหนักมหาศาลจึงฉุดร่างนางร่วงลงไปด้วยร่างบอบบางพลัดตกลงจากปากถ้ำจมดิ่งสู่ห้วงน้ำเบื้องล่าง“เชียนฉู่!” เฉินเซี่ยวหานตกใจสุดขีด รีบวิ่งไปยังปากถ้ำแล้วมองลงไปเบื้องล่าง เห็นเพียงห้วงน้ำลึกดำมืด เขากัดฟันแน่นก่อนจะรีบวิ่งออกจากถ้ำอ้อมไปยังทิศทางของห้วงน้ำซ่งเชียนฉู่ตกสู่ห้วงน้ำเย็นยะเยือก ร่างกายถูกโอบล้อมด้วยความหนาวเหน็บจนแทบขาดใจ นางดิ้นรนสุดกำลังท่ามกลางห้วงน้ำลึก ราชันย์อสรพิษรัดร่างนางไว้ แล้วพาว่ายออกจากห้วงน้ำเย็นอย่างรวดเร็วแม้รอดพ้นจากห้วงน้ำ แต่นางยังคงหนาวสั่นไปทั้งตัวในขณะนั้น เฉินเซี่ยวหานก็ตามมาถึงพอดีนางยังมิทันตั้งสติ ราชันย์อสรพิษก็รัดร่างนางแล้วพาเข้าไปซ่อนตัวในพงหญ้า“หยุดนะ!” เฉินเซี่ยวหานรีบวิ่งตามมาราชันย์อสรพิษรัดนางหลบหนีมุ่งหน้าสู่ป่าลึกบนภูเขาสายลมพัดหิมะปกคลุมพื้น ร่องรอยต่าง ๆ จึงเลือนหายไปอย่างรวดเร็วเฉินเซี่ยวหานไล่ตามมิทันเขาร้อนรนใจและรู้สึกเสียใจยิ่งนัก และรีบออก
ซ่งเชียนฉู่กลับมานั่งข้างกองไฟ อาศัยไออุ่นในถ้ำผิงอาภรณ์ให้แห้งแม้กระนั้นก็ยังคงหนาวสั่น ศีรษะหนักอึ้งนางอิงกายกับผนังถ้ำ อยากข่มตานอน แต่ก็มิอาจข่มตาลงได้ ใจจดจ่ออยู่กับภายนอกถ้ำนางยังพอมีที่กำบังลมหนาว แล้วราชันย์อสรพิษเล่าจะเป็นเช่นไรเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสแต่กลับกลัวว่านางจะหวาดกลัวจึงยอมออกไปข้างนอกถ้ำ มิยอมให้นางเห็นนางรู้สึกสะเทือนใจยิ่งนักยิ่งคิดถึงเฉินเซี่ยวหานก็ยิ่งรู้สึกน้อยใจและโกรธมากขึ้นไปอีก นางอดมิได้ที่จะกอดเข่าร้องไห้สะอึกสะอื้นในพงหญ้านอกถ้ำ ราชันย์อสรพิษเฝ้ามองร่างในถ้ำอย่างเงียบเชียบเห็นนางร้องไห้ปานจะขาดใจ แต่ก็มิกล้าเข้าไปปลอบโยน......หลังจากทรมานอยู่จนฟ้าสาง ซ่งเชียนฉู่ก็ป่วยเป็นไข้และเริ่มไอกองไฟในถ้ำมอดดับลงแล้วซ่งเชียนฉู่เอนตัวพิงผนังถ้ำ ร่างกายร้อนรุ่มไปหมด แต่ก็หนาวจนต้องขดตัวฉู่จิ้งเห็นดังนั้นก็รู้ทันทีว่านางกำลังเป็นไข้ตัวร้อนต้องรีบพานางออกไปจากที่นี่“ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ”ซ่งเชียนฉู่ตื่นขึ้นมาด้วยความสะลึมสะลือแล้วเห็นราชันย์อสรพิษอยู่ที่ทางเข้าถ้ำเมื่อรู้ว่าเขาจะพานางลงเขา นางจึงลุกขึ้นเดินตามนางเดินตามเขามุ่งหน้าลงจากเขาไปร
