จั๋วซือหรานตอบกลับด้วยรอยยิ้ม "พวกเจ้ากินลงไปก่อนเถอะ กลับไปจะได้ไม่ถูกยึด อ่า กลับไปก็บอกว่า จั๋วจิ่วให้ยาลูกกลอนกับพวกเจ้า แล้วบีบให้พวกเจ้ากินกันลงไป...เช่นนี้เจ้านายก็น่าจะไม่หาเรื่องพวกเจ้าแล้วกระมัง"ตอนที่จั๋วซือหรานพูดคำนี้ ก็ยิ้มตาโค้งพวกเขาแค่รู้สึกว่าในรอยยิ้มของนาง ดูมีความเจ้าเล่ห์ชอบกล แต่กลับไม่ทำให้คนรู้สึกรังเกียจเลยหลังจากได้ยินคำนี้ ทุกคนก็ทยอยกันยัดยาลูกกลอนใส่ปากเข้าไปจั๋วซือหรานจึงเอ่ยขึ้นว่า "เอาล่ะ ข้ายังมีเรื่องต้องทำอีก ขอตัวก่อนล่ะ พวกเจ้าก็กลับไปเถอะ""แม่ แม่นางจิ่ว..." ผู้เชี่ยวชาญยุทธ์คนหนึ่งของตระกูลจั๋วเอ่ยเรียกนาง "พวกเรายินดีจะไปกับท่าน อย่างน้อยก็ยังเป็นลูกมือให้ท่านได้""จริงด้วย อ๋องอวี้คนนั้น คนเยอะเลยทรงอำนาจ..."น่าจะเพราะยาลูกกลอนของจั๋วซือหราน ทำให้ทุกคนล้วนเลือดร้อนกันขึ้นมา หลังจากนี้จะเป็นอย่างไรไม่ต้องสน แต่ตอนนี้พวกเขายินดีจะสละชีวิตให้กับนางจั๋วซือหรานพอได้ยินก็ยิ้มๆ เดิมทีนางไม่คิดจะพาใครไป นางเป็นเช่นนี้มาตลอด ลุยเดี่ยวเสมอ ถ้าตนเองจัดการได้ก็จะจัดการ ตนเองจัดการไม่ได้ ก็จะรอตอนที่ตนเองจัดการได้ค่อยมาจัดการพาคนมากขนาดนี้ไ
เขื่อนยาวพันลี้ ก็ยังพังทลายเพราะรังมดและด้วยหลักการนี้ ยังดีที่จั๋วซือหรานฟื้นขึ้นมาไวหน่อย ถ้านางยังสลบต่อไปอีกสองวันสถานการณ์น่าจะกู้กลับมาลำบากแล้ว"ตอนนี้ค่ายป้องกันลาดตระเวนน่าจะเริ่มมีเสียงที่จะส่งอ๋องเซี่ยนออกมาแล้ว""แต่แม่ทัพอิงเซ่าซื่อสัตย์ภักดี ตระกูลอิงเองก็เป็นทหารมาหลายรุ่น จงรักภักดีทั้งตระกูล..."แม้จะบอกว่าอิงเซ่าเป็นแม่ทัพสายบุ๋นที่มีชื่อ แต่แม่ทัพสายบุ๋นก็ยังถือเป็นแม่ทัพ มีเลือดร้อนอยู่ทั้งตัว ภักดีต่อจักรพรรดิประเทศชาติถ้าจะให้เขาต้องส่งตัวอ๋องเซี่ยนออกไปจริงๆ ก็คงต้องข้ามศพของอิงเซ่าไปก่อน"จุ๊" จั๋วซือหรานขมวดคิ้ว จุ๊เสียงขึ้นเบาๆคนรอบๆ พอได้ยินเสียงจั๋วซือหราน ก็ตึงเครียดขึ้นมา "แม่ แม่นางจิ่ว..พวกเราพูดมากเกินไปหรือ?"พวกเขาถึงแม้จะเคยได้ยินชื่อเสียงของคนผู้นี้มา แต่ถึงอย่างไรก็ไม่เคยอยู่ด้วยกันจริงๆ ยังไม่เข้าใจกับนิสัยของนางนัก และไม่รู้ว่านางชอบที่พวกเขาพูดมากไหมจั๋วซือหรานเอ่ยขึ้น "ไม่มีอะไร รีบเข้าเถอะ สถานการณ์ของค่ายป้องกันลาดตระเวนถ้าไม่ดีจริงๆ ตอนนี้คงย่ำแย่มากทั้งภายในและนอก แม่ทัพอิงเซ่าถ้าดูแลเพียงลำพังคงลำบาก ยิ่งไปกว่านั้นก่อนหน้าน
