พร้อมกันนั้น นางก็ได้กลิ่นยาจาง ๆเฉินชีมีวิชาตีกระบี่ที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ กล่าวกันว่าใช้วัตถุดิบจำพวกสมุนไพรด้วยนี่มิใช่กำไลธรรมดา!นางตกใจ “สิ่งนี้ทำให้ตำแหน่งของข้าถูกเปิดเผยรึ?”เฉินชีเลิกคิ้วขึ้น รอยยิ้มแฝงไปด้วยความบ้าคลั่ง “ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าเพิ่งจะรู้รึ?”“ข้าบอกแล้ว หากสวมมันไว้ เจ้าก็เป็นคนของข้า ชั่วชีวิตนี้เจ้าหนีข้ามิพ้นหรอก!”“ข้ามิถือสาว่าเจ้าเคยเป็นพระชายาของอ๋องผู้สำเร็จราชการมาก่อน หากอ๋องผู้สำเร็จราชการเต็มใจ ต่อไปเราสามคนอยู่ด้วยกันก็มิใช่ว่ามิได้”ลั่วชิงยวนโกรธจนกัดฟันกรอดฟู่เฉินหวนหันกลับมามองนางด้วยสีหน้าขุ่นเคือง แววตาเต็มไปด้วยความเคลือบแคลง“นี่คืออะไร?”“เกิดอะไรขึ้นระหว่างเจ้ากับเขา!”ลั่วชิงยวนรีบปฏิเสธ “ไม่มีอะไร! เชื่อหม่อมฉันสิเพคะ! ระหว่างหม่อมฉันกับเขามิได้เกิดสิ่งใดขึ้น!”เฉินชีมองเหตุการณ์นี้ด้วยความสนใจราวกับกำลังรอคอยคำตอบฟู่เฉินหวนโกรธเล็กน้อย “เช่นนี้จะให้ข้าเชื่อได้อย่างไร!”ลั่วชิงยวนโกรธ พยายามดึงกำไลออกอย่างแรง แต่ก็ดึงมิออกกำไลนี้ถูกตีขึ้นใหม่ สวมพอดีกับข้อมือของนางจึงไม่มีช่องว่างมากนัก ทำให้มิสามารถดึงออกด้วยกำลังได้ด้วยค
ลั่วชิงยวนปีนขึ้นมาจากหน้าผาอันสูงชันอย่างยากลำบาก ทว่าเมื่อขึ้นมาก็เห็นภาพนี้ทันทีนางรีบวิ่งเข้ามาหาด้วยความร้อนใจ “ฟู่เฉินหวน!”น้ำตาของลั่วชิงยวนไหลริน มือประคองใบหน้าของเขาพลางเช็ดคราบเลือดบนใบหน้า“บอกแล้วว่าจะเผชิญหน้าด้วยกัน! เหตุใดจึงผลักหม่อมฉันออกไป!”“เฉินชีเป็นคนบ้า มิอาจเชื่อคำพูดของเขาได้!”ฟู่เฉินหวนใบหน้าซีดเผือด แต่ยังคงมีรอยยิ้ม “ข้ามิได้เชื่อเขา”ลั่วชิงยวนมองสภาพของเขาแล้วปวดใจยิ่งนักนางก้มลงมองกำไลข้อมือบนมือแววตาของนางดุดันนางลุกขึ้นเดินไปหาเฉินชีที่ล้มอยู่บนพื้นจากนั้นหยิบกระบี่พิชิตมารที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมาเฉินชีพยุงตัวขึ้นนั่ง เดิมทีนึกว่าลั่วชิงยวนจะฆ่าเขาแต่มิคาดคิดว่าลั่วชิงยวนจะถือกระบี่พิชิตมารแนบกับข้อมือของตนเอง ทำให้คมกระบี่แทงผ่านกำไลนั้นเมื่อเฉินชีรู้ว่านางจะทำสิ่งใดก็ตกใจมาก “หยุดนะ! เจ้าอยากตายรึ! มือของเจ้าจะพิการ!”ลั่วชิงยวนมองเขาอย่างเย็นชา “สิ่งที่ข้าเกลียดที่สุดคือการถูกผู้อื่นควบคุม!”“แม้มือนี้จะพิการ ข้าก็จะมิยอมให้เจ้าควบคุมการเคลื่อนไหวของข้าตลอดเวลา!”ทันทีที่นางพูดจบก็กัดฟันเหวี่ยงคมกระบี่ออกไปอย่างแรงฟู่เฉินหวน
