เกิดความโกลาหลขึ้นในตำหนักอ๋องลั่วอวิ๋นสี่ในชุดดำถูกองครักษ์ล้อมจับเพราะคิดว่าเป็นมือสังหารดังนั้นการลอบสังหารครั้งนี้จึง...ล้มเหลว!มินานฟู่เฉินหวนก็กลับมา ลั่วเยวี่ยอิงรีบเข้าไปเกาะแขนร้องไห้ฟูมฟายมิหยุดโชคดีที่ลั่วเยวี่ยอิงมิรู้ว่าใครคิดฆ่านางจึงมิได้โวยวาย ฟู่เฉินหวนก็มิต้องปวดหัวลั่วชิงยวนได้ยินจือเฉารายงานแล้วจึงมิได้เข้าไปดูลั่วอวิ๋นสี่กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง “ขออภัย ข้าพลาดท่า”“เหตุใดจึงล้มเหลว?” ลั่วชิงยวนรู้สึกประหลาดใจ ด้วยฝีมือของลั่วอวิ๋นสี่แล้วก็มิน่าจะพลาดลั่วอวิ๋นสี่ตอบ “ข้าใช้ผงมอมเมาเพิ่มเป็นสองเท่า ปริมาณนี้มากพอจะทำให้วัวหลายตัวสลบ ข้าคิดว่านางคงหลับสนิทแล้ว”“จึงตั้งใจจะลักพาตัวนางไปลงมือข้างนอก”“แต่นางกลับตื่นขึ้นมา”“แปลกมาก นางสูดดมผงมอมเมาเข้มข้นถึงเพียงนั้น เหตุใดจึงมิสลบ”ลั่วอวิ๋นสี่รู้สึกงุนงงลั่วชิงยวนก็ตกตะลึงลั่วอวิ๋นสี่ไม่มีวิชาแพทย์ที่จะป้องกันผงมอมเมาที่เพิ่มความเข้มข้นได้หรือเป็นเพราะสรรพคุณของโอสถจตุรธาตุ?ลั่วเยวี่ยอิงกินโอสถจตุรธาตุไปหนึ่งเม็ด ลั่วชิงยวนใช้โอสถจตุรธาตุขนาดเล็กควบคุมหล่างชิ่นไปเล็กน้อย ในมือเหลือเพียง
“แล้วเหยียนผิงเซียวเล่า ท่านก็เป็นคนฆ่าเขาด้วยเช่นกันสินะ!” ขุนนางในท้องพระโรงเอ่ยถามลั่วชิงยวนยังมิทันตอบก็มีขุนนางที่นางมิเคยเห็นมาก่อนเอ่ยขึ้นว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมมีพยานและหลักฐานพ่ะย่ะค่ะ!”องค์จักรพรรดิขมวดคิ้ว แม้จะมิเต็มใจ แต่เรื่องนี้มิอาจเพิกเฉยได้“นำตัวเข้ามา”ลั่วชิงยวนหันกลับไปมองก็เห็นลั่วฉิงเดินเข้ามาในท้องพระโรง“ฝ่าบาท หม่อมฉันลั่วฉิง เป็นนางรับใช้ข้างกายคุณชายเหยียน คืนที่เกิดเรื่องกับคุณชายเหยียน หม่อมฉันเห็นเขาไปที่ร้านของท่านเซียนฉู่และถูกท่านเซียนฉู่ฆ่าตายเพคะ”“ตอนที่คุณชายเหยียนต่อสู้กับท่านเซียนฉู่ หน้ากากของท่านเซียนฉู่หลุด หม่อมฉันเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขา ปรากฏว่าเขาคือพระชายาลั่วชิงยวนเพคะ!”“บาดแผลร้ายแรงถึงชีวิตของคุณชายเหยียน หมอตรวจสอบแล้วว่าเกิดจากกริชจันทร์เสี้ยว หลายคนย่อมเคยเห็นอาวุธป้องกันตัวที่พระชายาใช้เป็นประจำ ซึ่งก็คือกริชจันทร์เสี้ยว!”ลั่วฉิงนำหลักฐานมาแสดงแล้วกล่าวต่อไปว่า “หม่อมฉันพบจดหมายในห้องของคุณชายเหยียน เป็นจดหมายที่ท่านเซียนฉู่นัดเขาไปที่ร้านด้วยเพคะ”“ท่านเซียนฉู่หลอกลวงคุณชายเหยียนไปฆ่า!”เมื่อเรื่องนี้ถูกเปิดเผย ผ