ซ่งเชียนฉู่โกรธจนตัวสั่น หันหลังวิ่งลงเขาไปแต่ทางลงชันนัก ทำให้เท้าพลาดลื่นไถล ร่างกลิ้งตกเขาไปเฉินเซี่ยวหานตกใจสุดขีด รีบวิ่งลงไปช่วยนางแต่ก็มิอาจไล่ตามความเร็วของร่างที่กลิ้งตกลงไปได้ทันนางกลิ้งลงมาจนถึงตีนเขาเมื่อเฉินเซี่ยวหานวิ่งตามมาถึง นางก็หยุดนิ่ง“เชียนฉู่ เป็นอย่างไรบ้าง? เจ็บตรงไหนหรือไม่? ข้าจะแบกเจ้าเอง!” เฉินเซี่ยวหานรีบเข้าไปหมายจะแบกนางขึ้นหลังแต่ซ่งเชียนฉู่ผลักเขาออกแล้วคว้ากิ่งไม้ข้างกายมาพยุงตัวลุกขึ้น เดินกะเผลกออกจากป่า“เชียนฉู่ เจ้าบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่? ข้าจะพาเจ้ากลับไปทำแผล” เฉินเซี่ยวหานเอ่ยอย่างร้อนใจนางพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “อย่าตามข้ามา”พูดจบนางก็ใช้ไม้เท้าค้ำยันเดินจากไปอย่างรวดเร็วเฉินเซี่ยวหานเป็นห่วงจึงเดินตามไปตลอดทางและพยายามจะอธิบาย“เชียนฉู่ ตอนแรกข้าเข้าใกล้เจ้าก็เพื่อดีงูจริง ๆ”“ตอนนั้นพ่อของข้าป่วย หมอบอกว่าใช้ดีงูรักษาได้ ข้าจึงสืบหาจนรู้ว่าเจ้ามีดีงู”“แต่ข้ามิเคยคิดร้ายต่อเจ้า มิเคยคิดจะหลอกใช้เจ้าเลย”“พวกเขาเคยใช้ชีวิตคนในครอบครัวข้ามาบีบบังคับ แต่ข้ามิยอม ข้ามิเคยทำร้ายเจ้า ตอนที่อยู่กับเจ้า ข้าจริงใจ!”“จนกระทั่
ลั่วชิงยวนฟังซ่งเชียนฉู่เล่าหลังจากร่ำไห้พร่ำเพ้อแล้วหัวใจพลันหนักอึ้งนางมิเคยคาดคิดมาก่อนว่าเฉินเซี่ยวหานจะเข้าหาซ่งเชียนฉู่เพราะหมายปองดีงูเช่นกันซ่งเชียนฉู่ตัวร้อนจัด นางร้องไห้อยู่นานก็สลบไปลั่วชิงยวนจัดแจงให้นางพักผ่อน แล้วไปยังห้องข้าง ๆ เพื่อไปหาเฉินเซี่ยวหานเฉินเซี่ยวหานเห็นนางมาก็รีบถามไถ่ “นางเป็นอย่างไรบ้าง? เมื่อคืนนางตกน้ำ ซ้ำยังโดนความหนาวเย็นจากหิมะตกหนักอีก คงจะ...”ลั่วชิงยวนมองเขาด้วยสายตาเย็นชา “ท่านเป็นห่วงนาง แล้วเหตุใดจึงหลอกลวงนาง?”เฉินเซี่ยวหานก้มหน้าเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ย “บางเรื่องเมื่อโกหกไปแล้วก็มิอาจบอกความจริงได้อีก”“ข้าทนเห็นผลลัพธ์หลังจากนางรู้ความจริงมิได้”“เช่นเดียวกับตอนนี้”ลั่วชิงยวนเข้าใจความคิดของเขาแต่การโกหกเป็นสิ่งที่ผิดตั้งแต่แรก“ครอบครัวท่านถูกข่มขู่หรือ?”“ท่านเห็นสำนักหุบเขาซีหลิงจี้เยวี่ยถูกฆ่าล้างตระกูลจึงหวาดกลัว เลยคิดจะเอาดีงูหรือ?”เฉินเซี่ยวหานพยักหน้า “ตอนแรกที่ข้าเข้าใกล้นางเป็นการหลอกลวงจริง แต่เมื่อข้ารู้ว่านางไม่มีดีงู ข้าก็เลิกคิดแล้ว”“ข้ามิเคยคิดจะผ่าเอาดีงู พวกเขาบีบบังคับ ข้าก็บอกเพียงว่าซ่งเชี