"หัวหน้าตายแล้ว...ตอนนี้ศพยังอยู่ข้างนอก...ถูกพวกเขาแขวนเอาไว้…!"พอได้ยินเสียงตะโกนจากด้านนอก และยังมีการเคลื่อนไหวในค่ายทหารพวกนี้อีกในกระโจมค่าย ซือคงเซี่ยนสีหน้าจนใจ เขามองไปทางอิงเซ่าที่หน้าเขียวคล้ำ เอ่ยขึ้นว่า "แม่ทัพอิง เป็นข้าที่ทำให้ท่านลำบากใจ ถ้าไม่ไหวจริงๆ ท่านก็ไม่จำเป็นต้องลำบากใจหรอก ส่งตัวข้าออกไปก็พอ"อิงเซ่าพอได้ยิน สีหน้าก็ไม่เปลี่ยน ยังคงเขียวคล้ำ เขาเอ่ยขึ้นเสียงขรึมว่า "ตระกูลอิงของข้าเป็นทหารมาทุกรุ่น จงรักภักดีทั้งตระกูล ถ้าหากมาปอดแหกในรุ่นของข้า ถ้าข้าตายไป คงถูกเหล่าบรรพบุรุษติเตียนแน่"ซือคงเซี่ยนถอนใจเบาๆ หัวเราะเอ่ยขึ้นว่า "ไม่เป็นไร ชีวิตของข้าไม่มีอะไรสำคัญ ขอแค่เสด็จพ่อปลอดภัยอยู่ในค่ายคุ้มกันนอกเมือง ซือคงอวี้ก็ยังไม่ชนะ และท่านที่อยู่ในเมืองหลวงอย่างน้อยก็ยังพอตั้งหลักได้แล้ว ถึงตอนนั้นก็จะไปร่วมมือกันรับทั้งในและนอกกับเสด็จพ่อและแม่ทัพฉีฮ่าวได้... ""ข้ายังไม่เชื่อ" อิงเซ่าเอ่ยขึ้นมา "ข้าจะรอดู ว่าพวกเขาจะกล้าสังหารทหารในค่ายอีกไหม!"อิงเซ่าถึงแม้จะเป็นแม่ทัพสายบุ๋น แต่ก็ร่างกายแข็งแกร่งดั่งเหล็กกล้า ต่อให้ตายก็ยังคงยืนอยู่ได้อิงเซ่าจ้องเขม
ท่ามกลางความวุ่นวาย ในที่สุดก็มีคนได้ยินเสียงพรึบที่ผิดปกติดังขึ้นแล้วเดิมทียังไม่มีปฏิกิริยาว่านี่คือเสียงอะไร แต่หางตาก็มองเห็นร่างเงาหนึ่งแฉลบผ่านกลางอากาศท่ามกลางฝุ่นดินคลุ้งนี้ในที่สุดก็เข้าใจถึงที่มาการโจมตีแล้ว...มาจากบนฟ้า!เสียงพรึบๆ ที่ไม่เหมือนปกตินั่น เป็นเสียงของสัตว์ประหลาดบางอย่างกระพือปีก!ทุกคนในที่สุดก็ค่อยๆ ปรับสายตาในฝุ่นดินคลุ้งนี่ได้ จึงมองเห็นร่างเงาบนอากาศนั้นแล้วเป็นสัตว์อสูรปีกตัวหนึ่ง!สัตว์อสูรปีกสามารถบินได้ แต่ปกติจะรับน้ำหนักไม่ไหว แบกคนไม่ได้ ต่อให้แบกได้ ก็คงแค่เพียงชั่วคราวเท่านั้นแต่สัตว์อสูรปีกตรงหน้านี้ดูแล้วไม่ธรรมดา แค่รูปร่างกับการสยายปีกของมันก็ไม่ธรรมดาแล้วน่าจะเป็นระดับราชาสัตว์อสูรและตอนที่ทุกคนมองเห็นสัตว์อสูรปีกตัวนี้ได้ชัดเจน แน่นอนว่าต้องเห็นร่างสีแดงเพลิงบนหลังสัตว์อสูรปีกด้วยรู้สึกเหมือนกับมีเลือดสดวาดผ่านดวงตาไปอย่างไรอย่างนั้น พริบตาเดียวกระทั่งดวงตาก็ปวดขึ้นมา ฉับพลันจึงตระหนักได้ว่านั่นคือตัวตนอันตรายแบบไหนมีคนตะโกนแผดเสียงขึ้น "จั๋ว จั๋วจิ่ว! จั๋วจิ่วมาแล้ว!""อะไรนะ?! นางไม่ใช่ตายไปแล้วหรือ!""ขึ้นธนู! ขึ้นธน
ในค่ายป้องกันลาดตระเวนหลังจากที่อิงเซ่าแสดงความเด็ดขาดว่าไม่มีทางส่งซือคงเซี่ยนออกไป ไม่นานนัก ด้านนอกก็มีเสียงระเบิดดังสนั่นขึ้นเพียงครู่เดียว ยังไม่ทันมีคนเข้ามารายงานว่าเกิดอะไรขึ้นทุกคนตอนนี้ก็รู้สึกเพียงว่า จอต้องเป็นคนของซือคงอวี้แน่ เล่นลูกไม้อะไรใหม่มารับมือกับค่ายป้องกันลาดตระเวนของพวกเขาแน่นอนขวัญกำลังใจทหารที่แทบจะจมดิ่งอยู่แล้ว ตอนนี้เนื่องจากเสียงสั่นเขาสะเทือนฟ้า ก็ยิ่งไม่มั่นคงไปใหญ่"เสียง...