“พวกเจ้าคิดจะประหารชายาของข้าโดยมิถามความเห็นข้าก่อนรึ?” ฟู่เฉินหวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงดุดันทั่วทั้งท้องพระโรงพลันเงียบสงัดไม่มีผู้ใดกล้าท้าทายอำนาจของเขาต่างพากันปิดปากเงียบฟู่เฉินหวนกล่าวเสียงเย็นชา “นางรับใช้บังอาจกล่าววาจาเหลวไหลในท้องพระโรง? เพียงแค่นางพูด พวกเจ้าก็เชื่อแล้วจริง ๆ”“หรือว่ามาประชุมราชสำนักเช้าเกินไป ยังมิตื่นเต็มที่ ก็เลยลืมเอาสมองมาด้วย?” ฟู่เฉินหวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบที่เต็มไปด้วยความโกรธจักรพรรดิรีบพูดทันที “แม้ลั่วชิงยวนจะเป็นท่านเซียนฉู่ แต่นางมิเคยกล่าววาจาหลอกลวง หรือใช้สถานะไปเบียดเบียนราษฎร การที่นางได้เข้าวังมาเป็นมหาปราชญ์ก็เป็นความคิดของข้าเอง”“พวกเจ้าคิดจะประหารนาง หรือว่าต้องลงโทษข้าก่อนล่ะ?”ขุนนางทั้งหลายรีบคุกเข่า “มิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ!”ลั่วชิงยวนตอบอย่างองอาจ “เดิมทีข้ามิได้อยากเป็นมหาปราชญ์ มิต้องพูดถึงการกล่าววาจาหลอกลวงราษฎร”“แต่บัดนี้หากมิเป็นมหาปราชญ์ คงดูเหมือนข้าหวาดกลัวและมีพิรุธ”“ดังนั้นวันนี้ข้าจะใช้สถานะของลั่วชิงยวนรับตำแหน่งมหาปราชญ์”สิ้นคำของนาง ทุกคนก็ตกตะลึงลั่วชิงยวนช่างอวดดีนัก!จักรพรรดิได้ยินก็กำลังจ
ฟู่เฉินหวนมองไทเฮาด้วยสายตาคมกริบ “ไทเฮาทรงได้รับบาดเจ็บ ให้หมอหลวงมาตรวจดูเถิด”ไทเฮาเหลียวมองเขาอย่างเย็นชาแล้วหันหลังเดินออกไปจักรพรรดิจึงสั่งเลิกประชุมราชสำนัก ฟู่เฉินหวนก็เดินออกไปเช่นกันเมื่อมาถึงสวน ฟู่เฉินหวนก็พบกับไทเฮา“ไทเฮาทรงแสร้งประชวรได้เหมือนจริง แม้เหยียนผิงเซียวและมหาราชาจารย์เหยียนจะตายก็ยังทำให้ท่านล้มมิได้”ไทเฮาหัวเราะเย็นชา “ยังมิถึงตอนตัดสินเลย ตัวข้าจะล้มได้อย่างไร”“แม้ทั้งตระกูลเหยียนจะเหลือเพียงตัวข้าผู้เดียว ข้าก็จะมิยอมแพ้”“เพราะข้าคือไทเฮา!” ไทเฮาพูดด้วยสายตาแน่วแน่ เปี่ยมล้นด้วยความทะเยอทะยานฟู่เฉินหวนหรี่ตาลง “เช่นนั้นนี่ก็คือตอนตัดสิน ไทเฮาคิดว่าท่านจะชนะหรือ?”ไทเฮาตรัสอย่างมั่นใจ “ข้ามิเคยแพ้!”กล่าวจบก็สะบัดแขนเสื้อจากไปลั่วชิงยวนถูกคุมขัง ฟู่เฉินหวนก็รีบตามมา“ชิงยวน!”ฟู่เฉินหวนสั่งให้ผู้คุมออกไปเมื่อไม่มีผู้ใดอยู่ด้วยแล้ว ฟู่เฉินหวนก็จับมือนาง “เจ้าคงลำบากใจที่ต้องอยู่ในคุกสองวัน ข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง”ลั่วชิงยวนส่ายหน้า “ท่านอย่าใจร้อนเลยเพคะ”“แค่พยายามถ่วงเวลาไว้ หม่อมฉันกำลังรอข่าวอยู่”ฟู่เฉินหวนตกใจเล็กน้อย“ได้