“แล้วเชียนฉู่...”ลั่วชิงยวนตอบ “นางยังป่วยอยู่ ข้าจะดูแลนางเอง ท่านไปจัดการเรื่องครอบครัวก่อนเถิด”“ตกลง”เฉินเซี่ยวหานออกจากตำหนักอ๋องผู้สำเร็จราชการรุ่งเช้าวันต่อมาซ่งเชียนฉู่ตื่นแต่เช้านางมายังหน้าห้องลั่วชิงยวน“ชิงยวน”ลั่วชิงยวนลุกขึ้นนั่ง “เจ้าตื่นเช้าจัง”ซ่งเชียนฉู่สวมเสื้อคลุมหนาเดินเข้ามา ลมหายใจกลายเป็นไอ “อืม เมื่อคืนหิมะตก ตอนนี้หิมะก็ยังตกหนักมาก”ลั่วชิงยวนเห็นนางมีสีหน้ากังวลจึงถามพลางแต่งตัว “เป็นอะไรไป?”ซ่งเชียนฉู่ลังเล “มิรู้ว่าฉู่จิ้งเป็นอย่างไรบ้าง”“เป็นเพราะข้า เขาถึงบาดเจ็บสาหัส”เมื่อลั่วชิงยวนได้ฟังดังนั้นจึงนึกขึ้นได้“พอดีว่าวันนี้ข้าว่างพอดี ข้าจะไปพบเขาบนเขากับเจ้า นำยาไปให้เขาด้วย”ซ่งเชียนฉู่พยักหน้าทั้งสองจึงออกจากตำหนักแล้วออกจากเมืองหลวง มุ่งหน้าขึ้นเขาไปยังถ้ำงูเดิม แต่ฉู่จิ้งมิได้อยู่ที่นั่นทั้งสองจึงออกตามหาไปทั่วซ่งเชียนฉู่กังวล “ปกติข้าจะสัมผัสถึงพลังของเขาได้ แต่วันนี้กลับสัมผัสมิได้เลย เขาคงมิตายไปแล้วใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนปลอบใจ “มิหรอก เขาอาจจะเข้าสู่ช่วงจำศีล”“ลองหาดูก่อน”ทั้งสองหาอยู่บนเขานาน ในที่สุดก็พบร่า
ภายในห้องบรรทมอันโอ่อ่าฉินอี้เดินมาที่ข้างเตียงด้วยร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลยามนี้เกาเหมียวเหมี่ยวได้ทำแผลและกินโอสถเรียบร้อยแล้ว แต่ใบหน้าของนางยังคงซีดอยู่เล็กน้อยเมื่อเห็นฉินอี้เดินมาหาด้วยใบหน้าฟกช้ำและเปื้อนเลือด เกาเหมียวเหมี่ยวจึงมองเขาด้วยความมิอยากเชื่อ“ท่านแพ้ลั่วชิงยวนรึ?”ฉินอี้ขมวดคิ้วเป็นปม พลางมองบาดแผลของเกาเหมียวเหมี่ยวด้วยความกังวลและพูดว่า “เหมียวเหมี่ยว บาดแผลเจ้าสาหัสมาก ช่วงสองวันนี้เจ้าควรพักผ่อนให้ดีก่อน อย่าเพิ่งเดินไปไหนมาไหนเลย”ทว่าเกาเหมียวเหมี่ยวกลับมิได้สนใจในความห่วงใยของฉินอี้นางจ้องมองฉินอี้ด้วยความโมโหแล้วยกฝ่ามือฟาดไปหนึ่งฉาดฉินอี้มิประหลาดใจแม้แต่น้อย แต่กลับมองเกาเหมียวเหมี่ยวด้วยสีหน้าจริงจังและเป็นห่วง“เหมียวเหมี่ยว...”เกาเหมียวเหมี่ยวโมโหมากจนเอามือฟาดเขาสองครั้งติดต่อกันและแสดงความเกรี้ยวกราดออกมา “ขยะไร้ค่า! ขยะไร้ค่า!”“ท่านเป็นถึงองค์ชายผู้สูงส่ง แต่กลับถูกลั่วชิงยวนจัดการจนมีสภาพเช่นนี้ อับอายจนมิรู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ใด!”เกาเหมียวเหมี่ยวโกรธจนแทบอยากจะฉีกลั่วชิงยวนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยดวงตาของฉินอี้หรี่ลง แต่กลับมิได