ลั่วชิงยวนเอนกายในอ้อมอกของฟู่เฉินหวนขณะนั่งอยู่หน้ากองไฟ จากนั้นก็ง่วงซึมจนหลับไปฟู่เฉินหวนลูบหน้าผากของนาง รู้สึกได้ถึงความร้อน“ชิงยวน อดทนอีกหน่อยนะ เราใกล้จะออกไปได้แล้ว”ลั่วชิงยวนมึนงง เมื่อได้ยินเสียงก็ยังตอบรับว่า “อืม”หล่างมู่และเซียวชูที่อยู่ด้านข้างก่อกองไฟให้ใหญ่ขึ้นค่อนข้างแย่ที่ในป่าเปลี่ยวแห้งแล้งเช่นนี้ไม่มีสมุนไพร จึงยังรักษามือของลั่วชิงยวนมิได้ในตอนนี้ต้องเดินทางเช่นนี้อีกหลายวันในที่สุดก็กลับมายังตำแหน่งสะพานขาดแห่งเดิมที่นี่ได้ตั้งค่ายพักแรมไว้แล้ว ซ่งเชียนฉู่เห็นพวกเขากลับมาแต่ไกลก็รีบวิ่งมารับด้วยความดีใจ“ชิงยวน!”ทว่าเมื่อเห็นใบหน้าซีดเซียวเหมือนคนใกล้สิ้นใจของลั่วชิงยวน นางก็เปลี่ยนสีหน้า“รีบพานางเข้าไปในกระโจมเร็วเข้า!”ลั่วชิงยวนถูกวางลงบนเตียงในกระโจม ซ่งเชียนฉู่แกะผ้าพันแผลที่ข้อมือออก เมื่อเห็นบาดแผลก็ตกตะลึง“เหตุใดจึงบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้”“มิได้แล้ว สมุนไพรของเรามีมิพอ”นางรีบลุกออกไปเรียกเฉินเซี่ยวหานและหล่างมู่ให้กลับไปเอายาที่หมู่บ้านตีนเขาฟู่เฉินหวนถามอย่างกังวล “นางเป็นเช่นไรบ้าง? รักษามือนางได้หรือไม่?”ซ่งเชียนฉู่ก็เป็นกั
ซ่งเชียนฉู่ตอบว่า “ยามนี้ชีวิตของนางยังปลอดภัย แต่หลังจากได้รับบาดเจ็บแล้วมิได้รับการรักษาทันเวลา ล่าช้าเกินไป ตอนนี้จึงยังมิฟื้น”หล่างมู่ร้อนใจ “แล้วนางจะฟื้นเมื่อใด?”ซ่งเชียนฉู่ส่ายหน้า “ข้าเองก็บอกมิได้”เมื่อทุกคนเข้าเมืองซีหลิงแล้ว ก็พาลั่วชิงยวนไปพักที่ชั้นสองของโรงหมอ โดยซ่งเชียนฉู่และซ่งอวี่ก็พักอยู่ที่โรงหมอด้วยตอนนี้ซีหลิงกำลังเผชิญกับภัยคุกคามจากโรคระบาด เพราะสมุนไพรมีมิเพียงพอเมื่อได้รับอนุญาตจากซ่งอวี่แล้ว ฟู่เฉินหวนจึงส่งคนไปขนย้ายสมุนไพรที่เหลือทั้งหมดในหุบเขามาแล้วส่งคนไปแจกจ่ายสมุนไพรตามหมู่บ้านต่าง ๆ ทุกวัน เพื่อป้องกันโรคแพร่ระบาดชาวแคว้นหลีก่อกวนหลายครั้ง ฟู่เฉินหวนจึงพาคนไปขับไล่และกำจัดโจรปล้นสะดมเหล่านั้นให้ผู้อพยพทั้งหมดกลับบ้านอย่างปลอดภัยในขณะเดียวกัน ทั่วแคว้นเทียนเชวียก็เกิดการจลาจลหรือสงครามขนาดเล็กโชคดีที่ซ่งเชียนฉู่ได้คิดค้นสูตรยาแก้โรคระบาดขึ้นมาแล้ว เมื่อเผยแพร่สูตรยานี้จึงช่วยให้ชาวบ้านทั่วทุกหนแห่งรอดพ้นจากโรคระบาดได้แม้ดูเหมือนว่าทุกหนแห่งจะวุ่นวาย แต่ก็มีข่าวดีเข้ามาอย่างต่อเนื่องฟู่เฉินหวนถูกส่งไปประจำการที่ซีหลิงและควบคุมซีห