ด้วยบัญชาของฟู่เฉินหวนจึงมิได้มีการทรมานหรือเบียดเบียนลั่วชิงยวนในคุกแต่อย่างใดนางกลับได้รับการดูแลอย่างดี มีอาหารการกินอุดมสมบูรณ์และยังได้รับอนุญาตให้ออกจากคุกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ครึ่งชั่วยามในยามเที่ยงทุกวันด้วย แต่ก็เป็นการปล่อยตัวออกไปอย่างเป็นความลับวันหนึ่งในยามเที่ยง ลั่วชิงยวนได้เห็นอาเสินกำลังบินวนอยู่บนท้องฟ้าเมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดอยู่ใกล้ นางจึงยื่นแขนออกไปอาเสินจึงบินลงมาเกาะบนแขนของนาง พร้อมกับนำดอกชามาให้นางหนึ่งดอกลั่วชิงยวนดมกลิ่นดอกชานั้นแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าต้องการบอกข้าว่านางเดินทางมาแล้วใช่หรือไม่”อาเสินมิอาจพูดตอบได้จึงบินขึ้นไปบนท้องฟ้าอีกครั้ง บินวนเวียนอยู่สักพักก่อนจะบินจากไป ลั่วชิงยวนดมกลิ่นหอมของดอกชานั้นอีกครั้ง แล้วคำนวณตำแหน่งของซ่งเชียนฉู่ ปรากฏว่าอีกสามวันนางก็คงจะมาถึงเมืองหลวงแล้วแต่สิ่งที่ลั่วชิงยวนคาดมิถึงก็คือก่อนที่สามวันนั้นจะมาถึงไทเฮากลับเสด็จมา พร้อมกับพระราชโองการ“ลั่วชิงยวนเป็นนางปีศาจผู้ก่อความวุ่นวายให้แก่แผ่นดิน ให้ประหารชีวิตด้วยการตัดหัวในยามเที่ยงวันนี้!” “ให้รีบนำตัวไปยังลานประหารทันที”ลั่วชิง
ลั่วชิงยวนใจหายวาบ “ช่างน่ารังเกียจ!”“สงสารแล้วรึ? หากสงสารก็เอาเข็มทิศมาให้ข้าสิ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้ากับฟู่เฉินหวน”“เพียงแค่พวกเจ้าออกจากเมืองหลวง มิยุ่งเกี่ยวกับราชสำนักอีก ไปอยู่ที่ใดก็ได้ ข้ารับรองว่าจะมิตามล่า”ลั่วชิงยวนกล่าวเสียงเย็นชา “ข้ามิเชื่อเจ้าหรอก นอกจากเจ้าจะช่วยข้าก่อน ข้าจึงจะพิจารณาเรื่องเข็มทิศ”“ก่อนที่ข้ากับฟู่เฉินหวนจะปลอดภัย เจ้าอย่าหวังจะรู้ว่าเข็มทิศอยู่ที่ใด”ลั่วฉิงหมดความอดทนนางมิกล้าปล่อยลั่วชิงยวนง่าย ๆ เพราะหากปล่อยนางไป ถ้านางหนีรอดแต่มิยอมให้เข็มทิศ เช่นนั้นจะทำเช่นไรเล่า“ลั่วชิงยวน เจ้าช่างฉลาดแกมโกงนัก หากมิใช่ศัตรูกัน ข้าอยากคบเจ้าเป็นสหายเสียจริง” ลั่วฉิงเอ่ยชมลั่วชิงยวนลั่วชิงยวนยกยิ้มมุมปาก “เราต่างก็เป็นปีศาจจิ้งจอกพันปีกันทั้งนั้น ใครจะเจ้าเล่ห์กว่ากัน?”“คิดจะหลอกเอาของของข้า เลิกคิดเสียเถิด”ลั่วฉิงมองนางด้วยสายตาอาฆาต “เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้ามิให้โอกาส”กล่าวจบนางก็หรี่ตามองดวงอาทิตย์บนท้องฟ้า แล้วเอ่ยว่า “ใกล้เที่ยงแล้ว เจ้าเตรียมตัวหรือยัง”“ใต้หล้านี้ ไม่มีสิ่งใดที่เจ้าห่วงใยแล้วหรือ?”ลั่วชิงยวนมิตอบมินานก็ถึงเวลาเที่