แต่ขณะที่ทั้งสองคนกำลังต่อสู้กันอย่างสูสีวิชาฝ่ามือที่จู่โจมเข้ามาอย่างฉับพลันของลั่วชิงยวนทำให้ฉินอี้มิทันตั้งตัว เขาถูกรัวหมัดใส่อย่างต่อเนื่องจนลอยกระเด็นออกไป และกระอักเลือดออกมาการต่อสู้สิ้นจบลงในพริบตาเดียวหลายคนที่อยู่รอบด้านล้วนเห็นมิชัด“เมื่อครู่เกิดกระไรขึ้น?”“ต่อสู้กันอยู่มิใช่หรือ? เหตุใดจู่ ๆ ฉินอี้ถึงแพ้ได้เล่า?”ลั่วชิงยวนมองฉินอี้ด้วยสายตาเย็นชา “ดูเหมือนวรยุทธ์ขององค์ชายใหญ่จะเป็นอย่างที่คนเขาลือกันนะเพคะ”เทียบกับคนทั่วไปแล้ว วรยุทธ์ของฉินอี้ก็ถือว่ามิได้อ่อนด้อยเลยแต่สำหรับคนที่เป็นถึงองค์ชายนั้นช่างดูอ่อนแอนักเมื่อครู่ที่ลั่วชิงยวนลองทดสอบ ดูเหมือนว่าเขายังคงมีทักษะวรยุทธ์แบบเดียวกับที่เคยเรียนมาเมื่อก่อน และมิได้มีความก้าวหน้ามากนักเป็นเช่นนี้ได้อย่างไรหากฉินอี้เพียรพยายามมากกว่านี้ ผลลัพธ์ก็คงมิเป็นเช่นนี้ฉินอีจ้องนางด้วยโทสะ ดูเหมือนจะเจ็บใจที่วรยุทธ์ของตนอ่อนด้อยเกินไป ทำให้เสียงวิพากษ์วิจารณ์รอบข้างยิ่งบาดหูมากขึ้นไปอีกเขากัดฟันพลางกำหมัดแน่น และพุ่งเข้าหาลั่วชิงยวนอย่างดุร้ายเขามิยอมพ่ายแพ้เช่นนี้หรอกแต่เขากลับมิสามารถเอาชนะลั่วชิงย
ลั่วชิงยวนตกตะลึง อารมณ์ความรู้สึกของนางดำดิ่งเป็นไปตามที่นางคาดเดาเอาไว้ว่ามิเหลือแม้แต่ศพอย่างนั้นหรือ?“มิพบศพด้วยซ้ำ” อวี๋โหรวกล่าวเสียงขรึมดวงตาของลั่วชิงยวนหม่นลง ดูเหมือนว่าร่างนั้นจะถูกกำจัดไปแล้วจริง ๆ ส่วนจะกำจัดอย่างไรและทิ้งไว้ที่ไหน บางทีอาจมีเพียงฆาตกรเท่านั้นที่รู้“น่าเสียดายจริง ๆ” ลั่วชิงยวนทอดถอนใจด้วยความเสียดายอวี๋โหรวจ้องนางด้วยสายตาจริงจังและพูดอย่างหนักแน่น “มิน่าเสียดายหรอก ข้าเชื่อว่าเจ้าจะกลายเป็นนางคนต่อไป!”ทันใดนั้น สายตาที่จริงจังของอวี๋โหรวก็ทำให้ลั่วชิงยวนรู้สึกเย็นวาบไปถึงสันหลังและยังสงสัยด้วยว่าอวี๋โหรวจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่างหรือไม่ทว่าแม้แต่ศิษย์น้องหญิงก็จำนางมิได้ อีกทั้งอวี๋โหรวก็มิได้สนิทสนมกับนาง แล้วจะจำนางได้อย่างไรลั่วชิงยวนยิ้มและกล่าวว่า “ข้าจะถือว่านั่นคือคำปลอบใจก็แล้วกัน”อวี๋โหรวพูดอย่างจริงจัง “ข้ามิได้ปลอบใจเจ้า ข้าพูดจริง”หลังจากนั้น อวี๋โหรวก็ยิ้มอีกครั้งและพูดว่า “ทางข้ายังพอมียาอยู่บ้าง หากเจ้าต้องการอะไรก็บอกข้าได้เลย”ลั่วชิงยวนมิค่อยเข้าใจว่า เหตุใดอวี๋โหรวถึงทำดีกับนางนางมิค่อยรู้จักอวี๋โหรวมากนัก ในภาพจ