อะไรน่ะ?" อิงเซ่ายังไม่ทันสังเกต และสิ่งที่คิดไม่ถึงเลยก็คือ...หนึ่งในคนสนิทของตนเอง กลับลงมือกับเขา!ความเจ็บปวดบนบ่าทำให้เขาโกรธจนตัวสั่น"หยวนอี้! เจ้า!" อิงเซ่ากุมหัวไหล่ตนเอง สายตามองไปยังหนึ่งในคนสนิทของตนเองอย่างตกตะลึง "เจ้าคิดจะทำอะไร!""ท่านแม่ทัพ ขอโทษด้วย ข้าน้อยยอมให้ท่านนำชีวิตคนมากมายขนาดนี้แลกกับความภักดีไม่ได้จริงๆ"สีหน้าของหยวนอี้เด็ดเดี่ยว และทั้งซับซ้อนขัดแย้งกัน แต่ก็ยังพูดมาว่า "คนตายไปมากขนาดนี้แล้ว...ท่านอ๋องเซี่ยนเองก็รู้สถานการณ์ตรงหน้า แต่ท่านก็ยังดื้อรั้นทำตามอำเภอใจ ข้าน้อยทนมองต่อไปไม่ได้แล้วจริงๆ""ท่านวางใจเถอะ ท่านไม่ได้บาดเจ็บหนักมา
ไม่รู้เพราะอะไร หญิงสาวคนนี้ รูปร่างไม่ได้สูงใหญ่มาก กระทั่งเรียกได้ว่าเล็กเลยด้วยซ้ำแต่ตอนที่เห็นนางปรากฏตัวอิงเซ่าจึงโล่งอกขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ ราวกับว่าทั้งตัวผ่อนคลายลงมาแล้วเบ้าตาซือคงเซี่ยนก็แดงรื้น พูดอะไรไม่ออก ทำได้แค่ใช้ดวงตาที่ลึกซึ้งจ้องเขม็งไปที่จั๋วซือหรานเท่านั้นจั๋วซือหรานเดินเข้าด้านใน ตอนที่เดินผ่านข้างตัวซือคงเซี่ยน ก็ถูกเขายื่นมือเข้ามาจับกะทันหัน"อื๋อ?" จั๋วซือหรานหรุบตามองมือที่ถูกซือคงเซี่ยนกุมไว้ สายตามองไปทางซือคงเซี่ยนด้วยความสงสัยซือคงเซี่ยนเบ้าตาแดงรื้น ริมฝีปากสั่นระริก หลังจากเขาสูดลมหายใจลึก ก็ค่อยๆ เอยขึ้นว่า "เจ้ามาช่วยข้าอีกแล้ว..."นี่เป็นครั้งที่สองแล้ว ครั้งที่แล้วตนเองถูกซือคงอวี้จับกุม ตอนที่ร่างกายบาดเจ็บหนัก ก็เป็นจั๋วซือหรานที่ช่วยชีวิตเขาออกมาพอได้ยินคำนี้ จั๋วซือหรานก็ยิ้มตาโค้ง "ใช่เลย ช่วยชีวิตเจ้าไว้สองครั้งแล้ว จำไว้ด้วยล่ะ""สลักไว้ในใจมาตลอด ไม่มีทางลืม" เสียงซือคงเซี่ยนเป็นเสียงในจมูกทุ้มต่ำ มีอาการสั่นระริกเล็กน้อยจั๋วซือหรานเหล่มองเขาผาดหนึ่ง "เช่นนั้นครั้งต่อไปก็อย่าถอดใจง่ายแบบนี้ ข้าช่วยชีวิตคนมันก็ไม่ใช่เรื่อ
ถึงแม้สภาพเขาจะดูขมุกขมอม แต่ดวงตากลับมีประกายที่พูดออกมาไม่ได้ ดวงตาเปล่งประกายอย่างตื่นเต้นมีชีวิตชีวา"คนของชินอ๋องอวี้ด้านนอกเหล่านั้น ใกล้จะทานรับไม่ไหวแล้วขอรับ!" ทหารราบรายงานสายตาซือคงเซี่ยนกับอิงเซ่ามองไปทางจั๋วซือหรานอิงเซ่าถามขึ้น "แม่นางจิ่ว เสียงลั่นฟ้าสะเทือนดินก่อนหน้านั่น...""อา ของข้าเอง" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นมา สีหน้านางค่อนข้างเย็นชา "ภาพที่หน้าประตูข้าเห็นแล้วโมโหหน่อยๆ เลยจัดให้พวกเขาไปหน่อย"จำนวนระเบิดมือที่อยู่ในมิติของนางมีไม่มากนัก แต่ว่าเจ้าของอย่างดินปืนเองก็ไม่ได้ทำยากเท่าไรหลังจากนี้ถ้ามีเวลา นางก็จะทำออกมาเสียหน่อยดังนั้นนางจึงไม่ได้ประหยัดเท่าไร หยิบออกมาหลายลูก ขี่สัตว์อสูรปีก แล้วโยนลงไปจากบนหัวพวกเขานี่มันเรียกอะไรนะ...