ลั่วชิงยวนเผยรอยยิ้ม “นอนมากเกินไป ร่างกายไร้เรี่ยวแรงไปหมดแล้ว”“ท่านพ่อของเจ้าเล่า? กลับเมืองหลวงพร้อมเจ้าหรือไม่?”ซ่งเชียนฉู่ส่ายหน้า “แม้สำนักหุบเขาซีหลิงจี้เยวี่ยจะถูกเผาทำลาย แต่ตระกูลของข้าอาศัยอยู่ที่นั่นมาหลายชั่วอายุคน ท่านพ่อตั้งใจจะอยู่ที่นั่นเพื่อสร้างสำนักหุบเขาซีหลิงจี้เยวี่ยขึ้นใหม่”ได้ยินดังนั้นลั่วชิงยวนก็ตกใจเล็กน้อย “แล้วสมุนไพร...”ซ่งเชียนฉู่คลี่ยิ้ม “สมุนไพรมีไว้สำหรับใช้รักษาผู้คน เมื่อนำมารักษาโรคช่วยชีวิตผู้คนจึงจะเรียกว่าเป็นยา”“ครั้งนี้แม้จะสูญเสียสมบัติที่สะสมมานับร้อยปี แต่ผ่านไปอีกร้อยปีก็สะสมขึ้นมาใหม่ได้”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็พยักหน้า “กองคาราวานของสมาคมการค้าเฟิงตูสามารถไปถึงซีหลิงได้ ข้าจะช่วยพวกเจ้าสร้างสำนักขึ้นใหม่”“แต่เหตุใดเจ้าจึงมิอยู่ช่วยท่านพ่อของเจ้าที่ซีหลิงเล่า?”ซ่งเชียนฉู่มองนางด้วยความเป็นห่วง “ครั้งนี้เป็นเพราะเรื่องของตระกูลข้า ทำให้ท่านต้องบาดเจ็บเช่นนี้ ข้าต้องรอดูมือของท่านให้หายดีก่อนจึงจะจากไปได้”“ยิ่งกว่านั้น... ข้ายังรู้สึกว่าเขาเหมือนจะมิค่อยสบายด้วย...”ซ่งเชียนฉู่ขมวดคิ้ว แววตาเต็มไปด้วยความกังวล“ฉู
ทันทีที่คำพูดประโยคนี้หลุดออกมา ทั้งลั่วชิงยวนและฟู่เฉินหวนก็เปลี่ยนสีหน้า“ว่ากระไรนะ?”ทั้งสองรีบเข้าวังบัดนี้ขุนนางน้อยใหญ่ล้วนมายืนล้อมหน้าตำหนักของจักรพรรดิด้วยความร้อนใจฟู่เฉินหวนและลั่วชิงยวนที่ยังมิทันได้เปลี่ยนชุดถูกขวางไว้“ท่านอ๋อง พระชายา ฝ่าบาททรงมีพระอาการวิกฤต หมอหลวงมู่มิอนุญาตให้ผู้ใดเข้าเฝ้า บอกว่าจะนำความเย็นเข้าไป ทำให้กระทบกระเทือนพระวรกายพ่ะย่ะค่ะ”ฟู่เฉินหวนและลั่วชิงยวนได้แต่รออยู่หน้าตำหนักบรรทม มิกล้าเข้าไปลั่วชิงยวนครุ่นคิด นางเดินไปที่หน้าต่างแล้วตะโกนผ่านหน้าต่าง “ท่านหมอหลวงมู่! องค์จักรพรรดิทรงประชวรด้วยโรคใดหรือ?”เมื่อหมอหลวงมู่ได้ยินเสียงของลั่วชิงยวนก็รู้สึกราวกับพบแสงสว่างในความมืดมิด“พระอาการของฝ่าบาทคล้ายกับถูกพิษ มิใช่พิษร้ายแรง แต่สะสมมานานแล้ว เพิ่งจะกำเริบ อาการคือพระพักตร์เขียวคล้ำ หายใจติดขัด เพียงแค่สายลมผิดปกติเล็กน้อยก็กระทบกระเทือนพระวรกายแล้วขอรับ”“เส้นพระโลหิตทั่วร่างกายปูดโปน เห็นได้ชัดว่าเกิดจากการขาดอากาศ ข้าฝังเข็มเพื่อระบายเส้นลมปราณและตบหลังหลายครั้ง ท่านทรงไอเป็นพระโลหิต มีลิ่มเลือดปนออกมาด้วย มิทราบว่าเป็นสิ่งใด”