หรือเป็นเพราะเขาเชื่อมั่นในพลังความแข็งแกร่งของลั่วชิงยวน?แต่เมื่อมาครุ่นคิดดูตอนนี้ สตรีที่สามารถทำให้เซินฉีหลงใหลได้ถึงเพียงนี้คงไม่มีทางที่จะเป็นขยะไร้ค่าแม้จะมิได้แข็งแกร่งกว่าเฉินชี แต่ก็เป็นคนที่สามารถต่อกรกับเขาได้อย่างสูสีเพราะเช่นนี้เขาจึงมิแลเกาเหมียวเหมี่ยวเลยด้วยซ้ำ……เมื่อกลับมาถึงห้องลั่วชิงยวนก็นั่งลงพักผ่อนเฉินชีเดินตามเข้ามาและนั่งลงข้าง ๆ นาง พร้อมกับรินชาสองจอก“สมแล้วที่เป็นอาเหลา มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่กล้าทำให้เกาเหมียวเหมี่ยวตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น! ข้าชอบ!” มีแสงประกายเจิดจ้าส่องสว่างในดวงตาของเฉินชีสายตาของเขาดูเหมือนอยากจะกลืนกินลั่วชิงยวนเข้าไปทั้งตัวลั่วชิงยวนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เกาเหมียวเหมี่ยวได้รับบาดเจ็บสาหัส ฝ่าบาทกับฮองเฮาคงมิยอมปล่อยข้าไปแน่ คงต้องให้เจ้าช่วยออกหน้าให้แล้ว”เฉินชียิ้มมุมปาก “วางใจได้ มีข้าอยู่ทั้งคน”ลั่วชิงยวนที่ยังกังวลอยู่เล็กน้อยกำชับด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เฉินชี ครั้งนี้เจ้าจะยืนนิ่งดูดายอีกมิได้แล้ว เพราะหากข้าตาย แผนทั้งหมดของเจ้าก็จะสูญเปล่า”“ใต้หล้านี้ไม่มีลั่วเหลาคนที่สองหรอกนะ”เฉินชีพยักหน้าอย่างจริงจ
เลือดสด ๆ ยังคงไหลมิหยุด ไหลนองไปตามร่องลึกของลวดลายวงเวทบนพื้นดินคาดมิถึงว่ามันจะค่อย ๆ ทำให้อักษรเวทของวงเวทส่องแสงขึ้นจากนั้นหมอกสีเขียวจาง ๆ ก็กระจายฟุ้งอยู่รอบตัวลั่วชิงยวนสิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นไอโอสถทั้งสิ้นหอรักษ์ดาราแห่งนี้ยังเป็นสถานที่ที่สามารถกลั่นไอโอสถจากเลือดได้ และไอโอสถเหล่านี้ก็สามารถรักษาร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสได้ลั่วชิงยวนหลับตาและสูดลมหายใจด้วยความเพลิดเพลิน ทำให้ร่างกายที่ปวดร้าวของนางดูเหมือนจะผ่อนคลายลงนี่อาจจะเป็นความหมายของการมีอยู่ของแท่นประลองหอรักษ์ดาราแต่ไอโอสถนี้ก็จางลงอย่างรวดเร็วลั่วชิงยวนปล่อยเกาเหมียวเหมี่ยว นางยืนขึ้นพร้อมกับยืดเส้นยืดสาย และเดินลงจากแท่นประลองคนอื่นที่อยู่รอบ ๆ ต่างมองมาที่นางด้วยสายตาที่หวาดกลัวมากขึ้น และพวกเขาก็มิกล้าพูดจาดูถูกเหยียดหยามนางเหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไปแล้วลั่วชิงยวนกวาดตามองอย่างเรียบเฉย จากนั้นก็มองไปที่เฉินชีด้วยสายตาลึกซึ้งแล้วเดินจากไปเกาเหมียวเหมี่ยวที่ได้รับบาดเจ็บถูกปลดแส้ออกอย่างรวดเร็วและถูกช่วยลงจากแท่นประลอง นางกัดฟันแน่นพลางจ้องตามหลังลั่วชิงยวนที่กำลังเดินออกไปครู่ต่อมา นางก็เห
