ลั่วชิงยวนนิ่วหน้าหากเป็นนางแม้ว่าโหยหาลูกชายที่สูญเสียไปตั้งแต่วัยเยาว์ นางก็คงไม่คิดจะอัญเชิญวิญญาณเขามาหลังจากที่ผ่านไปหลายสิบปีเช่นนี้นางรู้สึกว่า เรื่องนี้มีบางอย่างแปลก ๆเจ้าของร้านเองก็ไม่รู้อะไรมากนัก เขาแค่รับผิดชอบจัดหาของและเก็บเงินมาเท่านั้น หนนี้เขานึกโลภและบุ่มบ่ามมากเกินไป จนทำให้ตนต้องเดือดร้อนเพราะว่าเขานั้นซาบซึ้งที่ลั่วชิงยวนช่วยแก้ปัญหาให้ เขาจึงมอบเงินห้าร้อยตำลึงกับนางเป็นการขอบคุณเมื่อลั่วชิงยวนรับเงินนั้น นางรู้สึกขึ้นมาทันทีว่า นี่อาจจะเป็นวิธีทำมาหากินของนางได้ หากว่านางใช้ศาสตร์นี้ทำเป็นอาชีพ นี่น่าจะดีกว่าต้องทนทุกข์และโมโหหัวเสียอยู่ในตำหนักอ๋องใช่หรือไม่?เมื่อมีความคิดเช่นนี้ นางก็รู้สึกมุ่งมั่น…เราจะต้องแก้ไขปัญหาในจวนมหาราชครูให้จงได้หากว่าสามารถแก้ปัญหาในจวนมหาราชครูได้ และได้ชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือจากจวนมหาราชครู ในอนาคตหากว่ามีเรื่องแปลกประหลาดอันใดเกิดขึ้นกับตระกูลร่ำรวยในเมือง พวกเขาก็ต้องแนะนำนางให้ไปดู นางเองต้องสร้างชื่อเสียงขึ้นมาเสียก่อนถึงจะเริ่มหาเงินทองได้เมื่อออกมาจากร้าน ลั่วชิงยวนเองก็ยังคงครุ่นคิดเรื่องนี้ไม่เลิกแ
ใบหน้าของแม่นมเติ้งเปลี่ยนไปอย่างมากเมื่อนางติดตามพระชายา "พระชายา ไม่ใช่ว่าแม่นางอวิ๋นสี่..."ลั่วชิงยวนรีบวิ่งตรงไปที่หอนางโลมอย่างไม่คิดชีวิต "เข้าไปดูสิว่ามีใครอยู่รึเปล่า!"ด้านหลังของเรือนลั่วอวิ๋นสี่ถือห่อผ้าแล้วคว้าแขนของชายคนหนึ่งเอาไว้ "พาข้าไปกับท่านด้วยเถิด! คนในบ้านข้าบ้ากันไปหมดแล้ว ถ้าท่านไม่พาข้าไปด้วย ข้าตายแน่!"สวีซงหย่วนดูลำบากใจ "แต่นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเลย ถ้าข้าพาเจ้าไปด้วย ก็เท่ากับว่า… เราหนีตามกันไป!"“ข้าไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว พี่หย่วน ท่านไม่อยากอยู่กับข้ารึ? ข้าเต็มใจจะไปกับท่านเอง ยังมีเหตุผลอันใดให้ท่านปฏิเสธอีก” ลั่วอวิ๋นสี่โกรธเล็กน้อยสวีซงหย่วนขมวดคิ้วและกัดฟัน "ก็ได้ ไปกันเถอะ!"ทั้งสองจับมือกันไว้ มือข้างที่ว่างถือห่อผ้า ก่อนเปิดประตูเตรียมจะวิ่งออกไปขณะที่ลั่วชิงยวนและแม่นมเติ้งเข้าไปในเรือน พวกนางก็บังเอิญชนเข้ากับชายแปลกหน้าที่ดูเหมือนกำลังฉุดกระชากลั่วอวิ๋นสี่อยู่กับสองตาทันทีที่ทั้งสองฝ่ายสบตากัน สีหน้าของลั่วอวิ๋นสี่ก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือลั่วชิงยวนยกมือขึ้นแล้วโจมตีชายแปลกหน้าทันที "ปล่อยนางเดี๋ยวนี้!"สวีซงหย่วนทำอะไรไม