ลั่วชิงยวนรู้สึกหนักใจ จึงมิได้กล่าวสิ่งใดอีกแต่นางก็รู้สึกได้ว่าสวรรค์ลิขิตมาแล้ว ผู้ใดเล่าจะฝืนชะตาได้โชคชะตาของทุกคนล้วนเกี่ยวพันกัน การเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของคนผู้หนึ่ง อันที่จริงแล้วจะส่งผลกระทบต่อผู้คนนับมิถ้วนเช่นเดียวกับที่นางเคยทำนายว่าฟู่จิ่งหานจะมีเคราะห์พยายามช่วยเขาแล้วแต่สำนักหุบเขาซีหลิงจี้เยวี่ยกลับเกิดเรื่องขึ้นมาเสียก่อนหลังจากกลับมา ฟู่จิ่งหานก็ยังคงเกิดเรื่อง เพียงแต่ยังรักษาชีวิตไว้ได้......หลายวันต่อมาฟู่จิ่งหานนอนอยู่บนเตียงคนป่วย เขาฟื้นขึ้นมาหลายครั้ง แต่ก็หลับไปอย่างรวดเร็วขุนนางในราชสำนักต่างพูดคุยกันอย่างเป็นส่วนตัวมานับครั้งมิถ้วนจักรพรรดิประชวรหนัก มิสามารถบริหารราชการแผ่นดินได้ เรื่องใหญ่เรื่องเล็กเกือบทั้งหมดล้วนเป็นฟู่เฉินหวนที่ตัดสินใจมีขุนนางหลายคนไปเข้าเฝ้าจักรพรรดิสูงสุดเพื่อขอให้จักรพรรดิสูงสุดตัดสินใจ ให้องค์ชายห้าฟู่อวิ๋นโจวเข้าควบคุมดูแลการบริหารราชการแผ่นดินแทนลั่วชิงยวนไปรักษาจักรพรรดิสูงสุดบ่อย ๆ แน่นอนว่าย่อมได้ยินเรื่องมากมายเหล่านี้ซึ่งก็เป็นไปตามคาด ในเวลานี้ไม่มีผู้ใดเสนอชื่อฟู่เฉินหวนเลยต่างก็เสนอชื่อองค์ชายห้า
หลังจากฟู่อวิ๋นโจวกลับมายังเมืองหลวง วันแรกที่เข้าประชุมราชสำนัก จักรพรรดิสูงสุดได้ออกพระราชโองการให้ฟู่อวิ๋นโจวรับหน้าที่ดูแลการบริหารราชการแผ่นดินและให้ฟู่เฉินหวนช่วยเหลือเขาพระราชโองการนี้ จักรพรรดิสูงสุดตรัสด้วยพระโอษฐ์เอง โดยมีลั่วชิงยวนเป็นผู้จดบันทึกนางมิรู้ว่าจักรพรรดิสูงสุดคิดเช่นไร ในใจก็อดน้อยใจแทนมิได้ฟู่เฉินหวนทำเพื่อแคว้นเทียนเชวียมากมาย มีผลงานมากมาย เหตุใดจักรพรรดิสูงสุดจึงดูเหมือนมิยอมรับความดีความชอบของเขาแม้ฟู่เฉินหวนจะมิแสดงความมิพอใจใด ๆ แต่เมื่อได้ยินพระราชโองการนี้ ในดวงตาก็ยังมีความผิดหวังเมื่อฟู่อวิ๋นโจวได้เป็นผู้สำเร็จราชการแทน ไม่มีผู้ใดในราชสำนักคัดค้านดูเหมือนว่าทุกคนจะพึงพอใจหลังจากเลิกประชุม ฟู่อวิ๋นโจวเดินมาหาฟู่เฉินหวน “ต่อไปก็ต้องพึ่งพาเสด็จพี่ช่วยเหลือแล้ว กระหม่อมยังมีหลายสิ่งที่มิเข้าใจ หวังว่าเสด็จพี่จะเมตตาชี้แนะ”ฟู่เฉินหวนกล่าวอย่างแผ่วเบา “เช่นนั้นไปคุยกันที่ห้องทรงพระอักษรเถิด”เมื่อมาถึงห้องทรงพระอักษร มีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้นแต่ฟู่อวิ๋นโจวกลับมิได้ขอคำแนะนำเรื่องราชการ กลับถามว่า “เสด็จพี่รักลั่วชิงยวนจริงหรือไม่?”ฟู่