“โอ้สวรรค์ ข้าคงมิได้ตาลายใช่หรือไม่?”“นางไปเอาความกล้ามาจากที่ใดกัน!”ทุกคนในเมืองหลวงต่างรู้ดีว่าเกาเหมียวเหมี่ยวคือใครนางมิเพียงมีสถานะองค์หญิงที่สูงส่งเท่านั้น แต่ยังมีโอกาสที่จะได้สืบราชบัลลังก์ในภายภาคหน้าอีกด้วยเนื่องจากองค์ชายใหญ่มีความสามารถปานกลาง จึงมิเป็นที่โปรดปรานขององค์จักรพรรดิและฮองเฮา ทว่าองค์หญิงผู้นี้กลับแข็งแกร่งและไร้ความปรานี จึงได้รับความโปรดปรานจากพวกเขาไม่มีใครในเมืองหลวงกล้าขัดใจนางเว้นเสียแต่ เฉินชีเพราะนางชอบเขาทว่าแม้จะเป็นเฉินชี แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่นเขาก็ให้เกียรตินางมากลั่วชิงยวนผู้นี้กล้ามากถึงขั้นเหยียบย่ำองค์หญิงต่อหน้าธารกำนัลมากมายเช่นนี้!เกาเหมียวเหมี่ยวพยายามดิ้นพร้อมกับก่นด่าไปด้วย “ลั่วชิงยวน ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้! หากเจ้ามิปล่อยข้า ข้าจะทำให้เจ้าตายจนหาที่ฝังมิได้เลยคอยดู!”“ท่านนี่พูดมากนัก เงียบเสีย!”ลั่วชิงยวนมองนางด้วยสายตาเย็นชา พลางคว้าแส้แล้วดึงมันอย่างแรงทันใดนั้นแส้ที่คอของเกาเหมียวเหมี่ยวก็รัดแน่นขึ้นบังคับให้เกาเหมียวเหมี่ยวต้องเชิดหน้าขึ้นสูงแต่ยังคงถูกแส้รั้งไว้จนหน้าแดงนางหายใจมิออกจนเส้นเลือดแตกและตา
ลั่วชิงยวนถูกแส้ฟาดจนกระอักเลือด ทำให้อาภรณ์ชุดขาวของนางมีรอยเปื้อนสีแดงมีรอยแส้ที่น่าสะเทือนใจพาดอยู่บนหลังของนางเป็นเส้น ๆทุกคนที่อยู่รอบนอกต่างรู้สึกหวาดกลัวมีคนที่อดมิได้ที่จะกระซิบขึ้นว่า “มิยุติธรรมเลย คนหนึ่งมีอาวุธ แต่อีกคนไม่มี นี่มันจงใจแกล้งกันชัด ๆ มิใช่หรือ”“ชู่! พระนางเป็นองค์หญิง ถึงพระนางจะจงใจฆ่าลั่วชิงยวน แล้วใครจะพูดอะไรได้ ระวังไว้เถิด หากนางจับได้ เจ้าได้เดือดร้อนแน่”ทุกทิศมีแต่ความเงียบงันไม่มีใครกล้าพูดอะไรใครใช้ให้เกาเหมียวเหมี่ยวเป็นองค์หญิงเล่า?นางคือองค์หญิงที่ได้รับความโปรดปรานมาตั้งแต่ยังเล็กนางกลายเป็นคนเย่อหยิ่งบ้าอำนาจ และวิธีการของนางเลวทรามมิน้อยไปกว่าเฉินชีเลยทุกคนในที่นี้ล้วนไม่มีใครกล้าขัดทว่ามีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถช่วยลั่วชิงยวนได้ แต่คนผู้นั้นกลับนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ พลางมองลั่วชิงยวนที่ถูกฟาดบนพื้นจนร่างกายเต็มไปด้วยเลือดมีแสงประกายเจิดจ้าอยู่ในดวงตาของเขาและเจือไปด้วยความยินดีปรีดาลั่วชิงยวนกลิ้งไปบนพื้นและทันใดนั้นก็กระอักเลือดออกมาเต็มปากนางเงยหน้าขึ้นมาและเห็นสายตาที่แสดงถึงความตื่นเต้นดีใจของเฉินชี เขาม