“เจ้าจะพาข้าไปไหน! ลั่วชิงยวนเลิกเข้ามายุ่งเรื่องคนอื่นสักทีได้ไหม?” นางไม่รู้เลยว่า ลั่วชิงยวนมาพบกับที่แห่งนี้ได้อย่างไรการได้พบกับลั่วชิงยวนไม่ต่างอะไรกับการประสบเคราะห์ร้ายแปดชั่วโคตรอย่างไรอย่างนั้น!ลั่วชิงยวนไม่ได้พูดอะไร ทว่ากลับพานางมาที่จวนมหาราชครูแทนเมื่อลั่วอวิ๋นสี่รู้ดังนั้นนางก็เริ่มขัดขืนอีกหน "ปล่อยข้านะ! ข้าจะไม่กลับไปที่นั่น!"ลั่วชิงยวนดุด้วยความโกรธ "สตรีสูงศักดิ์อย่างเจ้า ไม่ยอมกลับจวนแต่คิดจะหนีไปกับบุรุษป่าเถื่อนอย่างนั้นได้อย่างไร? ไม่รู้สึกอับอายสักหน่อยรึ!"ลั่วอวิ๋นสี่โต้กลับทันที "พี่หย่วนมิใช่คนป่าเถื่อน! เขาเป็นผู้พิทักษ์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในยุทธภพต่างหาก! ลั่วชิงยวน พูดจาระวังปากด้วย!"“อีกอย่างจะมีใครหน้าด้านได้มากกว่าเจ้าอีก? พอออกเรือนไปแล้วก็ใจกล้าหน้าด้านขึ้นอย่างนั้นสินะ?”คำพูดของลั่วอวิ๋นสี่บาดใจคนฟังแต่สำหรับลั่วชิงยวนแล้วนี่เป็นเรื่องธรรมดานางยังไม่ยอมปล่อยมือของลั่วอวิ๋นสี่และเอ่ยด้วยความจริงจัง "เจ้าจะพูดอันใดก็เชิญ แต่ไม่ว่าอย่างไรวันนี้ข้าก็จะพาเจ้ากลับจวน! สวีซงหย่วนผู้นั้นมิใช่คนดี!""นี่เจ้า!" ปฏิกิริยาของลั่วอวิ๋นสี่ดูถ้า
“ของพวกนั้นไม่อาจพาคนที่ท่านอยากพบกลับมาได้ มันมีแต่จะนำปัญหาไม่รู้จบ และแม้แต่ความหายนะมาสู่ตระกูลของท่านด้วย”ทันทีที่นางได้ยินสิ่งนี้ ลั่วหรงก็ชะงักฝีเท้าลงและร่างกายของนางก็แข็งทื่อลั่วหรงยืนตัวแข็งทื่ออยู่เป็นเวลานานก่อนจะหันหลังกลับมานางสบตากับลั่วชิงยวนด้วยสายตาเฉียบคม "นี่เจ้าคิดจะเข้ามาสอดแนมเรื่องของตระกูลข้าอย่างนั้นสินะ? ฮ่า ข้าคงประเมินเจ้าต่ำไป!"แม้แต่สมาชิกในตระกูลก็มีเพียงแค่ไม่กี่คนที่รู้ความลับเรื่องนี้ แต่คนนอกอย่างลั่วชิงยวนกลับรู้เรื่องนี้กับเขาด้วย!แน่นอนว่า คนที่หาวิธีจับผู้ชายได้อย่างนาง ย่อมมีหัวคิดไม่ธรรมดาแม้ว่าภายนอกนางจะดูอ้วนและไม่ฉลาดนัก แต่ภายใต้รูปร่างหน้าตาเช่นนั้นของนางได้เก็บซ่อนความฉลาดหลักแหลมเอาไว้!รอยยิ้มมีนัยปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของลั่วชิงยวน "ข้าอยากจะขอถามท่านตรง ๆ สักหน่อย"“ฮูหยินลั่ว ท่านเคยถามตัวเองบ้างหรือไม่? คนที่ท่านอยากพบตายจากไปหลายสิบปีแล้ว หากเขาหมดกรรมและไปเกิดนานแล้ว เขาจะยังอยู่ในใต้หล้านี้อีกหรือ? จริงอยู่ที่ท่านทุ่มเทอย่างหนักเพื่อเรียกให้เขากลับมา แต่สิ่งที่ถูกเรียกมานั้นจะใช่เขาแน่หรือ?”คำถามนี้ทำให้ลั่วหรงชะงั