จั๋วซือหรานคิดอย่างละเอียด น่าจะเป็นการทิ้งระเบิดของกองทัพอากาศกระมัง?อดพูดไม่ได้ ว่าอำนาจเหนือท้องฟ้านี่ถือว่ามีประโยชน์มากอิงเซ่ากับซือคงเซี่ยนฟังนางบรรยายออกมาสบายๆแต่พอเห็นสายตาที่ดีใจของทหารราบที่เข้ามารายงาน เรื่องนี้น่าจะไม่ได้ดูสบายๆ อย่างที่นางบรรยายมาแน่เพียงแต่จากที่นางเห็น ก็ดูว่าไม่น่าจะเร่งด่วนเท่าไรแ
เสียงครวญคราง เสียงตะโกน เสียงอ้อนวอนชั่วขณะหนึ่ง เสียงเหล่านี้ดังขึ้นไม่ขาดหูที่ประตูเมือง"ช่วยด้วย! ช่วยข้าด้วย! ข้ายังไม่อยากตาย!"มีองครักษ์ชินอ๋องอวี้คนหนึ่งถูกระเบิดจนขาขาดทั้งสองข้าง นอนกระเสือกกระสนอยู่บนพื้น นิ้วกำลึกลงไปในดินคำรามแผดเสียงจนตาแทบแตกอาการบาดเจ็บเช่นนี้ของเขา คนรอบๆ ล้วนส่ายหัวกันหมดคิดว่าบาดแผลเขาเช่นนี้ เกรงว่าคงจะมีแค่แม่นางจั๋วจิ่วที่งดงามความสามารถน่าตกตะลึงคนนั้นเท่านั้น ถึงจะสามารถรักษาได้แต่ว่า คนที่สร้างแบดแผลนี้ให้แก่เขา ก็คือแม่นางจั๋วจิ่วที่งดงามความสามารถน่าตกตะลึงคนนั้นและมีทหารราบของค่ายป้องกันลาดตระเวนมองออกแล้ว ว่าคนนี้สังหารทหารราบของพวกเขาไปพอสมควร กระทั่งยังเป็นหนึ่งในองครักษ์ชินอ๋องอวี้ที่นำศพของพวกเขาไปแขวนไว้บนคานประตูด้วยดังนั้นต่อให้เขาตอนนี้จะร้องอย่างน่าเวทนาเพียงใด จากที่พวกเขาเห็นมันก็สมควรแล้ว สาแก่ใจ กรรมตามทันไม่มีความเห็นใจใดๆ ทั้งสิ้นยังมีคนส่วนหนึ่ง ที่มีอาการบาดเจ็บจากระเบิดอยู่ระดับหนึ่งและเหล่าทหารจากฝ่ายต่างๆ ที่ติดตามจั๋วซือหรานมาด้วยกัน ก็จัดการสถานการณ์ยุ่งเหยิง ควบคุมสถานการณ์ไว้ได้แล้วดังนั้นตอ
แม้จะบอกว่าเป็นความฝัน แต่อันที่จริงจั๋วซือหรานก็ค่อยๆ เข้าใจแล้ว ว่าเพราะอะไรหลังจากฝันถึงเขาครั้งที่แล้วจนมาถึงครั้งนี้ นานมากแล้วที่ไม่ได้ฝันถึงเขาอีกพอมาคิดอย่างละเอียด เหมือนว่าตอนฝันถึงเขาครั้งที่แล้ว จะเป็นหลังจากที่นางมีสัมพันธ์ทางกายกับเขาดังนั้นจั๋วซือหรานจึงค่อยๆ เข้าใจ บางทีน่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้การดูดหยางบำรุงหยินของนางก็ดูดซับมาจนพอเข้าใจแล้ว เหมือนว่าพอดูดซับมาถึงระดับหนึ่ง ก็จะเกิด...ถ้าจะพูดว่าเป็นความฝัน สู้บอกว่าเป็นการสื่อสารทางจิตใต้สำนึกกับความทรงจำของเฟิงเหยียนส่วนที่ถูกผนึกไปจะดีกว่า?และไม่ว่าจะ 'ความฝัน' ครั้งที่แล้ว หรือว่าครั้งนี้ก็มองออกได้ไม่ยากเฟิงเหยียนน่าจะเข้าใจต่อสถานการณ์อยู่ ดังนั้นบางทีจิตใต้สำนึกเขายังคงอยู่มาตลอด เพียงแต่ถูกสมองทื่อๆ นี่กดเอาไว้ หรือบางทีคงถูกสภาผู้อาวุโสลงมือสะกดเอาไว้ไม่แน่ว่า อาจจะต้องมีชนวนเหตุบางอย่าง ถึงจะสามารถปลุกขึ้นมาได้จั๋วซือหรานอยากจะรู้ชนวนเหตุนั้นว่าคืออะไรกันแน่"ต้องทำยังไงเจ้าถึงจะดีขึ้นมา?" จั๋วซือหรานถามแต่เฟิงเหยียนกลับเหมือนจะจำจุดสำคัญนั้นไม่ได้แล้ว ขมวดคิ้ว สีหน้าดูเหมือนขมขื่น เหมือนว