ม่านรอบรถม้าถูกม้วนขึ้นเผยให้เห็นจักรพรรดิสูงสุดที่ประทับอยู่ภายในพร้อมด้วยจักรพรรดิและอ๋องผู้สำเร็จราชการฟู่เฉินหวนเมื่อมาถึงลานประหาร ฟู่เฉินหวนก็กระโดดลงมายืนขวางหน้าลั่วชิงยวนไทเฮาจ้องเขาด้วยสายตาอาฆาต “เจ้าคิดจะทำอะไร! จักรพรรดิสูงสุดประชวรหนัก เจ้ากล้าพาพระองค์ออกจากวัง! อ๋องผู้สำเร็จราชการ คิดก่อกบฏหรือ!”ใกล้จะประหารลั่วชิงยวนต่อหน้าต่อตานางแล้ว!กลับมีเรื่องวุ่นวาย!แม้แต่จักรพรรดิสูงสุดก็ถูกพวกเขาเชิญมาได้ฝ่ายจักรพรรดิพยุงจักรพรรดิสูงสุดเข้ามา แม้จะเดินอย่างเชื่องช้า แต่ภาพนั้นก็เพียงพอจะทำให้ทุกคนตกตะลึงเมื่อมาถึงแล้ว จักรพรรดิก็มองไทเฮาด้วยสายตาผิดหวัง “เสด็จแม่ ลูกมิคิดเลยว่าท่านจะทำเรื่องอุกอาจเช่นนี้”ไทเฮาทรงหน้าซีด จ้องมองจักรพรรดิสูงสุดฝ่ามือเย็นเฉียบมีเหงื่อไหลสิ่งที่ทำให้ผู้คนตกตะลึงยิ่งกว่าการที่จักรพรรดิสูงสุดเดินได้ คือการที่เขาพูดได้แม้จะพูดตะกุกตะกักด้วยเสียงแหบพร่า แต่ก็ยังทรงอำนาจ“ไทเฮาวางยาพิษข้า ใช้อำนาจในทางมิชอบ คิดก่อกบฏ บัดนี้ปลดไทเฮา แล้วคุมขังไว้ในพระตำหนักโช่วสี่ตลอดชีวิต”เขาพูดแต่ละคำออกมาอย่างเชื่องช้าแต่เต็มเปี่ยมไปด้วยพล
“ระวัง!”ทุกคนต่างพากันปิดปากปิดจมูกฟู่เฉินหวนรีบปกป้องลั่วชิงยวนลั่วชิงยวนโบกมือพัดด้วยความระแวดระวัง แต่ก็ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นทันใดนั้นนางก็รู้สึกใจหาย “แย่แล้ว ลั่วฉิง!”นางรีบวิ่งไปทางลั่วฉิงและแล้วก็พบเพียงรอยเลือดบนพื้นลั่วฉิงหายตัวไปแล้วซ่งเชียนฉู่ตกใจ “หนีไปแล้ว!”ลั่วชิงยวนมองไปรอบ ๆ ผู้คนพลุกพล่าน หาตัวคนร้ายมิเจอ“นางหนีไปเร็วถึงเพียงนั้นเองมิได้ ต้องมีคนช่วยไว้”ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้ว “นางมีผู้สมรู้ร่วมคิดด้วยหรือ?”ลั่วชิงยวนครุ่นคิด ลั่วฉิงมักจะอยู่คนเดียวมาตลอด ไม่มีพวกพ้องแต่เมื่อนึกถึงความลับที่ลั่วเยวี่ยอิงรู้ ก็มีคนคนหนึ่งที่เชื่อมโยงพวกนางเข้าด้วยกัน“เหยียนหน่ายซิน!”ฟู่เฉินหวนสั่งการทันที “ใครก็ได้ ไปตรวจค้นตระกูลเหยียน จับคนทั้งหมด ห้ามปล่อยให้รอดแม้แต่คนเดียว!”“พ่ะย่ะค่ะ!”ฟู่เฉินหวนมิวางใจ นำกำลังออกตามล่าด้วยตัวเองมิอาจปล่อยให้ลั่วฉิงหนีไปได้ส่วนลั่วชิงยวนก็พาซ่งเชียนฉู่กับเฉินเซี่ยวหานกลับไปก่อนเมื่อเปิดเผยตัวตนแล้ว ลั่วชิงยวนก็มิต้องปลอมตัวอีก นางพาพวกเขากลับเรือน“เชียนฉู่ การเดินทางราบรื่นหรือไม่?” ลั่วชิงยวนเห็นเฉินเซี่ยวหานดูสด
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน
คนของถูหมิงตายไปหมดแล้ว เหลือเพียงฉีเสวี่ยเวยเท่านั้นในขณะที่พวกเขาเดินทางไปยังถ้ำแห่งที่หกในคืนนั้นผลลัพธ์ที่ได้กลับน่าผิดหวังเพราะในถ้ำว่างเปล่า“ดูเหมือนว่าพวกเราจะมาช้าไปก้าวหนึ่ง”ถูหมิงขมวดคิ้ว “เหลืออีกหนึ่งชิ้น ทำอย่างไรดี? หรือว่าความพยายามทั้งหมดของเราจะสูญเปล่า?”พวกเขาวุ่นวายมาหลายวัน เดินทางไปเกือบทั่วทั้งภูเขาแล้วหากสมบัติหายไปเช่นนี้ เขาคงต้องฆ่าสตรีผู้นี้เป็นแน่!ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วครุ่นคิด แล้วกล่าวว่า “เหลืออีกหนึ่งชิ้นก็เหลืออีกหนึ่งชิ้น”“หาที่ปลอดภัยก่อน”จากนั้นพวกเขาก็มายังป่าที่ค่อนข้างสะอาด ไม่มีพุ่มไม้หรือวัชพืชหนาแน่นบนพื้นมากนัก ค่อนข้างโปร่งโล่งหีบทั้งห้าใบวางอยู่บนพื้นลั่วชิงยวนกล่าวว่า “เปิดหีบกันเถิด”ทันใดนั้นดวงตาของถูหมิงก็เป็นประกาย “เปิดได้หรือ?”เขาเห็นว่าบนหีบมีแต่อักขระสีเลือดปกคลุมอยู่ จึงยั้งมือไว้หลายครั้งแม้จะอยากเปิดก็ตามเมื่อได้ยินเช่นนี้จึงรีบเปิดหีบทันทีแต่เมื่อเปิดออกแล้ว ร่างกายของเขาก็แข็งทื่อไปศพ?!ทั้งยังเป็นศพที่ถูกชำแหละอีกด้วย?ฉีเสวี่ยเวยก็ตกใจกลัวลั่วชิงยวนกลับสงบสติอารมณ์ สั่งให้โฉวสือชีและคนใบ้ช่วย
“ใครกัน?!”ลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วตอบเสียงแผ่ว “ซูเซียง”“แต่ตอนนี้ควรเรียกนางว่าโหยวเซียง”“ภารกิจที่พวกเจ้าได้รับก็เป็นเพียงการละเล่นของนางเท่านั้น”“นางต้องการให้พวกเจ้าฆ่ากันเอง”และภารกิจหนังหน้าของหญิงงามที่ฉีเสวี่ยเวยได้รับ ก็คงเป็นการล่อลวงให้ฉีเสวี่ยเวยมาฆ่านางหากสามารถยืมมือคนอื่นฆ่าคนได้ โหยวเซียงก็มิจำเป็นต้องเปิดเผยตัวตนเพียงแต่โหยวเซียงคาดมิถึงว่าฉีเสวี่ยเวยจะฆ่านางมิได้ กระทั่งโหยวเซียงเองก็ฆ่านางมิได้“โหยวเซียงหรือ? นางเป็นคนของเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้หรือ?” ฉีเสวี่ยเวยมองนางอย่างมิเชื่อสายตา“มิแปลกใจเลย… นางท้องแก่ถึงเพียงนั้นยังกล้ามาที่นี่ได้”ลั่วชิงยวนเห็นว่าใกล้รุ่งสางแล้ว จึงให้โฉวสือชีแก้เชือกที่มัดฉีเสวี่ยเวยไว้“ข้าจะยังมิฆ่าเจ้าตอนนี้”“มิว่าเรื่องที่เจ้ากล่าวมาจะเป็นจริงหรือไม่ก็มิสำคัญ ข้าก็มิกลัวว่าเจ้าจะไปบอกเรื่องนี้กับถูหมิง”“หากเจ้าไปบอก เรื่องเดียวที่จะเป็นผลเสียต่อพวกข้าก็คือต้องแบกหีบเพิ่มอีกมิกี่ใบ”“เพียงเท่านั้น”มิใช่เรื่องคอขาดบาดตายที่นางทำเป็นร่วมมือกับถูหมิง ก็เพียงต้องการใช้คนของเขาไปขวางทางศพชายที่ถูกผนึกไว้ในถ้ำ