“สตรีนางนี้ตอบสนองได้รวดเร็วยิ่งนัก”“การตอบสนองเร็วเป็นเรื่องหนึ่ง แต่การเอาชนะคู่ต่อสู้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง”“พลังความสามารถของจั๋วฉ่างตงนั้นสูงมาก แม้แต่บรรดาคนที่อยู่ที่นี่ก็ยังมีเพียงมิกี่คนเท่านั้นที่สามารถเอาชนะนางได้”ผลลัพธ์ของการประลองครั้งนี้ ไม่มีอะไรให้ต้องลุ้นแล้วทว่าขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกัน ทันใดนั้นจั๋วฉ่างตงก็ล้มลงอย่างแรงเมื่อทุกคนจ้องมองไปและแน่ใจว่าคนที่ลอยตกลงมาคือจั๋วฉ่างตง พวกเขาก็พากันตกตะลึงงัน“ข้าเห็นมิชัดเลย จั๋วฉ่างตงกระเด็นออกไปได้อย่างไรกัน?”ทุกคนต่างสงสัยจั๋วฉ่างตงกระอักเลือดและเงยหน้ามองคนผู้นั้นด้วยความตกตะลึง ดวงตาของนางเยือกเย็นจนน่าหวาดกลัวเป็นไปได้อย่างไรกันนางเป็นขยะไร้ค่ามิใช่รึคราวก่อนที่ส่งคนไปทดสอบ ก็เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าไม่มีพลังที่จะรับมือได้เลย เป็นไปมิได้ที่จู่ ๆ นางจะเปลี่ยนมาร้ายกาจถึงเพียงนี้!จั๋วฉ่างตงมิยอมรับ นางดีดตัวขึ้นและพุ่งไปหาลั่วชิงยวนอีกครั้งดวงตาของลั่วชิงยวนเปลี่ยนเป็นเย็นชา ร่างกายของนางเคลื่อนไหวรวดเร็วจนกลายเป็นภาพลวงตา พลางปล่อยหมัดออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าลั่วชิงยวนต่อยจั๋วฉ่างตงอย่างรุนแรงจนกระเด็น จากน
“ได้ยินมาว่านางจะประลองกับจั๋วฉ่างตงที่หอรักษ์ดาราในวันพรุ่ง”แม้หลายปีมานี้จั๋วฉ่างตงจะมิได้ดำรงตำแหน่งขุนนางใด ๆ แต่กำลังความสามารถของนางก็ถือว่าโดดเด่นที่สุดในบรรดาคนรุ่นเดียวกันอย่างแน่นอน“แล้วเจ้ามิช่วยนางเล่า? เหตุใดจึงปล่อยให้นางขโมยโอสถทะลวงปราณไป?”ขณะนี้ เฉินชีที่อยู่ในห้องเดินออกมาอย่างช้า ๆ พร้อมมองไปยังทิศทางที่ลั่วชิงยวนหนีไปด้วยดวงตาที่เป็นประกายริมฝีปากของเขาเผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา“ข้าชอบที่เห็นนางอยู่ในสภาพบาดเจ็บเลือดตกยางออก”“ยิ่งนางจนมุมข้าก็ยิ่งปรีดา”เฒ่าโอสถขมวดคิ้วและส่ายหัวด้วยอารมณ์ซับซ้อน “สตรีบ้านไหนได้เจอเจ้า ถือว่าโชคร้ายที่สุดจริง ๆ”……หลังจากกลับมาถึงห้องอย่างปลอดภัยแล้ว ลั่วชิงยวนก็รีบเปลี่ยนอาภรณ์และนั่งขัดสมาธิบนตั่งนุ่มข้างหน้าต่างนางหยิบโอสถทะลวงปราณ และนำเข็มทิศอาณัติแห่งสวรรค์ออกมาทำการบำเพ็ญตนแค่คืนเดียวก็เพียงพอที่จะนำเอาประสิทธิภาพสูงสุดของโอสถทะลวงปราณออกมาได้แม้จะมิสามารถฟื้นฟูพลังยุทธได้อย่างสมบูรณ์ แต่ก็สามารถฟื้นคืนมาได้อย่างน้อยเจ็ดถึงแปดในสิบส่วนเพียงแค่จัดการกับจั๋วฉ่างตงได้ก็พอแล้ว……วันต่อมาเวลารุ่งสางบริเวณร