ในห้วงฝันนางมองมือตัวเอง สับสนไปหมดทั้งตัว เหมือนยังตั้งตัวกลับมาไม่ได้เพราะนางถ้าไม่หลับลึก ก็จะเอาจิตใต้สำนึกส่งเข้าไปในมิติ จึงฝันน้อยครั้งมากดังนั้นตอนที่ดำดิ่งสู่ห้วงฝัน นางยังรู้สึกไม่คุ้นอยู่หน่อยๆ มองมือตนเอง รู้สึกไม่คอ่ยเป็นจริงสักเท่าไรวินาทีต่อมา มือข้างหนึ่งก็ทาบมาบนมือของนางมือข้างนั้น ข้อต่อกระดูกชัดเจน นิ้วเรียวยาว เล็บตัดมาดูสะอาดสะอ้าน ผิวหนังขาวซีดเย็นเหมือนไม่โดนแดดมานานสายตาของจั๋วซือหรานจ้องนิ่งอยู่บนมือข้างนี้ จากนั้นจึงค่อยๆ ยกขึ้นมามองไปยังเจ้าของมือนี้ ใบหน้าหล่อเหลาไม่มีที่ตินั่นทั้งที่เป็นใบหน้าที่เพิ่งเห็นไปก่อนหลับตาลงเมื่อครู่แท้ๆ แต่ตอนนี้พอมอง กลับยังคงทำให้นางรู้สึกเหมือนไม่เจอกันเสียนานสายตาของชายหนุ่มอบอุ่น ด้านในมีความรู้สึกอารมณ์เหมือนความเจ็บปวดแฝงอยู่"จั๋วเสียวจิ่ว..." เขาก้มหน้าลงเรียกนางจั๋วซือหรานมองเขา จากนั้นจึงออกแรงบีบมือเขา และน่าจะเพราะออกแรงมากเกินไปปลายเล็บจึงเหมือนจิกลงไปในเนื้อเขาฝันถึงเขาอีกแล้วจั๋วซือหรานมีปฏิกิริยาขึ้นมา ครั้งนี้เหมือนกับครั้งนั้นเลย ฝันถึงเฟิงเหยียนยิ่งไปกว่านั้นยังดูเหมือนจริงเป็นพิ
กลางดึก จั๋วซือหรานกัดริมฝีปาก กอดหมอน เดินเท้าเปล่าจากห้องด้านนอกเข้าไปยังห้องด้านใน!คิ้วงามของนางขมวดแน่น สีหน้าที่มีสีเลือดฟื้นมาบ้างแล้ว ตอนนี้กลับขาวซีดขึ้นมาในใจนางเองก็พูดไม่ออก เดิมทีตอนที่หลับก็ยังดีอยู่ พอกลางดึกจู่ๆ ก็ไม่ไหวขึ้นมาเสียแล้วหน้าอกปั่นป่วนอย่างรุนแรง เป็นความรู้สึกทรมานแบบที่นางผ่านมาก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยนถ้าบอกว่าคนคนนี้ไม่เข้ามาก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ก็เข้ามาแล้วว่ากันว่าพอเคยสบายแล้ว จะยากที่จะกลับไปลำบากตอนนี้จะให้นางปล่อยชายหนุ่มที่เหมือนกับ 'ยาบำรุงครรภ์' นี้ไว้ข้างในเฉยๆ โดยไม่ใช้ แล้วต้องมานั่งทนกระอักเลือดต่อล่ะก็...ขอโทษด้วย สกุลจั๋วอย่างนางไม่ใช่คนประเภทนั้นนางเข้าใจแล้ว ก่อนที่จะหลับไปเมื่อคืนนี้ ตอนที่เฟิงเหยียนบอกว่าจะนอนด้านนอก ริมฝีปากที่เม้มแน่นนั้นกำลังอดกลั้นเรื่องอะไรน่าจะคิดไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้สารเลว!จั๋วซือหรานครั่นเนื้อครั่นตัวตื่นมากลางดึก ต่อให้เป็นคนที่มีสติเยือกเย็นแค่ไหน ก็ยังมีอาการหงุดหงิดงัวเงียหลังตื่นนอนนางเดินเท้าเปล่าเข้าไปห้องด้านใน อากาศในหุบเขาตอนกลางคืนเย็นมากนางสวมแค่เสื้อบางๆ ชุดหนึ่ง ทั้งตัวเย