ลั่วชิงยวนก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ก่อนพบเทียนเล่มหนึ่งในห้องนางจึงจุดจนมันสว่างไปทั่วฉะนั้นแล้วในห้องรับรองแขกอันยิ่งใหญ่แห่งนี้ มีเพียงแสงเทียนเล่มนี้เพียงอย่างเดียวท่ามกลางความมืดดังกล่าว มีไฟดวงน้อย ๆ สว่างขึ้น มันเป็นดั่งเป้าสายตาท่ามกลางความมืดมิดในยามกลางคืนลั่วชิงยวนไม่ได้ปิดประตู นางคลายผ้าห่มออกแล้วล้มตัวลงนอน ตั้งแต่วินาทีแรกที่นางก้าวเข้าไปในห้องแห่งนี้ เข็มทิศก็สั่นไม่หยุด ที่นี่เต็มไปด้วยความชั่วร้ายและความโกรธแค้น!ข้างนอกเกิดลมพัดแรงอย่างอธิบายไม่ได้ มันทำให้ใบไม้ในลานบ้านส่งเสียงกรอบแกรบ คล้ายกับเสียงหัวเราะอันน่าสะพรึงกลัว “วะ ฮ่า ฮ่า"ทันใดนั้นก็มีลมพัดแรง กระแทกมาที่ประตูเข็มทิศในมือของลั่วชิงยวนหมุนอย่างเงียบ ๆ ขณะที่ลมเข้าปะทะประตูอย่างแรง จนมันเปิดออกลมกระโชกแรงขึ้นและพัดไปทั่วประตูลั่นดังเอี๊ยดอ๊าดและกระแทกปึงปังนางยังคงปลอดภัยในห้องรับรองแขกเล็ก ๆ ของนางไม่ว่าวิญญาณชั่วร้ายจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ไม่มีวิญญาณชั่วร้ายตนใดบุกเข้ามาในห้องได้นางสัมผัสได้ว่า วิญญาณร้ายเหล่านั้นรวมตัวกันอยู่รอบห้องของนาง และล้อมรอบนางเอาไว้ลั่วชิงยวนหลับตาและพักผ่อ
แต่ก็เป็นเรื่องปกติที่ลั่วหรงจะไม่ยอมออกไปไหน ลั่วชิงยวนจับลั่วอวิ๋นสี่เอาไว้อย่างรวดเร็ว กัดนิ้วของนางแล้ววาดอักขระบนหน้าผากของลั่วอวิ๋นสี่อย่างรวดเร็ว ก่อนที่วิญญาณอาฆาตที่อยู่โดยรอบจะค่อย ๆหายไปลั่วชิงยวนใช้โอกาสนี้แกะมือของลั่วอวิ๋นสี่ และในที่สุดนางก็คลายมือออกจากลำคอของตนรอยฝ่ามือสีเข้มที่คอทำให้ดูน่ากลัวนัก!ลั่วหรงที่คิดว่าตนเคยเห็นลมกระโชกแรงเช่นนี้มาหลายครั้ง และไม่เคยหวาดกลัวต่อสิ่งใด ในตอนนี้กลับหน้าซีดและแทบจะสิ้นสติเมื่อได้เห็นบุตรสาวของตนเป็นเช่นนี้ หัวใจของนางก็แทบจะสลายแต่ทว่าลั่วชิงยวนยังคงสงบและนิ่งเฉย หลังจากขับไล่วิญญาณชั่วร้ายที่อยู่รอบตัวไปได้แล้ว นางก็รีบหยิบยันต์ออกมา เผาน้ำ แล้วป้อนให้ลั่วอวิ๋นสี่ดื่มอาการตาเหลือกและฟองในปากของนางค่อย ๆ หายไปนางค่อย ๆ กลับมาสงบและล้มตัวลงนอนกับพื้น“รีบพานางกลับห้องเร็วเข้า!”ดวงตาของลั่วหรงแดงกำ และนางก็รีบเรียกคนสองสามคนให้พาลั่วอวิ๋นสี่กลับไปที่ห้องอย่างร้อนรนในขณะที่ลั่วหรงกำลังจะจากไป นางเหลือบมองลั่วชิงยวนอย่างลังเล "แล้วเจ้าล่ะ!"ลั่วชิงยวนเตะโต๊ะพิธีและแท่นบูชาแล้วเอ่ยขึ้นว่า "พวกท่านไปกันก่อนเถิด เด
แม่ของนางคิดจะทำอะไรบางอย่างกับนางจริง ๆ ด้วย เช่นนี้แล้วลั่วอวิ๋นสี่จะไม่หนีจากเรื่องบ้า ๆ และอันตรายถึงชีวิตไปได้อย่างไรคำพูดเหล่านี้ทำให้ใบหน้าของลั่วหรงมืดลงเล็กน้อย มือของนางกำแขนเสื้อของตนเอาไว้โดยไม่รู้ตัว "ข้ามิได้ตั้งใจจะทำร้ายนาง!"ลั่วชิงยวนจึงใช้โอกาสในสถานการณ์นี้เอ่ยถามออกไปว่า "ฮูหยินลั่ว ท่านต้องการที่จะอัญเชิญวิญญาณของคุณชายให้มาสิงร่างของลั่วอวิ๋นสี่ แล้วให้เขาไปพบกับมหาราชครูลั่วเพื่อแก้ไขปมที่ติดอยู่ในใจของมหาราชครูลั่วมาหลายปีแล้วใช่หรือไม่?"