ร่างที่เดินออกมาจากฝูงชนนั้นมีท่าทางคุกคามยิ่งนักลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย นั่นคือสตรีที่นางเห็นในความทรงจำของอวี๋ตันเฟิ่งต่งอวิ๋นซิ่ว!โหยวเซียงดิ้นรนพลางเงยหน้ามองต่งอวิ๋นซิ่วด้วยดวงตาแดงก่ำ “ท่านแม่… เป็นความผิดของลูกเองที่ปล่อยให้พวกมันขึ้นเขามาได้”หากมิใช่เพราะลั่วชิงยวนรู้ทางลับของวัดร้างแห่งนั้น พวกนางคงไม่มีทางขึ้นเขามาได้ง่ายดายถึงเพียงนี้!ต่งอวิ๋นซิ่วมองด้วยความเจ็บปวดแล้วตวาดใส่ลั่วชิงยวน “ปล่อยลูกสาวข้าเดี๋ยวนี้! มิเช่นนั้นข้าจะทำให้พวกเจ้าตายเยี่ยงไร้ที่ฝัง!”ลั่วชิงยวนหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม “เมื่อคืนยังพยายามทำลายวิญญาณที่เหลือของอวี๋ตันเฟิ่งอยู่เลย วันนี้เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าศัตรูของเจ้าคือใคร?”“ใครกันแน่ที่จะตายแบบไร้ที่ฝัง ยังบอกมิได้หรอก”เมื่อได้ยินดังนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็สะดุ้งเฮือก สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากท่าทางของนางดูตึงเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังพยายามซ่อนไว้ได้ดีนางมองลั่วชิงยวนอย่างใจเย็น แล้วกล่าวว่า “ในเมื่อพวกเจ้ามาถึงเมืองแห่งภูตผี ก็คงต้องการของล้ำค่าของเมืองแห่งภูตผีสินะ”“พวกเจ้าอยากได้อะไร ข้าสามารถให้เจ
นางปฏิเสธอย่างหนักแน่นลั่วชิงยวนกลับยกยิ้มอย่างพึงพอใจแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้น “พานางไปด้วย ไปวัดร้าง!”พวกเนางมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ โหยวเซียงดิ้นรนตลอดทาง แต่โฉวสือชีและคนใบ้จ้องมองทุกการกระทำของนางอย่างใกล้ชิด มิเปิดโอกาสให้นางหลบหนีไปได้แม้แต่น้อยเมื่อเดินไปได้ไกลมากพอสมควร เสียงไก่ขันยามรุ่งอรุณก็ดังขึ้นแล้วในที่สุดพวกเขาก็มาถึงวัดร้างแห่งนั้นในวัดร้างมีพระพุทธรูปที่เป็นซากปรักหักพังล้มลงบนพื้น ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่มีใครมานานแล้วเมื่อมองหาอย่างละเอียดก็พบรอยเท้าบนพื้นลั่วชิงยวนมั่นใจยิ่งขึ้น นี่คือสถานที่ที่ถูกต้อง!โหยวเซียงจ้องมองทุกการกระทำของลั่วชิงยวนอย่างกระวนกระวาย เกรงว่าลั่วชิงยวนจะพบกลไกเข้าแต่ลั่วชิงยวนกลับสังเกตปฏิกิริยาของโหยวเซียง ค่อย ๆ เดินไปในแต่ละที่โดยอาศัยการสังเกตปฏิกิริยาโหยวเซียงสุดท้ายลั่วชิงยวนจึงเพ่งเล็งไปที่ผนังด้านหนึ่งแล้วเริ่มค้นหากลไกเสียงเปิดกลไกดังแกร๊กดังขึ้นประตูบานหนึ่งบนพื้นพลันเปิดออกหลังจากที่ลั่วชิงยวนเปิดประตูแล้วก็พบว่าด้านล่างยังมีประตูอีกบานหนึ่ง และบนนั้นก็มีกลไกเช่นกันแต่สำหรับลั่วชิงยวนแล้วเรื่องนี้ง่ายมากเมื่อประต
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน
คนของถูหมิงตายไปหมดแล้ว เหลือเพียงฉีเสวี่ยเวยเท่านั้นในขณะที่พวกเขาเดินทางไปยังถ้ำแห่งที่หกในคืนนั้นผลลัพธ์ที่ได้กลับน่าผิดหวังเพราะในถ้ำว่างเปล่า“ดูเหมือนว่าพวกเราจะมาช้าไปก้าวหนึ่ง”ถูหมิงขมวดคิ้ว “เหลืออีกหนึ่งชิ้น ทำอย่างไรดี? หรือว่าความพยายามทั้งหมดของเราจะสูญเปล่า?”พวกเขาวุ่นวายมาหลายวัน เดินทางไปเกือบทั่วทั้งภูเขาแล้วหากสมบัติหายไปเช่นนี้ เขาคงต้องฆ่าสตรีผู้นี้เป็นแน่!ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วครุ่นคิด แล้วกล่าวว่า “เหลืออีกหนึ่งชิ้นก็เหลืออีกหนึ่งชิ้น”“หาที่ปลอดภัยก่อน”จากนั้นพวกเขาก็มายังป่าที่ค่อนข้างสะอาด ไม่มีพุ่มไม้หรือวัชพืชหนาแน่นบนพื้นมากนัก ค่อนข้างโปร่งโล่งหีบทั้งห้าใบวางอยู่บนพื้นลั่วชิงยวนกล่าวว่า “เปิดหีบกันเถิด”ทันใดนั้นดวงตาของถูหมิงก็เป็นประกาย “เปิดได้หรือ?”เขาเห็นว่าบนหีบมีแต่อักขระสีเลือดปกคลุมอยู่ จึงยั้งมือไว้หลายครั้งแม้จะอยากเปิดก็ตามเมื่อได้ยินเช่นนี้จึงรีบเปิดหีบทันทีแต่เมื่อเปิดออกแล้ว ร่างกายของเขาก็แข็งทื่อไปศพ?!ทั้งยังเป็นศพที่ถูกชำแหละอีกด้วย?ฉีเสวี่ยเวยก็ตกใจกลัวลั่วชิงยวนกลับสงบสติอารมณ์ สั่งให้โฉวสือชีและคนใบ้ช่วย
“ใครกัน?!”ลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วตอบเสียงแผ่ว “ซูเซียง”“แต่ตอนนี้ควรเรียกนางว่าโหยวเซียง”“ภารกิจที่พวกเจ้าได้รับก็เป็นเพียงการละเล่นของนางเท่านั้น”“นางต้องการให้พวกเจ้าฆ่ากันเอง”และภารกิจหนังหน้าของหญิงงามที่ฉีเสวี่ยเวยได้รับ ก็คงเป็นการล่อลวงให้ฉีเสวี่ยเวยมาฆ่านางหากสามารถยืมมือคนอื่นฆ่าคนได้ โหยวเซียงก็มิจำเป็นต้องเปิดเผยตัวตนเพียงแต่โหยวเซียงคาดมิถึงว่าฉีเสวี่ยเวยจะฆ่านางมิได้ กระทั่งโหยวเซียงเองก็ฆ่านางมิได้“โหยวเซียงหรือ? นางเป็นคนของเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้หรือ?” ฉีเสวี่ยเวยมองนางอย่างมิเชื่อสายตา“มิแปลกใจเลย… นางท้องแก่ถึงเพียงนั้นยังกล้ามาที่นี่ได้”ลั่วชิงยวนเห็นว่าใกล้รุ่งสางแล้ว จึงให้โฉวสือชีแก้เชือกที่มัดฉีเสวี่ยเวยไว้“ข้าจะยังมิฆ่าเจ้าตอนนี้”“มิว่าเรื่องที่เจ้ากล่าวมาจะเป็นจริงหรือไม่ก็มิสำคัญ ข้าก็มิกลัวว่าเจ้าจะไปบอกเรื่องนี้กับถูหมิง”“หากเจ้าไปบอก เรื่องเดียวที่จะเป็นผลเสียต่อพวกข้าก็คือต้องแบกหีบเพิ่มอีกมิกี่ใบ”“เพียงเท่านั้น”มิใช่เรื่องคอขาดบาดตายที่นางทำเป็นร่วมมือกับถูหมิง ก็เพียงต้องการใช้คนของเขาไปขวางทางศพชายที่ถูกผนึกไว้ในถ้ำ