แต่กลับรู้ตัวตนฐานะผู้ชายทรยศของเฟิงเหยียนได้ ไม่ต้องคิดเลยว่าคงเป็นจั๋วหวายพล่ามออกมาแน่"จั๋วหวายมาบอกเจ้าหรือ?" ปันอวิ๋นถามขึ้นคำหนึ่งจวงอี๋ไห่ พยักหน้าอย่างระมัดระวัง "คุณชายเสี่ยวหวายไม่หลอกข้าหรอก คุณชายเสี่ยวหวายบอกว่าเป็นผู้ชายทรยศ เช่นนั้นกว่าครึ่งก็ต้องเป็นผู้ชายทรยศแล้ว"ปันอวิ๋นถอนหายใจแผ่วเบาในห้อง จั๋วซือหรานนั่งลงข้างโต๊ะเฟิงเหยียนไม่พูดอะไร รินน้ำชาให้นางถ้วยหนึ่งจั๋วซือหรานกำถ้วยไว้ ใช้นิ้วมือลูบไล้ขอบถ้วยเบาๆ"อีกเดี๋ยวพออาหารส่งเข้ามา ก็กินสักหน่อยแล้วค่อยนอนพัก" เฟิงเหยียนเอ่ยขึ้นแต่ในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความหนักแน่นที่ห้ามปฏิเสธจั๋วซือหรานแหงนตามองเขา กำลังจะบอกว่ายังไม่หิวก็เห็นริมฝีปากบางของชายคนนี้เม้มเบาๆ เอ่ยเสียงต่ำว่า "ข้าไม่มีสิทธิ์จะมาหารือกับเจ้าจริงๆ นั่นล่ะ..." สายตาเขาทอดลงไปที่ท้องน้อยนาง แววตาลึกซึ้งจากนั้นจึงเอ่ยต่อว่า "แต่การจะเตือนให้เจ้ากินอะไรดีดีก็ยังพอมีสิทธิ์อยู่" สายตาเขายกขึ้นมาจากท้องน้อยจั๋วซือหรานเลื่อนมาที่ดวงตานาง จ้องมองดวงตานาง เอ่ยต่อว่า "ถึงอย่างไรเมื่อครู่ก็เพิ่งช่วยเจ้ากลับมา ยิ่งไปกว่นั้นเรื่องถูกพลังศักดิ์สิท
เขาไม่เพียงแต่ไม่ใช่สามีของนาง เขายังเป็นคู่หมั้นในนามของหญิงสาวคนอื่นอีกด้วยสีหน้าของเฟิงเหยียนแข็งทื่อไปแล้ว แต่ท้ายสุดก็ยังพูดอะไรไม่ออกเพราะในคำพูดจั๋วซือหราน ไม่มีส่วนที่ผิดเลยแม้แต่น้อยแม้จะบอกว่าเด็กคนนี้ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาก็ตามแต่ครั้งก่อนหน้านั้น เป็นเพราะจั๋วซือหรานถูกวางแผนร้ายใส่ ถึงทำให้นางสับสนหลงใหลจนมีสัมพันธ์กับเขาถ้าจะบอกว่า เขาเอาเปรียบหญิงสาวไป ก็ไมไ่ด้พูดเกินเลยนักเอาเปรียบหญิงสาว จนทำนางตั้งท้อง ไม่เคยจะมารับผิดชอบอะไรตอนนี้กลับจะมาชี้มือชี้ไม้เรื่องของนางพอสรุปมาแบบนี้ มันก็ช่าง...แย่มากจริงๆเฟิงเหยียนเองก็รู้ว่าตนเองนั้นแย่มาก พูดอะไรออกมาไม่ได้ไปชั่วขณะปันอวิ๋นรู้สึกกระอักกระอ่วนแทนสหายเก่า เขากระแอมออกมาเบาๆ ทีหนึ่ง ไกล่เกลี่ยขึ้นว่า "เอาล่ะเอาล่ะ..."เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ถึงอย่างไร ทั้งสองคนตอนนี้จะไม่ได้เป็นคู่รัก แต่ความสัมพันธ์แบบนี้...มันก็ดูคลุมเครือ กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ นี่มันช่าง...ดังนั้นปันอวิ๋นเลยเปิดประเด็นขึ้น อึกอักในปากอยู่พักหนึ่ง กว่าจะพูดออกมาได้ "...พวกเจ้าหิวหรือยัง? ให้เหล่าจวนทำอะไรให้กินหน่อยดีไหม?"