เมื่อได้ยินคำถามนี้ ลั่วหรงก็ดูตกใจและมองคู่สนทนาด้วยความไม่เชื่อ "เจ้า… เจ้ารู้ได้เยี่ยงไร!"ลั่วชิงยวนรู้ตื้นลึกหนาบางถึงเพียงนี้ได้อย่างไร?!นางเป็นใครกันแน่?นางเป็นบุตรสาวของลั่วไห่ผิงจริง ๆ หรือ?ลั่วชิงยวนยังคงยิ้มอย่างสงบ และการแสดงออกที่สงบของนางก็ทำให้นางดูลึกลับขึ้นมาก“อย่างที่ข้าบอกท่าน คนผู้นั้นคงจะไปเกิดใหม่นานแล้ว ไม่เพียงแต่ท่านจะไม่อาจอัญเชิญวิญญาณของเขามาได้เท่านั้น แต่ท่านยังได้ดึงดูดบางสิ่งที่เลวร้ายเข้าไปในร่างกายของหลัวอวิ๋นสี่อีกด้วย”ลั่วชิงยวนอธิบายสั้น ๆ ถึงสาเหตุและผลกระทบของเหตุการณ์ก่อนห
"ที่ข้าบอกเรื่องนี้กับเจ้า เพราะหวังว่าเจ้าจะเข้าใจความคิดความอ่านของคนในครอบครัวข้า!""แม้ว่าเจ้าจะมาที่นี่เพื่อวิ่งเต้นเรื่องในราชสำนักให้ลั่วไห่ผิง หรืออยากจะมาเป็นตัวแทนฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างสองครอบครัว ข้าก็ขอแนะนำเจ้าว่า อย่ามัวมาเสียเวลาเลยจะดีกว่า!"น้ำเสียงของลั่วหรงหนักแน่นเป็นพิเศษ "ครอบครัวของเราไม่มีทางยอมรับลั่วไห่ผิง!"หลังจากได้ยินสิ่งนี้ ลั่วชิงยวนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เป็นเพราะเรื่องพวกนี้เองนางลดสายตาลงและยกยิ้มขมขื่น "ท่านอากังวลเกินไปจริง ๆ พ่อของข้า... เกลียดข้า และไม่ยอมให้ข้าไปร่วมงานฉลองวันเกิดของท่านมหาราชครูด้วยซ้ำ เขาคิดว่า การที่ข้าอ้วนและมีใบหน้าอัปลักษณ์ จะทำให้เขาต้องอับอาย นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้… ข้าอยากเข้ามาที่จวนมหาราชครูถึงขนาดนี้”คำพูดที่ตรงไปตรงมาของนางทำให้ลั่วหรงตกใจไม่น้อยขณะมองไปที่ลั่วชิงยวน คิ้วของนางก็ยิ่งขมวดแน่นขึ้น "ลั่วไห่ผิงสนใจแต่ชื่อเสียงและเงินทองของตนเท่านั้น นี่แหละคือเขา!"หลังจากเข้าใจเหตุผลแล้วลั่วหรงก็รู้สึกเห็นใจลั่วชิงยวนขึ้นเล็กน้อย“เจ้าถึงได้ยอมออกเรือนเพื่อหลีกหนีจากท่านพ่อของเจ้าอย่างนั้นหรือ?” ลั่วหรงค
“เจ้าแต่งกายให้เรียบร้อย มิต้องรีบร้อน ข้าจะออกไปดูเอง” ฟู่เฉินหวนปล่อยนาง แล้วเดินออกจากห้องอย่างสงบนิ่งลั่วชิงยวนรีบแต่งกาย เมื่อพบหน้ากากบนเตียงก็รีบสวมใส่แล้วจัดแจงอย่างเรียบร้อย จากนั้นจึงค่อย ๆ ก้าวออกไปอย่างใจเย็นเมื่อออกมาก็พบกับใต้เท้าเหอและเหล่าองครักษ์แต่มิพบศพของเหยียนผิงเซียวใต้เท้าเหอมองนางด้วยความสงสัย “เมื่อคืนท่านเซียนฉู่ไปที่ใดหรือขอรับ ข้าเคาะประตูเรียกก็ไร้ผู้ตอบรับ ท่านเซียนฉู่ทราบหรือไม่ว่าเมื่อคืนมีคนตายอยู่หน้าประตูบ้านของท่าน?”ลั่วชิงยวนใจหาย พวกใต้เท้าเหอมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วศพก็ถูกพวกเขาเอาไปแล้วด้วยเคาะประตูแล้วไม่มีคนตอบหรือ?