“แม้จะต้องยอมตายไปพร้อมกับถูหมิง ข้าก็ยินดี!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ตกตะลึง แต่ก็ยังคงสงสัยอยู่บ้าง“แต่เจ้าสนิทสนมกับถูหมิงถึงเพียงนั้น น่าจะมีโอกาสฆ่าเขาได้นับครั้งมิถ้วน”ฉีเสวี่ยเวยขมวดคิ้วแน่น ดวงตาแดงก่ำ “แท้จริงแล้วคนผู้นั้นระแวดระวังตัวมาก หากมิใช่เพราะต้องการลดความระแวดระวังของเขา ข้ากับชายมากหน้าหลายตาก็คงมิ...”เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ฉีเสวี่ยเวยก็เม้มริมฝีปากแน่นหลังจากกล้ำกลืนความรู้สึกแล้ว จึงกล่าวต่อ “ในป่าครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่เขาใกล้ชิดข้า เดิมทีตอนนั้นข้ามีโอกาสที่จะฆ่าเขาได้!”“แต่เจ้าปีศาจฝูเหมิ่งนั่นบังเอิญมาขวาง!”“หากมิใช่เพราะเขา ข้าคงทำสำเร็จไปแล้ว!”ฉีเสวี่ยเวยกัดฟันพูด เต็มไปด้วยความเคียดแค้นลั่วชิงยวนรู้สึกประหลาดใจ เมื่อเห็นสีหน้าของฉีเสวี่ยเวย ในดวงตาของนางเต็มไปด้วยความแค้น ดูมิเหมือนคนโกหกทำให้นางเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อฉีเสวี่ยเวยไปบ้างขณะที่ลั่วชิงยวนยังคงครุ่นคิด ฉีเสวี่ยเวยก็มองมาที่นาง “เจ้ายังมิเชื่อข้าหรือ?”“ขอเพียงเจ้าฆ่าถูหมิงได้ ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อเจ้า! ข้าจะบอกสิ่งที่เจ้าอยากรู้ทุกอย่าง!”ลั่วชิงยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ลั่วชิงยวนนอนนิ่งอยู่บนเตียง มิกล้าขยับกายทว่างูตัวนั้นกลับกัดข้อเท้านางอย่างแรงหนึ่งครั้ง จากนั้นก็รีบเลื้อยหนีไปรออยู่ครู่หนึ่ง ฉีเสวี่ยเวยเห็นว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ จึงเปิดประตูเข้ามานางมิอาจมั่นใจได้ว่าพวกคนใบ้จะกลับมาเมื่อใด จึงมิกล้าเสียเวลานานหลังจากปิดประตูอย่างระแวดระวังแล้ว นางก็มายังปลายเตียง จ้องมองข้อเท้าของลั่วชิงยวนอย่างละเอียด ปรากฏว่าถูกงูกัดจริง ๆ นางต้องตายเพราะพิษนี้แน่นอน!ทันใดนั้นเอง ฉีเสวี่ยเวยก็ชักกริชออกมาแล้วเดินไปยังหัวเตียง ค่อย ๆ จรดใบมีดลงบนใบหน้าของลั่วชิงยวนแต่ในพริบตานั้นเอง ลั่วชิงยวนก็ลืมตาขึ้นมาจ้องมองนางด้วยสายตาอาฆาตแค้นฉีเสวี่ยเวยพลันตกใจ แต่ก็มิได้หนีในทันที เพราะนางคิดว่าลั่วชิงยวนโดนพิษงูเข้าไปแล้ว อย่างไรก็ต้องตายอยู่ดีลั่วชิงยวนรีบคว้าข้อมือของฉีเสวี่ยเวยไว้เพื่อแย่งชิงกริชมาจากนางฉีเสวี่ยเวยก็ลงมือโจมตีเช่นกัน เพียงแต่นางคาดมิถึงว่าสตรีผู้นี้ที่ถูกพิษแล้วจะยังมีพละกำลังมากมายถึงเพียงนี้หลังจากทั้งสองต่อสู้กันครู่หนึ่งในห้อง ฉีเสวี่ยเวยก็พ่ายแพ้ ถูกลั่วชิงยวนจับกดไว้บนโต๊ะฉีเสวี่ยเวยตกใจมาก “เจ้า