นางยืนเงียบๆ อยู่ตรงนั้น แหงนตาขึ้นมองพวกเขาสายตาของเฟิงเหยียนอึ้งไปเล็กน้อย เห็นนางยืนอยู่ในประตูด้วยสีหน้านิ่งขรึมเขารู้สึกลำคอแห้งผากอย่างประหลาด ความรู้สึกนั้น บางทีควรจะเรียกว่า...ตึงเครียดไหม?"เจ้า...ตื่นขึ้นมาตอนไหนน่ะ?" เฟิงเหยียนถามจั๋วซือหรานมองเขา "ไม่นานเท่าไร"เหมือจะมองออกถึงความกระอักกระอ่วนของเขา หรืออาจจะไม่สรุปคือ มุมปากจั๋วซือหรานยกขึ้นบางๆ พูดมาคำหนึ่ง "ท่านอ๋องน้อย ไม่เจอกันเสียนาน"นางทำแบบนี้โดยไม่เอ่ยถึงคำพูดก่อนหน้านั้นแม้แต่น้อยเฟิงเหยียนอ้าปากพะงาบ ต่อให้คิดจะพูดอะไร แต่ชั่วขณะหนึ่งก็เหมือนจะพูดออกมาไม่ได้จึงแค่ถามขึ้นอย่างเป็นห่วง "ดีขึ้นบ้างหรือยัง?"จั๋วซือหรานพยักหน้า "ดีขึ้นมากแล้ว"กระทั่งปันอวิ๋นก็ยังมองออกถึงเรื่องระหว่างพวกเขา ไม่รู้เพราะเจ้าสมองกลับนี่ไปแตะเนื้อต้องตัวทำอะไรนาง หรือเป็นเพราะคำพูดเมื่อครู่นางได้ยินคำพูดของเฟิงเหยียน...สรุปคือ ปันอวิ๋นมองพวกเขาทั้งสองคน แล้วก็รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแทนพวกเขาทั้งสองคนปันอวิ๋นคิดๆ ดู ตอนที่ตนเองอยู่กับจั๋วซือหรานก็ยังไม่ได้กลืนไม่เข้าคายไม่ออกขนาดนี้รู้สึกร้อนใจแทนเจ้าบ้านี่จร
เพราะเป็นเพื่อนสนิท ปันอวิ๋นจึงเข้าใจความหมายที่เขาคิดจะแสดงออกมาหรือก็คือ ปันอวิ๋นเดาได้นานแล้วบางทีตอนนั้นเพื่อจะให้จั๋วซือหรานหลีกเลี่ยงโชคชะตาเช่นนี้ ตนเองจึงเลือกที่จะลืมเลือนแต่สุดท้ายพอวกไปวนมา ก็กลับมาเดินอยู่บนเส้นทางเดิมเจ้าสิ่งที่เรียกว่าโชคชะตานี่ ลึกลับเอามากๆบางครั้งเหมือนจะมีเมตตา แต่บางครั้งก็เหมือนไม่เคยปราณีใครผู้ใด"แล้วเจ้าตอนนี้...คิดจะทำอย่างไร?" ปันอวิ๋นถามเขาจ้องเฟิงเหยียนตาไม่กระพริบเอาจริงๆ ปันอวิ๋นใช้มองจากมุมมองคนนอกอย่างมีเหตุมีผล ยังหวังว่าจั๋วซือหรานจะสามารถปล่อยวางได้แต่พอคิดถึงว่าถ้าหากจั๋วซือหรานปล่อยวางแล้วล่ะก็ ด้วยโชคชะตาภาชนะพลังศักดิ์สิทธิ์หงส์แดงของเฟิงเหยียน ผลสรุปสุดท้าย ก็คือตายก่อนวัยอันควรอยู่ดีและเพราะรู้เรื่องนี้ ดังนั้นปันอวิ๋นจึงหยุดไปครู่หนึ่ง เอ่ยเสริมมาคำนึง "ถังฉือเคยบอกข้าไว้ ในโถงวิญญาณอสูร พวกสัตว์เทพที่ถูกเก็บกลับมาเหล่านั้น..."ปันอวิ๋นขมวดคิ้ว คิดถึงคำพูดของถังฉือถังฉือมีบาปหนาจากการฆ่าฟันคนมากมาย กลายเป็นคนเย็นชาไร้หัวใจไปแล้ว ถ้าหากไม่เย็นชาไร้หัวใจ ป่านนี้คงเป็นบ้าไปแล้วดังนั้นตอนที่เขาพูดถึงเรื่องเห