นางมิได้ยินเสียงเคาะประตูจริง ๆนางสบตากับฟู่เฉินหวนแล้วจึงตอบว่า “ข้าดื่มสุราอยู่กับท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการ”ฟู่เฉินหวนยืนกอดอก มุมปากมีรอยยิ้มจางแล้วเอ่ยว่า “ข้าก็บอกแล้วว่าข้ากับท่านเซียนฉู่ดื่มสุราอยู่ที่หอฝูเสวี่ย เพิ่งกลับมาเมื่อเช้า ใต้เท้าเหอยังมิเชื่ออีกหรือ?”ใต้เท้าเหอรีบขออภัย “มิได้มีเจตนาดังนั้นพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ผู้ตายคือบุตรชายคนโตของตระกูลเหยียน เหยียนผิงเซียว ท่านอ๋องก็ทรงทราบว่าเขามีฐานะพิเศษ บ
“หม่อมฉัน...” เมื่อถูกจ้องมองด้วยแววตาเช่นนี้ ลั่วชิงยวนก็มิอาจปั้นแต่งคำโกหกต่อไปได้“ว่าอย่างไร? ยังคิดคำโกหกมิออกหรือ?” ฟู่เฉินหวนใช้มือทั้งสองยันประตู แล้วเอนกายเข้ามาใกล้นางดวงตาคมกริบแฝงอันตราย ใกล้ชิดเพียงนี้ทำให้บรรยากาศรอบตัวร้อนรุ่มดุจเปลวเพลิงลั่วชิงยวนกลืนน้ำลายลงคอ ยอมรับแต่โดยดี “ใช่เพคะ หม่อมฉันคือฉู่ลั่ว!”“อย่ากล่าวหาว่าหม่อมฉันหลอกลวงท่านมาโดยตลอดเลยเพคะ ครั้งนั้นท่านเป็นผู้ขับไล่หม่อมฉันไปยังเรือนอื่นเพื่อให้ตายไปเอง หากหม่อมฉันมิปิดบังท่าน แล้วหาทางทำมาหากินเองก็คงอดตายหนาวตายอยู่ในเรือนหลังนั้นไปนานแล้ว...”กล่าวถึงตรงนี้ ฟู่เฉินหวนก็ขมวดคิ้วแล้วดึงนางเข้าสู่อ้อมกอดกอดนางไว้แน่นลั่วชิงยวนชะงักไปเสียงทุ้มต่ำของฟู่เฉินหวนดังข้างหู “ข้าขอโทษ ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเอง”ลั่วชิงยวนตกใจเล็กน้อย เมื่อเห็นเขารู้สึกผิดเช่นนี้ก็ใจอ่อน นางลูบหลังเขาเบา ๆ “เอาเถิดเพคะ หม่อมฉันมิได้ถือโทษท่านแล้ว”“ต้องโทษที่หม่อมฉันเองมองคนผิด ถูกคนหลอกใช้ ทำให้ท่านเข้าใจผิดคิดว่าหม่อมฉันเป็นไส้ศึกของตระกูลเหยียน”สิ้นคำพูดของนาง ฟู่เฉินหวนก็คลายอ้อมกอดแล้วหรี่ตาลง แววตาแปรเ
เว้นเสียแต่จะตายกับดักจึงจะหายไปทั้งสองวิ่งหนีไปได้มิกี่ก้าวก็พบว่าติดอยู่ในกับดัก ลั่วชิงยวนจึงไล่ตามมาทันอีกครั้งลั่วฉิงหันกลับมามองด้วยสายตาเย็นชา พลันคว้าไหล่เหยียนผิงเซียวแล้วผลักเขาไปหาลั่วชิงยวน“ฉิงเอ๋อร์!” เหยียนผิงเซียวตกใจสุดขีดร่างกายถอยหลังโดยมิอาจควบคุมดวงตาของลั่วฉิงเย็นเยียบ ไร้ซึ่งความลังเลเมื่อลั่วชิงยวนเข้าโจมตี กริชจันทร์เสี้ยวในมือก็แทงเข้าสู่ร่างของเหยียนผิงเซียวก่อนเหยียนผิงเซียวจะสิ้นใจยังคงจ้องมองลั่วฉิง ดวงตาเต็มไปด้วยความแค้นเคืองบางทีก่อนที่เขาจะสิ้นลม เขาก็คงมิรู้ว่าเหตุใดสตรีที่เขารักจึงผลักเขาเข้าสู่ความตายลั่วฉิงเห็นเหยียนผิงเซียวตาย แต่กลับมิกะพริบตาแม้แต่น้อยลั่วชิงยวนมิแปลกใจเลยที่ลั่วฉิงชื่อลั่วฉิง