“แน่นอน”“อีกอย่าง เมื่อหาของเหล่านี้ครบแล้วเมืองแห่งภูตผีทั้งเมืองก็จะเป็นของพวกเรา แล้วยังต้องขึ้นเขาไปเอาของเล็ก ๆ น้อย ๆ นั่นหาปะไร”คำพูดนี้กระตุ้นความโลภในใจของทุกคนที่อยู่ตรงนั้นอย่างมิต้องสงสัยพวกเขาจึงมิลังเลอีกต่อไป รีบติดตามลั่วชิงยวนไปยังเส้นทางเดิมตลอดทางยังมีงูมากมาย ลั่วชิงยวนก็หาสมุนไพรบางชนิดตลอดทางแล้วมอบให้ทุกคนผูกติดไว้บนตัวและทาตามเท้า เพื่อให้กลิ่นของสมุนไพรนั้นช่วยไล่งูดังนั้นการเดินทางของพวกเขาจึงราบรื่นดี เมื่อยามค่ำคืนมาเยือนพวกเขาก็ออกมาจากบ่อน้ำพุร้อนนั้นอีกครั้งพวกเขากลับมายังหมู่บ้านเดิมในช่วงกลางดึกสงัดในหมู่บ้านยังมีอาหารหลงเหลืออยู่ ดังนั้นทุกคนจึงหยุดพักกินอาหารกันก่อนเมื่อฟื้นฟูพละกำลังได้แล้วคนทั้งหมดก็ออกเดินทางต่อมาถึงสุสานเดิม ยามนี้วิญญาณอาฆาตเต็มไปทั่วทั้งภูเขา พลังหยินแผ่ซ่านไปทั่วเมื่อลั่วชิงยวนมาถึงที่แห่งนั้นก็พบว่าปากถ้ำเปิดออกแล้วมีคนกล่าวขึ้นว่า “วันนั้นฝูเหมิ่งก็มาที่นี่!”ลั่วชิงยวนตกใจเล็กน้อยเมื่อเข้าไปในถ้ำแล้ว ภาพที่ปรากฏด้านในนั้นมิเปลี่ยนแปลงมากนัก สิ่งที่เปลี่ยนไปเพียงอย่างเดียวคือโลงศพที่ถูกล่ามโซ่นั้นระเบ
เมื่อได้ยินดังนั้น ความโลภก็ปรากฏในดวงตาของถูหมิง ใครเล่าจะมิปรารถนาสมบัติของเมืองแห่งภูตผี เขาตอบตกลงในทันที “ได้”ลั่วชิงยวนกล่าวต่อว่า “แต่การนำของสิ่งนี้มาจะต้องเผชิญกับอันตรายบ้าง ดังนั้นอาจจะต้องมีคนของเจ้าสละชีวิต”“แต่คนมากก็แบ่งกันได้น้อย คนตายไปบ้างก็มิจำเป็นต้องสนใจความเป็นความตายของพวกเขา”“ความลับนี้ข้าบอกเพียงเจ้าเท่านั้น เจ้าอย่าได้แพร่งพรายให้ผู้ใดรู้เชียว”“โดยเฉพาะฉีเสวี่ยเวย”เมื่อได้ยินดังนั้นถูหมิงก็หันกลับไปมอง แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็มิเคยสนใจความเป็นความตายของคนเหล่านั้นอยู่แล้ว“หาได้มีปัญหาไม่!”ถูหมิงรับปากอย่างง่ายดาย แต่ลั่วชิงยวนกลับยังคงระแวดระวัง “ยังมีเรื่องที่ต้องบอกเจ้าอีกอย่าง กองทัพของเมืองแห่งภูตผีถูกพวกข้าปลุกปั่นแล้ว คาดว่าอีกมินานคงไล่ตามมา”“ก่อนที่จะหาของทั้งหกชิ้นพบ อย่าได้คิดที่จะทำสิ่งใดนอกเหนือจากนี้ ท้ายที่สุดแล้ว พวกเราต้องร่วมมือกันต่อสู้กับศัตรู หากถูกพวกมันจับได้คงไม่มีใครมีจุดจบที่ดี”สีหน้าของถูหมิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย มิคาดคิดว่าสตรีผู้นี้จะเก่งกาจมากถึงเพียงนี้ กระทั่งปลุกกองทัพของเมืองแห่งภูตผีขึ้นมาได้ดูเหมือนว่าสิ่งที่นางต้