ปันอวิ๋นส่งให้เขาชามหนึ่ง ตนเองก็ด้วยทั้งสองคนไม่พูดพล่ามทำเพลง กระดกรวดเดียวจนหมดราวกับว่า สุราที่มาช้าไปหลายปีนี้ ในที่สุดก็ได้ดื่มเสียทีราวกับว่าภาพเด็กน้อยที่แอบขโมยสุราพวกนั้นมาดื่ม ซ้อนทับเข้ามากับพวกเขาในเวลานี้"ช่วงนี้เจ้า ไม่ได้ติดต่อกับพวกเขาเลยหรือ?"หลังจากร่ำสุราลงท้องไปสองชาม จิตใจก็เหมือนจะผ่อนคลายลงมาไม่น้อย ปันอวิ๋นถามขึ้นอย่างสบายๆ เป็นกันเองเฟิงเหยียนฟังออก ว่าเขาถามถึงเหล่าพี่น้องพวกนั้นเขาตอบอืมไปคำหนึ่ง "ไม่ได้ติดต่อกันเลย""เช่นนั้นก็คงไม่รู้สถานการณ์ของพวกเขาเลยสินะ" ปันอวิ๋นเอ่ยขึ้นเฟิงเหยียนไม่ยอมรับหรือปฏิเสธกับสิ่งนี้ ถือว่ายอมรับไปกลายๆปันอวิ๋นยิ้มๆ เหมือนจะเย้ยหยันตนเอง "แต่ก็ไม่โทษพวกเขาที่ไม่ติดต่อเจ้า ด้วยสถานการณ์ของพวกเขาตอนนี้ ก็ไม่มีหน้ามาติดต่อเจ้าจริงๆ นั่นล่ะ"ได้ยินคำนี้ของปันอวิ๋น เฟิงเหยียนก็ไม่พูดอะไรอีกปันอวิ๋นเอ่ยต่อว่า "ซงซีตอนนี้ทุกวันเหมือนขลุกอยู่แต่ในห้องหลอมสกัด หลอมสกัดอยู่ทุกวันไม่ได้พักเลย"เฟิงเหยียนพอได้ยินคำนี้ คิ้วก็ขมวดขึ้นบางๆ"เยี่ยนเหวย...ก็สูบเลือดออกมาทุกวัน อยู่แบบไม่เหมือนผู้เหมือนคน ผู้อาวุโสหวงจ
บางทีคงเป็นเพราะการคุยแบบเปิดอกก่อนหน้านี้ ทำให้ระยะทางขอเพื่อนสนิทสองคนที่เคยห่างไปตามกาลเวลา ย่อหดลงไปไม่น้อยเลยกระมังดังนั้นพอได้ยินปันอวิ๋นบอกว่าไม่ต้องขอบคุณ เฟิงเหยียนจึงเหลือบมองเขา น้ำเสียงเปลี่ยนไป "ก็ได้ เช่นนั้นก็ไม่ขอบคุณแล้วกัน"เฟิงเหยียนสั่งขึ้นมา "ไป ไปเอาสุรามาให้ข้าหน่อย"แม้จะพูดเช่นนี้ แต่ในเสียงกลับไม่ได้ออกคำสั่งอะไร ฟังแล้วเหมือนการใช้งานระหว่างเพื่อนกันมากกว่าปันอวิ๋นชะงักไปเล้กน้อย เพราะตอนพวกเขายังเด็ก ก็เคยใช้งานกันและกันแบบนี้ไป ไปเอาสุรามาหน่อยได้ งั้นเจ้าก็เอาปลาไปย่างซะข้าเห็นว่าเจ้าหน้าตาเหมือนปลาถ้าเจ้ายังพูดอีกรอบ จะโดนข้ากดจนจมถังสุราตายไปเลยเพราะคำพูดนี้ของเฟิงเหยียน ทั้งสองคนก็เหมือนกลับไปสมัยยังเด็กในชั่วพริบตาปันอวิ๋นยกมุมปากขึ้นบางๆ ลุกขึ้นไปให้คนรับใช้ส่งสุราเข้ามาคือสุราห้าพิษที่เขาจะหมักอยู่ทุกปี และใช้แมลงพิษมาหลอมจริงๆ แต่ตัวสุรากลับไม่มีพิษใดๆ กระทั่งยังหอมอบอวลเข้มข้นเป็นพิเศษ เป็นสุราที่หาได้ยากยิ่งและเป็นความลับที่ไม่เผยแพร่สู่ภายนอกของหุบเขาหมื่นพิษ ปกติมีแค่เจ้าหุบเขาที่รู้แต่ปันอวิ๋น หลังจากออกสำนักมา ก็ไม่ได้ด