ก็เพราะนางเย็นชาไร้ความรู้สึกผู้ที่เลือดเย็นไร้หัวใจมักได้ชื่อที่มีคำว่าฉิงที่แปลว่าความรักเพื่อให้คนอื่นคาดหวังทันใดนั้น ลั่วฉิงก็ฉวยโอกาสโจมตีลั่วชิงยวนอย่างรุนแรงขณะต่อสู้กัน หน้ากากของลั่วชิงยวนบังเอิญหลุดออกเมื่อหน้ากากหลุดแล้วลั่วฉิงเห็นใบหน้าของนางก็ตกตะลึง“เป็นเจ้านี่เอง!” ลั่วฉิงกัดฟันกรอดด้วยความแค้นนางก็ว่าอยู่ว่
ฟู่เฉินหวนตกตะลึงเขาเงยหน้ามองนางด้วยความสงสัย “วันนี้ท่านเป็นอะไรไป? จะดื่มสุราแล้วต้องถามมากมายเช่นนี้?”“เหมือนสตรี...”“ท่านคงมิประสงค์จะดื่มสุราด้วยกันกับข้า จึงพยายามปฏิเสธทางอ้อมสินะ”ลั่วชิงยวนกินไปพลางตอบ “เพียงแค่ถามเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”“เหตุใดท่านต้องตอบโต้เสียงดังด้วย”“ท่านมาหากระหม่อมก็เพื่อพูดคุยมิใช่หรือ?”ฟู่เฉินหวนเลิกคิ้ว พูดมิออก “ก็ใช่อยู่”เขายกถ้วยสุราขึ้นมา ลั่วชิงยวนชนจอกเหล้ากับเขาแล้วดื่มหมดจอกทั้งสองดื่มสุราจนถึงยามวิกาล พูดคุยกันทั้งคืนแต่เนื่องจากฟู่เฉินหวนมีกิจราชสำนักจึงมิได้พักค้างคืน ดื่มเสร็จแล้วจึงกลับตำหนักไปลมยามค่ำคืนพัดผ่านกายฟู่เฉินหวน ทำให้ตื่นจากอาการมึนเมาเมื่อออกจากตรอกก็รู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง เขาจึงหันกลับไปมองมีเงาร่างหนึ่งรีบซ่อนตัวนัยน์ตาของฟู่เฉินหวนเย็นชาขณะขมวดคิ้วฉู่ลั่วถูกจับตามองหรือ?ฟู่เฉินหวนเดินจากไป......ยามเช้าลั่วฉิงมาที่ตรอกฉางเล่ออีกครั้ง แล้วเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งติดอยู่ที่รอยแยกของกำแพงเมื่อเปิดดูปรากฏว่าเขียนไว้ว่า คืนนี้ยามเที่ยงคืน มาพูดคุยเรื่องความร่วมมือกันเถิดลั่วฉิงตกตะลึง ฉู่
เมื่อฟู่เฉินหวนได้ฟังดังนั้นก็พยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว”“แต่เหตุใดท่านเซียนฉู่จึงมิยอมรับตำแหน่งมหาปราชญ์?”ลั่วชิงยวนครุ่นคิด แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “กระหม่อมรับงานมิไหวแล้ว มิอยากให้ตำแหน่งมหาปราชญ์มาขัดขวางการทำเงินของกระหม่อม”ฟู่เฉินหวนอดหัวเราะมิได้ “ท่านขัดสนเรื่องเงินหรือ?”“ข้ามิเคยได้ยินท่านพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน”ลั่วชิงยวนตอบว่า “มิขัดสน แต่กระหม่อมชอบหาเงินพ่ะย่ะค่ะ” “อืม ข้าเข้าใจแล้ว แต่จักรพรรดิก็ตรัสแล้วว่าตำแหน่งนี้จะถูกสงวนไว้ให้ท่าน เมื่อใดที่ท่านเปลี่ยนใจหรือเมื่อใดที่ท่านหาเงินได้มากพอแล้ว ก็สามารถกลับมาเป็นมหาปราชญ์ได้ทุกเมื่อ”แล้วฟู่เฉินหวนก็ส่งลั่วชิงยวนออกจากวังระหว่างทาง ลั่วชิงยวนอดมิได้ที่จะเตือนอีกครั้ง “เมื่อครู่กระหม่อมเห็นว่าพระพักตร์ขององค์จักรพรรดิมีความมัวหมอง ท่านอ๋องควรเตือนองค์จักรพรรดิให้ระวังพระวรกายจากคนรอบข้างไว้พ่ะย่ะค่ะ”ฟู่เฉินหวนสงสัย “หมายความว่าอย่างไร? มีผู้ใดจะลอบทำร้ายเขาหรือ?”ลั่วชิงยวนตอบว่า “ภัยพิบัติขององค์จักรพรรดิจะมาพร้อมกับภัยพิบัติของแคว้นเทียนเชวีย”เมื่อได้ยินดังนั้น ฟู่เฉินหวนก็เข้าใจ “ขอบคุณที่เตือน!”ที่จริงแ