“แม้จะต้องยอมตายไปพร้อมกับถูหมิง ข้าก็ยินดี!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ตกตะลึง แต่ก็ยังคงสงสัยอยู่บ้าง“แต่เจ้าสนิทสนมกับถูหมิงถึงเพียงนั้น น่าจะมีโอกาสฆ่าเขาได้นับครั้งมิถ้วน”ฉีเสวี่ยเวยขมวดคิ้วแน่น ดวงตาแดงก่ำ “แท้จริงแล้วคนผู้นั้นระแวดระวังตัวมาก หากมิใช่เพราะต้องการลดความระแวดระวังของเขา ข้ากับชายมากหน้าหลายตาก็คงมิ...”เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ฉีเสวี่ยเวยก็เม้มริมฝีปากแน่นหลังจากกล้ำกลืนความรู้สึกแล้ว จึงกล่าวต่อ “ในป่าครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่เขาใกล้ชิดข้า เดิมทีตอนนั้นข้ามีโอกาสที่จะฆ่าเขาได้!”“แต่เจ้าปีศาจฝูเหมิ่งนั่นบังเอิญมาขวาง!”“หากมิใช่เพราะเขา ข้าคงทำสำเร็จไปแล้ว!”ฉีเสวี่ยเวยกัดฟันพูด เต็มไปด้วยความเคียดแค้นลั่วชิงยวนรู้สึกประหลาดใจ เมื่อเห็นสีหน้าของฉีเสวี่ยเวย ในดวงตาของนางเต็มไปด้วยความแค้น ดูมิเหมือนคนโกหกทำให้นางเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อฉีเสวี่ยเวยไปบ้างขณะที่ลั่วชิงยวนยังคงครุ่นคิด ฉีเสวี่ยเวยก็มองมาที่นาง “เจ้ายังมิเชื่อข้าหรือ?”“ขอเพียงเจ้าฆ่าถูหมิงได้ ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อเจ้า! ข้าจะบอกสิ่งที่เจ้าอยากรู้ทุกอย่าง!”ลั่วชิงยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ลั่วชิงยวนนอนนิ่งอยู่บนเตียง มิกล้าขยับกายทว่างูตัวนั้นกลับกัดข้อเท้านางอย่างแรงหนึ่งครั้ง จากนั้นก็รีบเลื้อยหนีไปรออยู่ครู่หนึ่ง ฉีเสวี่ยเวยเห็นว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ จึงเปิดประตูเข้ามานางมิอาจมั่นใจได้ว่าพวกคนใบ้จะกลับมาเมื่อใด จึงมิกล้าเสียเวลานานหลังจากปิดประตูอย่างระแวดระวังแล้ว นางก็มายังปลายเตียง จ้องมองข้อเท้าของลั่วชิงยวนอย่างละเอียด ปรากฏว่าถูกงูกัดจริง ๆ นางต้องตายเพราะพิษนี้แน่นอน!ทันใดนั้นเอง ฉีเสวี่ยเวยก็ชักกริชออกมาแล้วเดินไปยังหัวเตียง ค่อย ๆ จรดใบมีดลงบนใบหน้าของลั่วชิงยวนแต่ในพริบตานั้นเอง ลั่วชิงยวนก็ลืมตาขึ้นมาจ้องมองนางด้วยสายตาอาฆาตแค้นฉีเสวี่ยเวยพลันตกใจ แต่ก็มิได้หนีในทันที เพราะนางคิดว่าลั่วชิงยวนโดนพิษงูเข้าไปแล้ว อย่างไรก็ต้องตายอยู่ดีลั่วชิงยวนรีบคว้าข้อมือของฉีเสวี่ยเวยไว้เพื่อแย่งชิงกริชมาจากนางฉีเสวี่ยเวยก็ลงมือโจมตีเช่นกัน เพียงแต่นางคาดมิถึงว่าสตรีผู้นี้ที่ถูกพิษแล้วจะยังมีพละกำลังมากมายถึงเพียงนี้หลังจากทั้งสองต่อสู้กันครู่หนึ่งในห้อง ฉีเสวี่ยเวยก็พ่ายแพ้ ถูกลั่วชิงยวนจับกดไว้บนโต๊ะฉีเสวี่ยเวยตกใจมาก “เจ้า