“ทว่าหากฝ่าบาทมีสิ่งใดที่กระหม่อมสามารถช่วยได้ ฉู่ลั่วจะมิปฏิเสธพ่ะย่ะค่ะ!”“ส่วนรายละเอียดเราค่อยพูดคุยกันภายหลัง”ฟู่จิ่งหานพยักหน้า แต่ก็พูดว่า “ท่านมิต้องการเป็นมหาปราชญ์ แต่ตำแหน่งนี้ ข้ายังคงสงวนไว้ให้เป็นของท่านเสมอ! นอกจากท่านก็ไม่มีใครเหมาะสมอีกแล้ว!”ลั่วชิงยวนมิได้เอ่ยคำใดอีกผู้คนต่างก็แยกย้ายกันไปลั่วชิงยวนถูกจักรพรรดิเรียกไปยังห้องตำราจักรพรรดิถามด้วยความร้อนรน “ท่านเซียนฉู่ ภัยพิบัติที่ท่านกล่าวว่าจะเริ่มเกิดขึ้นทางทิศใต้คือ... เมืองฉินใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนพยักหน้า “น่าจะเป็นเมืองฉินพ่ะย่ะค่ะ”เรื่องนี้นางได้บอกฟู่เฉินหวนแล้วเมื่อฟู่เฉินหวนที่เพิ่งเข้ามาในห้องตำราได้ยินดังนั้นก็ตกตะลึงเล็กน้อยลั่วชิงยวนก็บอกเขาเรื่องเมืองฉินเช่นกันทั้งสองทำนายว่าทางทิศใต้จะเกิดภัยพิบัติเหมือนกัน...นี่เป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่?“ดูเหมือนว่าตระกูลเหยียนจะยังมิยอมแพ้! ท่านเซียนฉู่ ภัยพิบัติครั้งนี้สามารถหลีกเลี่ยงได้หรือไม่?”ลั่วชิงยวนส่ายหน้า “ดูเหมือนว่าจะหลีกเลี่ยงมิได้พ่ะย่ะค่ะ”นี่เป็นครั้งที่สองที่นางทำนายเห็นได้ชัดว่ามีการส่งมือสังหารไปสังหารมหาราชาจารย์เหยีย
“คิดว่าคงเป็นเพราะท่านอาจารย์นักพรตเพิ่งมาถึงเมืองหลวง ยังมิได้มีโอกาสสืบเสาะหาชื่อเสียงของข้าในเมืองหลวง หากข้าเป็นเพียงผู้หลอกลวงต้มตุ๋น คงมีผู้คนตำหนิติเตียนข้าไปนานแล้ว”เมื่ออาจารย์นักพรตเสวียนซานได้ฟังดังนั้นก็ขมวดคิ้วดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจผิดเสียแล้วเมื่อมองดูฉู่ลั่วที่วางตัวอย่างสง่าผ่าเผยและแสดงท่าทีมั่นใจเช่นนี้ ก็รู้ว่าย่อมมีฝีมือที่แท้จริง มิใช่เพียงคนหลอกลวงพูดจาโอ้อวดครู่หนึ่งก็รู้สึกเสียใจที่มิได้สืบเสาะหาชื่อเสียงของฉู่ลั่วเสียก่อน“ที่แท้ข้าเข้าใจผิดไป ขออภัยต่อท่านเซียนฉู่ด้วย”“แต่ข้าเห็นว่าท่านเซียนฉู่มีฝีมือที่แท้จริง มิทราบว่าเรียนวิชาจากสำนักใด? เหตุใดจึงต้องใช้ชื่อของศิษย์เสวียนซานด้วยหรือ?”ลั่วชิงยวนยกยิ้มจาง แล้วกล่าวว่า “ไร้สำนักไร้พรรค”อาจารย์นักพรตเสวียนซานขมวดคิ้วแน่นด้วยความตกตะลึง แล้วกล่าวอย่างเสียดายว่า “ไร้สำนักไร้พรรค นั่นหมายความว่าเรียนวิชาลับใช่หรือไม่? ท่านเซียนฉู่ควรเข้ามาเป็นศิษย์ในสำนักเสวียนซาน วันนี้ได้พบกันโดยบังเอิญ ข้าปรารถนาจะรับท่านเป็นศิษย์เอก!”ผู้คนโดยรอบต่างตกตะลึง เมื่อครู่ยังหาเรื่อง บัดนี้กลับจะรับฉู่ลั่วเป็นศิษย์แล
ทุกคนต่างพากันเหลียวมองไปตามเสียงแล้วเห็นนักพรตผู้สง่างามก้าวเดินเข้ามาอย่างช้าๆรัศมีอันบริสุทธิ์ปราศจากมลทินของโลกมนุษย์แผ่พลังอำนาจอันน่าเกรงขามลั่วชิงยวนตกตะลึงเล็กน้อย เมื่อเห็นเครื่องหมายบนคอเสื้อของนักพรตแล้วพูดขึ้นว่า “อาจารย์นักพรตเสวียนซาน”เครื่องหมายบนเสื้อผ้าของศิษย์แต่ละระดับของสำนักเสวียนซานจะมีสีแตกต่างกันเครื่องหมายบนคอเสื้อของคนผู้นี้เป็นสีทอง มีเพียงอาจารย์นักพรตเสวียนซานเท่านั้นที่มีสิทธิ์สวมใส่สำนักเสวียนซานที่มีระดับสูงกว่าสีม่วง ล้วนเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ มิค่อยลงจากเขาใครกันที่สามารถเชิญอาจารย์นักพรตเสวียนซานมาที่นี่ได้อาจารย์นักพรตเสวียนซานฮึดฮัด “เจ้ารู้จักข้าบ้างก็ถือว่ายังดี!”“เจ้าดูมิเหมือนคนร้ายกาจ เหตุใดจึงแอบอ้างเป็นศิษย์ของสำนักข้า มาหลอกลวงในวังหลวงแคว้นเทียนเชวีย!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็เข้าใจทันทีนี่เป็นฝีมือของลั่วฉิงเหล่าขุนนางและข้าราชบริพารต่างตกตะลึง“หลอกลวงหรือ? คงมิใช่กระมัง?”“ความสามารถในการทำนายของท่านเซียนฉู่คงมิใช่ของปลอมกระมัง?”ผู้คนต่างเกิดความสงสัยจักรพรรดิกล่าวว่า “ท่านนักพรต ท่านพูดเช่นนั้นได้อย่างไร!”
ดีงูที่ทำให้ฝีมือของนางเพิ่มพูนขึ้นอย่างมากนั้น นางยังคงจำได้มิลืมเลือนน่าเสียดายที่ข้างกายซ่งเชียนฉู่มีคนผู้ทรงอานุภาพคอยคุ้มครอง นางจึงพยายามด้วยวิธีการต่างๆ แต่ก็ยังล้มเหลวการใช้ความสัมพันธ์ระหว่างฉู่ลั่วกับซ่งเชียนฉู่อาจจะประสบความสำเร็จ แต่ฉู่ลั่วกลับดื้อดึงมิยอมร่วมมือกับนาง!เมื่อมิสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ก็จำต้องทำลายเขาเสีย!ลั่วชิงยวนกลับไปยังลานหลังร้านซ่งเชียนฉู่ถามด้วยความสงสัยว่า “ท่านมิได้ไปแล้วหรอกหรือ? เหตุใดจึงกลับมาอีก?”ลั่วชิงยวนทำท่าให้เงียบแล้วพาส่งเฉียนฉู่กลับไปยังห้อง จากนั้นบอกเล่าเรื่องราวให้ฟังเมื่อซ่งเชียนฉู่ฟังจบก็รีบกล่าวว่า “ดูเหมือนว่านางผู้นี้จะมิปล่อยท่านไป หรือว่าท่านจะเข้าวังไปดำรงตำแหน่งมหาปราชญ์ เมื่อมีตำแหน่งนี้แล้ว นางก็จะต้องเกรงใจบ้าง”ลั่วชิงยวนไตร่ตรอง แล้วพูดว่า “มหาปราชญ์ อืม... ค่อยว่ากันอีกที”จนกระทั่งล่วงเข้ายามดึก เมื่อแน่ใจแล้วว่าลั่วฉิงจากไปแล้ว ลั่วชิงยวนจึงกลับตำหนักอ๋องอย่างเงียบเชียบเมื่อกลับแล้วก็ถูกหล่างมู่ขวางทาง “พี่หญิง ท่านไปที่ใดมาขอรับ? ฟู่เฉินหวนมาหาท่านตอนค่ำ”“แล้วเจ้าบอกเขาว่าอย่างไร?”“ข้าบอกว่าพ